Every time fly
But i'll stay
' ผ ม จ ะ อ ยู่ ต ร ง นี้ ตลอดไป ... จ น ก ว่ า โ ล ก ใ บ นี้ จ ะ แ ต ก ส ล า ย '
ผมเหยียดแขนจนสุดตัว เมื่อพลิกตัวก็เห็นว่านาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงบอกเวลาเช้าตรู่ ผมหันมองข้างตัว... ที่นอนว่างเปล่า เธอไม่ได้นอนอยู่ข้างผมแล้ว เมื่อเลื่อนมือสำผัสตรงพื้นที่ว่างข้างกาย มันไม่ได้อบอุ่นและบ่งบอกว่าเธอได้ลุกออกไปจากเตียงเป็นเวลานาน ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ของผมพลางนอนสัมผัสปลายนิ้วลงบนจออย่างขี้เกียจ บางครั้งผมต้องหรี่ตาลงจากแสงที่ลอดทะลุม่านขาวบางตา
หน้าต่างห้องถูกแง้มอ้า ลมเย็นโชยกระทบม่านเข้ามาในห้อง ระคนกลิ่นสนและดินชื้น เมื่อเธอตื่นเธอมักจะแง้มบานหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทอยู่เสมอ
" ที่รัก ตื่นได้แล้ว "
เธอเรียก
ผมอมยิ้มเล็กๆ เสียงของเธอไพเราะชวนฟัง ทุกครั้งที่ได้ยินผมมักจะอมยิ้ม แต่ก็มีบางครั้งที่ผมไม่ชอบเสียงของเธอ อย่างเช่นเวลาที่เธอร้องไห้ เวลาเธอโกรธ หรือเวลาที่เธอบ่นอะไรยาวๆนั่นแหละ
" วันนี้อยากกินอะไรดี... แซนวิชได้ไหม ผมขี้เกียจจัง "
ผมพูดพลางซุกหน้าลงกับหมอนด้วยความคล้าน เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่นั่นแปลว่าเธอโอเคกับแซนวิช เธอไม่ค่อยจะเลือกกินสักเท่าไร ยิ่งถ้าเป็นของที่ผมทำเองแล้ว เธอจะกินมันจนหมดเกลี้ยงเสมอ เว้นแต่ว่าระยะหลังมานี้เธอไม่ค่อยแตะอาหารของผม เธอกำลังป่วยและเริ่มมีอาการเบื่ออาหาร ปกติแล้วเธอจะกินโดยที่ไม่บ่น ถึงแม้ว่าบางครั้งผมแน่ใจว่า มันไม่อร่อยเลยก็ตาม เราสองคนมักจะผลัดกันทำอาหาร แต่เพราะช่วงนี้เธอป่วย ผมจึงต้องเป็นคนทำแทนเธอ
" ผมขอไปห้องน้ำก่อนนะที่รัก เดี๋ยวจะรีบลงไปทำอาหารเช้าให้คุณ "
ในขณะที่พูดพลางหาววอด ผมก็ดันตัวลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ หลังจากผมทำกิจวัตรยามเช้าของผมเสร็จ ก็ได้เวลาทำอาหารเช้าเสียที ในห้องครัวเงียบเหงาเสียเหลือเกิน บางครั้งผมได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังแว่วเข้ามาในบ้าน ผมยังคงถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือพลางเดินลงบันไดและอ่านข่าวเช้าของวันนี้ในหน้าโซเชียลไปด้วย ในแถบไกลความเจริญเช่นนี้ โชคยังดีที่อินเทอร์เน็ตมาถึง เราไม่ได้มีกิจกรรมหวือหวาเหมือนคนกรุง ดังนั้น...
บางครั้งผมก็รู้สึกว่า ผมออกจะติดโทรศัพท์มากเกินไปสักหน่อย
" เอ็ด วันนี้อากาศดีนะคะ ฉันอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นจัง "
เธอพูด
ผมแหงะหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่างห้องครัว ท้องฟ้าครึ้มนิดๆ ถึงแม้ว่าฝนจะยังไม่ตกแต่แดดก็ไม่แรงพอที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น ผมละสายตาออกจาบานหน้าต่างพลางส่ายหน้าเบาๆ
" ผมว่าอีกสักเดี๋ยวฝนตกแหงๆ คุณอย่าออกไปเลย ยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ เดี๋ยวผมจะพามันไปเอง "
ผมบอก
ไรลีย์เป็นสุนัขพันธ์ลาบาร์ดอร์ สีครีมค่อนข้างน้ำตาล มันอายุมากแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่ ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าขนที่หน้าของมันเริ่มจะหงอก นั่นหมายความว่ามันอยู่กับผมและเอเลน่ามานานมากเลยทีเดียว เอเลน่ารักมันมาก ผมก็รักมันมากเหมือนกัน
ผมเดินผ่านหน้าไรลีย์ไปยังเคาน์เตอร์ครัว มันนอนกระดิกหางฟาดพื้นดังปั้บอยู่ตรงบันใด
" รอเดี๋ยวนะไรลีย์ ขอกินมื้อเช้าก่อนเพื่อนยาก "
ผมบอกมัน
ในขณะที่ผมลงมือทำแซนวิช ก็พลางคิดเรื่องของเอเลน่าไปด้วย พักนี้เธอพูดน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก เราไม่ได้ทะเลาะกันหรืออะไรอย่างนั้น เราเพียงแค่คุยกันน้อยลง อันที่จริงเราไม่ทะเลาะกันเลยเป็นเวลานานมากแล้ว นานเท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้ ขณะที่ใช้มีดตัดขอบขนมปังก็เห็นเวลาที่อยู่บนนาฬิกาข้อมือบอกว่าเริ่มจะสายแล้ว ผมต้องเร่งมือเสียแล้วสิ่
สายของวันนี้ผมมีนัดกับคุณหมอปีเตอร์ และก่อนที่คุณหมอจะมา ผมต้องพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นเสียก่อน ข้างนอกฟ้าหม่นเล็กน้อย ถ้าหากต้องฝากให้เอเลน่าเป็นคนพาไปคงจะไม่ดีแน่
อันที่จริงผมก็ป่วยอยู่ เป็นโรคที่แปลกประหลาดและพยายามรักษามาเป็นเวลานานแล้วก็ยังไม่หาย เอเลน่าก็ป่วยเช่นกัน แต่เราป่วยต่างโรค เราสองคนเป็นเหมือบคู่สามีภรรยาขี้โรงคอย่างไรอย่างนั้น
" ที่รัก วันนี้หมอปีเตอร์จะมานะ กินมื้อเช้าเสร็จผมคงต้องพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นเลย "
ผมบอก
หลังจากนั้นผมเหน็บโทรศัพท์ไว้ที่ใต้คาง พลางโน้มตัวลงหยิบจานแซนวิชสองจานและถือไปยังโต๊ะอาหาร เมื่อก้มลงวางจานแล้ว ผมจึงหยิบโทรศัพท์วางเอาไว้บนโต๊ะ เสียงเก้าอี้ถูกลากในขณะเดียวกันผมหย่อนตัวลงนั่ง ผมรีบลงมือกินมื้อเช้าในทันที แทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเอเลน่าเลยด้วยซ้ำ
เธอนั่งเงียบๆไม่พูดไม่จา เราเป็นแบบนี้มาพักใหญ่ๆแล้ว เธอมักจะนั่งกินเงียบๆอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม แต่ก็มีบางครั้งที่เธอร้องเพลงขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบรอบตัวของเรา
ในขณะที่กลืนแซนวิชลงคอ ผมได้ยินเสีงกริ่งแว้วเข้ามา
" ให้ตายสิ่ "
เมื่อเอนตัวมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นหมอปีเตอร์กำลังยืนกดกริ่งอยู่ ผมยกข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง หมอปีเตอร์มาก่อนเวลามากเลยทีเดียว
" ผมนัดไว้สายกว่านี้นี่ เฮ่อ เดี๋ยวผมเปิดเองที่รัก "
ผมบอกพลางรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไรลีย์เงยหน้าขึ้นมองตามผม หางของมันสะบัดอย่างแรงจนก้นส่ายเลยทีเดียว มันอาจคิดว่าผมจะพามันไปเดินเล่นแล้ว
" ยังก่อนไรลีย์ ... เอเลน่า ดูไรลีย์ด้วยนะ "
ผมบอกเธอก่อนจะเดินออกจากบ้านไปยังประตูรั้ว ชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อโค้ทหนาเตอะสีเข้มและดูโบราญกว่ายุคสมัยปัจจุบัน ราวกับเป็นตาลุงแก่หลุดออกมาจากอดีตกำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่นอกรั้วบ้าน
" โอ้ เอ็ด ! ขอโทษทีที่มาเสียไว ผมมีปัญหากับโรเบิร์ทนิดหน่อยน่ะ คุณรู้ใช่ไหม "
คุณหมอปีเตอร์พูดทันทีที่ผมเปิดประตูรั้วให้กับเขา เขาถอดหมวกปีกกว้างออกเหน็บเอาไว้ใต้วงแขน ผมขาวของเขาเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะดูแก่ได้ถึงเพียงนี้
" เรากำลังกินมื้อเช้ากันอยู่เลย เชิญเข้ามาก่อนสิ่ครับ "
ผมบอก
ปีเตอร์เดินนำผมเข้าบ้าน เขามักเป็นกันเองกับผมเสมอๆ อาจเพราะเรารู้จักกันมานาน และปีเตอร์ก็เป็นหมอประจำตัวของผม บางครั้งผมเกือบคิดว่าเขาเป็นผู้ปกครองของผม
" โอ้! ไรลีย์ ว่ายังไงเจ้าหมาแก่ "
ปีเตอร์ร้องทักเมื่อเดินเข้าบ้าน ไรลีย์ลุกขึ้นจากพื้นตรงบันไดพลางเดินมาซุกหัวเข้ากับฝ่ามือของปีเตอร์ ผมคิดว่ามันก็คงจะชอบปีเตอร์อยู่ไม่น้อย ปีเตอร์เป็นคนดี เขาอารมณ์ดีเป็นชายแก่ยิ้มง่าย และดูเป็นคนฉลาดทีเดียว หลังจากทักทายไรลีย์แล้ว ปีเตอร์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ บนโต๊ะยังมีแซนวิชของเอเลน่าอยู่ เธอคงจะยังไม่ทันได้กินมัน
เอเลน่าอาจไม่ชอบปีเตอร์สักเท่าไร ผมเดานะ
" แซนวิชเหรอ ดีนี่ "
ปีเตอร์บอกพร้อมฉีกยิ้มกว้าง แก้มย้วยๆของเขาแดงก่ำจากอากาศหนาวข้างนอก มองดูแล้วราวกับเขาเป็นซานตาครอส ติดตรงที่เขาไม่ได้สวมชุดสีแดงเท่านั้น
" คุณจะกินมันก็ได้นะครับ ถ้าไม่รังเกียจ "
" อ้อ ของเอเลน่ารึ "
" ครับ "
ผมตอบและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม ปีเตอร์หยิบแซนวิชของเอเลน่าไปกินพลางอมยิ้ม เขาคงชอบแซนวิชฝีมือผมไม่น้อย หลายครั้งที่เขามานั่งกินกับผม และคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันสัพเพเหระ รวมไปถึงเรื่องเอเลน่าและอาการป่วยของผม
" แล้วเอเลน่าไปไหนเสียล่ะ "
ปีเตอร์ถาม เขาจ้องมองผมพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ
" ไม่รู้สิ่ครับ ก่อนคุณมาเธอยังนั่งอยู่ "
" งั้นเองรึ "
" คุณยังติดโทรศัพท์ไม่เลิกอีกนะ เอ็ด "
ปีเตอร์ว่า เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางหรี่ตามองยังโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้แขนของผม
" ไม่ขนาดนั้นหรอก "
" แล้วดูอะไรอยู่ล่ะ คลิปนี่ ใช่ไหม ? "
ปีเตอร์ถาม ผมกดปิดหน้าจอในทันที ปีเตอร์มักสอดรู้สอดเห็นเรื่องขอมผมเสมอ โดยเฉพาะโทรศัพท์ของผม ซึ่งผมคิดว่ามันค่อนข้างน่ารำคาญ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหมอประจำตัวของผมก็ตาม แต่บางครั้งผมก็หงุดหงิดเวลาที่เขาพยายามแทรกตัวเข้ามาในความคิดและความเป็นส่วนตัวของผม
" ให้ผมดูหน่อยสิ่ เอ็ด "
ผมนิ่งอยู่นานหลังได้ยิน เมื่อปีเตอร์เอาแต่จ้องผมไม่หยุด ผมจึงเลื่อนโทรศัพท์ไปยังเขาราวกับว่าถูกเขาสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นครั้งที่พันหมื่นแสนแล้วกระมังที่เขาทำแบบนี้
" โอ้ จริงด้วย "
ปีเตอร์พูด
" เอ็ด คุณรู้ไหม ความเชื่อสุดหัวใจก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้ "
ปีเตอร์พูดพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นอีกครั้ง เขาถือโทรศัพท์ของผมเอาไว้ และผมรู้ดีว่าเรากำลังเข้าสู่การรักษาโรค เขาเรียกมันว่าอย่างนั้น แต่สำหรับผม ผมเรียกมันว่า 'การพราก'
" ที่รัก ตื่นได้แล้ว~ , เอ็ด วันนี้อากาศดีนะคะ ฉันอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นจัง "
เสียงวีดิโอดังมาจากโทรศัพท์ในมืออวบอ้วนของปีเตอร์ ผมมองเห็นเธออยู่ในแววตาของเขา ภาพของเธอจากจอโทรศัพท์สะท้อนขึ้นบนดวงตาชราของปีเตอร์ แม้เพียงภาพเล็กๆหากเป็นเธอผมก็จะมองเห็น
ผมมองเห็นเธอเสมอ
" นานเท่าไหร่แล้วนะ เอ็ด "
ปีเตอร์ถาม
ค ว า ม จ ริ ง
เมื่อผมลืมตาขึ้นวันหนึ่งเธอก็จากไปด้วยโรคร้าย เราสองคนต่อสู้ร่วมกันมานานแสนนาน หมอบอกกับผมว่าเธออาจอยู่ได้อีกไม่นานนัก บอกให้ผมทำใจเสียแต่เนิ่นๆ ถึงแม้ว่าเธอจะยังยิ้มได้แต่ผมรับรู้ว่าเธอกำลังเจ็บปวด ผมไม่ได้จำว่าเมื่อไหร่ที่เธอหายไป แต่ในวันหนึ่งที่ผมร้องไห้และคิดถึงเธอ เธอเดินกลับมาพร้อมกับร้องเพลงให้ผมฟัง เธอปลุกให้ผมตื่นในตอนเช้า และบอกผมว่าอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่น เธอกลับมาจากการไม่มีตัวตน
เธอมีตัวตน
' ความเชื่อสุดหัวใจก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้ '
ปีเตอร์บอก เขาพยายามทำให้ผมตระหนักถึงการจากไปของเอเลน่า พยายามทำให้ผมยอมรับความจริง ความจริงที่ว่าเธอไม่ได้มีตัวตนอีกต่อไป ในทุกครั้งที่ปีเตอร์มาหาผมเพื่อทำการบำบัดรักษาอาการทางจิตของผม
เขาจะพกเอาความจริงมาด้วย และเขาจะใช้ ความจริง นั้น เพื่อ พราก เธอไป... ผมเจ็บปวดและเหนื่อยล้าเหลือเกิน ความตาย ได้พรากเธอไปจากผมแล้ว และ ความจริง ก็กำลังพยายามจะพรากเธอไปจากผมอีกครั้ง
" หยุดเถอะ "
ผมบอก
" คุณไม่อยากหายหรือ เอ็ด ? "
" หายจากออะไร "
" จากการป่วยยังไงเอ็ด คุณควรรับรู้ได้แล้ว เธอจากคุณไปนานแล้ว "
ผมเงียบหลังจากได้ฟัง เสียงกระดิ่งลมแว่วผ่านบานหน้าต่างเข้ามา กลิ่นชื้นหญ้าและสาปสนหนาวช่างเย็นชา จนทำให้รู้สึกแสบจมูก ความเงียบกดดันและกัดกร่อนลึกเข้าไปในจิตใจ จนกระทั่งเอเลน่าเริ่มร้องเพลง เสียงของเธอไพเราะแผ่วออกมาจากโทรศัพท์ ผมเงยหน้าขึ้นมอง พลันสายตาก็เห็นเธอยืนยิ้มอ่อนหวานอยู่ข้างหลังปีเตอร์
" เธออยู่กับผม ที่นี่ ตอนนี้ ... "
ผมบอก
" เอ็ด.. เธอไม่ได้อยู่กับคุณหรอก คุณต่างหากที่ผูกติดอยู่กับเธอ "
ปีเตอร์พูดพลางถอนหายใจ แววตาที่เขามองผมสะท้อนให้เห็นว่าเขารู้สึกเวทนาผมมากเพียงไร รอยยิ้มของเอเลน่าจางหายไปพร้อมๆกับร่างกายของเธอ
เมื่อปีเตอร์เข้ามา เธอจะหายไปจากโลก ราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่จริง เธอจะหายไปเมื่อปีเตอร์บอกความจริงที่ไม่น่าพิษมัยแก่ผม ...เธอหาย.. เมื่อภาพแห่งความจริงเหล่านั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
" เวลากำลังโบยบินไปแล้ว เอ็ด คุณจะติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน คุณเป็นผู้ชายที่ดีและมีผู้หญิงอีกมากที่ต้องการคนอย่างคุณ "
ปีเตอร์กล่าว
เ ว ล า ก ำ ลั ง โ บ ย บิ น
ผมจำไม่ได้เลยว่านานเท่าไหร่ เข็มบนนาฬิกาเดินวนไปเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน ในขณะที่โลกหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป แต่คล้ายว่าผมยังคงอยู่ที่เดิม
' จะติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ '
ปีเตอร์ถาม
" ผมจะอยู่ตรงนี้ ตลอดไป... จนกว่าโลกใบนี้จะแตกสลาย "
ผมตอบ
ปีเตอร์จ้องมองผม แวตาของเขาเศร้าสลดกว่าในตอนแรก ผมอาจน่าสมเพชมากเสียจนเขาอดกลั้นแววตาเวทนาเอาไว้ไม่ไหว ปีเตอร์วางโทรศัพท์ของผมลงบนโต๊ะพลางเลื่อนมันส่งคืนให้กับผม หน้าจอส่องแสงจ้าเผยรูปเอเลน่ากำลังยิ้มด้วยแววตาหวานฉ่ำ ผิวของเธอผ่องรับแสงแดดในรฤดูร้อน
" โลกไม่แตกหรอกเอ็ด อย่างน้อยก็ในชั่วชีวิตของคุณ "
ปีเตอร์กล่าวด้วยเสียงที่อ่อนนุ่ม รอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่นของชายแก่ใจดี
" วันนี้ผมคงจะกลับก่อน อย่างไรก็ฝากสวัสดีเอเลน่าสักหน่อยถ้าหากว่าคุณเจอเธอจริงๆน่ะนะ "
เขาพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผมมองตามเขาและลุกตามเพื่อจะไปส่งเขาที่ประตู ระหว่างที่เขาลุกเดิน ไรลีย์ก็กระดิกหางเร่าๆ มันดูจะดีใจที่นานๆทีจะมีคนมาเยี่ยมเราที่บ้าน นอกจากปีเตอร์แล้วก็แทบไม่ทีใครเข้ามาใกล้บริเวณบ้านของเรา พวกเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมองว่าเราแปลก บางคนว่าเราเป็นคนบ้าสติไม่ดี
" เอาไว้ผมจะกลับมาเยี่ยมคุณใหม่ ในเร็วๆนี้แหละ "
ปีเตอร์ว่า เมื่อผมเดินไปส่งเขาที่รั้วบ้าน ปีเตอร์สวมหมวกปีกกว้างของเขา อากาศภายนอกหนาวพอสมควร และจวนได้เวลาที่ผมจะต้องพาไรลีย์ออกไปเดินเล่น เรากอดกันเบาๆเพื่อเป็นการบอกลา ปีเตอร์ตบหลังผมสองสามทีเหมือนทุกครั้ง
" ดูแลสุขภาพด้วยครับ ถ้าไม่มีคุณก็คงไม่มีใครมาเยี่ยมเราที่นี่ "
ผมบอก
" โอ้ ผมยังมีชีวติอยู่ได้อีกยาวๆล่ะเอ็ด ไม่ต้องห่วงผมจะกลับมาเยี่ยมคุณแน่ๆ "
ปีเตอร์กล่าว
ผมยืนอยู่ที่รั้วบ้านและมองตามชายแก่ร่างใหญ่โตกำลังเดินหายลับไปจากสายตา ในตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณเงียบสนิท มีเพียงเสียงกระดิ่งลมและใบสนสีกันเป็นบางครั้งที่ลมพัดแรง... ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวๆสี่ถึงห้านาที... และเริ่มรู้สึกเงียบวังเวงจนกระทั่งเจ็บข้างในหน้าอก เหมือนผมกำลังถูกบีบคั้นที่หัวใจอย่างรุนแรง ในท้องรู้สึกโหวงแปลกๆ ผมมักจะเรียกความรู้สึกเหล่านี้ว่า ' เหงา '
ผมเลื่อนประตูรั้วปิดลงและเดินกลับเข้าบ้าน ไรลีย์นั่งรออยู่ที่ประตู ได้เวลาที่ผมจะต้องพามันออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียที ในขณะที่ใส่สายจูงให้กับไรลีย์อยู่นั้น
" ตาแก่จะกลับมาเมื่อไหร่ "
ไรลีย์ถาม
" ...ไม่รู้สิ่ "
ผมตอบ
" แต่เขาจะกลับมาแน่... กลับมาพร้อมกับความจริงเล็กๆน้อยๆของเขา "
ผมและไรลีย์เดินออกจากบ้านไปพร้อมกัน ผมต้องก้าวเท้าช้าลงเพราะไรลีย์แก่มากแล้ว ระหว่างที่เดินไปบนทางเท้าผมคิดว่าจะพามันไปเดินเล่นแถวๆริมบึงสักครึ่งชั่วโมง เมื่อกลับมาผมจะพบเอเลน่ายืนมองผมอยู่ที่หน้าต่างเหมือนทุกวัน เธอจะยิ้มหวานต้อนรับผมกลับบ้าน และผมจะจูงไรลี่ย์เข้าบ้านเพื่อไปหาเธอ หลังจากนั้นผมจะชงชาร้อนๆนั่งดื่มกับเธอ และเธอจะร้องเพลงให้ผมฟัง และบอกกับผมว่า
' วันนี้อากาศดีนะคะ ฉันอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นจัง '
End.
แ ม ว จ ร .
" คุณคิดว่าเอ็ดบ้าหรือเปล่าครับ คุณหมอ? "
" โอ้.. โรเบิร์ท.. แน่นอนว่าเขาบ้าผมจึงต้องรักษาเขา..
แต่โรเบิร์ท.. คุณคิดหรือเปล่าว่าสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่นั้นเรียกว่าบ้า ? "
" ผมไม่รู้ครับ คุณหมอคิดว่าอย่างไรหรือ ? "
" โรเบิร์ท ! ไม่ว่าใครก็มองว่าเขาเป็นบ้าทั้งนั้นมีเพียงเขานั่นแหละ ที่มองว่าสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่นั้นคือความรัก
แล้วคุณคิดว่าความรักนั้นบ้าไหมล่ะโรเบิร์ท ? "
_____________________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น