ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    'Neck' n 'Neck' { chanbaek }

    ลำดับตอนที่ #6 : - c h a p t e r : 5 -

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 57







     


     

     

     

    ผมรูดซิปเสื้อฮู้ดขึ้น ด้วยตระหนักดีว่าการนั่งเสียใจอยู่เฉยๆไม่สร้างประโยชน์ห่าเหวอะไรทั้งนั้น


     

     

    เสียงกึกกักทางบันไดดังขึ้น เป็นคิมจงอินนั่นเองที่เดินลงมา ...แต่มันคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าเกิดว่าหมอนั่นเดินลงมามือเปล่า


     

     

    “ของฉันสองเข็ม ใช้แทนส่วนของเซฮุนด้วย” ปลาตากแห้งพูดพร้อมควงเข็มฉีดยาสองเล่มในมือ ยิ้มแสยะและยักคิ้วแบบกวนประสาท “รายนั้นรังเกียจนายน่าดู ก็เลยสละให้ฉัน”

     


     

    ผมรีบลุกขึ้นยืน ขาขวาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ไม่ใช่เพื่อหนี แต่เพื่อตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้

     


     

    ดวงตาของจงอินวาววับขณะมองท่าทางพร้อมรบของผม “ฉันชอบเหยื่อที่ขัดขืน” พูดพลางก้าวเข้ามาอย่างคุกคาม ผมมองเขาตาไม่กระพริบ ระแวดระวัง และไม่มีทางยอมให้เขาได้ใช้เซรุ่มนรกแตกนั่นกับผมเป็นอันขาด

     


     

    “หรือเราจะแบ่งกันดีนะ? นายรักฉัน ฉันรักนาย”

     


     

    ผมมองรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ของจงอิน พลันขนอ่อนก็ลุกซู่ เขาเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ มือยังคงควงเข็มฉีดยาทั้งสองอย่างชำนาญ ...ผมควรทำยังไงดี? ไอ้บ้าพลังนี่มีจุดอ่อนตรงไหนบ้างนะ?

     


     

    ทว่าสนามประลองที่แท้จริง ไม่มีเวลาให้ประเมินคู่ต่อสู้ยาวนานซักเท่าไหร่

     


     

    จงอินเข้าประชิดตัวผมด้วยความรวดเร็ว ผมเอี้ยวตัวหลบปลายเข็มแหลมแต่เขาก็อาศัยจังหวะนั้นล็อคคอผมไว้จากทางด้านหลัง ผมรีบง้างแขนแกร่งไว้เพื่อไม่ให้เข็มฉีดยาแทงลงมา หัวใจเต้นถี่ เหงื่อชุ่มฝ่ามือ รู้สึกได้ถึงเลือดในกายที่ไหลพุ่งพล่าน

     


     

    “จะไม่ลองรู้จักฉันในตอนที่มีความรักดูหน่อยหรอ สาบานได้ว่านายจะติดใจ”

     


     

    ผมดันแขนแข็งแรงด้วยมือที่สั่นจากการเกร็ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเหยียบเท้าเขาอย่างแรง กระทั่งจงอินยอมปล่อยตัวผมไปในที่สุด

     


     

    “เก็บไว้ใช้กับซุปเต้าหู้เถอะไอ้ปลาตากแห้งเอ๊ย!” ผมปากดีใส่ ดูเหมือนเขาจะเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย

     


     

    เอาเลย เข้ามาเลย...



     

    ผมปล่อยหมัดแรกเต็มกำลัง รู้สึกลำพองใจเพราะมันโดนเต็มๆที่โหนกแก้มของคู่ต่อสู้  จงอินปาดโลหิตที่ซิบออกมาเล็กน้อย ปรากฏริ้วรอยความขุ่นมัวชัดเจนในดวงตาคู่คม

     


     

    แต่ถ้ายอมง่ายๆก็คงไม่ใช่ผม

     


     

    ผมกระโดดหลบตอนที่เขาเหวี่ยงกำปั้นหวังจะซัดเข้ากลางจมูก เขาอาจได้เปรียบด้วยพละกำลัง แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองก็ว่องไวไม่ใช่น้อย

     


     

    “แบคฮยอน!!” จงอินคำรามเมื่อหมัดหนักๆของเขาไม่โดนตัวผมซักที ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าการฝึกฝนช่วยให้ผมคล่องขึ้นขนาดนี้

     


     

    ผมกระโดดไปมาเพื่อไม่ให้เป็นเป้านิ่ง ซึ่งการทำแบบนั้นคงจะยั่วโทสะเขาไม่ใช่เล่น ดูจากเส้นเลือดที่กรามก็รู้ว่าเขากัดฟันแค้นน่าดู


     

     

    ผมแลบลิ้นใส่อย่างล้อเลียน แต่ดูเหมือนผมจะประมาทคิมจงอินมากไปหน่อย ไอ้ปลาตากแห้งดันคว้าหมวกฮู้ดผมได้ เหอะ...นี่คือเหตุผลว่าทำไมชุดของซุปเปอร์ฮีโร่ถึงได้กระชับสัดส่วนและไม่เทอะทะ

     


     

    มือใหญ่ลากคอผมด้วยชิ้นส่วนของเสื้อผ้าที่เขาจับไว้ได้ จับผมหมุนตัวให้หันหน้าไปเผชิญ จากนั้นก็คลุมหัวผมด้วยฮู้ดจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ไม่เห็นแม้กระทั่งผิวหน้าสีเข้มของเขา

     


     

    “ปล่อยนะเว้ย!” ผมดิ้นขัดขืน จงอินซัดหมัดเข้ามาในขณะที่ผมเหมือนตาบอดสนิท

     


     

    รู้สึกเห็นดาวนับร้อยดวง กำปั้นของเขาหนักเหมือนตุ้มเหล็ก แหลมคม เฉียบขาด

    ...และซัดไม่ยั้ง


     

     

    กลิ่นคาวเลือดตลบไปหมด ผมยกมือขึ้นบังหน้าแต่ก็ยังเจ็บเหมือนสัมผัสโดยตรง เขาปล่อยหมัดเข้ามาต่อเนื่อง จนกระทั่งผมเริ่มลืมตาไม่ขึ้น เขาจึงหยุดการกระทำ

     


     

    ผมร่วงลงสู่พื้นทันที กลิ่นน้ำมันเครื่องหายไปเสียสนิท มีแต่กลิ่นเลือดและก็เลือดเท่านั้น ผมควานมือดึงฮู้ดออก เงยหน้าขึ้นมอง... เห็นคิมจงอินยืนควงเข็มฉีดยาอยู่เหนือหัว เขายิ้มแสยะ ดวงตาเหมือนเหยี่ยว เหมือนราชสีห์ เหมือนอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่คน แน่นอนว่าเหมือนปลาเค็มตากแห้งด้วย

     


     

    ผมจ้องหน้าเขาตอบ ซ่อนความกลัวเอาไว้ในใจพร้อมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เข็มเวรนั่นปักเข้ามาเป็นอันขาด เพราะแค่หวั่นไหวกับคนเดียว บยอนแบคฮยอนแม่งก็ชิบหายจนต้องร้องขอชีวิตแล้ว

     


     

    ผมไม่ต้องการรักใครเพิ่มอีก

     


     

     

    มือขวาปาดเลือดที่ไหลย้อมหัวคิ้ว อีกมือยันตัวลุกขึ้น ซึ่งจงอินก็ยอมก้าวถอยหลังเพื่อเปิดช่องทางให้ผมลุกขึ้นใหม่ เลือดเพชรฆาตรเขาคงตื่นเต็มที่ สนุกน่าดูกับการดวลฝีมือในครั้งนี้

     


     

    เขายิ้มอย่างนึกสนุก ในขณะที่ผมโซเซ แค่ยืนก็หน้ามืด หัวหมุนติ้ว ทรงตัวได้ไม่เท่าไหร่ผมก็เอนล้มไปทางเขา ซึ่งจงอินก็ผลักผมออกทันที

     


     

    ตึง!!

    เสียงตอนร่างล้มกระแทกพื้นดังก้องในความรู้สึก

     


     

    ร่างสูงตามมาคร่อมทับอย่างรวดเร็ว ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายต่อสู้กับเข็มที่จ่ออยู่ตรงหน้า แต่เขาก็รวบทั้งสองมือตรึงเหนือร่าง เข็มเล่มนั้นปักแทงเข้าตรงแผลเก่าที่ก่อนหน้าโดนวิตามินทะลวงเข้าไป

     


     

    ผมตัวชา

    เขายิ้มกริ่ม นิ้วโป้งกดสลิงค์ช้าๆ


     

     

     


     

    ตู้ม!!

     

     

    โชคดีที่มีบางอย่างมาพรากความสนใจของจงอินไปจากผมโดยสิ้นเชิง บางอย่างที่พุ่งชนกลางลำยานพาหนะของเรา สร้างความเสียหายเป็นหลุมขนาดใหญ่ แรงดันภายนอกซัดเข้ามาเกิดเป็นพายุที่ดูดทุกสิ่งออกนอกตัวเครื่อง แว่วเสียงตะโกนเรียกรวมของหัวหน้าทีมดังขึ้นที่ชั้นสอง

     

     

    รถบินได้ลำนี้กำลังดิ่งพสุธาสู่พื้นโลกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมได้แต่นอนเหมือนคนใกล้ตายอยู่ในห้องเครื่อง

     

     

    จงอินรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งผมเอาไว้กับเลือดกำเดาที่ไหลคลั่งจมูกและเซรุ่มเฮงซวยที่ซึมเข้าไปในกระแสเลือดกว่าครึ่งเข็ม

     

     

    ผมพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่การเคลื่อนไหวก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ผมถกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดจมูกแรงๆเพื่อลบรอยเลือดมหาศาลที่คาอยู่เต็มรูจมูก และผมก็เริ่มได้กลิ่นไหม้ ตาพร่าๆมองเห็นร่องรอยความเสียหายขนาดใหญ่ที่ปีกของยานพาหนะ หูได้ยินเสียงลมที่ดูดทุกอย่างออกจากภายในไปสู่ภายนอก

     

     

    เรื่องแม่งเหี้ยตรงที่ผมกำลังเป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกดูดออกไป

     

     

    “พระเจ้า...” ผมอดจะอุทานไม่ได้

     

     

     

    ตู้ม!!


     

    เกิดการจู่โจมขึ้นซ้ำอีกครั้ง เหตุการณ์เหมือนกับว่ามีใครซักคนยิงจรวดมิสไซล์มาที่รถบินของเรา อาจจะเป็นศัตรู หรือบางทีก็เป็นพวกทหารอากาศที่คิดว่ามีผู้บุกรุกน่านฟ้าระหว่างประเทศ

     


     

    ผมไม่รู้...เอาจริงๆคือไม่รู้ส้นตีนอะไรซักอย่าง

    รู้อย่างเดียวคือชีวิตผมแม่งชิบหายมาก มากจริง มากแบบ เออก็ชิบหายนั่นแหละ

     


     

    ผมนอนหมอบและใช้มือยึดเหนี่ยวน็อตตัวใหญ่บนพื้นเอาไว้ ตามองเห็นเซฮุนโดดร่มลงไปตรงหลุมขนาดใหญ่ที่ปีกเครื่อง ...พวกเขากำลังโดดร่มชูชีพลงไป ในขณะที่ผมได้แต่นอนรอความตายอยู่ในห้องควบคุมเครื่องยนต์

     

    ยุติธรรมสัดๆ



     

     

    มือเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆ สั่นจนอีกนิดเดียวก็จะหลุดออกจากที่พึ่งสุดท้ายอย่างน็อตโลหะขนาดเท่ากำปั้น แรงลมมหาศาลดูดดึงจนผมเริ่มจะปลง... แต่ไม่หรอก ผมไม่ปลงหรอก ผมไม่เคยปลงหรือยอมแพ้ให้กับอะไรทั้งสิ้น เพราะผมยังคงฝันถึงพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเสมอ


     

    พรุ่งนี้รอผมอยู่ ฉะนั้นผมต้องมีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงวันถัดไป

     

     

     

    “แบคฮยอน!!!


     

    เสียงดุดันที่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัว ผมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพบกับฝ่ามือใหญ่เป็นอันดับแรก

     


     

    มันคงเป็นเพราะฤทธิ์เซรุ่มความรักนั่นแน่ๆ ผมถึงได้รู้สึกตื้นตันใจและขอบคุณการปรากฏตัวของปาร์คชานยอลได้มากมายขนาดนี้

     

     

    เขารวบมือผมไว้ กระชับแน่น ก่อนจะพาดิ่งพสุธาไปด้วยกัน

     


     

    กลางอากาศ เขาปลดชูชีพขึ้นฟ้า ใบหน้าเคร่งขรึมไม่ไหวติงกับอะไรทั้งนั้น ในขณะที่ผมกอดเขาแน่น ซบใบหน้าอาบเลือดลงกับซอกคอของเขา มีความสุขที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเทวดาที่กำลังประทับลงสู่พื้นโลก

     

     

    เป็นเพราะอำนาจของเซรุ่ม ...แน่นอน...มันต้องเป็นเพราะพลังของความรักจำลองแน่ๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกลุ่มหลง ใจเต้น อบอุ่น แต่ไร้ความรู้สึกในเรื่องอย่างว่า

     

     

    แสดงว่าที่จริงแล้วเซรุ่มตัวนี้ไม่ได้ไปกระตุ้นความต้องการทางเพศหรอก แต่มันขึ้นอยู่กับผู้ใช้ต่างหาก ความรักของชานยอลอาจจะเป็นการมีเซ็กซ์และปรนเปรอคู่รักสลับกับเอาแต่ใจ ทว่าสำหรับผม... ตอนนี้ก็แค่อุ่นอวลดวงใจที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของคนที่ผมเกิดพันธะแห่งรักด้วย

     

     

    ผมเช็ดเลือดด้วยแขนเสื้ออีกครั้ง ก่อนจะโอบใบหน้าของปาร์คชานยอลลงมา เขาดูแปลกใจ แต่ก็แสดงออกเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จนใบหน้าเข้มๆนั้นดูดุดันขึ้นไปอีก

     

     

    แต่ผมก็หน้ามืดตามัว ผมยิ้มให้เขา ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปประทับจูบบนริมฝีปากอิ่ม ชานยอลช่างแข็งแกร่งเหมือนหินผา เขาไม่โอนอ่อนผ่อนตามผมเลยซักนิด แต่ก็ยังดีที่เขาอยู่เฉยๆ ไม่หักหาญน้ำใจผมโดยการหดคอกลับไป

     

     

    ผมจูบแค่เพียงภายนอก ผละออกแล้วจ้องหน้าเขาด้วยเสน่หาที่เปี่ยมล้น ...ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว แต่ความรักกลับชักจูงให้หัวใจผมดำเนินไปอย่างช้าๆ ตกหลุมรัก วาบหวิว เบาๆลอยๆ อยากจะกอดเกี่ยวเขาไปตลอดทั้งวัน

     

     

    ชานยอลพาผมทะยานลงสู่พื้นอย่างนิ่มนวล ร่มชูชีพห่อคลุมเราไว้ราวกับฉากโรแมนติก

     

     

    “ชานยอลอ่า...รักคุณที่สุดเลย”


     

    “หึ” เขาแค่นหัวเราะ มือใหญ่ปล่อยผมลงกับพื้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และทำท่าจะเดินจากไป


     

    ผมรีบยืดตัวไปเกาะขาเขาเอาไว้ ทั้งที่ตัวเองยังนั่งอยู่กับพื้น “ชานยอลอ่า...”

     

     

    เจ้าของชื่อไม่ขานรับ แต่กลับใช้ขาอีกข้างยันผมออก พอผมยื่นมือจะไปเกาะเขาอีกครั้ง ชานยอลก็ใช้ปลายเท้าบี้มันจนแสบชาไปหมด

     

     

    ผมมองมือที่อยู่ใต้ฝ้าเท่าเขาด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้งมากมายในตัวเอง ผมเจ็บปวด เสียใจ แต่ก็ต้องรักเขา ต้องรัก ต้องรักไปจนกว่าจะครบกำหนดเวลาทำงานของเซรุ่ม ซึ่งอาจจะน้อยกว่าปกติ เพราะผมรับตัวยาไปไม่เต็มโด้ส

     

     

    ผมเงยหน้ามองเขาด้วยลูกแก้วนัยน์ตาที่สั่นพร่าหวั่นไหว “ถ้าเกลียดกันนัก แล้วเมื่อกี้จะช่วยไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ตายไปเลยละ”


     

    ให้ตาย....ผมตัดพ้อบ้าบออะไรเนี่ย

     

     

    ชานยอลเสยผมที่ปรกหน้าผากพร้อมถอนหายใจรุนแรง ดวงตาเย็นชาเหมือนน้ำแข็งขั้วโลกไม่มีผิด  “เพราะนายยังมีประโยชน์อยู่”


     

    “แค่นั้นหรอ”


     

    “ใช่...แค่นั้น”


     

    ผมน้ำตาร่วงเผาะ ทั้งยังข่มก้อนสะอื้นไม่ไหว


     

    “ฮืออ...ใจร้าย ชานยอล ฮือออ ใจร้าย”


     

    เจ้าของชื่อระเบิดเสียงหัวเราะราวกับสะใจเสียเต็มประดา “นายพลาดแล้วแบคฮยอน”


     

    “ฮืออ”


     

    “ความรักทำให้นายอ่อนแอ ...ต้องขอบคุณจงอินที่ทำให้ฉันรู้จุดอ่อนนายเพิ่มขึ้นมาอีกข้อ” ชานยอลพูดพร้อมขยี้ปลายเท้าลงกับหลังมือของผมอีกครั้ง บดเบียดมันจนจมดิน

     


     

    ราวกับว่านั่นไม่ใช่มือ...

    หัวใจต่างหาก ที่เขาเหยียบย่ำอยู่ มันคือหัวใจของผม

     

     

     

     

     

     

     

    50%

     



     

     

     

    ผมบ้ารักอยู่เกือบชั่วโมง อาการก็เริ่มส่างซา

     

     

    รู้ได้ยังไงว่ามันซาลงน่ะหรอ? ก็...หัวใจจะเริ่มเต้นในอัตราปกติ กลไกต่างๆของร่างกายเริ่มคงที่ ราวกับว่าฮอร์โมนไม่ได้หลั่งสิ้นเปลืองเช่นก่อนหน้าแล้ว จากนั้นอาการข้างจะต้นค่อยๆทุเลาลง จนกระทั่งหายขาดในที่สุด กระนั้นผมก็ยังรู้สึกได้ถึงตะกอนบางอย่างที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจ

     


     

    ตะกอนเหล่านั้นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง มันคือความผูกพันในระยะแรกเริ่ม ถึงไม่อยากจะยอมรับ แต่ผมก็จำต้องสารภาพตามตรง ว่าลึกๆแล้วปาร์คชานยอลมีอิทธิพลกับผม

     


     

    เขามีอำนาจต่อหัวใจผมในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

     


     

    ผมยันตัวลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินไปหาผู้ชายมือหนัก(ตีนก็หนักสัดๆ)คนนั้น ชานยอลง่วนกับเครื่องมือสื่อสารของตัวเองมาซักพักแล้ว โดยระหว่างนั้นก็บังคับให้ผมนั่งอยู่เฉยๆแต่ต้องห่างจากเขาเป็นระยะห้าเมตรขึ้นไป ถ้าเข้าไปใกล้กว่านั้นก็จะถูกโยนออกมา เตะบ้าง ต่อยบ้าง แล้วแต่เขาจะพิจารณา

     


     

    ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาพูดทุกประการ เซรุ่มทำให้เรารัก แต่ไม่ริดรอนความทรงจำของเรา ผมยังคงจำได้ทุกเหตุการณ์ ...จำได้ดีว่าตัวเองน่าสมเพชแค่ไหน  ผมทั้งร้องไห้งอแงขอให้เขากอด ปาดน้ำตานั่งสะอื้นเสียงดัง แล้วก็แอบมองเขาอย่างน้อยใจ เบะปากเหมือนพวกเด็กๆไม่มีผิด ในขณะที่เขาผลักไสผมด้วยคำพูดและการกระทำที่โหดร้ายต่อจิตใจ


     

     

    แม่ง...คิดแล้วก็โคตรอาย

     

     

     


     

    “อะแฮ่ม” ผมกระแอมไอเรียกความสนใจจากเขา คือเป็นการแกล้งไอที่ดังที่สุดในชีวิตอะครับ เพราะเราอยู่ห่างกันตั้งห้าเมตร

     

     

    ปาร์คชานยอลเหล่มองผมด้วยหางตา พอประเมินได้ว่าผมหายจากฤทธิ์ยาแล้วร่างสูงก็อนุญาตให้เดินเข้าไปใกล้ได้

     


     

    “หิว” ผมบอกไปตามตรง การร้องไห้มันใช้พลังงานมากนะคุณ แถมผมยังผ่านศึกเรื่องอย่างว่ากับเขามาหนักมากด้วย บอกเลยว่าหิวจนจะจับควายกินได้อยู่ละ

     


     

    ชานยอลพ่นลมหายใจเหมือนว่าสมเพช เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเริ่มออกเดิน และผมก็ทำได้แค่เดินตามหลังเขาต้อยๆ

     


     

    “เรากำลังจะไปที่ไหนกันหรอ? แล้วที่นี่ที่ไหน แล้วทำไมรถบินของเราถึงถูกจู่โจม” ผมชะโงกหน้าไปถามชานยอลด้วยความใคร่รู้ ตอนนี้ผมสับสนไปหมด ที่สำคัญคือผมหิวมากๆ ผมก็แค่อยากได้รับการการันตีว่าผมจะได้กินอาหารเมื่อไหร่

     

     

    ปาร์คชานยอลยังคงเดินจ้ำไม่ลืมหูลืมตา เขาจ่อเครื่องมือสื่อสารไปกลางอากาศ ทำเหมือนกำลังหาสัญญาณโทรศัพท์อยู่

     


     

    “นี่ตอบหน่อยสิ ผมหิวนะ”


     

    “...”


     

    “นี่คุณ”

     


     

    พอโดนรบเร้าหนักเข้า ปาร์คชานยอลก็หยุดฝีเท้า ก่อนจะหันมาจ้องหน้าผมนิ่ง ผมที่มีบทเรียนมาหลายดอกจึงรีบยกสองแขนขึ้นบังหน้าเอาไว้ทันที เผื่อเขาเหวี่ยงหมัดมาหน้าหล่อๆของผมจะได้ไม่เสียโฉม


     

    “อดทนหน่อยแล้วกัน”


     

    ผมกระพริบตาปริบๆ...


     

    “เดินไหวใช่ไหม?”



     

    ผมพยักหน้าแทนคำตอบ...

     

     

    เฮ้ยยประหลาด! ไอ้หูบินนั่นพูดดีเฉยเลยอ่ะ...ปาร์คชานยอลแม่งเจ้าพ่อแห่งการเปลี่ยนบุคลิกชัดๆ!!

     

     

     

    ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวกลับไปเดินต่อ จ้ำเอาๆจนผมซอยเท้าวิ่งตามแทบไม่ทัน

     

     

     

    “แล้วคนอื่นๆละ?” ผมตะเบ็งเสียงถามอีกครั้ง ขาก็วิ่งตามไปด้วย

     

     

    ชานยอลยังคงไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น กระทั่งเราเดินมาถึงแหล่งน้ำที่เป็นลำธารเล็กๆ ผมเริ่มนิ่งและสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างจริงจัง

     

     

    ที่นี่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสั้นเตียนสลับกับเนินทราย อุณหภูมิกำลังพอดีแต่ติดที่อากาศแห้งไปหน่อย แล้วก็ อืออออ จากที่เห็นต้นไม้ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ละต้นเป็นต้นที่มีขนาดไม่สูงมาก แต่เป็นสายพันธุ์อะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะต้นสนมั้ง

     

     

    เอาเป็นว่าต้นไม้ทุกชนิดก็คือต้นไม้ จะพันธุ์อะไรก็ชั่ง มันเหล่านั้นล้วนเป็น ต้น-ไม้

     

     

    เห็นชานยอลทรุดเข่าลงและวิดน้ำขึ้นมากินผมก็เลยทำตามบ้าง ผมย่อตัวลงนั่งถัดไปจากเขาก่อนจะจุ่มทั้งหัวลงไปในลำธารใสแจ๋ว

     

     

     

    อ่าาส์...ค่อยยังชั่ว


     

    ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย ว่าแล้วผมก็วาดสองมือลูบหน้าแรงๆเพื่อชำระคราบเลือดมากมายที่เกาะกรังทั่วใบหน้า ซักพักผมก็เริ่มสูบน้ำเข้าลำคอแก้กระหาย

     


     

    กระทั่งอ๊อกซิเจนหมดปอด ผมจึงโผล่หน้าขึ้นมา เพื่อเห็นเต็มๆสองตาว่า... ชานยอลกำลังล้างรองเท้าของเขาอยู่

     


     

    ไอ้เวรเอ๊ย!! แล้วแม่งเสือกนั่งต้นน้ำด้วยนะ แล้วกูกินน้ำเข้าไปแล้วด้วยเนี่ย!!’


     

    โอ๊ยย ชีวิตจะแย่ไหน!

     

     

    ผมสะบัดตัวลุกขึ้นอย่างหมดอารมณ์ ก่อนละปลีกไปนั่งหลบแดดใต้ต้นไม้  ชานยอลทำความสะอาดเครื่องแต่งกายของเขาอยู่ซักพักก็เดินตามมา

     

     

    “ที่นี่น่าจะเป็นมองโกเลีย” เขาบอก และยืนค้ำหัว


     

    ผมเขยิบตัวเพื่อแบ่งที่นั่งให้กับเขา แต่ชานยอลก็ยังคงยืนกรานจะยืนค้ำหัวผมอย่างเดิม


     

    “ไม่มีสัญญาณสื่อสารอะไรซักอย่าง” เขาพูดเหมือนบ่น สุดท้ายก็ยอมนั่งลงข้างผม อาจเพราะเริ่มเพลียกับแสงแดด


     

    “มองโกเลียที่มีแต่ทะเลทรายใช่ปะ” ผมถามตามที่เคยเรียนมาตอนประถม จำได้ลางๆว่าเป็นแบบนั้น มีทราย มีอูฐ


     

    “เหวออ!! แล้วจะมีโจรปะ!!” ผมแหกปากเมื่อนึกขึ้นได้ โจรทะเลทรายที่ฆ่าข่มขืนอะไรทำนองนั้น

     


     

    แต่แล้วผมก็สบตากับชานยอล ...โอเคซึ้ง...อะไรในโลกก็น่ากลัวไม่เท่าเขาคนนี้อีกแล้ว

     

     

    ผมเขยิบตัวออกห่างเมื่อเราเริ่มสัมผัสกัน แต่ชานยอลก็รั้งเอวผมไว้ เขาทำหน้าตายขณะพูด “เราจะหาคนในทีมให้เจอ ซ่อมยานและเดินทางต่อไปที่จีน ยังไงภารกิจก็ล้มเลิกไม่ได้”

     

     

    “คุณไม่คิดบ้างหรอว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนจากพระเจ้าก็ได้ พระองค์ไม่เห็นด้วยที่คุณทำแบบนี้”

     

     

    ชานยอลดึงให้ผมเข้าไปนอนซ้อนอกแกร่งของเขา ผมพยายามฝืนตัว แต่อำนาจของเขาได้กลายเป็นกฏตายตัวสำหรับผมไปแล้ว  แผ่นหลังที่แนบกับแผ่นอกทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจที่แปลกไปของปาร์คชานยอล

     

     

    บางทีผมอาจคิดไปเอง หรือบางที...เขาก็แค่อาจจะตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

     

     

    “พระเจ้าคืออะไร?” เขากระซิบถาม มือใหญ่เริ่มยุ่มย่ามกับผมอย่างที่เขาชอบทำมัน(นับครั้งไม่ถ้วน) ต่างกันไปก็แค่ตอนนี้ไม่มีเซรุ่มมาเอี่ยวด้วย บางทีเขาคงเคยชินกับการได้ระบายอารมณ์กับสัตว์กินหญ้าอย่างผม


     

    ผมเป็นกระต่ายล่ะ คิ้วท์ซะไม่มี

     

     

     

    “สาบานจริงๆว่าคุณไม่รู้?” ผมย้อนถาม


     

    “รู้ และไม่รู้”


     

    “...” ไอ้บ้านี่ประสาทกลับแหง


     

    “ฉันรู้ในมุมของฉัน ก็แค่อยากลองรู้ในมุมของนายดูบ้าง” มือของชานยอลลากไล้พริ้วไหวเหมือนสายลม และบางครั้งมันก็เป็นพายุ ยิ่งกับจุดที่ผมอ่อนไหว สายลมนั่นดูจะมีอิทธิพลเป็นพิเศษ

     

     

    จนแล้วจนรอดร่างของผมก็หมุนมุมไปนั่งเผชิญหน้ากับเขา สะโพกทับหน้าขา ดวงตาสบกัน ผมเองก็เป็นเช่นเขา ทั้งรู้และไม่รู้

     

     

    “พระเจ้าคือศูนย์รวมศรัทธา”


     

    “ศรัทธาคืออะไร?”


     

    “คือพลังชนิดหนึ่ง เป็นพลังจากความเชื่อมั่นอย่างหมดหัวใจ” ผมพูดได้แค่นั้น ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีก การเคลื่อนไหวของชานยอลห่อล้อมผมเอาไว้ เขาทำให้ผมสับสน


     

    ผมรู้ว่าความรักคืออะไร แต่เขาทำให้มันสั่นคลอนอีกครั้ง

     

     

    เซ็กส์ของเขาทำให้ผมกลายเป็นเด็กไร้เดียงสา ที่ไม่แน่ว่าจะรู้จักความรักดีหรือไม่

     

     

    ในโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้ ...บางทีนี่อาจเป็นเพียงความต้องการตามสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ของมนุษย์ก็เป็นได้  

     

     

    แบบไหนถึงจะเรียกว่ารัก? ในเมื่อเขาทำกับผมมาถึงขั้นนี้ แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ความรัก

     

     

     

     

     

     


     

     

    หลังจากเสร็จสิ้นวงจรความปรารถนาของชานยอล ความอ่อนเพลียทำให้ผมคล้อยหลับ เขาเองก็ผ่อนลมหายใจอ่อนแรงเป็นสัญญาณว่าต้องการการพักผ่อนเช่นกัน


     

     

    ผมเป็นฝ่ายวาดแขนไปกอดเอวสอบของเขา ชานยอลมีไออุ่นเฉพาะตัว แถมยังมีกลิ่นวานิลลาผสมดอกไม้ฤดูหนาวจากบุหรี่ไฟฟ้าที่เขาเสพ  เขาปัดมือผมออก  ก่อนที่เราจะต่างคนต่างนอน ภายใต้ร่มไม้ที่แผ่คลุมเงาของพวกเราไว้อย่างอ่อนโยน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ตื่นมาอีกที ทุกอย่างก็พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า

     


     

    “ย๊า!!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!” ผมร้องอย่างงุนงงปนหงุดหงิด เมื่อรู้ว่าตัวเองติดอยู่ในร่างแหที่เหนียวแน่น แถมยังอัดอยู่ในห่วงเดียวกับคนตัวใหญ่อย่างปาร์คชานยอล

     


     

    รายนั้นทั้งคำราม ทั้งออกเข่าออกหมัดมั่วไปหมด ซึ่งมันก็จะโดนใครละครับถ้าไม่ใช่ผม

     

     

    “อยู่นิ่งๆซี่!!” ผมตะโกนบอกเขา แต่ชานยอลก็ยังแผลงฤทธิ์ไม่เลิก

     

     

    ความชุลมุนทำให้ทุกอย่างดูแย่ไปหมด ผมพยายามมองลอดออกไปนอกตาข่ายที่คลุมพวกเราเอาไว้ เห็นเงาตะคุ่มของคนนับสิบล้อมพวกเราอยู่

     

     

    อะไรกันอีกล่ะเนี่ย?!...

     

     

    “ชู่ว...” ผมทำสัญญาณหวังว่าชานยอลจะเลิกงุ่นง่านและตั้งสติซักที ซึ่งเขาก็มีเซ้นส์พอ ร่างสูงสงบลงก่อนจะเริ่มประเมินสถานการณ์

     

     

    ชานยอลใช้เล็บที่แข็งแรงและมือที่ทรงพลังฉีกตาข่ายจนขาดวิ่นในที่สุด เขาโผล่ไปสูดอากาศเป็นคนแรก ก่อนจะตามด้วยผม

     

     

    มีคนแปลกๆล้อมพวกเราเอาไว้ตามที่คาด คุณอย่าได้จินตนาการถึงคนป่าไร้อารยธรรมที่นุ่งน้อยห่มน้อยถือไม้ง่ามเป็นอาวุธ หยุดเลย นี่มันยุค 3014 แล้ว

     

     
     

    ปืนนับสิบกระบอกเล็งมาที่ผมกับชานยอล พวกเขาล้วนอยู่ในชุดหนังรัดรูปสีน้ำตาล เราสองคนหันหลังติดกันโดยอัตนมัติ เป็นการระวังภัยรอบด้าน และเขาก็เริ่มหมุนมุมเรื่อยๆ


     

     

    ใจจริงผมอยากคุยกับคนพวกนั้นแบบสันติ อย่างน้อยเราก็น่าจะเจรจากันได้ แต่เดาว่าชานยอลคงไม่ได้คิดแบบผม

     


     

    ผั๊วะ!!


     

    เขาตวัดปลายเท้าเตะข้อมือของฝ่ายตรงข้ามทำให้อาวุธในมือหลุดกระเด็นไป และนั่นก็เป็นการเปิดฉากการต่อสู้โดยสมบูรณ์แบบ

     

     

    การฝึกฝนได้ใช้งานก็ตอนนี้ ผมหลบหมัดและลูกเตะได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การโจมตีเป็นสิ่งที่ผมยังไม่ถนัดซักเท่าไหร่ หมัดของผมยังไม่เฉียบขาดพอ แต่ผมหลบโคตรเก่งอะไม่อยากจะอวดเลยจริงๆ

     

     

    ผลั่ก!!

     

     

    อืออ ไม่น่าอวดเลยจริงๆ โดนซัดเต็มหน้าเลยเนี่ยแม่ว้อยยย งานเจ็บตัวแม่งลงที่ผมตลอด

     

     

    แล้วพอโดนหมัดแรกแล้วร่างก็เซเลยครับ จากนั้นใครซัดมาผมก็หลบไม่ค่อยได้แล้ว  สุดท้ายผมก็ร่วงไปกองกับพื้น ผมรีบยกมือเป็นการยอมแพ้เพราะไม่อยากกินยำตีนอีก ยังไงซะคนพวกนี้ก็มีมากกว่าแถมมีอาวุธครบมือ สู้กันไปผมก็เป็นมวยรองบ่อนอยู่ดี

     

     

    ทว่าชานยอลยังคงสู้อยู่  ผมมองเห็นเขาผ่านขาของคนมากมายที่ยืนบังจนแทบมิด แน่นอนว่าเห็นได้ไม่ถนัด มันเลือนลางว่าเขาได้ต่อสู้อยู่กลางวงล้อม เขาเป็นนักสู้ที่เก่งกาจ รวดเร็วและหนักหน่วง เหมือนหุ่นยนต์ที่มีครบทุกฟังก์ชั่น

     


     

    เขาสมบูรณ์แบบ ในแบบที่เขาจะสมบูรณ์ได้


     

     

    แต่ในท้ายที่สุด กระสุนปืนก็มอบความพ่ายแพ้ให้แก่เขา ชานยอลจำต้องทรุดลงนั่ง เข่าของเขากระแทกกับพื้นอย่างแรงจนผมรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน

     

     

     


     

    จากนั้นเราก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยการมัดรวมกันและลากถูไปกับทะเลทราย



     

    แดดร้อนระอุพาอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นเรื่อย แสงอาทิตย์ทำให้ผมตาพร่า ในขณะที่หูได้ยินเสียงร้องซี้ดเบาๆของชานยอลดังไปตลอดทาง ยามที่เม็ดทรายขูดปากแผลของเขา

     

     

    ผมคิดถึงเซ็กซ์ใต้ต้นไม้ของเรา ....และยังคงสับสบอยู่ดีว่าความรักคืออะไร

      

     

     

     

     

     

     

      

     

     

    100%

     

    TALK

     

    ใดใดในโลกล้วน เจ็บจัง

    หลายวันแล้วยัง เจ็บได้

    ไม่เป็นไรความด้านยัง สถิตอยู่

    ดับมโนกูได้หรอ ฝันเถอะ

     

    5555555555555555555

    เอ้ออก็เจ็บ ก็สู้ ก็รัก

    ก็พันยามแล้วนี่สุดความสามารถ ไอบีลีฟไอแคนฟาย

    เลิฟยูออล

     

     

    #fic3014

     








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×