ความลับในท่วงทำนอง --The Secret of Lyric -- - ความลับในท่วงทำนอง --The Secret of Lyric -- นิยาย ความลับในท่วงทำนอง --The Secret of Lyric -- : Dek-D.com - Writer

    ความลับในท่วงทำนอง --The Secret of Lyric --

    บทเพลง คือ ความงดงามของถ้อยคำที่รังสรรค์ขึ้นจากคนๆหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งที่อยู่ปลายทาง พบกับบันทึกการเดินทางของแดนดิไลออนที่ไร้ความหวัง....

    ผู้เข้าชมรวม

    2,942

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    23

    ผู้เข้าชมรวม


    2.94K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 มิ.ย. 57 / 23:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

    .....หนึ่งคำสัญญา เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีวันลืม.....

    คำสัญญาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงหัวใจสองดวงให้มาประสานกัน
    ก่อให้เกิดเป็นท่วงทำนองแห่งความทรงจำที่จะบรรเลงไปพร้อมๆกัน

    The Secret of gentle is the melody became promise...
    "เนิ่นนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้...ที่เฝ้ารอ..รอ....เเต่เธอ...จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรอเธออยู่"

              ท่ามกลางเสียงเปียโนที่พริ้วไหว....
    กลายเป็นบทเพลงที่แสนไพเราะสักเพลงหนึ่ง
    ท่วงทำนองที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของหนึ่งหัวใจ
    ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายไปตลอดกาล

    แต่ทว่า...
    เบื้องหลังของความไหวในเสียงดนตรี
    หนึ่งความรู้สึกนี้ไม่อาจส่งผ่านไปยังเสียงสัมผัสในบทเพลงได้
    หากไม่ใช่เพราะมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างซ่อนเร้นไว้อยู่

    แล้วจะทำอย่างไร...หากคุณเกิดพลัดหลงเข้าไปในจังหวะนี้เข้าให้แล้ว
    โดยที่จะกลับตัวก็ไม่ทันการ

    มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้...การเฝ้ารอ เป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีวันสิ้นสุด
    บอกกับฉันว่า.....มันวิเศษแค่ไหนที่ได้มาพบกับเธอ
    เป็นเพียงแค่วันดีๆ เท่านี้ก็พอใจ

    ฉัน.....ผู้ที่ไม่มีความหวังในชีวิตทีได้เกิดมา
    เพราะไม่มีอะไรจะให้หวังกับชีวิตเลื่อนๆลอยๆอย่างนี้
    ไม่ว่าเมื่อไหร่มันก็ยังเป็นคำถามที่ยังค้นหาคำตอบไม่เจอสักที จนฉันได้มาพบกับเธอ!!

    เธอ.....ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำทะเลหยั่งลึกที่ยังเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์
    ภายใต้ดวงตาที่แสนเยือกเย็นคู่นี้ กลับซ่อนเร้นความอบอุ่นให้อย่างไม่น่าเชื่อ!!

    ...เมื่อโน้ตตัวหนึ่งถูกเขียนขึ้นกลางใจของคนๆหนึ่ง จึงกลายเป็นบทเพลงรักที่มีความหมายที่นำพาสองหัวใจให้มาประสานกัน บรรเลงเป็นบทเพลงแห่งความทรงจำระหว่างเราตลอดไป...

     

     

     



    เชิญพบกับ
    นิยายภาษาดอกไม้แทนความรู้สึกที่ไม่อาจเอ่ย

    รู้มั้ย?
    ดอกไม้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ช่วยทำให้โลกนี้สวยงามขึ้น
    ดอกไม้แต่ละพันธ์ก็มีความหมายในตัวของมันเอง
    แม้จะเป็นดอกหญ้าที่ไร้ค่าก็ตาม
    เป็นการแสดงความรู้สึกที่ปราศจากคำพูด
    สิ่งเหล่านี้ เรียกว่า พูดจาภาษาดอกไม้


     

    ตัวแทนแห่งรักอันบริสุทธิ์
       ความรักที่แสนหวาน ดั่งเช่นดอกไม้ที่ผลิบานในหัวใจ

     

     

      
     

     

    ดอกแดนดิเลี่ยน คือ ความรักบริสุทธิ์ที่พระเจ้าบันดาลให้ เป็นความหวังที่หมายจะกลายมาเป็นคำสัญญาตลอดไป
    อย่างในเีรื่องนี้ จะกล่าวถึงเฉพาะดอกแดนดิเลี่ยนสีขาว หมายถึง เสน่ห์ มิตรภาพ ความบริสุทธิ์ ความสงบเงียบและโชคดีที่ได้มาเจอกับเธอ แม้ว่าจะเป็นรักแบบข้างเดียว แต่โชคชะตาจะนำพาให้เราได้พบกัน ซึ่งดอกแดนดิเลี่ยนมีหลายสี เช่น

                                            สีเหลือง -- ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันชั่วนิรันดร์
                                            สีชมพู    -- ความรักที่เปี่ยมสุข
                                            สีแดง     -- ความรักและความปรารถนา (เป็นดอกไม้ของคิวปิด)
     

    นานาบุปผชาติกำเนิดขึ้นมาพร้อมความหมายที่ถูกสรรสร้างขึ้นมาเป็นตัวมันโดยเฉพาะ
    ส่วนเจ้าบุปผชาติดอกนี้ กลับเบ่งบานปานปุยนุ่นอันอ่อนโยน คือ ความรักที่พานมาพบเธอ

    แม้ดอกแดนดิไลออนปลิวหายไม่หวนกลับสู่ที่เดิม
    แต่ความทรงจำที่ฉันได้มาพบเธอ ฉันจะไม่ลืมเลย...ด้วยหัวใจที่ปรารถนาในตัวเธอ


    ดอกฟอร์เก็ตมีน๊อต 
                    เป็นตัวแทนแสดงความรักอันบริสุทธิ์และความทรงจำแห่งรักที่ทำให้ไม่ลืมเธอ

    ความรักที่แสนหวาน ดั่งเช่นดอกไม้ที่ผลิบานในหัวใจกำลังละลายหัวใจคุณไปพร้อมๆกับเขา

    และจะทำให้คุณลืมเธอไม่ลง

     

    เพลงประกอบเรื่อง

    เพลง : 蒲公英的約定 - Dandelion’s Promise
    ศิลปิน : 周杰 - Jay Chou
    อัลบั้ม : 我很忙 - On The Run

    小学篱笆旁的蒲公
    Xiao xie li ba ban de pu gong ying
    The dandelions at a bamboo fence of the primary school


    十几英里有味道的
    Shi ji ying li you wei dao de feng jing
    Several miles of a beautiful landscape


    雾水草场传来她的声
    Wu Shui cao chang zhuan lai ta de shen yin
    A fogged watery grass place passed on her voice


    多少年后也开始很好听
    Duo shao nian hou ye kai shi hen hao ding
    Many years later it still started to be good to hear



    将愿望折纸飞机寄出
    Jiang yuan wang zhe zhi fei ji ji chu xin
    Just wish the folded aeroplane paper will put out the truth


    为我们等不到那流
    Ying wei wo men deng bu dao na liu xing
    It is because we can’t wait for that meteor


    等枕头坠离命运的引
    Deng chen dou zhui li ming yun de yin li
    Waiting the pillow to fall by the gravitation of destiny


    却不知道到底能去哪里
    Que bu zhi dao dao di neng qu na li
    Yet don’t know where it is able to go



    Chorus:

    经长大的约定 样清
    Yi jing zhang da de yue ding na yang qing xi
    A grown up promise, that much clear


    过到的我相
    Na guo dao de wo xiang xin
    Holding it through until I believe


    说好要一起旅
    Shuo hao yao yi qi lu xing
    Agreed to travel together


    是你如今 唯一坚持的任
    Shi ni ru jin wei yi jian chi de ren xing
    Now it is you solely, who strong headedly insist



    在走廊想霸占她手心
    Zai zou lang xiang ba zhan da shou xin
    wanted to seize her palm at the passage


    们却注意窗边的情敌
    Wo men que zhu yi chuang bian de qing di
    Yet we paid attention to the love rival at the window side


    我去到哪里你都跟很
    Wo qu dao na li ni dou gen hen jing
    Wherever I go, you are so close with me


    哼歌而梦在等待着惊喜
    heng ge er meng zai deng dai zhe jing xi
    Humming songs and dreams, while waiting for surprise



    Chorus:

    经长大的约定 样清
    Yi jing zhang da de yue ding na yang qing xi
    A grown up promise, so clear


    过到的我相
    Na guo dao de wo xiang xin
    Holding it through until I believe


    说好要一起旅
    Shuo hao yao yi qi lu xing
    Agreed to travel together


    是你如今 唯一坚持的任
    Shi ni ru jin wei yi jian chi de ren xing
    Now it is you solely, who strong headedly insist



    经长大的约定 样珍
    Yi jing zhang da de yue ding na yang zhen xi
    A grown up promise, that much valueable


    与你聊不完的曾
    Yu ni liao bu wan de ceng jing
    something to do with the incomplete talk you said that moment


    而我已经分不清 你是友情
    Er wo yi jing fen bu qing ni shi you qing
    Yet I already can’t differ, you are friendship


    还是错过的爱
    Hai shi cuo guo de ai qing
    Or the wronged love


     

    >>>ยามที่เอื้อมจับดอกแดนดิไลออน<<<
    จะเป็นดั่งคำมั่นสัญญา
    ตลอดไป

    (wishes Come True)

    Cross with my heart--


     

     

     
     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       

      เรื่องเล่าของสวนดอกไม้หลังบ้าน


      ---เปิดโลกของมวลดอกไม้---
      ดอกไม้ทุกชนิดล้วนมีความงดงามและความหมายในตัวมัน

       

      Aha! listen my sweetie in sunshine

      I'm here with our promise....




      ในวันที่ฟ้าเปิด ทอดสะพานรุ้ง ลมพัดโชยมาเบาๆ ราวกับเป็นวันทีดี
      นานาดอกไม่หลายหลายคละสีสันยามต้องลม พากันกัน ส่งกลิ่นหอมหวลแย้มบาน พลันให้ใจเบิกบานหากไฉนใจของสาวน้อยกลับไม่รู้อะไรเลย เหมือนไม่มีความสำคัญอะไรให้นึกถึง ความคิดหนึ่งได้ล่องลอยออกไปไกลอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ไร้ความหวังที่จะก้าวเดิน ไร้จุดหมายที่จะไป


      สายลมเรื่อยเรื่อยเอื่อยพลิ้วผ่านผิวไป หอบหวนอวลกลิ่นไอพฤกษานานาพันธุ์
      ท่ามกลางขุนเขา และสายน้ำ รายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์โอบล้อมดินแดนแห่งนี้เอาไว้
      ประหนึ่งดังสวนสวรรค์ของมวลดอกไม้ทั้งปวง ซึ่งมีดอกไม้มากมายละลานตากลางท้องทุ่งกว้างอย่างนี้








      --Dandelion's Journeys--
      ...สัญญาที่ให้ไว้ยังจำได้ไม่เคยลืม...

       



      อารัมภบท

      "ฌิล ..."

      เสียงๆหนึ่งสะกิดเรียกให้สาวน้อยริมหน้าต่างได้ตื่นจากภวังค์ห้วงแห่งฝันหวาน 
      หันไปยิ้มไปให้เขาบางๆ แม้ในใจกลับรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวผมยาวลิ้วไล้ไปถึงแผ่นหลังสวมชุดเดรสสีม่วงอ่อน ใบหน้าดูอ่อนหวานดูเหมาะสมกับชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้างเสียเหลือเกิน


      "..."

      "ไปกันเถอะค่ะ ..."
      หญิงสาวที่อยู่ข้างกายไม่ได้ทำหน้าไม่พอใจแต่อย่างใดที่เห็นชายหนุ่ม เอาแต่เฝ้ามองดอกหญ้าดอกเล็กๆ ข้างหน้าต่างถะนุถนอมยิ่งกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักอย่างเธอเสียอีก เธอรีบเร่งเร้าให้ชายหนุ่มคนข้างตัวออกไปจากห้องใต้หลังคานี้ 

      สาวน้อยริมหน้าต่างกุมที่หัวใจราวกับกลัวมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ยืนแน่นิ่งราวกับไร้ตัวตนในสายตาคนสองคนที่ได้เดินหันหลังกลับไกลออกไปเรื่อยๆ 


      .....................



      "ผมจะออกไปข้างนอกหน่อยนะ กุญแจอยู่ที่เดิมน่ะ"


      ชายหนุ่มพูดพลางชายตามองไปที่กระถางดอกไม้หน้าประตู ที่เป็นที่ซ่อนกุญแจห้อง
      ไม่น่าแปลกที่ ผู้หญิงข้างกายเขาคงไม่พอใจอยู่บ้างล่ะถึงจะเก็บสีหน้าได้อย่างแนบเนียนก็ตาม ที่จะมีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งมาอยู่ร่วมห้องกับชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเธออย่างนี้



      ม้จะมีคนที่จะมารักแม่ดอกชบาแก้วด้วยหัวใจที่แท้จริงก็ตาม นางน้อยก็ไม่อาจผันใจไปรักใครได้ใหม่อีกแล้ว แล้วก็พลันได้หวนกลับไปคิดในวันแรกที่เราได้พบกัน ทำนองเพลงนั้นของเขายังคงก้องอยู่ในหัวใจดวงนี้ตลอดกาล เหมือนเป็นดังคำสัญญาเพียงหนึ่งเดียวที่ได้มีให้กันตลอดกัลป์ 



      ทุกนาทีที่ทำนองเพลงที่คุ้นเคยแว่วขับคลอมากับเสียงของกระดิ่งลมที่แขวนอยู่ ทำเอาสาวน้อยริมหน้าต่างต้องลืมตาตื่นจากฝันร้่ายนี้เบื้องหน้าเป็นภาพชายหนุ่มผมสีเงินกำลังบรรเลงเปียโนอยู่ตามปกติ เสียงเพลงนั้นทำให้ฉันเจ็บปวดในใจทุกที แต่ก็อดให้คิดถึงมันไม่ได้ เมื่อไหร่กันน่ะ เราถึงจะได้ก้าวเข้าไปในทำนองนั้นได้สักที


      ตอนที่ 1 loving way
      ต้นกำเนิดของดอกแดนดิไลออน

      ซ่า ซ่า


      เสียงเกลียวคลื่นม้วนตัวซัดสาดเข้าฝั่งแล้วจึงคลายตัวกลับสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ 
      สายลมเริ่มหอบเอาเม็ดทรายเม็ดเล็กอุ่นมาปะทะผิวขาวเนียน จนทำให้ตื่นจากภวังค์แห่งความเงียบเหงา ราวกับต้องการปลุกให้กลับมาครุ่นคิดถึงวันที่จากอกแม่มาอีกครั้ง 



      ทะเลอันเวิ้งว้าง กว้างใหญ่และน่าค้นหา
      สิ้นสุดปลายทางของน้ำทะเลจะเป็นอย่างไรนะ 
      จะเหมือนกับสาวน้อยวัยแรกแย้มหรือเปล่าที่ไม่รู้อะไรเลย



      "แม่จ๋า!"



      คำๆนี้ห่างหายจากชีวิตฉันมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย แววตาที่ไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง ได้เหม่อมองตรงไปยังทะเลเบื้องหน้าด้วยท่าทีเฉยชา 


      สายลมพัดพาให้ลงสัมผัสกับหาดทรายละเอียดแล้วต้องหยุดทันทีก่อนที่จะไปสัมผัสกับน้ำทะเลและฟองคลื่นสีขาว ไม่อย่างนั้นฉันคงหายไปพร้อมๆกับฟองคลื่นนั้นแหละ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ฉันก็ชอบทะเลที่สุด



      ทะเลอันเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ เร้นลับและน่าค้นหาถึงปลายทางของน้ำทะเลนี้ จะเหมือนกับพวกเราที่เป็นเพียงแดนดิไลออนดอกน้อยที่ไร้จุดมุ่งหมายที่จะไปหวังเพียงมีสายลมโชยเบาๆ พัดพาไปหยั่งรากลึกลงดินในที่ไหนสักแห่งแล้วแต่โชคชะตาจะพาไปที่สุดท้ายของปลายทางก็เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า



      พฤกษาน้อยใหญ่ต่างสะบัดไหว ครั้นเมื่อลมโชยมอ่อนๆ หมู่มวลพฤกษาชาติต่างพากันระบัด
      เมื่อลมแรกฤดูใบไม้ผลิมาเยือน เหมือนเป็นการเกิดสรรพสิ่ง 



      ถึงตอนแรกที่เเม่ให้กำเนิดพวกเรามา ก็จะผลิดอกออกใบงดงามแต่ก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่พอเมื่อพวกเราได้เกิดมาแล้วแทบจะไม่มีความทรงจำใดใดกับแม่เหลืออยู่เลยก็ต้องเริ่มออกเดินทางไปในที่ที่ไม่มีจุดสิ้นสุดโบยบินไปพร้อมๆกับสายลม ไม่มีเหตุอันใดที่จะทำให้ต้องมานึกถึง ก็เพราะไม่มีอะไรที่จะให้นึกถึงหลังจากวันที่พวกเราออกจากอ้อมอกแม่อย่างเงียบๆ



      การรอคอยในเวลาที่ไม่มีอะไร มันช่างเนิ่นนานเสียจริงๆ
      ทุกสิ่งทุกอย่างกำเนิดขึ้นมาพร้อมความหมายที่ถูกสรร
      แล้วพวกเราล่ะเกิดมาเพื่ออะไร เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่เจอเสียที



      ฟิ้ววว...

      สายลมเอื่อยๆริ้วไล้ผิวอันบอบบาง ให้โอนอ่อนต่อสภาวะใดใดทั้งปวง จึงทำได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้มาพัดพาไปตามที่มันอยากจะให้ไปแม้ว่าลมมันจะร้ายสักแค่ไหน ที่ทำให้แปรสภาพได้แหลกสลายไปก็ตาม สุดท้ายก็ต้องยอมรับกับชะตากรรมนี้ ทั้งๆที่ก็รู้ตัวดีว่าร่างกายและจิตใจแลอ่อนแอและบอบบางแค่ไหน แต่ถึงกระนั้น จิตใจที่พรั่งพร้อมจะเข้มแข็งเผชิญกับอุปสรรคตลอดเวลา ก็เพราะไม่มีอะไรจะหวาดกลัวในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง มีบางครั้งที่หัวใจฉันไม่อาจต้านทานความเข้มแข็งไว้ได้ แม้ว่าจิตใจจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแต่ก็อดซ่อนความอ่อนไหวไว้ไม่มิด เมื่อใดที่ความเงียบเหงาเข้ามาสั่นสะท้านในชีวิต มันทำให้หัวใจพลอยปั่นป่วนราวกับพายุตั้งเค้ามาริบๆ



      ฟิ้ววว...

      สายลมวูบหนึ่งที่โชยมาปะทะผิวกายอีกละรอก คราวนี้สะกิดร่างน้อยๆ ให้ไหวลงเล็กน้อยตามแรงลมที่พัดพามา  จนในที่สุด ก็ได้ถูกพัดพามา ณ ที่แห่งหนึ่ง


      ยามนี้สาวน้อยร่างบางได้เดินเล่นอยู่ท่ามกลางสวนพฤกษามหึมาที่ไม่อาจทราบชื่อเรียกขานได้ แต่เท่าที่พอทราบคือราวกับมายืนอยู่ใจกลางสวนอีเดน อันเป็นสวนสวรรค์แห่งพระเจ้า เป็นสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง มีหมอกสีขาวจางๆโอบล้อมไปทั่วอาณาเขตดินแดนสวรรค์บนดินนี้ อากาศเย็นสบาย 


      สายตากวาดมองไปรอบๆราวกับจะซึมซับภาพนี้ไว้เป็นความทรงจำหนึ่ง ปลายนิ้วเรี่ยไร้ไปตามกลีบดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่เดินผ่าน ความสวยงามที่เบ่งบานสะพรั่งละลายตา กลิ่นหอมเย็นสดชื่นตลบอบอวลเหมือนกลิ่นขนมที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆจากเตา เสียงนกร้องแว่วผ่านไปในสายลม กอปรกับเสียงใบไม้เสียดสีตามจังหวะดนตรี ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าที่ได้สัมผัสกับพรมหญ้านุ่มๆ เดินตัดไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา 


      เบื้องหน้าเป็นอุโมงค์ร่มไม้ที่มีแสงแดดรำไรลอดผ่านมาตามแหวกไม้ ยิ่งเดินทะล่ำลึกเข้าไป ยิ่งหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ พลันที่จะคิดย้อนกลับไปที่เดิมก็หวาดหวั่นทางเดินที่มืดครื้มลงทุกที จำต้องเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเดียว



      จิตวิญญาณ์นักสำรวจได้มองไปรอบๆทิศ รอบกายคราวนี้ได้ถูกรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์อวดประชันความงามแข่งกับแสงอาทิตย์บานสะพรั่งไกลจนสุดลุกหูลูกตา มันช่างแตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน เสียนี่กระไร ที่มีแต่สิ่งปฏิกูลกองสูงเท่าภูเขา ทั้งยังส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขจรขจายไปทั่วพื้นที่แต่ถึงสภาพแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็ตาม ก็อุ่นใจที่อย่างน้อยยังมีแม่ที่รักฉันเคียงข้างมา จนวินาทีสุดท้าย


      ..................



      บริเวณทางแยกของไฮเวย์บนถนนที่แล่นเลียบทะเลสาบในแถบชานเมือง



      เสียงคำรามของเครื่องยนต์รถสปอร์ตเปิดประทุน proche สีบลอนด์ รุ่น 550 spyder
      และแสงสะท้อนยามบ่ายที่กระทบตัวถังอะลูมิเนียมสีเงิน เงาแวววาวจนต้องมองเหลียว
      มาจอดเทียบที่หน้าร้านดอกไม้ที่มีผู้ชราตายายสองคนประจำอยู่ คุณตาค่อยๆเดินต้วมเตี้ยมออกมาจากเพิง เพื่อมาต้อนรับลูกค้าที่กำลังลงจากรถคันงามนั้น



      แม้ว่าคนในรถจะยังไม่เดินลงมา เพียงแค่ชะเง้อมองตามกระถางดอกไม้ที่ประดับไว้หน้าร้าน
      พร้อมๆกับฮัมเพลงเบาๆอย่างสบายอารมณ์ ด้วยระบบสเตอริโอ เปิดเพลงเสียงดังกึกก้อง
      ภายในรถซึ่งมีที่นั่งเป็นเบาะสีแดงสดกำมะหยี่ มีคนนั่งมาด้วยแค่สามคนเท่านั้น เป็นชายสอง หญิงหนึ่งทั้งสามคนสวมแว่นกันลมด้วยกันทั้งสิ้น จึงไม่เห็นสีหน้าค่าตาอย่างชัดเจน ผู้ชายที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับจ้องมองผู้หญิงที่นั่งข้างๆเรียบเฉย แม้จะไม่เห็นสีหน้า แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาก็ แสดงออกด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์นิดๆ จนอดรนทนไม่ไหว หันไปพูดกับหญิงสาวร่างบาง ผมยาวสลวยถึงแผ่นหลัง สยายไปตามแรงลมที่พัดพาที่ยังคงชะเง้อมองแปลงดอกไม้อยู่แน่นิ่ง



      "นี่พี่! แล้วตกลงว่าจะซื้อหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวจะไปรับคุณพ่อกับคุณแม่ที่สนามบินไม่ทัน"


      หญิงสาวไม่ได้โต้ตอบอะไรกับชายหนุ่มผมสีเงิน ซึ่งเห็นได้ว่าทั้งสามคนก็มีผมสีเงินเหมือนกันหมด
      พอหญิงสาวชะเง้อจนพอใจแล้วก็ก้าวลงมาจากรถ ทำให้เห็นรูปร่างเธอชัดเจนขึ้น


      หญิงสาวหุ่นสะโอดสะอง ผิวพรรณเปล่งปลั่งประชันกับแสงอาทิตย์ ยิ่งทำให้เธอดูโดดเด่น เธอสวมหมวกใบใหญ่และอยู่ในชุดเดรสสีหวาน ผูกโบสีขาวใหญ่ตรงกลางหน้าอก มาหยุดยืนอยู่หน้ากลุ่มดอกคาร์เนชั่นสีแดงและสีชมพูหวาน 


      จากนั้น เธอก็เดินชมแปลงดอกไม้แปลงเล็กๆ อย่างดอกป๊อปปี้ ดอกแอสเตอร์ ดอกฮอลลี่ฮ็อค ไปพร้อมๆกับคุณตาที่เดินเข้ามาถึงพอดี เขาพาเดินชมดอกไม้ที่ไม่ได้มีสวยๆแค่หน้าร้านทางด้านหลังร้านยังเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์เท่าที่จะหาได้ตามสภาพอากาศจะเอื้ออำนวย



      สักครู่ เสียงเครื่องยนต์ก็ดับลง พร้อมๆกับร่างชายหนุ่มตรงด้านหน้าคนขับลงมา ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่ดูเด็กกว่า ไม่ได้ลงมาด้วย พลางเปิดหนังสืออ่านระหว่างรอหญิงสาวที่มาดูดอกไม้



      ร่างโปร่งสูงเรือนผมสีเงินเส้นเล็กละเอียดดุจใยไหม ครั้นเมื่อส่องกับแสงแดดเพียงอ่อนๆก็ทำให้เกิดเป็นประกายระยิบระยับ เขาเดินตามหญิงสาวและคุณตามาจนถึงหลังร้าน ก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้ากลุ่มดอกฮอลลี่สีหวานอย่างกะทันหัน 


      ทันใดที่สายตาสองคู่พบสบตากัน เกิดเป็นสัญญารักใต้ต้นฮอลลี่ ซึ่งเป็นที่ที่สายลมพลัดพาแม่นางน้อยมาตกลงอยู่ใต้ต้นนี้ 


      สายตาเขาจับจ้องอยู่นานทีเดียว จนกลีบเกสรสั่นไหวระรึก ราวกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันสลับซับซ้อนในจิตใจ สักพัก ชายหนุ่มผมสีเงินยวงดุจพระจันทร์คนนั้นก็ถอดแว่นออกมาเสียบไว้ที่คอเสื้อ เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำทะเลดูแข็งกระด้าง


      มันสะท้อนภาพดอกแดนดิไลออนสีขาวปุกปุยอยู่ในดวงตานั้นด้วยที่พัดปลิวตกมาที่กระถางต้นกล้าเล็กๆของดอกฮอลลี่ที่ยังไม่มีดอก  ภาพของชายหนุ่มประหลาดที่เอาแต่จดๆจ้องๆมาแต่เมื่อกี้ มาปรากฏกายต่อหน้าชัดๆ แล้ว ชายหนุ่มที่ดูจากภายนอกแล้วช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย


      ถึงจะทำแข็งเหมือนไม่เข้าใจ แต่เขาก็ซ่อนส่วนที่ละเอียดอ่อนไว้เหมือนกัน อย่างยามเมื่อมองดอกไม้นี้เป็นความอ่อนโยนของสัตว์ร้ายในห้วงทะเลลึก พลันเขาได้ยินเสียงอันแหลมเล็ก
      ราวกับเสียงของกระดิ่งยามต้องลม เขาก็ละสายตาจากดอกไม้ตรงหน้า หันมองตามเสียงดังกล่าว


      "พอแล้วล่ะค่ะ คุณตา แค่นี้ก็เยอะแยะแล้ว เดี๋ยวหนูต้องรีบไปรับคุณพ่อ คุณแม่ที่สนามบินต่ออีก ทั้งหมดเท่าไหร่คะ"เป็นเสียงของหญิงสาวคนสวยคนนั้นนะเอง ที่มากับชายหนุ่งดูท่าแข็งกระด้างคนนี้


      ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์มาชำระค่าดอกไม้ทั้งมวลนั้น พลันใด ก็รู้สึกได้ถึงสายลมได้พัดพามาอีกระลอกให้ร่างแบบบางนี้ลอยขึ้น หากแต่รากยังคงฝังแน่นใต้ต้นฮอลลี่นี้จึงทำให้ทราบได้ทันใด
      เมื่อเหลือบไปเห็นชายหนุ่มผู้มีสีตาดั่งท้องทะเลน้ำลึกผู้นี้ ค่อยๆประคองต้นกล้าดอกฮอลลี่ขึ้นนั่นเอง 


      แล้วส่งเสียงเรียกหญิงสาวคนนั้นดังพอที่จะได้ยินทั่วๆกัน



      "เดี๋ยวก่อนพี่.....ผมขอต้นนี้ด้วยนะ"
      เขายื่นกระถางดอกฮอลลี่ส่งให้คุณตา "พี่จ่ายให้ผมก่อนล่ะกันนะ"



      "หึ ไหนนายบอกว่าไม่สนใจดอกไม้ไง"
      หญิงสาวอดที่จะเหน็บแนมไม่ได้ ชายตาไปมองชายหนุ่มที่มองกลับอย่างเคอะเขิน



      "ก็ผมอยากจะเอาไปประดับห้อง"
      ชายหนุ่มตอบขณะส่งให้ชายชรา
      หญิงสาวหันไปมองต้นที่คุณตากำลังห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อยู่อย่างทะนุถนอม



      "หืมมม ต้นนั้นนะเหรอ ไม่เห็นจะมีดอกเลย  ต้นอะไรนะ กุญแจซอล"
      เธอหันมาถามชายหนุ่ม



      "ไม่รู้เหมือนกัน"
      ชายหนุ่มที่ชื่อว่า กุญแจซอล ตอบเรียบๆที่ดูเป็นเอกลักษณ์ของเขา
      โดยไม่ได้หันมามอง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ต้นกล้าน้อยๆ หญิงสาวทำหน้าแปลกใจได้ไม่นาน



      คุณยายทีไ่ด้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็หันมาบอกคนทั้งสอง



      "นั้นเป็น ต้นฮอลลี่ที่เพิ่งจะแตกหน่อได้ไม่นานเอง
      ยายเพิ่งจะไปเอาออกมาวางนี่แหละ ก็กะว่าจะเลี้ยงไปเรื่อยๆ
      จนกระทั้งมีดอก ถึงจะขาย ในเมื่อเห็นเราจะเอาเลย ยายแถมให้ไปเลยล่ะกัน
      หนูคนนี้เองก็ซื้อของยายไปตั้งเยอะแล้วด้วย"



      "เอ่อ.....ขอบคุณมากครับ"
      เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาด้วยความเกรงใจ
       



      จากนั้นคุณตาก็หอบหิ้วต้นไม้ทั้งหมดที่หญิงสาวจะซื้อออกมากองรวมกัน
      จึงตกลงดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันจนเป็นที่เรียบร้อย แถมคุณตายังจะลดราคาให้อีกตั้ง
      10% แน่ะแล้วพวกเราจึงกลับมาที่รถ โดยมีคุณตาและคุณยายเดินมาส่ง



      ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวเห็นดังนั้นแล้วรู้สึกเกรงใจทั้งสองท่าน
      ที่ก็แก่ตัวมากแล้วยังต้องหิ้วต้นไม้จำนวนไม่น้อยเลยและยังหนักอีกต่างหาก
      ชายหนุ่มและหญิงสาวจึงอาสาจะช่วยถือไปที่รถเองที่มีชายหนุ่มอีกคนนั่งรออยู่ตั้งนานแล้ว
      ก่อนที่รถจะเริ่มออกตัว หญิงสาวที่นั่งด้านข้างคนขับหันมาพูดกับคุณตาคุณยายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม



      "ขอบคุณมากๆเลยนะคะ แล้ววันหลังจะมาอุดหนุนใหม่ ที่ร้านนี้มาดอกไม้สวยๆเยอะแยะเลย"



      "ขอบใจน่ะจ๊ะ"
      คุณยายพูดเสียงแหบแห้ง ค่อยๆกระย่องกระแย่ง เดินมาส่งพร้อมๆกับคุณตาอย่างทุลักทุเล
      ทั้งสองยิ้มให้เด็กหนุ่มสาวเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับโบกมือลาก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาว และแล้ว ฉันก็เริ่มออกเดินทางไปสู่ที่แห่งใหม่อีกครั้ง



      ที่ที่เต็มไปด้วยหนทางแห่งความรัก กำลังจะเริ่มต้นขึ้นนับจากนี้ไป!!


      ..................

       

      ตอนที่ we can find a way to fly



      เมื่อมาถึงที่สนามบิน ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็กำลังยืนคอย นั่งคอย คอยและคอยเล่าว่าเมื่อไหร่ พวกลูกๆถึงจะมารับกลับบ้านสักที เป็นเวลานานพอตัวกว่าที่พวกเราจะเดินทางมาถึง พวกเราเห็นสีหน้าอันเรียบเฉยแล้ว ก็รู้สึกหวั่นๆในใจ ด้วยเป็นที่รู้ดีว่า


      ถ้าเมื่อไหร่ที่พวกท่านทำหน้านิ่งเฉย ไม่พูดอะไรตลอดระยะการเดินทางกลับบ้านอย่างนี้แล้ว
      แสดงว่า กำลังโกรธอย่างถึงที่สุด แต่พวกท่านแค่ไม่แสดงออกมาก็เท่านั้นเองด้วย
      เพราะพวกท่านเป็นถึงคนใหญ่คนโตของธุรกิจอัญมณีส่งออกระหว่างประเทศ
      และยังได้ออกงานสังคมค่อนข้างบ่อย จึงเก็บอาการ การแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างดีเยี่ยม



      เมื่อผู้เป็นพี่สาวคนโตของบ้านเห็นดังนั้น ก็ก้มหน้าสำนึกผิด พลางเอ่ยขอโทษทันทีที่มาถึง 
      แล้วโดยไม่ต้องให้พวกท่านพูดอะไรมาก ตลอดระยะการเดินทางก็เต็มไปด้วยบรรยากาศชวนอึดอัด กว่าจะถึงบ้านก็ค่อยๆทุเลาลง เริ่มส่งเสียงครึกครื้นกันได้อีกครั้ง



      และแล้ว การเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลงที่บ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์น ตัวบ้านทาด้วยสีขาว
      แต่ที่ทำให้ตัวบ้านที่มีสีขาวนี้ดูโดดเด่นเห็นจะเป็นหลังคาสีฟ้าเข้มตัดกับท้องฟ้าสีคราม ที่มีเพียงหลังเดียวในบริเวณนี้ สนามหญ้าหน้าบ้านนี่ก็เขียวชอุ่ม มีละอองน้ำรดจนชุ่มอยู่ตลอดเวลารอบๆบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ทั้งใหญ่และเล็กดูร่มรื่น มีดอกไม้เป็นหย่อมๆปลูกเรียงรายไว้ทั่วดูสดชื่นและสบายตา 


      เพลิดเพลินจนเต็มอิ่มระหว่างทาง พอมารู้สึกตัวอีกที นางน้อยก็ถูกพามาไว้ที่ริมหน้าต่างภายในห้องโถงสีขาวที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย 



      นอกจาก เปียโนหนึ่งหลังอยู่กลางห้องอันว่างเปล่า


      ซึ่งเมื่อชายหนุ่มผู้มีสายตาประหลาด เอากระถางต้นกล้าดอกฮอลลี่มาวางไว้เสร็จสรรพแล้ว เตรียมตัวจะหันหลังกลับออกไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความเศร้าในใจซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดในห้องอันว่างเปล่านี้ 



      ก่อนที่อะไรไม่รู้มาดลใจให้คิดเช่นนั้น
      ท่วงทำนองเพลงเคล้าคลอเข้ามากระทบใจให้ผ่อนคลายลง เหมือนช่วงเวลาได้หยุดลง
      มันเป็นเสียงที่ดังมาจากเปียโนที่ชายหนุ่มได้บรรเลงอยู่ด้วยปลายนิ้วเรียวงามพลิ้วไหวเป็นจังหวะ



      จนกระทั่งเพลงจบลง พอกับที่สะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์ราวกับเมื่อกี้ได้ข้ามผ่านสะพานแห่งความฝันที่มีชายหนุ่มผมสีเงินยวงในชุดสูทสีขาวกำลังรอคอยอยู่ ให้เดินทางไปด้วยกัน 


      ....ดินแดนแห่งความฝันที่มีเพียงเขาและเธอ....


      หากห้องสีขาวนี้ปราศจากบทเพลง ก็คงเป็นเพียงห้องใต้หลังที่ว่างเปล่า แลดูมืดอึ้มครื้ม ขมุกขมัวราวกับมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่พึงประสงค์จะออกมาทุกที พลอยทำให้รู้สึกน่าหวาดหวั่นเล็กน้อยได้แต่หวังว่า กุญแจซอลคงจะกลับมาที่ห้องอันว่างเปล่านี้อีก มาบรรเลงเพลงเพราะๆ เสกสรรบรรยากาศให้สดชื่นแลสดใสขึ้น 


      ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย....


      ฉับพลัน ภาพห้องใต้หลังคาก็สั่นครืนเหมือนมีใครมาปรับสัญญาณคลื่นโทรทัศน์ แล้วจอภาพก็เปลี่ยนสภาพภายในห้องมืดๆที่มีเพียงแสงรำไรเล็ดลอดมาทางช่องหน้าต่างบานเดียว ให้กลายเป็นท้องทุ่งกว้างไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 


      นกร้องขับคลอไปกับใบไม้ที่ส่งเสียงร้องยามเมื่อลมพัดผ่านเป็นจังหวะแห่งท่วงทำนองดนตรีที่รังสรรสร้างจากธรรมชาติ เจ้ากลีบผกาโลดแล่นเต้นรำกลางพรมหญ้ากว้าง จนมาสะดุดชะงักกับเสียงหวานที่ถูกบรรเลงมาจากเปียโน แว่วผ่านมาจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อเจ้ากลีบผกาน้อยสหันไปมองตามที่มาของเสียงที่ผิดแผกจากธรรมชาติสร้าง 


      เทพบุตรที่จุติมาจากสวรรค์ได้ลงมารังสรรค์บทเพลงเบื้องหน้านางน้อย เขาสวมชุดสีขาวโพลนออโรร่าเรืองรองราวกับไม่ใช่มนุษย์ที่จะมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นางน้อยเยืองย่างย่องเข้าไปใกล้ๆ เพื่อให้มองเห็นหน้าชัดๆ แต่แสงสว่างที่เจิดจ้ากลับสะท้อนแยงตาเธอกลับมา อย่าแม้แต่คิดที่จะแงมมองดู หากแต่แค่คิดที่จะเข้าใกล้ราวกับถูกแผดเผา ดั่งพระสุริยันลงมา 


      พระสุริยันเบือนหน้ามาเล็กน้อย ยิ้มละมุนละไมก่อนที่ภาพสุดท้ายนั้นจะคลาดสายตาไป ภาพถูกตัดมาที่ห้องใต้หลังคาเหมือนเดิม หากใจดวงน้อยยังไม่หายสั่นอยู่เลย


      ..................


      ความงดงามที่ถูกรังสรรจากปลายนิ้วเทวดา องค์พระสุริยันอันเจิดจ้าที่ไม่อาจแม้จะเข้าใกล้ได้ นางน้อยเต้นรำไปรอบๆท้องทุ่งท่ามกลางเสียงเปียโนที่พริ้วไหวโอบกอดไว้ด้วยความเศร้าสร้อย แล้วทันใดนั้น เทพบุตรกลับหยุดบรรเลงเพลง สรรพสิ่งหยุดชะงัก เวลาได้หยุดลงแล้ว มีเพียงแค่สองเราที่ยังคงเคลื่อนไหวได้ คืบหน้าเข้าหากันเรื่อยๆ แล้วพลังแห่งพระอาทิตย์กลับทำให้ภาพนั้นมลายหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงแต่ห้องใต้หลังคาคร่ำครึดังเดิม 


      ..................


      กริ๊ก 


      กุญแจซอลมารดนำ้ต้นไม้ที่ห้องนี้ทุกเช้าและเย็น และพอมีเวลาจะบรรเลงเปียโนเปลี่ยนห้องนี้ให้เป็นท้องทุ่งกว้าง อันเป็นพลังของท่วงทำนองนี้ 



      ส่วนกาฝากใต้ต้นฮอลลี่อย่างชบาแก้วก็กลับได้น้ำให้ชุ่มชื่นหัวใจไปด้วยเสียงหวานๆจากปลายนิ้วที่รังสรรค์ท่วงทำนองผ่านออกมา บทเพลงอันแสนไพเราะ ที่เหมือนถูกสาป เพราะฟังทีไรเป็นอันเคลิบเคลิ้ม เหมือนต้องมนตร์สะกดทุกทีเลย 


      เมื่อไหร่หนอ...เราจะได้เจอกันสักที 


      ..................




      ทว่า...กลับมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลที่เปลี่ยนไป เพราะช่วงนี้แม่ดอกไม้ไม่ได้กลับไปเล่นกลางท้องทุ่งอีกเลย เหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่าง 


      "ว้าย ตั๊ยยแล้ว" เสียงกรีดร้องแบบไร้ซึ่งสุรเสียงสะท้อนวังเวงภายในห้องใต้หลังคา เมื่อสาวผกาพบว่า ต้นไม้เฉาตาย สาวผกาลุกลี้ลุกลน ร้อนรนอยู่ในห้องแคบๆนี้ อย่างทำอะไรไม่ได้ เธอคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะว่าต้นไม้กำลังขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงชีพ 


      ใช่ๆ ต้องให้น้ำ 
      เมื่อไหร่น้า าา า...คุณยายจะมาให้น้ำสักที สาววัยแรกแย้มเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อมองหาหญิงชราอย่างที่ท่านเคยมาให้แทนเมื่อครั้งที่กุญแจซอลหายไป 


      กุญแจซอลห่างหายไปนานทีเดียว ไม่ได้กลับมาเล่นด้วยกันอีก แม้กระทั่งต้นไม้ก็ไม่ได้เข้ามาให้น้ำเลย  เขาหายไปไหนกันน้าาา----!! สาวน้อยได้แต่คิด และถอดถอนใจข้างริมหน้าต่าง อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อจะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ต้องอยู่ที่นี่ รอวันให้กุญแจซอลกลับมาเท่านั้น 


      ..................


      จนกระทั่ง พลันได้ยินเสียงประตูถูกแง้มออกมาช้าๆ ขณะที่สาวน้อยกำลังพร่ำเพ้อถึงต้นไม้ที่ใบร่วงโรย เหม่มองออกไปไกลแสนไกล อย่างไร้เลื่อนลอย จนไม่ทันได้สังเกตถึงการมาของคนๆหนึ่ง สติสตังได้กระจัดกระจายไปอย่างกู่ไม่กลับ สงสารฮอลลี่จับใจ มีเพียงเสียงบรรเลงจากเปียโนหลังนั้นใจกลางห้องได้แว่วเข้ามาอย่างน่าประหลาดทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่เปียโนจะเล่นเองได้ หากแต่พอร่างเรือนน้อยได้คล้อยหลังหันกลับไปมองก็ต้องชะงักความคิดอื่นใดไว้  คำตอบการสันนิษฐานได้กระจ่าง ณ เบื้องหน้านั่นเอง 



      เงาจางๆของคนที่อยู่เบื้องหลังประตูบานนั้น ก็ออกมาปรากฎกายให้ได้เห็นชัดๆ
      แล้วมันอดกลั้นความตื้นตันใจไปพร้อมๆกับเสียงหัวใจที่สั่นไหวไม่ได้ เมื่อเขาคนนั้นไม่ใช่ใคร
      แต่เป็นคนที่หัวใจดวงน้อยนี้ได้เฝ้ารอมาโดยตลอด.....กุญแจซอล



      ท้ายที่สุด เจ้าของบทเพลงที่จะมาเติมเต็มให้ห้องนี้สว่างไสวขึ้นทุกๆที มีแต่เพียงท่วงทำนองนี้แหละที่จะเยียวยาได้ทุกสิ่งอัน และแล้วสะพานรุ้งก็ได้ทอดยาวก้าวผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงอีกครา คราวนี้แหละที่สาวน้อยจะก้าวเท้าอันเปลือยเปล่าข้ามผ่านสะพานนี้เพื่อที่จะเข้าไปหา ชายหนุ่ม ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสะพานให้ได้ 


      หากแต่ก็เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ที่น่าจดจำ 


      หึ....ก็ไม่เลวนักหรอกนะ 


      ในเวลาที่ได้โลดแล่นอยู่บนทางแห่งห้วงทำนอง สองเท้าเปลือยเปล่าก็ได้วิ่งออกตามหาเจ้าของบทเพลงที่มาแต่งแต้มเติมเต็มตัวโน้ตนี้ ทั้งๆที่เสียงดนตรีก็ได้คละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ แต่หากลับพบเจ้าของบทเพลงเสียที ความเหนื่อยล้าที่วิ่งออกตามหาสิ่งที่มองไม่เห็นมีเพียงแต่ความรู้สึกที่รู้ว่ามีตัวตนอยู่กลับไม่ได้เป็นกุญแจมาไขปริศนานี้ได้เลย 


      สาวน้อยร่างบางหยุดวิ่งชั่วขณะ พลางหอบลมหายใจถี่ๆด้วยความอ่อนล้าที่ออกตามหาในสิ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ชั่วขณะหนึ่ง พลันใดนั้นเสียงเพลงก็กลับหยุดชะงักลงทันใด ภาพแห่งฝันได้สลายไป คงเหลือทิ้งไว้เพียงห้องใต้หลังอันว่างเปล่า 


      นั่นเป็นเพราะสองปลายนิ้วได้หยุดบรรเลงทำนองเพลงนี้ ถึงทำให้สาวน้อยที่ไร้ตัวตนในสายตาของกุญแจซอลได้กลับมาที่เดิม ในขณะเดียวกันนั้นเอง ปลายตาคู่หนึ่งได้ชำเลืองมองมายังหน้าต่างบานเดียวนี้ กลีบดอกไม้ไหวระริกเมื่อครั้นได้ประสบกับดวงตาสีน้ำทะเลหยั่งลึกคู่นี้ 


      กุญแจซอลลุกออกมาจากที่นั่งตรงนั้น ค่อยๆพุ่งตัวเข้ามาหาจนร่างบางแทบหงาย หัวใจดวงน้อยหยุดเต้นไปชั่วขณะ หลับตาปี๋ กลั้นหายใจเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มพลันรู้สึกตัวว่ามีคนจับจ้องอยู่ ในเวลานี้สองร่างแทบจะอยู่ประชิดตัวติดกัน หากแต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงกัน เหมือนอยู่กันคนละโลก 



      เมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่ตอนนี้เข่าอ่อนไร้ซึ่งเรี่ยงแรงไปหมด เขาก็มีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย สังเกตจากคิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปม พอลังเลสักพัก เขาก็ตะโกนด้วยเสียงนุ่มทุ้มที่ฉันไม่ได้ยินมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย เรียกหาใครบางคน หากเป็นเพราะเขาสังเกตได้ถึงต้นไม้ดูเฉาๆไป


      "ฮอลลี่" กุญแจซอลโพล่งคำพูดออกมา ก่อนวิ่งปรี่ออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงสาวน้อยให้ค่อยๆทรุดตัวกองลงไปกับพื้นไม้ปาเก้ ขัดมันวาววับนี้เอง 



      ทั้งๆที่ฮอลลี่เองก็ได้รับน้ำจากคุณยายทั้งเช้าและเย็น แต่มันดูไม่สดชื่นเหมือนแต่ก่อนเลย ก็ไม่ต่างจากความรู้สึกของแม่ดอกไม้ที่อ่อนแอลงไม่เเพ้กัน ครั้นเมื่อกุญแจซอลจากไปสักพักหนึ่ง 


      "ฉันอยากให้เธอช่วยเยียวยาหัวใจของพวกเราให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม" สาวน้อยคิด


      ..................



      "คุณยายครับ ไม่ได้มาดูต้นไม้ให้ผมเหรอ ในระหว่างที่ผมไปเรียนเนี่ย" แล้วก็มีเสียงตอบกลับมา แต่คราวนี้เป็นเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้ง 



      "อ้าว.....ยายก็ไปดูให้ทุกวันนะ มันเป็นอะไรไปซ่ะล่ะ"



      "มันเฉาไปแล้ว" เสียงเขาอ่อนลงเล็กน้อย จนฟังเหมือนกระซิบ



      "อะไรนะ หูไม่ค่อยดี พูดดังๆหน่อย" ยายตะโกนถามต่อ เพราะได้ยินไม่ค่อยชัด



      "ไม่มีอะไรครับ"
      เขาตอบกลับไป หลังจากที่ได้ยินเสียงของคุณยายตะโกนถามมาซ้ำแล้วซ้ำอีก
      เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไม่ตอบสักพักใหญ่



      "ช่างมันเถอะ....." กุญแจซอลพูดปัดไปยังงั้น เพราะถึงอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี  เขาจึงต้องนึกหาวิธีที่จะทำให้ต้นไม้กลับมาสดชื่นเหมือนเดิม นี่คงเป็นทางเดียวที่จะช่วยยืดเวลาให้ต้นไม้ต้นนี้ได้ 



      หากคำพูดนั้นกลับสะเทือนใจหัวใจดวงน้อยนี้เหลือเกิน พลันรู้สึกใจเสียขึ้นมาตะงิดๆ นึกไปว่ากุญแจซอลคงแลไม่สนใจกันแล้ว ไยจึงจะทิ้งกันไป 



      "เขาคงจะไม่ไช่จะไม่มาสนใจพวกเราอีกแล้วใช่มั้ย
      ?" ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นจ้องนิ่งให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกถึงทรวงอก ทั้งๆที่นั่นก็คือท่าทีเวลาคิดไม่ตกของชายหนุ่มตามปกติที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ 



      ถึงตอนนี้รู้สึกชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ในขณะที่น้ำตาหยาดสุดท้ายกำลังเอ่อคลอเบ้าตา อันเป็นความอ่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของสาวน้อยเอง พลันไปเลือบเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกแล้ว น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั้นเอ่ยมาเรียบๆ



      "ถึงอย่างไร มันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ที่ทำได้ในตอนนี้คือ ทำต่อไปให้ดีที่สุดล่ะกัน
      ฉันจะอยู่ข้างๆเอง จากนี้ไปฉันจะเอาไปดูแลที่คอนโดเองดีกว่า เพราะถ้ามันผิดพลาดยังไง
      จะได้ไม่ต้องไปโทษใครอีก" ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่งเหมือนเขาพูดเพ้ออยู่คนเดียว
      แต่มันกลับทำให้จิตใจที่ห่อเหี่ยวกลับมาสดชื่นอีกครั้ง



      ดั่งดอกไม้ที่ผลิบานในหัวใจ ที่แท้คำกล่าวนี้มันเป็นอย่างนี้เอง


      ..................


      แม่จ๋า...ในที่สุดหนูก็ได้พบกับคำตอบแล้วล่ะจ๊ะ ว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าและสำคัญสำหรับเราที่สุด
      ที่จะส่งผลให้หัวใจเรามีความสุขที่สุด 


      ตลอดเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน 
      มันเป็นช่วงเวลาที่หัวใจชุ่มช่ำไปด้วยละอองแห่งความรักที่ลอยฟุ้ง



      หนทางที่เต็มไปด้วยไอละอองแห่งความอบอุ่น ช่วงเวลาดีดีจากสิ่งเล็กๆที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
      พอตื่นมาก็ยังยิ้มรับได้ จากนี้ไปจะเป็นเช่นไรนะ แค่มีเขาก็ทำให้โลกสดใสราวกับโลกทั้งใบเป็นสีชมพู แม่สาวน้อยกำลังซึมซับกับสิ่งที่สำคัญที่จะรักษาไว้ให้ยืนยาวตลอดไปอยู่นั้นเอง


       

      ..................



      การเดินทางที่ไม่หยุดอยู่กับล่องกับลอย ก็แล้วแต่สายลมจะพัดพาไป นี่คือโชคชะตาที่ได้กำหนดไว้แล้ว ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ยิ้มรับกับความเป็นจริงคือสิ่งที่ทำให้อยู่ได้ 


      ....ก็ไม่เลวนักหรอก.... 


      เมื่อได้เดินทางมาถึงสถานที่แห่งใหม่ อาคารระฟ้าที่สูงลิบลิ่วเฉียดฟ้า
      ยิ่งพอขึ้นมาเรื่อยๆแล้วราวกับได้เหยียบย่ำบนก้อนเมฆ ทว่ากลับดูเหมือนโลกแคบลง
      ที่ไม่ต่างอะไรจากห้องสีขาวอันว่างเปล่าที่มีเพียงเปียโนตั้งหลังหนึ่ง
      จะต่างกันก็เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมทีมีเฟอร์นิเจอร์วางไว้เป็นหย่อมๆ กระจัดกระจายทั่วไป
      แต่ก็เป็นห้องที่สะอาดสะอ้านดี จากนั้น ต้นฮอลลี่ก็ได้ถูกนำมาวางไว้ริมระเบียงที่ลมโกรก



      สายลมที่พัดพามา หวนให้คิดถึงเปียโนหลังนั้นที่บรรเลงเพลงเพราะๆ
      มันไม่มีอีกแล้ว ไม่เป็นไรถึงจะเศร้านิดหน่อย 
      แต่ช่วงเวลาต่อจากนี้ที่จะได้อยู่ใกล้ๆกันตลอดเวลา 
      ยกเว้นช่วงกลางวันที่กุญแจซอลจะออกไปข้างนอกเท่านั้น




      และวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกๆวันที่ผ่านมาตั้งแต่ได้โยกย้ายมาอยู่ที่นี่กับกุญแจซอลและเพื่อนร่วมห้องของเขาอีกคนที่รูปร่างสูงโปร่งชลูดพอมายืนเคียงข้างกันแล้ว ก็เทียบรัศมีเปล่งปลั่งไปด้วยแสงออโรร่าแห่งความงดงามดั่งเทพบุตร มาเดินดินไม่ได้เลย แต่เพื่อนคนนั้นค่อนข้างดูเป็นมิตรและขี้เล่นมากกว่ากุญแจซอลที่ดูเคร่งเครียดตลอดเวลา


      ยกเว้นยามเล่นเปียโนและดูดอกไม้


      ...............


      สาวน้อยร่างบางเดินเล่นไปรอบๆห้อง อย่างไม่รู้จักเบื่อ 
      เพียงเพราะตรงข้างๆหัวใจจะมีอยู่เคียงข้างตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน
      ไม่รู้ว่า อีกคนจะไม่อาจรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนของอีกฝ่าย
       ไม่เป็นไรหรอก
      เพราะถึงอย่างไร แค่นี้ก็ดีมากพอแล้วที่ได้มาพบกันวันนี้ 



      ปล่อยใจให้คิดเรื่อยเปื่อนนับแต่บ้ายมาอยู่ที่นี่ มันช่างเงียบสงบจนสงัดมาก
      หรือจะเป็นเพราะที่แห่งนี้มันอยู่มันสูงลิ่วจรดปุยเมฆอย่างนี้นะ เลยทำให้เสียงแทรกผ่านไม่ได้
      ทั้งผนังห้องยังทำเป็นเยื่อบุกั้นเสียงอย่างดี ให้ความรู้สึกที่เงียบจนน่ากลัวจะวังเวง
      กิจวัตรประจำวันของเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่มีความเหมือนในความต่างกันโดยสิ้นเชิง 
      นี่ยังไม่รวมถึงบุคลิกนิสัยใจคอที่แตกต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งเงียบขรึม ไม่เป็นมิตรในยามอยู่ใกล้กันก็ดูจะน่าหวาดหวั่น พรั่นพรึง หากแต่อีกคนกลับดูร่าเริง ขี้เล่น และเป็นมิตรมากกว่า ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้เลยแท้ๆ หากแต่เขาสองคนกลับสนิทสนมกันอย่างไม่มีใครคาดคิดได้ 


      ด้วยสีผมของกุญแจซอลมันเป็นสีเงินโดดเด่น ที่ตัดจากผมของเพื่อนอีกคนกลับเป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิงที่เฉดด้วยสีทองอมส้มแต่งแต้มไล่สีกันอย่างงดงาม 


      ส่วนที่คล้ายๆกัน คือ พวกเขาออกจากห้องสี่เหลี่ยมในตอนเช้าตรู่
      พอจะกลับมาก็เย็นจนจะมืดค่ำแล้ว ทั้งคู่ต่างแยกย้ายไปทำกิจกรรมสุดโปรดของตัวเองก่อนเข้านอน



      "เห้ย..ซอล อีกไม่นานก็จะจบแล้ว นายคิดจะบอกพี่เค้ามั้ย?"  
      นูคีย์ เพื่อนร่วมห้อง พอกลับมาถึงก็มานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วจู่ๆก็ฉุกพูดคุยกันด้วยเรื่องราวที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ



      พอกลับมาถึงบ้านกุญแจซอลก็จะมารดน้ำต้นไม้ให้ฮอลลี่ที่ตอนนี้ออกดอกสีชมพูหวานบานสะพรั่ง 
      มันเป็นเพราะพลังแห่งความรักจริงๆสินะ ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ใกล้ตายได้ฟื้นสภาพมาอีกครั้ง แล้ว สะดุ้งเฮือกกับสิ่งที่นูคีย์พูดขึ้นมา พลันทำให้รู้สึกร้อนรุ่มในทรวงอก ดวงหน้าแดงกร่ำ หัวใจเต้นแรง ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วสินะ  

       

      ..................


      วันเวลาแห่งความสุขสงบได้ดำเนินมาเรื่อยๆ จนอยู่มาวันหนึ่ง
      ในขณะที่ฉันเหม่อมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีแม้ยอดของตึกในตัวเมืองมาบดบังทัศนียภาพนี้เลยมองเห็นกลุ่มของเมฆน้อยลอยละลิ่ว เคลื่อนตัวผ่านกันไปผ่านกันมา
      ดูกลมกลืนไปกับท้องฟ้าสีครามนี้จริงๆ เหมือนกับสรวงสวรรค์
      ยิ่งมีเสียงเพลงขับเคล้าคลอไปด้วยอย่างนี้แล้ว พลอยทำให้เคลิบเคลิ้มไปด้วย
      เหมือนกำลังเดินอยู่ในความฝันอย่างไรอย่างนั้น



      อืม.....บทพลงอันแสนคุ้นเคยนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนน้าาาา ใช่แล้ว!!
      เป็นเสียงเปียโนที่ซอลเคยเล่นให้ฟังบ่อยๆยังไงล่ะ มันยิ่งรู้สึกได้ถึงความผิดแปลกอะไรบางอย่าง
      ทำไมถึงได้ยินเสียงเพลงได้ล่ะ หรือหูฟาดคงแว่วแผ่วเสียงไป




      ทำให้หวนคำนึงพร่ำเพ้อถึงเสียงเพียงครวญคร่ำแต่ก่อนเก่าอย่างนี้
      บทเพลงหวานที่ทำให้ซาบซ่านหัวใจดวงน้อยๆ มาติดบ่วงห้วงความฝันพลันสลายมาจนบัดนี้
      ที่มีเพียงแต่ภาพห้วงคำนึงให้คิดถึง เหมือนคลำหาบางสิ่งที่ขาดหายไปในอากาศอันเวิ้งว้าง
      สิ้นสุดแล้วปลายทางความว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรเลย




      ถึงจะคิดอย่างนี้ แต่สายตากลับเล็งเพ่งผ่านม่านฟ้าหลัว 
      ลองนึกดูถึงปลายทางแห่งความฝัน วาดหวังว่ามันจะเห็นเป็นจริงสักครั้ง สะพานรุ้งนั้นที่ได้พาดผ่านเส้นทางแห่งความฝัน วันที่เราจะได้พบกันบนปลายทาง ณ ที่ใดที่หนึ่งนั้นเอง 



      ถึงมันจะเป็นความหวังเพียริบหรี่(เพียงร้อยละ0.01%ก็ยังดี)
      ขอให้ได้พบกับเจ้าของบทเพลงอันคุ้นเคยนี้ที่ใฝ่ฝันมาตลอด สิ้นแล้วเสียงเพลงบรรเลงกล่อม
      แต่ยังเก็บความทรงจำคร่ำครวญไม่หวนกลับ ถึงท้ายที่สุดแล้วจะกลับหักจิตที่คิดหลบไม่พ้นหน้า
      ก็ต้องเผชิญกับความจริงอีกครั้ง ฝืนตัวเองให้หันไปมองไม่ได้ คงเป็นแค่ความว่างเปล่าในห้องสีขาวยามเมื่อถูกแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเย็นแตะต้องผนังผันเปลี่ยนสีไปตามแสงที่ตกกระทบ
      พลันค่อยๆลืมตาเพื่อเผชิญกับความจริงอีกครั้ง แต่แล้ว.....!




      สายลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่างริมระเบียง 
      ประกอบกับแสงแดดอ่อนๆที่ส่องมากระทบกับเส้นผมสีเงินดุจใยไหมละเอียด
      นั่งนิ่งอยู่เบื้องหลังแป้นคีย์บอร์ด  ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าคาดตา
      แต่ก็ไม่ยากเกินการสันนิษฐานให้ผิดพลาดได้ เขาเงยหน้าจากแป้นคีย์บอร์ด
      ส่งผลให้ดวงตาสีน้ำทะเลส่องเป็นประกายยามต้องกับแสงอาทิตย์
      รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากเล็กๆ ยังไม่ทันที่ร่างแบบบางจะได้ตั้งตัว
      ชายหนุ่มก็เดินตรงมาที่ริมระเบียงแล้ว
      มาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับสัมผัสไม่ได้ จ้องมองมาแน่นิ่ง
      จนได้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา 
      สาวน้อยไร้เดียงสาในตอนนี้แทบจะหยุดหายใจไปแล้ว พลันก็ได้ยินเสียงของเขาพร่ำเบาๆ



      "ดอกเริ่มตูมออกมาแล้วสินะ อีกหน่อยคงมีดอกที่บานสวยที่สุดแล้วจะได้....."
      พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุด จนสังเกตเห็นใบหน้าขาวนวลเริ่มมีสีแดงระเรื่อแต่งแต้ม



      จากนั้นเขาจึงหยิบรูปถ่ายใบนึงจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดู มันทำให้หัวใจน้อยเริ่มแตกสลายทีละนิด
      หยาดน้ำตาที่ไม่น่าจะมีให้ไหล ถึงตอนนี้มันกลับพรั่งพรู



      เมื่อในภาพนั้นเป็นรูปของหญิงสาวผมยาวสยายไปตามสายลม
      ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกวิสเตเรียที่ย้อยลงมาเหมือนน้ำตกสายสีม่วง
      ดูแล้วช่างกลมกลืนกับชุดวันพีชสีฟ้าอ่อนที่เธอใส่ แต่ก็ให้ความรู้สึกโดดเด่นมากทีเดียว



      เขามองภาพนั้นอยู่นาน รอยยิ้มบนมุมปากไม่ได้จืดจางหายไปเลยตั้งแต่เเว่บแรกที่เขามองมัน
      หากสาวน้อยไม่กล้าที่จะสบตาเขาอีก ได้แต่เจ็บชอกช้ำสุดขั้วหัวใจที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา



      ก่อนที่กุญแจซอลจะเดินกลับเข้าห้องสีขาวไปทำกิจวัตรปกติ
      มีแค่ใครบางคนในนั้นที่ไม่ปกติอีกต่อไป 
      เขานำรูปถ่ายเมื่อกี้ใส่กรอบรูปไม้อันเล็กๆมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วางลงข้างๆต้นฮอลลี่
      ซึ่งสาวน้อยได้ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นด้วย เขาหันมายิ้ม ให้กับภาพนี้อีกครั้งก่อนเดินจากไป
      ทิ้งร่องรอยแห่งความชอกช้ำระกำใจให้คนที่ไร้ตัวตนไว้กับภาพนี้เหลือเกิน
      ไม่น่าจะเอะใจตั้งแต่แรกแล้วนะ ถึงบทเพลงที่แฝงอะไรบางอย่าง จนเพิ่งมารู้สึกเอาวันนี้ 
      มันเป็นเพลงหวานซึ้งที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างอยู่ในบทเพลงนั้น
      ถีงตอนนี้มันเป็นบทเพลงที่เศร้าที่สุดเท่าที่เคยฟังมา



      >>ความรู้สึกที่เรียกได้ว่ารักเริ่มก่อตัวขึ้นจากความเหงา<<


      ..................


      จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความรู้สึกนี้
      บทเพลงที่เขาส่งมาในทุกครั้ง แทบจะฟังไม่เข้าหู ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร 
      สะพานที่เชื่อมโลกของเรานั้น กลับตันจนน่าใจหาย
      ไม่อาจจะก้าวข้ามผ่านไปได้อีกแล้ว 
      ในเมื่อได้รู้สึกตัวเองสักทีว่าเป็นแค่อะไร แล้วรู้สักทีว่าอะไรเป็นอะไร 
      ความรู้สึกที่ไม่มีได้เข้าถึงกันและกัน 
      แต่เพราะเพิ่งรู้ตัวว่า มันมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปได้แล้ว 



      ตั้งแต่วันนั้น สาวน้อยริมหน้าต่างซึมเศร้าไปเลย ไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน 
      ที่ยังมีอารมณ์สุนทรีย์ชื่นชมธรรมชาตินอกหน้าต่าง ไม่มีอีกแล้ว
      รู้ดีว่าความรู้สึกได้อ่อนแอลงไปมากตราบใดที่ไม่มีกุญแจซอลอยู่ข้างๆกัน 
      เพราะตอนนี้เขาคงกำลังไปชื่นชมดอกไม้ดอกอื่นมากกว่าที่รายเรียงอยู่เต็มพื้นที่ระเบียงนี้
      ยิ่งฉันมารู้ภายหลังว่ามันเป็นดอกไม้ที่หญิงสาวในชุดวันพีชสีฟ้าอ่อนคนนั้นเป็นคนให้มาด้วยล่ะก็ 



      ในขณะที่ชีวิตน้อยๆนี้กำลังจะเฉาตาย 
      สายลมอันอ่อนโยนก็พัดผ่านมาหยุดชะงักเวลาไว้ชั่วขณะ
      ทำให้หวนคิดถึงช่วงเวลาที่มีค่าที่ผ่านมา ตั้งแต่ออกจากอ้อมอกแม่ 


      โชคชะตาได้พาเดินทางให้มาพบกัน 
      เพียงแค่นี้น่าจะเพียงพอแล้ว อีกอย่างก็ไม่อาจขออะไรได้มากมาย
      เมื่อใดที่ยังมีความรู้สึก คือมีชีวิตที่จะต่อลมหายใจได้ 
      ท้ายสุดก็ขอใช้ความรู้สึกที่มีนี้ รักคนนี้ รักที่สุด เพราะเกิดมาได้เรียนรู้ที่จะรักก็พอแล้ว
      รอยยิ้มจางๆเริ่มเกิดขึ้นในหัวใจดวงน้อยนี้ ความเข้มแข็งถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปตามคำสุดท้ายที่แม่ได้บอกไ้ว้ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพราะยิ่งมีความต้องการมากขึ้นเท่าไหร่มันก็จะไม่รู้จักพอสักที



      ขอแค่สิ่งเดียว คือจะอยู่เคียงข้างกันจนวันสุดท้ายมาถึง
      สาวน้อยค่อยๆหลับตาลง เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งบนเส้นทางเลือกเดิม


      เพียงมีสายลมเบาๆพัดผ่านก็เหมือนได้ชุบชีวิตต่อยอดลมหายใจสาวน้อยค่อยๆฟื้นคืนชีพอีกครา


      ..................


      ตอนที่ miracle by dandelions

      ความหวังของแดนดิไลออนน้อย 




      พอลืมตาตื่นขึ้น พลันนึกขึ้นได้ว่า ชีวิตที่มีน่าจะเฉาตายไปตั้งนานแล้วนับจากนั้น
      ไหงกลับเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในวินาทีถัดมา


      ร่างกายที่หนักอึ้งกลับรู้สึกเบาๆอย่างน่าประหลาด
      ขยับแข้งขยับขาได้อย่างอิสระโดยไม่มีอะไรมาหน่วงรั้งเอาไว้อีกต่อไป 
      ความสามารถ พลังที่มี ได้เดินสำรวจไปรอบๆห้องได้อย่างทั่วถึง 


      ห้องแคบๆแต่เดิม ยังถูกแบ่งเป็นห้องโซนย่อยๆอีก มีห้องพักผ่อนเป็นการส่วนตัวของชายหนุ่มทั้งสองมีสองห้องติดกัน มีห้องน้ำในตัวด้วย ถัดมาทางระเบียง เป็นห้องประกอบอาหาร


      ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ลืมอะไรบางอย่างไป
      เดินสำรวจห้องมาเรื่อยๆจนครบทุกห้องแล้ว ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าคีย์บอร์ดที่กุญแจซอลเล่นหลังจากที่กลับมาจากข้างนอก สาวน้อยลองใช้นิ้วเรียวยาวลองสัมผัสที่แป้นคีย์ปรากฏเป็นเสียงดนตรีดังเบาตามจังหวะที่แตกต่างกัน กระตุ้นความน่าสนใจเหมือนเด็กเล็กๆ ที่เห็นของเล่นใหม่ 



      ในตอนที่ร่างกายเป็นมนุษย์แล้ว  ให้ความรู้สึกที่ดีเอามากๆ


      ถึงแม้ว่ามันจะเหมือนกับอยู่ในความฝันก็ตามที แต่ก็ยังดีนะที่ได้เห็นฝันแบบนี้
      ถึงตอนนี้ก็ขอสนุกไปก่อนก็แล้วกัน แล้วจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากันแล้วกันนะ 



      สาวน้อยช่างฝันเดินเล่นมาเรื่อยเปื่อย
      ใช้ปลายนิ้วเรียวยาวจิ้มแป้นคีย์บอร์ดเกิดเป็นเสียงดนตรีที่ไม่เป็นจังหวะ จนเพลินไปเลย ก็ดันซุ่มซ่ามไปชนเข้ากับโต๊ะวางของที่อยู่ข้างๆ จนของที่วางอยู่นั้นตกเกลื่อนไปหมด จึงรีบร้อนเก็บทั้งหมดขึ้นมาไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม



      แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งเข้าพอดีที่มีรูปถ่ายแทรกอยู่ในนั้น
      ถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดู ปรากฏเป็นภาพถ่ายของหญิงสาวในชุดวันพีชสีฟ้าอ่อน
      ที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกวิสเตเรียคนนั้น ที่ฉุกความทรงจำที่แสนลำบากใจเหลือเกิน
      ยิ่งพอมีเขายืนข้างๆเธอด้วยแล้ว ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเงียบๆ



      หลังจากที่ได้เปิดอ่านข้อความบางอย่างในนั้น ทำให้ห้วงความคิดเปลี่ยนไป เมื่อทราบว่า เขาเพียงแค่แอบหลงรักหญิงสาวคนนี้ที่มีฐานะเป็นรุ่นพี่ หรือเป็นเพื่อนของพี่สาวแค่ข้างเดียว



      ความหวังได้พลันจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง


      ..................


      ในขณะที่กำลังเดินนู่นสำรวจนี่ไปอย่างเพลินๆอยู่นั้นด้วยหัวใจพองโตพอที่ได้ทราบข่าวแสนดีเช่นนี้ ทั้งๆที่ลึกๆก็อดสงสารเขาไม่ได้ที่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับความรู้สึกที่มีนี้ 



      ฉับพลันได้ยินเสียงตะกุกตะกักที่หน้าประตูห้อง ก่อนที่จะมีเสียงสัญญาณดังขึ้น



      ปิ๊บ! หนึ่งเป็นเสียงของเครื่องสแกนลายนิ้วมือผ่านเครื่องรับหน้าห้อง ร่างบางสะดุ้งนิดนึง
      แต่ไม่รู้สึกตกใจอะไร กลับดีใจเสียมากกว่าที่จะได้พูดคุยกับเขาซึ่งๆหน้า



      หลังจากที่รอคอยช่วงเวลานี้มานานแสนนานเพื่อที่จะได้บอกความจริง
      ทว่า.....จะไม่เปิดเผยความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาหรอก เพราะฉันรู้ด้วยตัวของฉันเอง
      ที่จะสร้างความลำบากใจให้เขาไปเปล่าๆ ฉันจึงเลือกที่จะเก็บความรุ้สึกนั้นไว้ไม่บอกเขาเด็ดขาด
      แต่พอมาคิดอีกทีหรือนี่อาจจะเป็นเพียงภาพความฝันที่ฉันแค่ฝันไปเท่านั้น
      เพราะพอตื่นมาฉันก็ได้กลับไปยืนอยู่ข้างต้นฮอลลี่เหมือนเดิมก็ได้



      แกร๊ก


      ในที่สุด ประตูก็ถูกแง้มออกน้อยๆ
      ก่อนจะค่อยๆขยายเป็นวงกว้างพอที่จะเห็นคนที่อยู่เบื้องหลังประตูไม้สักสีขาวที่ถูกสลักลายให้ดูหรูหรายิ่งนัก 



      สองเท้าก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างจากประตูไม่กี่ก้าว
      เผลอส่งรอยยิ้มหวานไปจนผู้เข้ามาได้ผงะถอยหลังติดประตูสลักลวดลายหรูหรานั้น
      อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางอย่างนั้นที่ไม่คิดว่าจะเป็นกุญแจซอล ก่อนที่ฉันจะหันกลับมามองเขาทำหน้าเหลอหลาอีกครั้ง เขาก็รีบถลาออกนอกประตูไป สร้างความงุนงงให้เป็นอย่างยิ่ง ???



      หรือว่า.....เขาจะตกใจนะที่มีผู้หญิงมาอยู่ที่ห้องเขานะ แล้วฉันจะบอกกับเขาว่าอย่างไรดีเนี่ย 




      ทว่า ท่วงท่าตอนเวลาตกใจของเขาเนี่ย ช่างน่ารักบาดตาบาดใจจริงๆ
      สาวน้อยเผลออมยิ้มอย่างขบขัน แล้วกลับไปครุ่นคิดก่อนที่จะตัดสินใจเดินไปเปิดประตู
      เพื่อออกตามหาเขาแล้วจะบอกความจริงกับเขา ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม
      (เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่ความฝัน คิดว่าใช่นะ)



      การพูดความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของความไว้เนื้อเชื่อใจคนที่รัก
      เว้นเสียแต่ถ้าทำให้เขาลำบากใจก็ให้อภัยกันหน่อยล่ะกัน 



      พอมือบางแง้มประตูออกนิดนึง ก็พบกับเขาที่ค่อยๆเเง้มประตูดูเหมือนกัน เห็นแต่เส้นผมสีเงินยาวประบ่า ตอนนี้สองร่างอยู่กันคนละฝากฝั่งของบานประตูนี้ กุญแจซอลรู้สึกระคนใจ หากยังไม่วายสงสัย ตรวจสอบเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้เข้าผิดห้องอย่างไรอย่างนั้นเลยเชียว ท่าทางของตอนนี้ดูตื่นตระหนกเป็นพิเศษ 
      คราวนี้สาวน้อยผู้แปลกหน้าในสายตากุญแจซอล ทำหน้าใสซื่อ แววตาดูไร้เดียงสา ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร กุญแจซอลก็ทำท่าจะหลบหน้าอีกด้วยการปิดประตูหนีหน้า ซึ่งคราวนี้เธอกลับใช้มือเล็กๆ รั้งที่ขอบประตูไว้ก่อนที่มันจะปิดลง



      ดวงตาเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามของฝั่งประตู ใช้มือเล็กๆง้างประตูไม่ให้ปิดตัวลง เท่านั้นไม่พอเธอฉวยโอกาส ดันถือวิสาสะจับมือถือแขนเขาซ่ะด้วย กุญแจซอลสะดุ้งสุดตัว แต่เขาไม่คิดที่จะสะบัดมือเล็กๆออกสักนิด แต่กลับทำท่าทางดูลุกลีลุกลนเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่ามีเงาคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ เขาก็รีบผลักหญิงสาวให้เข้าไปข้างในแล้วรีบปิดประตูลงกลอนโดยเร็ว 


      อดที่จะเเปลกใจไม่ได้กับการกระทำอันสลับซับซ้อนนี้ พอประตูถูกปิดลง
      กุญแจซอลเบือนหน้าหนี จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าสับสนก็ไม่เชิง
      เราทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูนานพอสมควร



      สายตาสองคู่เคลื่อนคล้อยต่ำลงมาเล็กน้อย รู้สึกผิดอยู่เต็มประดาแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
      ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี 


      แต่แล้ว.....! สาวน้อยแปลกหน้าก็เป็นฝ่ายฉุกตัดสินใจว่าจะเป็นคนออกไปจากที่นี่ เพราะแต่เดิมมันก็เป็นความผิดที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องของเทพบุตรหนุ่ม 


      ถึงแม้ว่าจะถูกนำพาให้มาอยู่อย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้วนะ
      T^T โธ่! ไม่อยากจะฝันอย่างนี้อีกแล้ว
      ตื่นซ่ะทีสิ


      ในเมื่อไม่ทางให้เลือกแล้ว สาวน้อยร่างบางจึงตัดสินใจที่จะถอนตัวออกไปเอง ถึงจะค่อยๆเบียดแทรกตัวออกไปจากทางเดินแคบๆแต่ร่างหนาของชายวัยฉกรรจ์กลับขวางกั้นทางออกประตูจนแทรกตัวออกไปไม่ได้ 



      "งั้น....หลีกทางหน่อยสิ ฉันจะไปแล้ว"
      สาวแปลกหน้าเอ่ยเสียงเรียบ ทั้งๆที่พยายามที่จะปลีกตัวออกจากห้องไป

      กุญแจซอลสะดุ้งเฮือกใหญ่กับร่างเล็กที่เบียดเข้ามาใกล้ ท้ายสุดเห็นทีที่กุญแจซอลอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่ากลับนิ่งเงียบไป ไม่มีคำพูดอะไรเล็ดลอดออกมาจนได้ เขาเอาแต่หลบซ่อนสายตา ก้มหน้างุด โดยที่ยังยืนกั้นประตูอยู่อย่างนั้น


      ทำไมไม่หลีกทางไปนะ


      ถึงตอนนี้ สองร่างยืนแนบชิดสนิทเนื้อ สาวร่างเล็กลอบสังเกตเห็นใบหน้าอันแดงกร่ำของร่างสูงโปร่งแม้กระทั่งใบหูก็แดงจนเหมือนมีเลือดขึ้นที่หู


      ความรู้สึกรำคาญและอึดอัดใจมาก อยากจะออกเต็มที่ พยายามแทรกตัวดันออกไปให้ได้
      ทว่ายิ่งดันเขาให้ออกห่าง....กุญแจซอลกลับขวางทางเอาไว้



      ถึงตอนนี้กุญแจซอลเริ่มที่จะมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากชวนหลงใหลตรงหน้า
      กายเขาสั่นระริกเหมือนลูกนกเปียกน้ำ ลมหายใจอุ่นๆรดซึ่งกันและกัน เกือบที่จะทำให้หยุดหายใจไปอีกรอบ



      "ดะ เดี๋ยวก่อน....."
      และแล้วกุญแจซอลกลั้นใจ หันหน้ามาสบตาสาวน้อยแปลกหน้าที่เพิ่งหลงมาห้องเขานี้ ไม่พอยังถือวิสาสะผลักเธอให้ห่างจากประตูเสียอีก 


      ตอนนี้บริเวณที่อยู่ให้ความรู้ร้อนอบอ้าวซ่ะเหลือเกิน เหมือนมีไอความร้อนแผ่มาสู่กันและกัน
      จวนเจียนจะเป็นลมอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ฉุกพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาก่อน



      "เธอ.....ก่อนจะไปไหน ไม่คิดจะหาอะไรปิดบังหน่อยเหรอ ผมไม่คิดที่จะรั้งตัวไว้หรอกนะ
      แต่ถ้าออกไปในสภาพอย่างนี้ก็ไม่ดีไม่ใช่เหรอ"



      กลับยิ่งทำให้เลือดในกายพุ่งพร่าน เมื่อหญิงสาววัยละอ่อนเหลือบเห็นตัวเองจากกระจกตรงบริเวณทางเข้าห้อง 
      แล้วหันกลับมามองชายหนุ่มที่ก้มหน้างุดๆอีกครา


      คราวนี้ก็เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งว่าทำไมกุญแจซอลถึงไม่สบตากัน ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในความเป็นมนุษย์สักเท่าไหร่ มีเพียงความรู้สึกเท่านั้น ที่พวกเราไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป
      เพราะตอนนี้สาวน้อยอยู่ในสภาพเปล่าเปลือยต่อหน้าผู้ชายวัยฉกรรจ์ ไร้สิ่งใดปกปิด 


      มันทำให้ความรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ก็เกิดปฏิกริยารีเฟรกซ์ปกป้องตัวเองในทันที
      ใช้มือทั้งสองข้างปิดบังดอกบัวตูมเอาไว้ แต่ก็ไม่คิดที่จะขยับไปไหน แค่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เป็นอย่างนี้



      "เดี๋ยวผมมานะ รออยู่นี่ก่อนนะ" กุญแจซอลค่อยๆเดินแยกไปอีกทางหนึ่งโดยไม่ได้หันมามอง
      สักพักหนึ่ง เขาก็กลับมาแล้วยื่นผ้าขุนหนูสีขาวสะอาดผืนหนึ่งให้ หญิงสาวรับมาไว้กอดแน่น



      "เอามาพันตัวไว้ก่อนล่ะกัน แล้วผมจะหาชุดอื่นมาให้ใส่นะ"
      สาวน้อยไร้เดียงสาทำตามเขาอย่างว่าง่าย เท่านี้อุณหภูมิในร่างกายก็ค่อยๆทุเลาลงกลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง 

      กุญแจซอลขุดๆคุ้ยๆตู้เสื้อผ้าอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นท่าไม่ดีที่จะให้ผู้หญิงแปลกประหลาดออกไปในสภาพแบบเปลือยกายล่อนจ้อนไปทั่วแบบนั้น ขณะเดียวกันนั้นเอง แสงสว่างขาวนวลมาห่อหุ้มรอบกายเรือนร่างละหงส์ เป็นปรากฎการณ์แสนประหลาด ที่อยู่ๆผ้าขุนหนูสีขาวบริสุทธิ์ที่พันร่างบอบบางเกิดผันแปรเปลี่ยนเป็นชุดเดรสสั้นแค่เข่าสีขาว ดุจใยไหมบริสุทธิ์ 100% สร้างความอัศจรรย์ใจในปฏิกิริยาน่าพิศวงนี้มาก 



      "อืม ...ลองสวมเสื้อยืดนี้แล้วกันนะ"
      กุญแจซอลไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ และไม่ทันได้ตกใจด้วยซ้ำ หากกลับรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็มีอะไรมาปกปิดผิวขาวเนียนนี้ไว้
      พอกุญแจซอลหันมาเห็นหญิงสาวเปลี่ยนชุดแล้วก็เก็บเสื้อยืดเข้าตู้อีกครั้ง 


      ก่อนที่จะเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาวแปลกหน้าอย่างช้าๆด้วยบุคลิคท่าทีที่สง่างามดั่งเจ้าชายในเทพนิยาย สาวน้อยมองเพลินไปหน่อยเลยตั้งตัวไม่ติดพื้นเมื่อเจ้าชายรูปงามเดินเข้ามาใกล้แค่ก้าวเดียว หญิงสาวผงะเซถอยหลังเกือบจะล้ม ดีที่เขาเข้ามาประคองเสียก่อน ไม่อย่างนั้น ก้นจ้ำเบ้ากับพื้นเสียแล้ว เธอเอ่ยขอบคุณเรียบๆ 


      ..................


      สายลมพัดผ่านแทรกมายังช่องตรงกลางระหว่างเรา เมื่อเจ้าของบ้านเชิญแขกผู้ที่ไม่ได้ถูกรับเชิญให้มานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น หญิงสาวนิ่งเงียบไม่สามารถที่จะตอบคำถามที่เขาเทคำถามมาใส่อย่างไม่หยุดยั้ง 


      จนกระทั่งกุญแจซอลเป็นฝ่ายเลิกถามไปเอง บรรยากาศภายในห้องก็กลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง เงียบเสียจนน่าดูอึดอัดใจ 


      หญิงสาวไม่รีรอให้คนที่เธอรักต้องมากลัดกลุ้มมากมายเพราะเรื่องสุดอัศจรรย์นี้ 
      จึงขอตัวออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้พร่ำเพรื่ออะไรมากมาย สายตา
      เหลือบไปเห็นกุญแจซอลยังคงนั่งก้มหน้ายู่ที่โซฟาเหมือนเดิม ไม่มีแม้วี่แววที่จะหันมามองตามที่สองเท้ากำลังก้าวออกจากห้องไปเงียบๆ 


      ความหวังเล็กๆที่จะขอให้เขามารั้งไว้อีกครั้งก็ต้องฝันสลายไป 
      ทำได้แต่เพียงออกเดินทางไปอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง
      เดินทางไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังคงมีสายลมพัดผ่านมาให้ชีวิตพริ้วไหวไปตามสายลมอ่อนๆนี้
      ซึ่งนับจากนี้ชีวิตนี้จะเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย
       ก็คงแล้วแต่โชคชะตากำหนดแล้วล่ะ 


      ..................


      เพียงก้าวเท้าออกมานอกตัวตึกที่สูงลิบลิ่วจรดปุยเมฆ กลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนกบน้อยเพิ่งออกมาจากกะลา สาวน้อยหันหลังกลับขึ้นไปมองชั้นบนสุดของตัวตึกทีแม้จะมองอะไรไม่เห็นแล้วก็ตามที เพราะมันได้ถูกลีนหายเข้าไปในกลีบเมฆแล้ว



      แต่ยังคงมองเห็นริมระเบียงที่มีต้นฮอลลี่ที่ถูกพักฟื้นหลังผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง
      พลันหลับตาก็ได้ยินเสียงเปียโนที่คุ้นเคยบรรเลงเป็นจังหวะขึ้นในหัวใจ
      ทว่า...ช่างน่าเศร้ายิ่งนักที่ต่อไปนี้จะไม่ได้ฟังเพลงเหล่านี่อีกแล้ว 



      ลาก่อน.....ฮอลลี่ เพื่อนรัก
      แล้วสักวันคงได้เจอกันอีกครั้ง 



      ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อมีสุขและจะต้องมีทุกข์
      ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ใครๆจะต้องผิดหวัง
      เป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปเสียแล้ว
      แต่สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึก
      ขึ้นอยู่กับว่าทำใจยอมรับมันได้มากแค่ไหน
      และกล้าที่จะเผชิญโลกใบใหม่บนถนนสายเดิม


       

      ********************

       

      ความคาดหวังว่าที่พอตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้ ก็จะได้กลับไปอยู่ใต้ต้นฮอลลี่เหมือนเดิม 
      เป็นดอกหญ้าดอกเดิมที่ไม่มีความหมายอะไร ไม่ต้องการปาฏิหาริย์ใดใดขอแค่เพียงไม่ต้องจากกันตลอดกัลป์แบบนี้ 



      หลังจากที่น้ำตาหยาดสุดท้ายไหลรินอาบแก้ม พอลืมตาตื่นขึ้นมาบนพื้นสกปรก ในซอยคับแคบที่หญิงสาวเร่ร่อนหาทางที่พักหลับนอนยามค่ำคืนที่เพิ่งออกจากบ้านกุญแจซอลมา 


      พานพบกับผู้คนมากมายบนท้องถนนที่สับสนอลหม่านวุ่นวายกันไปหมด
      ทุกคนมักจะมองมาทางหญิงสาวที่เนื้อตัวมอมแมมด้วยสายตาแปลกๆ
      บ้างก็เข้ามาตีสนิทถึงเนื้อถึงตัว ด้วยรูปร่างและหน้าตาที่สะสวย แม้เนื้อตัวจะสกปรกมอมแมม

      เวลาที่พวกเขาสัมผัสมันช่างน่าขยะแขยงจนทำให้ร่างบางๆสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
      ไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นถึงขั้วหัวใจได้เหมือนเวลาที่กุญแจซอลแค่สัมผัสถูกตัวเพียงแผ่วเบาเลย
       



      "น้องสาวมาคนเดียวเหรอครับ"
      ครั้งนี้ก็เช่นกัน มีกลุ่มมนุษย์ผู้ชายที่ทั้งตัวใหญ่และสูงจนทำให้สาวน้อยต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
      พวกเขาเข้ามารุมล้อมหญิงสาวผ้าขี้ริ้วจนแผนหลังติดกับผนังตึกที่พากันผลักดันไล่ต้อนมุมเข้ามาในซอยเปลี่ยวที่ทั้งเหม็นอับและชื้นมาก


      คราวนี้เห็นทีคงไม่มีที่จะหนีอีกต่อไปแล้ว รอบด้านเป็นทางตัน 
      ส่งผลให้ร่างเล็กๆที่เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วก็ถือว่าเป็นมดน้อยตัวหนึ่งท่ามกลางฝูงด้วง สั่นเทา
      แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็ยิ้มสู้กับความหวาดกลัว เพราะเจอมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว 
      แต่ความอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นเสมอในภาวะคับขันเช่นนี้ และหวังว่าครั้งนี้ก็คงเช่นกันนะ
       



      "พวกพี่ไปส่งที่บ้านให้มั้ยครับ"
      ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น พร้อมๆกับถือวิสาสะจับเนื้ออ่อนอย่างแรง
      ดวงตาฉายแววของความกระหายเหมือนสัตว์ป่า

      ไม่ทันที่ความหื่นกระหายความใคร่ในเหยื่อเนื้อสมัน ก่อนที่สัตว์ป่าใกล้เข้ามาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ทั้งรุนแรงและหนักหน่วง 


      ลำแสงสีขาวนวลก็พลันเกิดขึ้นรอบๆบริเวณกว้าง 
      ส่งผลให้พวกสัตว์ป่าจอมกระหายเหล่านั้นกระเด็นห่างจากเนื้อสมันสาว ไปชนเข้ากับกำเเพงรอบด้านจนสลบไปเป็นแถวๆ
       พวกนั้นไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำกับสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าแล้วเนื้อสมัน
      จึงได้โอกาสหนีรอดออกไปได้เสียทุกครั้ง เป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว 



      ฤดูที่สิ้นหวังนับตั้งแต่ความห่างเหินจากกุญแจซอล เผลอไผลหวนคิดถึงความหลัง
      บ้านหลังแรกของฉันอยู่หัวมุมสี่แยกถนน loving-way
      สถาพแวดล้อมรอบบ้านเป็นสนามหญ้าใหญ่สีเขียวสดขนาดสนามฟุตบอลได้ที่มีเพียงหลังเดียว
      จากนั้นก็ย้ายมาอยู่บริเวณที่แคบลงมาหน่อยแต่ก็ได้สัมผัสกับก้อนเมฆและสายลมอ่อนๆ


       

      ********************

       

       

      ทว่า...ปาฏิหาริย์ที่แสนเกลียดนักเกลียดหนาก็สร้างรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าจนได้
      ความทรงจำดีๆนับจากนี้กำลังจะเกิดขึ้น


      "เฮ้ย ...เด็กนั่นมองทีไรก็ไม่น่าเบื่อ" 


      "เขาเป็นใครกันนะ" พ่อหนุ่มผมแดงแทรกตัวไปร่วมแจมเพื่อนร่วมห้องทันที เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโวกเวกโวยวายกับสิ่งที่เกิดขึ้น หันไปพูดคุยกับเพื่อนรักที่ดูท่าเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่ไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ "ว่าไงซอล นายคิดว่าไง" 


      "...." 

      ไม่มีเสียงจากเลขหมายที่ท่านเรียกในขณะนี้ 


      "แล้วเจอกันที่บ้านนะ" นั่นคือคำตอบรับจากกุญแจซอล เมื่อหมกมุ่นกับรายงานเสร็จก็ขอตัวออกไปทำธุระส่วนตัวที่ไม่มีใครขัดเขาได้ 


      ช่วงเวลาเลิกเรียน เด็กๆนักเรียนต่างแย่งกันรุมดูสิ่งที่เป็นจุดสนใจ​ ณ ตอนนี้ คือมีเด็กผู้หญิงแปลกๆมักจะเข้ามาในรั้วโรงเรียนประจำ ประเด็นมันไม่ใช่แค่นั้น คือเด็กคนนี้ หน้าตาสะสวย เป็นที่หมายปองในอุดมคติของคนทั่วไป อีกทั้งยังใสซื่อ อ่อนต่อโลกนี้มากนัก จนใครๆก็ต่างเอ็นดู 



      เมื่อสายลมได้พัดพาให้พบกับเทพบุตรสุดที่รักอีกครั้ง ณ ที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีความหลัง หวนวันเวลาแห่งความทรงจำและเสียงเพลงที่คุ้นเคยสู่ตัวอีกครั้ง ซาบซึ้งตื้นตันจน
      อดกลั้นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปีตินี้ไม่ได้ 


      ไม่น่ะ ไม่ได้ร้องไห้เพราะความเศร้าจากความเหงาใดใด


      แค่ดีใจที่ได้มาพบกับ(เสียงดนตรีของ)เธอมากกว่า ขอแค่อยู่ห่างๆเพียงกำแพงกั้น สาวน้อยก็พอใจจนเนื้อเต้นแล้ว ไม่กล้าที่จะดุ้มๆเข้าไปหาเธอโดยตรงหรอก เพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กับเขาเหมือนครั้งที่ผ่านมา



      ถึงจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ เพียงแค่ได้ยินเสียงดนตรีของเธอทีไร
      ก็นึกถึงวันแรกที่เราได้พบกันทุกทีเหมือนเป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ให้มาบรรเลงอีกครั้ง


      ..................


      ณ ที่แห่งนี้ที่ฉันพลัดหลงเข้ามาโดยบังเอิญที่ที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงในหมู่แมกไม้
      ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ บรรยากาศจึงเงียบสงบและร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพรรณที่ปลูกให้ร่มเงากับคนที่นี่ให้ผ่อนคลายลงและมีสมาธิ
       พื้นที่โดยรอบเป็นบรเวณที่กว้างขวางและแยกตัวออกจากชุมชนที่แออัดเนืองแน่นไปด้วยความสับวนวุ่นวายของผู้คน มันถูกกั้นด้วยเพียงรั้วโดยรอบที่ตั้งสูงตระหง่าน  ภายในประกอบด้วยตัวตึกสไตล์ปราสาทตะวันตกสมัยใหม่ ให้ความรู้สึกที่เก่าแก่สไตล์โบราณ แต่ก็ยังมีความทันสมัยอยู่




      ขณะที่หญิงสาวผู้ไร้ที่มาที่ไปกำลังเพลิดเพลินเสมือนหนึ่งเดินเล่นอยู่ในความฝันที่ไม่น่าจะอยู่ในตัวเมืองอันวุ่นวายอย่างนี้ได้เลย ผู้คนทยอยกันออกมาจากตัวตึกพลุกพล่านกันเต็มไปหมดแล้ว
      ส่งเสียงเอะอะเจี้ยวจ้าวกันจนไม่เหลือร่องรอยของความเงียบสงบอีกแล้ว



      ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเด็กๆวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน และแล้วก็ตกมาเป็นเป้าสายตาอีกจนได้
      ทว่า...การตกเป็นเป้าสายตาครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกๆครั้ง สายตาที่มองมาครั้งนี้ดูราวเป็นมิตรกว่ากันเยอะ


      ไม่ใช่สายตาของสัตว์ป่าจอมกระหายที่มุ่งจะงับเหยื่อตลอดเวลา ทำให้ร่างบอบบางต้องบอบช้ำมาไม่รู้เท่าไหร่ ยังดีที่เกิดความอัศจรรย์ขึ้นในภาวะคับขันเช่นนั้นแล้ว 


      คนพวกนี้ต่างก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรและไถ่ถามแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย
      เด็กสาวยิ้มน้อยๆให้พวกเขาแล้วก็ส่ายหน้าแสดงถึงการปฏิเสธความช่วยเหลือโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ


      เพียงแค่นี้ก็รู้สึกเหมือนจะสร้างความประทับใจให้พวกเขายิ่งเข้ามารุมล้อมคนตัวเล็กมากขึ้น
      กว่าจะปลีกตัวหลบหนีจากฝูงขนมาได้ก็เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังกังวานไปทั่วบริเวณ
      พวกเขาจึงค่อยๆทะยอยออกไปทีละกลุ่มๆ



      จนสุดท้ายก็ถูกทิ้งไว้อยู่คนเดียวบนทางเดินกระเบื้องดินเผาอันทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด


      ..................


      พื้นทางเดินที่ปูไปด้วยกระเบื้องดินเผาสีแดงสดนี้จะทอดยาวไปถึงไหนกันนะ สาวน้อยที่พลัดหลงเข้ามา ทำได้แต่ก้าวขาอย่างช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าวไปตามจังหวะดนตรีที่บรรเลงไปอย่างต่อเนื่อง
      ผ่านไปห้องแล้วห้องเล่า เสียงดนตรีก็ยังไม่หยุด ผู้คนบรรเลงดนตรีกันเหมือนตัวโน้ตมีชีวิตลุกขึ้นมาเต้น


      พลิ้วไหวไม่มีขาดตกบกพร่องเลย และแล้วก่อนที่จะเดินผ่านห้องๆหนึ่ง
      อยู่ๆหัวใจก็สั่นไหวไม่เป็นจังหวะตามดนตรีที่ได้ยินเอาเสียเลย
      ยิ่งจะเข้ามาใกล้ห้องๆหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเพียงเอื้อม ยิ่งสั่นแรงขึ้นทุกทีๆ
      เมื่อก้าวสุดท้ายเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนั้นซึ่งเป็นห้องสุดท้ายแล้วของระเบียงทางเดินที่เดินมาเรื่อยๆ


      หญิงสาวใช้สายตากวาดดูรอบๆห้องถึงได้รู้ว่า มันเป็นห้องเก็บของเก่าที่ไม่มีใครใช้กันแล้ว ฝุ่นจับเกาะอยู่เต็มไปหมด แต่ที่ดูโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นเปียโนหลังเก่าที่อยู่ตรงกลางห้องพร้อมด้วยชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีเงินที่ดูคุ้ยเคยกำลังบรรเลงเพลงที่ฉันเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ปลายนิ้วที่สัมผัสคีย์ก็พลิ้วไหวไปตามจังหวะดนตรีที่บรรเลงอย่างลงตัว 



      เป็นเธอนั่นเอง!!!
      อาาาาาา......หรือนี่จะเป็นโชคชะตานำพาให้ฉันได้มาพบกับเธออีกครา



      ..................


      เริ่มต้นหน้าหนาวแล้วสินะ ฝนเริ่มน้อยลง
      ลมหนาวพัดโชยมาสัมผัสแก้มขาวนวลที่มีสีแดงระเรื่อแต่งแต้ม

      หิมะตกลงมาท่ามกลางความหนาวเหน็บสั่นสะท้านไปจนถึงขั้วหัวใจ
      ถึงจะหนาวกายสักเพียงใด

      แต่ทว่า...กลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก



      จะขอเชื่ออีกสักครั้ง ถึงปฏิหาริย์แห่งรัก แม้เราจะต้องจากกัน...ในไม่ช้าเราจะหวนคืนกลับมา
      ดั่งท่วงทำนองดนตรีที่ขาดโน้ตตัวใดตัวนึงไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเสียงที่ได้มาจะไม่ลงจังหวะ



      "รักครั้งแรก" แค่คิดถึงคำพูดนี้ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้
      ความรักครั้งแรกดูเหมือนจะมีความหมายอะไรบางอย่างซึ่งใสซื่อบริสุทธิ์จนอยากจะสัมผัส



      คนที่เฝ้าคิดถึง ในที่สุด เราก็ได้พบกันอีกครั้ง
      แต่ครั้งนี้ไม่อาจที่จะเข้าไปหาเธอได้เหมือนเก่าแล้ว

      มันจะเป็นการสร้างความลำบากใจให้เธอเปล่าๆ ฉันจะขออยู่ตรงนี้
      ฟังเพลงที่เธอบรรเลงส่งมาให้ฉันจากอีกด้านหนึ่งของกำแพงที่ขวางกั้นเราอยู่คนละด้าน
      ถึงแม้จะรู้ตัวว่าในไม่ช้า เพลงบรรเลงก็จะจบลงแล้วเธอก็จะออกเดินทางตามทางของเธอต่อไป
      ฉันก็จะเข้มแข็งเพื่อเดินทางตามเส้นทางบนถนนที่ทอดยาวไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่

      สุดท้ายสิ่งที่ฉันแอบหวังเล็กๆว่า เราคงจะได้พบกันอีกเรื่อยๆสักวันหนึ่ง
      ณ ที่แห่งหนึ่งที่มีเสียงดนตรีของเธอผ่านเข้ามาในหัวใจฉัน ฉันก็รู้ได้ทันทีว่า เธออยู่ที่นั่น


      "คิดถึงเหลือเกิน.....เสียงๆนี้"
      ฉันพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่ฉันกำลังฟังเพลินๆอยู่นั้น
      ก็รู้สึกได้ถึงความผิดแปลกอะไรบางอย่าง มันมีอะไรที่เปลี่ยนไปกันแน่


      กึก!

      ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อเขากดคีย์สุดท้ายลงฉับพลัน
      มันส่งเสียงดังกังวานสะท้องกึกก้องไปทั่วบริเวณ ให้ความรู้สึกที่โหยหาความหวังอันลางเลือน
      ว่าแต่เขาหาอะไรกันล่ะ เขาน่าจะมีทุกอย่างพร้อม
       
      ที่ฉันแน่ใจถึงความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ คือ ท่วงทำนองที่เปลี่ยนไป 
      จะว่าไปแล้วเขาก็ดูเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

      จากนั้น เขาก็ทำท่าจะลุกขึ้นเดินกลับออกมา ฉันจึงต้องรีบหาที่ซ่อน พลางมองซ้ายมองขวา
      แล้วก็เหลือบไปเห็นช่องแคบๆตรงข้างๆห้องเก็บของนี้
      ฉันจึงเบียดตัวแทรกเข้าไปด้านในชิดๆ กลั้นลมหายใจเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
      จนกว่าที่ฉันสังเกตได้ว่าเขาน่าจะเดินจากไปไกลแล้ว
      ฉันจึงได้ค่อยๆโผล่หน้าออกมาดูลาดเลาก่อน แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง
      เมื่อหันหน้าไปเผชิญกับชายหนุ่มผมสีแดงเพลิง... ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้


      "เธอเป็นใคร นักเรียนใหม่เหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลย"  
      เขาพูดจบก็มองไปรอบๆบริเวณที่ทั้งสกปรกและอับชื้น
      ไม่น่าจะมีเด็กสาวน่ารักๆจะมาเดินเล่นอยู่ได้เลย ฉันส่ายหน้าไม่เข้าใจที่เขาพูด
      จากนั้นจึงเลี่ยงตัวออกไปเสียเฉยๆ สร้างความงุนงงให้เขาเป็นอย่างมาก


      แล้วจากนี้ไปฉันจะไปที่ไหนต่อไปดีล่ะ?
      ฉันเดินเรียบระเบียงทางเดินไปจนสุดอีกด้านหนึ่ง
      แล้วก็เดินกลับมาที่เดิม
      ในห้องเดิมที่ฉันได้พบกับเขา
      ฉันลองจัดระเบียบลำดับความคิด จากนั้นวางปลายนิ้วเรียวเล็กบนคีย์
      แล้วเปลี่ยนลำดับความคิดนี้ผันแปรเป็นท่วงทำนองดนตรีตามความทรงจำที่ฉันมักได้ยินเขาเล่นให้ฟังอยู่บ่อยๆ
        ความคิดนั้นค่อยๆไหลลื่นเป็นช่วงจังหวะได้อย่างลงตัว
      เสมือนหนึ่งถ่ายทอดความรู้สึกของฉันส่งผ่านไปยังเขาผ่านตัวโน้ตเหล่านี้ ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเข้ามาในห้อง
      ก็ต่อเมื่อบรรเลงเพลงจบลงแล้ว พอฉันหันกลับออกมา
      ชายหนุ่มผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ฉันแล้ว ฉันผงะถอยหลังไปจนติดกำแพง


      "ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ เพลงเมื่อกี้นี้เธอเล่นจริงๆด้วยสินะ มัน.....เพราะมากเลย"
      เขายิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน ฉันจึงค่อยๆวางใจเย็นลง
        พูดคำแรกออกมา


      "ขอบคุณนะ"

      "อืม...เธอไม่ได้เป็นนักเรียนของที่นี่จริงๆนะเหรอ"
      ฉันส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
       
      เพราะฉันไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรเลยตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามาแค่ต้องการมาพบเขาอีกครั้งเท่านั้น


      "ถ้าฉันไม่ได้เป็นนักเรียนอย่างที่เธอว่าแล้วฉันยังจะมาอยู่ที่นี่ด้วยได้มั้ย"
      ฉันเอ่ยเสียงขาดเป็นช่วงๆ กลัวว่าเขาจะปฏิเสธเหลือเกิน เพราะฉันรู้สึกว่าฉันชอบที่นี่
      และคงมีสักวันที่ฉันจะได้พบกับเขาอีกในที่แห่งนี้อีกสักครั้ง


      "อืม...ก็ไม่แน่ใจนะ ว่าแต่เธอไม่มีที่ไปเหรอ เอ่อ ขอโทษทีที่ต้องพูดแบบนี้"

      "อืม ไม่มีที่ให้ฉันไปแล้วล่ะ"
      ฉันก้มหน้ารับพูดเสียงเรียบ ค่อนข้างจะทุ้มต่ำ เขายื่นมือมาสัมผัสคางใบหน้าฉันแผ่วเบา
      ฉันจึงเงยหน้ามองตาม เขายิ้มน้อยๆให้ฉัน ซึ่งทำให้ฉันวางใจลงได้มาก


      "งั้น ทำไมเธอไม่มาอยู่กับฉันมั้ยล่ะ"
      เขาพูดขึ้นมาพลางก้มหน้าจนให้เห็นหูที่แดงกร่ำ เป็นเชิงชวนแล้วบอกทำนองว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
      ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "ไปด้วยกันเถอะนะ" เขาถือวิสาสะจูงมือฉันไป
      ซึ่งฉันก็ไม่มีทางเลือกแล้วจึงทำได้แต่ปล่อยให้ร่างสูงโปร่งพาร่างบางเล็กไปตามนั้น
      บางทีการทำอย่างนี้ไม่แน่ฉันอาจจะได้พบกับเขาอีกครั้งก็ได้

       


       

      ตอนที่ 4 Inspired by Dandelions
      ความหวังของแดนดี้ 



      "ผมชื่อนูคีย์นะ เรียกสั้นๆว่า คีย์ก็ไ้ด้ ไม่ต้องห่วงหรอกผมพักอยู่ที่คอนโดนะ
      เธอจะได้อยู่ได้ตามสบายไงล่ะ เพื่อนร่วมห้องผมก็เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยจะอะไรหรอก..."
      ฉันได้แต่นิ่งเงียบ เขาจึงพูดพล่ามมาตลอดทางกลับหอพัก
      เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันวังเวงจนเกินไป จนกระทั่ง ฉันจะอมยิ้มได้เมื่อเขาพูดถึง กุญแจซอล

      "...จะมีดีก็อย่างเดียว เล่นเปียโนเก่งเว่อร์ๆ ราวกับได้ปลายนิ้วเทวดามา น่าอิจฉา ทำไมเราไม่ได้มาบ้างนะ
      จะได้เล่นไวโอลินเก่งๆบ้าง เฮ้อ" เขาลอบถอนหายใจพลางก้มลงมองนิ้วมือทั้งสองข้าง
      แล้วก็พูดเป็นต่อยหอยต่อมองฉันที่พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย
      ไม่กระตือรือร้นเหมือนกับที่เนื้อหาบทสนทนาพูดถึง กุญแจซอลเลย "...เสียอย่างเดียว"
      อยู่ๆเขาก็นิ่งเงียบไป ในที่สุดฉันจึงเปล่งเสียงเล็กๆ นุ่มนวลถามเขาขึ้นมาบ้าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น


      "อะไรเหรอ"

      "หืมมม...ซอลนะเหรอ" ฉันจึงพยักหน้างึกๆ "ก็เสด็จพ่อเสด็จแม่มันไม่ยอมรับนะสิ
      พวกท่านหาว่าเรียนดนตรีไปจะทำอะไรกินได้ จะร้องเพลงข้างถนนขอเขากินเหรออย่างนี้บ้างเอย
      ไอ้ซอลมันเครียดจะตายไป ทั้งๆที่มันเล่นดนตรีเก่งขั้นเทพ แต่คนในครอบครัว ไม่มีใครเห็นแววมัน
      จะว่าไปมันก็น่าสมเพช เอ้ย น่าสงสารนิดหน่อยนะเนี่ย"


      "แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ" ฉันไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง
      เพราะเพิ่งจะมารู้ที่มาของเสียงเพลงหวานปนขมขนาดนี้ จนเขาชายตามองมาด้วยความระคนใจ


      "เอ๊ะ...เธอนี่ชักยังไง สนใจเพื่อนผมเหรอ"
      เสียงนูคีย์อ่อนลงเล็กน้อย เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าเขาแน่นิ่งลง
      พลันเปลี่ยนเป็นเศร้าสลด เมื่อฉันหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย "เออก็ไม่ทำยังไงหรอก ก็ได้แต่ทำใจนะ
      ตกลงได้เรียนบริหารธุรกิจตามความฝันพ่อกับแม่เพื่อที่จะได้ไปช่วยบริหารกิจการของที่บ้านต่อ
      ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความฝันใครกันแน่" แต่แล้วชายหนุ่มก็กลับมามีใบหน้าเปื้อนยิ้มได้อีกครั้ง
      เขาคงจะฝืนใจทำเสียล่ะมั้ง ทำให้ฉันไม่อาจจะพูดอะไรได้อีก

      จนกระทั่งเดินผ่านเรียบเนินหญ้าที่มีดอกหญ้าไล้เรียงรายไปสองข้างทางเดิน
      ธารน้ำไหลเอื่อยๆไปตามทางที่พวกเราเดินเคียงข้างกันไปโดยไม่มีบทสนทนาใดใดอีก
      เหมือนที่แล้วมา สายลมพัดผ่านมาส่งผลให้กลีบดอกแดนดิไลออนพลิ้วไหว
      บ่งบอกฉันว่า...การไร้ซึ่งสุรเสียงในตอนนี้ดีที่สุด


      ทันใดนั้น ก็มีหญิงชราท่านหนึ่งเดินสวนผ่านมาท่าทางงองแงง จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่
      ท้ายที่สุดก็โซเซมาล้มตรงหน้าฉัน ทำให้ฉันเสียหลักล้มลงตามไปด้วย หญิงชราแน่่นิ่งไม่ไหวติง
      สีหน้าท่านดูซีดเซียวราวกับไก่ถูกต้ม มีเหงื่อเม็ดโป้งไหลออกมาตามริ้วรอยเหี่ยวย่น
      ฉันยังไม่ืทันจะได้ไถ่ถามอะไร นูคีย์ก็มาพยุงตัวคุณยายขึ้นมาก่อน


      "ไหวไหมครับ...เดี๊ยวผมพาไปส่งที่บ้านนะ"

      "เธอรู้จักท่านด้วยเหรอ" ฉันถามด้วยความแปลกใจ

      "อืม บ้านท่านก็อยู่ใกล้ๆคอนโดที่ผมพักอยู่ด้วยนะ พอดีเดินผ่านไปผ่านมาเห็นท่านบ่อยๆ"

      "ขะ ขอบใจนะจ๊ะ พ่อหนุ่ม" คุณยายแค่นเสียงแหบแห้งอย่างยากลำบาก
      เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงอาสาเข้าไปช่วยพยุงท่านด้วยอีกคน
      จากนั้นพวกเราก็เดินกระท่อนกระแท่นกันจนมาถึงหน้าบ้านหลังเล็กที่หน้าบ้าน
      เต็มไปด้วยต้นไม้ประดับห้อยระโยงระยางจนมองไม่เห็นตัวบ้านข้างในเท่าไหร่
      พวกเราเดินเข้าไปส่งคุณยายถึงข้างในบ้านที่ค่อนข้างร่มรื่น อากาศถ่ายเทไม่ได้ดูมืดครึ้มเหมือนด้านนอก
      ยังกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง พวกเรารอคุณยายนั่งพักให้หายเหนื่อยสักครู่ก่อนถึงจะร่ำลากลับ
      ตอนนี้ก็ใช้เวลาชมธรรมชาติภายในสวนของคุณยายเพลินๆ ฆ่าเวลา


      "ยายค่อยยังชั่วแล้วล่ะ ขอบใจพวกหนูมากนะ
      เอ้า...ประเดี๋ยวยายไปเอาชาสมุนไพรกับขนมอบที่เพิ่งอบเมื่อเช้ามาให้นะ"


      "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกเราก็กลับกันแล้ว"

      "จะรีบไปไหนล่ะนั้นน่ะ มาหยุดพักเหนื่อยกันก่อนแล้วค่อยกลับ หอพักเราก็อยู่แค่นี้เองนี่"
      ชายหนุ่มจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธคำเชิญชวนของหญิงชรามากนัก
      ทำใ้ห้ฉันได้ชมความงดงามทางธรรมชาติิีอีกสักครู่ใหญ่ๆ เ
      พื่อรอให้คุณยายเดินกระย่องกระแย่งไปหยิบสำรับมารับรองพวกเรา


      "แล้วคู่หูเราไม่ได้มาด้วยเหรอ"

      "อ่อ...ซอลนะเหรอครับ วันนี้เขามีซ้อมดนตรีเย็นน่ะครับ กว่าจะกลับก็คงมืด
      ช่วงนี้อากาศร้อนเป็นพิเศษเลยนะครับ ระวังสุขภาพด้วย เดี๋ยวจะไปเป็นลมเป็นแล้งอีก
      ลำบากคนอื่นอีกนะครับ" เขาพูดกึ่งเป็นห่วงกึ่งแซวเล่นเช่นนี้ประจำ


      "เอ่อน่ะ ข้าไม่ต้องให้เอ็งมาสอนข้าหรอก เผอิญว่าช่วงนี้ข้าแก่ขึ้นมากเท่านั้นเอง
      ไม่อย่างนั้นนะข้ายังฟิตปึ๋งเดินขึ้นเขาได้เป็นพันๆรอบ"


      "คร้าบๆ" เขาจำต้องยอมจำนนคุณยายอย่างนี้เสียทุกครั้ง

      "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เออแล้วแม่หนูเสียงหวานคนนี้ล่ะ แฟนสาวเอ็งหรือ แล้วยังงี้คู่ขาเราไม่ว่าอะไรเหรอ หึหึ" คุณยายดูท่าทางอารมณ์ดีแข็งแรงผิดท่าทีเมื่อครู่ลิบลับ

      "โอ๊ย คุณยายเล่นแรงนะครับ ผมกับซอลไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แค่ตัวติดกันบ่อยเท่านั้นเอง มีแต่คนเลยพากันเข้าใจผิดคิดว่าพวกผมลักเพศ เฮ้อ"

      "่ว่าไงล่ะจ๊ะ แม่หนูเธอชื่ออะไรล่ะ"
      คุณยายเปลี่ยนท่าทีเป็นนุ่มนวลพลางจับมืออันบอบบางและเล็กขึ้นมาลูบๆคลำๆ
      "แหม๋...มือเล็กจังนะ ท่าทางจะตัวเล็กล่ะสิท่า ไหนมาใกล้ๆยายหน่อยสิ"
      ฉันเอียงคอด้วยความฉงนสงสัยกับคำพูดของคุณยายเป็นอย่างยิ่ง
      นูคีย์ยืนหน้ามากระซิบที่ข้างหูของเธอแผ่วเบา


      "...คุณยายท่านแกตาบอดน่ะ..."
      ฉันมองมาที่ท่านอย่างไม่อยากจะเชื่อในสายตา แล้วทำไมท่านถึงได้มาเดินข้างนอกอย่างเป็นปกติ ไ
      ร้เครื่องค้ำพยุงใดใด ฉันค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้ๆท่านเพื่อให้ท่านได้สัมผัสฉันเต็มไม้เต็มมือ


      "เอ่อ...ตัวเล็กจริงๆด้วยสิ บอบบางขนาดนี้ลมพัดมาระวังจะปลิวหายไปนะ เห้อๆ"
      คุึณยายแค่นหัวเราะเสียงแหบแห้ง ฉันมองคุณยายด้วยความเวทนา ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
      ให้ไม่รู้ว่าท่านจะรู้หรือเปล่า "เฮ้อ...วันนี้ซอลไม่มา ข้าเลยอดฟังเสียงเปียโนเลยล่ะสิ"


      "กระผมสีไวโอลินใ้ห้ฟังก็ได้นะขอรับ เด็กนอกเอกจะสู้เด็กเอกได้ยังไงใช่ไหมขอรับ
      ถึงวันนี้ซอลไม่อยู่ คีย์ผู้นี้จะบรรเลงขับกล่อมให้ท่านได้ฟังเอง"


      "ไม่เอา ข้าชอบฟังเสียงเปียโน มันนุ่มนวลกว่ากันเยอะ เสียงไวโอลินฟังแล้วแสบแก้วหู มันครืดคราดๆ"

      "ลำเอียงชะมัด" เขาบ่นงุบงิบแต่ก็ไม่วายที่คุณยายจะได้ยิน

      "ก็จริงไม่เล่า เห้อๆ แต่เอ็งก็สีได้เก่งนะ"

      "อู้ววว นานๆทีจะเห็นยายชมผมนะเนี่ย ปกติจะชมแต่ซอลตลอดดดด"

      "ข้าบอกว่าก็มันพอเป็นทำนองผู้ทำนองคนหน่อย ไม่ได้บอกว่าเพราะซ่ะที่ไหนเล่า"

      "ชิ" ขณะที่เขาเบือนหน้าหนีด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เขาก็หันมาสบตากับฉันเข้าอย่างจัง
      "ถ้าอย่างนั้น ให้เพื่อนผมคนนี้เล่นเปียโนให้ฟังเอาไหมล่ะครับ เธอเล่นได้ไม่แพ้ซอลเลย"


      "เอ๋จริงเหรอแม่หนู ขนาดนิ้วเรียวเล็กอย่างนี้เนี่ยน่ะ จะกดไหวหรือ
      เอาลองดูหน่อยสิก็ยังดีกว่าทนฟังเสียงไวโอลินแหละเนอะ"


      "โหยยยย..." นูคีย์ยังไม่ทันที่จะถกเถียงอะไรอีก ฉันก็ถูกพาไปอีกห้องหนึ่งที่มีเปียโนไม้สักเหลื่อมทอง
      ฉันค่อยๆบรรจงวางนิ้วมือเรียวเล็กไว้บนแป้นพิมพ์แล้วใส่ความรู้สึกทั้งหมดที่ฉันอยากจะถ่ายทอด
      ลงไปผ่านตัวโน้ตแต่ละตัวที่ตอนนี้กลายเป็นบทเพลงที่ไพเราะที่สุด
      คุณยายหลับตาพริ้มซึมซับทุกทำนองที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงนั้น
      แต่แล้วก็เกิดปฏิหาริย์เมื่อดวงตาสีขาวของคุณยายกลับกลายมามีน้ำเอ่อระรื่นดวงตา

      พลันเปลี่ยนเป็นดวงตาสีชาสดใส เผลอมองไปรอบกายอย่างเคยชิน แต่ภาพที่ได้กลับไม่เป็นเหมือนดั่งก่อน
      ที่มีแต่สีดำ ครานี้กลับมีหลากสีสัน จนกระทั่งเพลงจบลงคุณยายก็ยังคงตกตะลึงอยู่ไม่จาง รวมทั้งนูคีย์ด้วย
      บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบด้วยความไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดปฏิหาริย์เช่นนี้ได้
      ทำไมท่านถึงกลับมามองเห็นอีกครั้ง ไม่ต้องถามฉันเพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
      มีสิ่งเดียวที่หลุดออกมาจากปากคุณยาย ณ ขณะนั้น


      "ขอบใจนะ แม่หนู" ท่านกล่าวทั้งน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้ม
      เพราะไม่คิดว่าชาตินี้จะได้มองเห็นสิ่งสวยงามอีกครั้ง
      ฉันและเขาจึงได้แต่ร่ำลาคุณยายด้วยรอยยิ้ม
      พอลับหลังพวกเราเดินห่างจากบ้านหลังน้อยนั้นสักพัก
      อยู่ๆเขาก็เอ่ยถามฉันถึงเรื่องนั้น


      "เธอทำได้ไงเนี่ย สุดยอดเลยราวกับมีเวทมนตร์แน่ะ
      ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้อีกครั้งเนี่ย แสดงว่าเธอไม่ธรรมดาแล้ว"


      "ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แค่เล่นเปียโนไปจนจบเท่านั้นเอง
      แต่ว่า...ทุกอารมณ์ความรู้สึกฉันได้ถ่ายทอดไปถึงคุณยายน่ะ
      อยากให้ท่านได้มองเห็นโลกที่สวยงามเช่นนี้อีกครั้ง"
      ฉันพูดด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจ


      "ผมก็จะไม่ยอมแพ้เธอเช่นกัน..."
      ผมชักจะชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ไม่ต้องให้เธอรู้หรอก แค่ให้เธอเข้าใจผมก็พอ
      เหมือนกับที่เธอถ่ายทอดความรู้สึกให้คนอื่นรับรู้นั่นแหละ
      ผมก็หวังว่าจะให้เธอรับรู้ความรู้สึกผมก็พอ
      พวกเราเดินทอดน่องมาด้วยความเงียบงันแต่เต็มไปด้วยหัวใจพองโตอันแฝงไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง


      จนกระทั่งมาถึงหน้าตึกสูงเฉียดเมฆที่ฉันเคยเหยียบมาครั้งหนึ่ง
      พลันใดฉันไม่สามารถก้าวขาเข้าไปได้ เสมือนหนึ่งมันถูกตะปูมาตึงไว้จนแน่นให้ขยับไปไหนไม่ได้เลย
      ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขา...กุญแจซอล มันรวมไปกองที่ฝ่าเท้าเย็นเฉียบ ร่างกายเกิดอาการชาจนแข็ง
      ทั้งๆที่เข้าหน้าหนาวแล้ว แต่อากาศก็ไม่ได้หนาวมากนัก กลับร้อนรุ่มไปทั้งทรวงด้วยซ้ำ


      "เป็นอะไรไปเหรอ...เอ่อ..." เขาพยายามจะนึกเรียกชื่อหญิงสาว แต่จำได้ลางๆว่าไม่ได้คำตอบจากชื่อนั้นเลย

      "เอ่อ..ฉันคิดว่าจะไ่ม่เข้าไปดีกว่า เกรงว่าจะทำให้ซอลเดือดร้อนเพราะฉันน่ะ อย่างตอนนั้นก็อีก
      เดี๋ยวเขาจะยิ่งกลัวฉันไปเปล่าๆ แต่ว่าฉันจะพยายามหาทางเจอกับซอลแบบไม่ให้เขาต้องเห็นหน้าฉัน
      ขอบใจมากน่ะ...นูคีย์ ฉันไปล่ะ ไว้พบกันใหม่น่ะ" นูคีย์ยืนนิ่งงันไม่ทันที่จะได้ตอบโต้อะไร
      เธอก็จากไปไกลแล้ว แต่แล้วก็กลับเรียกให้ฉันหยุดชะงักก่อนที่จะสาวเท้าฉับๆเดินจากไปอย่างไร้เป้าหมาย


      "นี่เธอ!" ฉันยืนยิ้มหวานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เขาเรียกเท่าไหร่นัก
      พลางเอียงคอเป็นเชิงถามดูว่ามีอะไรหรือเปล่า "ผมจะเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ
      ยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย" เขาพูดกึ่งตะโกนเพื่อให้ฉันได้ยิน
      ก่อนที่จะพูดเสียงดังตอบกลับมาด้วยท่าทีร่าเริงราวกับดอกไม้ยามเช้า


      "อืม ไม่รู้สินะ แต่ใครๆก็เรียกฉันว่า แดนดิเลี่ยน" 

      "เป็นชื่อที่เพราะจังนะ งั้นผมขอเรียกเธอว่า แดนดี้ ล่ะกันน่ะ"

      "ยังไงก็ได้" ฉันพยักหน้ารับเป็นคำตอบให้เขา

      "แล้วเราจะได้พบกันอีกใช่ไหม"

      "อืม ฉันไม่ไปไหนหรอก ฉันยังจะอยู่ที่เดิม"
      คำตอบของเธอทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบในหัวจิตหัวใจ
      ผมกุมหน้าอกข้างซ้ายทันทีที่เธอหันหลังเดินจากไปเรื่อยๆ จนลับตา
      ฉับพลันแสงไฟนีออนสองข้างถนนก็สว่างวาบขึ้นมาเมื่อฟ้าใกล้จะมืดลงทุกทีๆ
      ผมพลันรู้สึกเป็นห่วงเด็กสาวตัวเล็กๆที่เดินอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด
      กลัวจะมีอันตรายใดใดเกิดขึ้นกับเธอ
      แต่ทว่าตลอดทางที่เธอก้าวเดินกลับมีแสงเรืองรองสว่างเจิดจ้ารอบๆกายเธอ

      เธอเป็นดั่งแสงที่ส่องทางให้กับสรรพสิ่ง
      และเป็นดั่งความหวังที่ฉายแสงให้ผมได้รู้จักกับคำว่า...รัก...


      ตอนที่ 5 ดอกแดนดิไลออนที่ปลิวหายไปกับสายลม 

      พอปลายนิ้วเรียวเริ่มวางลงที่แป้น
      ตัวโน้ตต่างๆก็ได้พากันกระโดดโลดเต้นอยู่บนฟอร์ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไหลเวียนในร่างกายผม
      หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับบทเพลงแสนหวานของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้านั้น
      ทั้งๆที่หญิงชราข้างๆผมกลับตบมือไปตามจังหวะบทเพลงที่สนุกสนานนั้น
      แต่ผมกลับรู้สึกว่าบทเพลงนั้นเศร้าเหลือเกิน


      ผมขอให้หญิงชราให้เธออาศัยอยู่ด้วย หญิงชราที่เคยตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น
      และไม่คิดว่าจะมีโอกาสมองเห็นได้อีกครั้งแต่เพราะปาฏิหาริย์จากปลายนิ้วที่ขับกล่อมบทเพลงแห่งความหวัง
      ทำให้ตาทั้งสองข้างมองเห็นได้อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า คุณยายไม่ได้รังเกียจแม่หนูสักนิดเดียว
      กลับยินดีที่จะมีลูกหลานมาอยู่ด้วยกัน หลังจากที่คุณตาเสียไปได้ไม่นาน
      คุณยายที่ตาบอดก็ดำเนินชีวิตมาอย่างยากลำบากตามลำพัง ลูกหลานก็ละทิ้ง
      แต่งงานออกเรือนกันไปเสียหมด ทุกๆวันผมทิ้งให้เธออยู่เล่นกับคุณยายทั้งวัน
      และเธอก็ทำหน้าที่ผู้มาขอพักอาศัยได้เป็นอย่างดี เธอมักจะรับอาสาช่วยคุณยายทำงานบ้าน
      และคุณยายก็จะสอนใ้ห้เธอทำขนมขายเก็บตังค์ไว้ใช้สอยเล็กๆน้อยๆ วันนี้ก็เหมือนกับวันอื่นๆ
      หลังจากที่เลิกเรียน ผมก็ต้องมาแวะเยี่ยมเธอ(และคุณยาย)ทุกครั้ง


      "ว้าว แดนดี้ .เก็บเงินค่าขนมได้ตั้งเยอะแยะแน่ะ ที่วิทยาลัย เพื่อนๆผมเค้าชอบขนมที่เธอทำมากเลยนะ"
      ผมเอ่ยปากชมสาวน้อยขี้อายที่ตอนนี้บิดม้วนด้วยความเขินอาย
      ผมหัวเราะเสียงดังให้กับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของเธอ ผมชักจะชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
      ทั้งๆที่ผมมีสาวๆให้มาอยู่ข้างกายผมได้ทุกเวลา ปีหนึ่ง
      365วัน ผมสามารถหาคนมาควงได้ชั่วโมงละคน
      ไม่ได้ขี้โม้นะ แต่มันเป็นเรื่องจริง ฮ่าๆๆๆๆ คนมันหล่อ พ่อมันรวย ช่วยไม่ได้


      "หัวเราะเป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย"
      วันนี้นูคีย์ไม่ได้เดินกลับมาคนเดียวเหมือนเคย แต่กุญแจซอลเดินกลับมาด้วยกัน
      กลายเป็นคู่หูที่เตะตาน่าดู จึงถูกกล่าวขานนามว่าเป็น แดฟโฟดิล เปรียบเป็นดอกไม้ที่ได้รับการชมชอบ
      และดอกไม้ชนิดนี้มีความหมายพิเศษว่า เกียรติยศแห่งอัศวิน
      เพราะพวกเขาเหมาะสมที่จะได้รับเกียรติอันนี้
      หากได้โอบกอดช่อดอกแดฟโฟดิลก็เหมือนกับได้โอบกอดแสงอาทิตย์อันแสนอบอุ่น


      เพียงแค่ก้าวเข้ามาในมหาวิทยาลัย
      สายตาทุกคู่ราวกับถูกมนตร์ตรึงให้ถูกดูดดึงเข้าหาแม่เหล็กเคลื่อนที่

      "สวัสดีค่ะ" เสียงหวานเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นสองหนุ่มแดฟโฟดิลเดินมาพร้อมกัน
      ถึงจะได้ขึ้นชื่อว่า แดฟโฟดิล แต่ก็มีความต่างกัน
      ขณะที่ฉันกำลังค่อยๆบรรจงย้ายต้นกล้าไปวางไว้อีกที่หนึ่งอย่างเบามือราวกับกลัวมันจะบุบสลาย


      "ดอกไม้ ดอกไม้กำลังจะเบ่งบาน~3"
      นูคีย์คลอเสียงเป็นทำนองเพลงอย่างร่าเริง เพียงแค่นี้ก็เรียกร้องเสียงกรี๊ดจากสาวๆได้แล้ว
      ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรอยู่ที่ไหนแผ่นดินแถวนั้นก็แทบจะทรุด แล้วนูคีย์ก็เดินเข้ามาหาฉัน
      ทำให้ผู้หญิงที่ตามมาพากันมองฉันอย่างหมิ่นๆ "เธอนี่เก่งทุกเรื่องเลยนะ ยิ่งกว่าเด็กที่จบมาสูงซ่ะอีก
      ทำอาหารก็อร่อย เล่นเปียโนก็เลิศและยังทำสวนเก่งอีก เหมือนเป็นนักพฤกษาศาสตร์เลย"
      ฉันยิ้มรับมาอย่างเขินๆโดยไม่ได้ตอบอะไร นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหน้าที่หนึ่ง
      ในฐานะที่ฉันจำแลงอยู่ในร่างมนุษย์เช่นนี้ ก็จะให้ทำอะไรได้ล่ะ
      เมื่อเป็นมนุษย์จะมีชีวิตอยู่รอดไ้ด้ก็ต้องใช้ทรัพยากรเงินในการมีชีวิตอยู่
      และฉันรู้สึกถึงรังสีแห่งความไม่พอใจวนเวียนอยู่แถวนี้ จึงคิดจะเดินเลี่ยงไป


      "งั้น ฉันไปดูแปลงดอกไม้ด้านนู้นก่อนนะคะ แล้วเจอกันค่ะ"

      ดอกไม้คือสุดปรารถนาของผู้ชื่นชมความงาม
      การเพาะเมล็ดพันธุ์เป็นความหวังของความเจริญงอกงาม เพียงเพื่อได้ชมดอกไม้
      สูดกลิ่นหอมหรือเมื่อความหวังจืดจางเหมือนกับดอกไ้ม้ที่ร่วงโรย ก็ไม่เสียหายที่จะหวังต่อไป
      ผมได้สัมผัสถึงความงดงามของดอกไม้ในหัวใจเธอ เพราะยังงี้ไงล่ะ
      ผมถึงละสายตาไปมองคนอื่นเหมือนที่แล้วมาไม่ได้


      ในขณะที่ฉันเดินพ้นมุมตึกไป อดไม่ได้ที่จะเหลียวหันกลับมามองชายหนุ่มผมสีเงินที่อยู่ข้างๆ
      เพราะเขามองตามฉันมา ฉันจึงเผลอหลบสายตาไปที่แปลงดอกไม้ตามเดิม
      สองมือสัมผัสแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมๆกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
      ก็แค่หวังคงไม่เป็นอะไรใช่ไหมที่ฉันจะเฝ้าตามหาตัวโน้ตที่บรรเลงอยู่ในหัวใจเธออีกครั้ง


      "ซอล ..." เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง ที่ได้ยินทีไรต้องสะดุ้งแล้วรู้สึกเจ็บที่หัวใจทุกที
      ฉันไม่หันไปมองก็รู้ได้ทันทีโดยการสังเกตุจากสีหน้าของกุญแจซอลที่ยิ้มอย่างมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


      "ครับพี่"

      "อีกไม่กี่อาทิตย์แล้วน่ะที่จะจบการศึกษา
      ยังไงก็พยายามให้เต็มที่ในการบรรเลงเปียโนในพิธีจบครั้งนี้ พี่วาดหวังในตัวเธอน่ะ"
       

      "ครับ" กุญแจซอลเกาแก้มแก้เขิน ท่าทางเวลาเขินอายของเขาแบบนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน

      "แล้วหลังจากนี้เธอมีเรื่องอะไรจะบอกพี่ใช่ไหม"

      "อ่ะครับ" ชายหนุ่มสะดุ้งตัวเล็กน้อย แต่ยังคงวางท่ามุ่งมั่น มองตรงไปยังดวงตาของหญิงสาวที่พูดคุยด้วย

      "พี่จะรอวันนั้นน่ะ ไปก่อนล่ะ" หญิงสาวโบกมืออำลาสองหนุ่ม
      ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ฉันด้วย พอลับหลังหญิงสาว นูคีย์ก็หันกายมากระซิบกับกญแจซอลที่ดังพอจะให้ฉันได้ยินด้วย


      "เฮ้ยนาย ตกลงจะสารภาพรักกับพี่เขาจริงๆเหรอ"
      ฉันสะดุ้งสุดตัว จนทำเอากระถางดอกไม้พลัดหล่นจากมือ


      เพล้ง ...

      "ไม่เป็นอะไรค่ะ" ฉันรีบกล่าวไปก่อนที่นูคีย์จะทันได้พูดอะไร
      แล้วรีบเก็บข้าวของที่แตกอยู่ ก่อนจะผละกายหายไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
      ไม่ให้มีใครมาเห็นร่องรอยน้ำตาที่เอ่อจนล้นไหลลงมาอาบแก้ม

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      "สนุกสุดๆเลยค่ะ"

      (แจ้งลบ)

      สนุกมากๆเลยค่ะ..แต่อยากให้ช่วยอัพเดทเร็วๆหน่อยเพราะทนรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ>< สนุกแถมยังได้ความรู้เล็กๆน้อยๆอีกด้วยที่ว่า ดอกไม้แต่ละอย่างหมายถึงอะไร แถมยังมีเพลงคลอตามด้วยเพราะมากเลยค่ะ............................................................................................................ อ่านเพิ่มเติม

      สนุกมากๆเลยค่ะ..แต่อยากให้ช่วยอัพเดทเร็วๆหน่อยเพราะทนรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ>< สนุกแถมยังได้ความรู้เล็กๆน้อยๆอีกด้วยที่ว่า ดอกไม้แต่ละอย่างหมายถึงอะไร แถมยังมีเพลงคลอตามด้วยเพราะมากเลยค่ะ............................................................................................................  

      mena^^ | 28 มี.ค. 53

      • 2

      • 0

      คำนิยมล่าสุด

      "สนุกสุดๆเลยค่ะ"

      (แจ้งลบ)

      สนุกมากๆเลยค่ะ..แต่อยากให้ช่วยอัพเดทเร็วๆหน่อยเพราะทนรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ>< สนุกแถมยังได้ความรู้เล็กๆน้อยๆอีกด้วยที่ว่า ดอกไม้แต่ละอย่างหมายถึงอะไร แถมยังมีเพลงคลอตามด้วยเพราะมากเลยค่ะ............................................................................................................ อ่านเพิ่มเติม

      สนุกมากๆเลยค่ะ..แต่อยากให้ช่วยอัพเดทเร็วๆหน่อยเพราะทนรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ>< สนุกแถมยังได้ความรู้เล็กๆน้อยๆอีกด้วยที่ว่า ดอกไม้แต่ละอย่างหมายถึงอะไร แถมยังมีเพลงคลอตามด้วยเพราะมากเลยค่ะ............................................................................................................  

      mena^^ | 28 มี.ค. 53

      • 2

      • 0

      ความคิดเห็น

      ×