หึงหวง - หึงหวง นิยาย หึงหวง : Dek-D.com - Writer

    หึงหวง

    เรื่องสั้นเรื่องแรกในชีวิต..

    ผู้เข้าชมรวม

    91

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    91

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ธ.ค. 58 / 01:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       

                     “ไผ่... เราชอบเธอ” หญิงสาวผู้มีใบหน้าเรียวสวยในชุดนักเรียนมัธยมปลายเอ่ยกับเพื่อนชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตากลมโตของเธอมองหลุบต่ำลงไปยังพื้นปูนเบื้องล่าง มือข้างหนึ่งกำกระโปรงสีกรมท่าของตนเองไว้แน่น ส่วนนิ้วชี้ของมืออีกข้างก็ม้วนปอยผมสีดำขลับไปมาด้วยความเขินอาย ทั้งสองยืนคุยกันอยู่ข้างอาคารเรียนหลังเก่าโดยที่ไม่รู้เลยว่า... มีสายตาที่เต็มไปด้วยความสอดรู้สอดเห็นของฉันคอยจับจ้องอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก

      “เราเองก็ชอบเหมยเหมือนกัน งะ... งั้น เอ่อ... เรา... เรามา... คบกันดีมั้ย” ไผ่หน้าแดงและละล่ำละลักถามกลับไปอย่างแผ่วเบา แต่ฉันก็ยังอุตส่าห์ได้ยินชัดเจนเต็มสองหู อย่าตอบตกลงเชียวนะ! เสียงจากจิตใต้สำนึกของฉันดังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แก... แกกล้าดียังไงมาบอกชอบตัดหน้าฉัน ไปปิ๊งกันตอนไหน ฉันเป็นเพื่อนแกแท้ๆ ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่อง? ฉันไม่ยอมให้คบกันหรอก! ถ้อยคำแห่งความริษยาผุดขึ้นมาในหัวของฉันอย่างต่อเนื่องประหนึ่งลาวาที่ปะทุขึ้นมาจากปากปล่องภูเขาไฟขนาดย่อม แต่ฉันก็ยังอดทนยืนฟังคำตอบของเหมยอยู่เงียบๆ

      “จ้ะ” เพื่อนสนิทของฉันโพล่งออกไปหลังจากยืนลังเลอยู่นาน... คำๆ นั้นสร้างความตกตะลึงให้อีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี รวมทั้งฉันด้วย

      อะไรกัน! ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? ทั้งๆ ที่ฉันรู้จักเธอก่อนมัน! ทั้งๆ ที่ฉันชอบเธอมาตลอด ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นความจริงใจของฉันเลย ทำไมไม่รับรู้ความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอบ้าง ทำไมถึงไปคบกับมัน! ทำไม ทำไม? ฉันถามคนในความคิดซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่เหมยกับไผ่เดินจูงมือกันออกไปทางอื่นนานแล้ว ขาทั้งสองข้างดูเหมือนจะอ่อนแรงขึ้นมากะทันหันจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ต้องอาศัยแผ่นหลังพิงกับผนังตึกเรียนเพื่อพยุงร่างกายไว้ ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมง โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาเห็นเนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีคนเอาไปนินทาแน่ๆ ว่าเพื่อนสนิทของดาวโรงเรียนกำลังอกหัก ไม่ฉันไม่ได้อกหัก ฉันแค่สารภาพรักช้ากว่าเท่านั้นเอง คบกันแล้วยังไง? คบได้ก็เลิกได้นี่นา อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวต้องเลิกกันแน่ๆ ความคิดอันน่าขยะแขยงกำลังพาฉันจมดิ่งลงไปในก้นมหาสมุทรอันมืดมิดของจิตใจ

      ฉันหลับตาลงช้าๆ... เหตุการณ์ที่ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่ตรงนั้นยังคงปรากฏชัดเจนในหัวเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาทีก่อน เฮ้อ! นึกแล้วก็ได้แต่เจ็บปวดหัวใจ จวบจนเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นท้องฟ้าที่เกือบจะไร้แสงอาทิตย์แล้วนั่นแหละ ฉันถึงได้ตัดสินใจเดินออกจากโรงเรียนแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน หัวสมองก็เอาแต่คิดหาวิธีการที่จะขัดขวางไม่ให้สองคนนั้นมีโอกาสใกล้ชิดกันไปมากกว่านี้ 

      จะทำยังไงดีนะถึงจะไม่น่าเกลียด ทำแบบโจ่งแจ้งก็จะกลายเป็นว่าทำร้ายจิตใจเพื่อนมากเกินไป... แล้วยังไงล่ะ? ทีฉันถูกทำร้ายจนหัวใจเจ็บช้ำแบบนี้มีใครสนใจซะที่ไหน ไม่สิมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำให้ฉันเจ็บ มันเป็นเพื่อนที่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าฉันกำลังวางแผนทำลายความรักของมัน เอาแบบไหนดีล่ะ? คอยอยู่เป็นก้างขวางคอดีมั้ย หรือไม่ก็แกล้งลากตัวแฟนมันไปมาให้มันหึงเล่นๆ หึต้องใช้ได้สักวิธีสิน่า...

      ความคิดฉันก็สะดุดลงเมื่อรู้สึกตัวว่าเดินมาถึงบ้านแล้ว แปลกจริง! นี่ฉันฟุ้งซ่านไปถึงไหนกันนะ ดีที่ระหว่างทางเดินนึกอะไรเพลินๆ อยู่แล้วไม่โดนรถชนตายไปซะก่อน ไม่อย่างนั้นแม่คงได้เสียลูกสาวคนเดียวไปเพราะความคิดบ้าๆ พวกนั้นแน่ แต่ก็น่าขำที่ฉันเปลี่ยนสรรพนามเรียกเพื่อนได้อย่างไม่ลังเลทันทีที่รู้ว่า มัน คือศัตรูหัวใจ

      รุ่งเช้า ฉันมาถึงห้องเรียนเป็นคนแรกเหมือนทุกวัน จากนั้นเหมยกับไผ่ก็ยืมการบ้านของฉันไปลอกเช่นเคย เพราะเหตุนี้เหมยจึงต้องกินข้าวเช้ามาจากที่บ้าน ส่วนฉันจะไปกินข้าวกับไผ่เนื่องจากทำแบบนี้ด้วยกันมาตั้งแต่ประถมจนชิน ทำไมไผ่ถึงชอบเหมยนะ? เท่าที่รู้จักและสนิทกับเหมยมาตั้งแต่มัธยมต้น ดาวโรงเรียนคนนี้เห็นจะมีแต่ความน่ารักสดใสที่โดดเด่นเกินใคร แล้วก็ความน่าเอ็นดูเท่านั้นแหละ ผลการเรียนก็ไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนฉันถึงจะเรียนเก่งแต่หน้าตาก็จัดว่าธรรมดาเกินไปจนไม่เคยมีใครมาจีบ ฉันจึงได้แต่คอยช่วยเหลือเรื่องการเรียนของเหมยมาตลอด รวมทั้งไผ่ด้วย... ส่วนเหมยกลับไม่เคยช่วยเหลือเรื่องความรักของฉันได้เลย แต่นั่นก็เป็นเพราะฉันไม่เคยเล่าเรื่องที่ฉันแอบชอบเพื่อนให้เหมยฟังเลยต่างหาก แม้เหมยจะเคยลองถามฉันหลายครั้งว่าฉันชอบใคร แต่ฉันก็ตอบไปแต่เพียงว่า “บอกไม่ได้” เท่านั้น

      “แจน วันนี้ฉันไม่ได้ไปกินข้าวเช้ากับเธอนะ พอดีว่าฉันกินมาแล้ว” ไผ่บอกฉันเมื่อเอาสมุดการบ้านมาคืน

      “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันไปกินคนเดียวได้” ฉันแสร้งยิ้มให้ด้วยท่าทางเป็นมิตรและทำเป็นเดินออกไปจากห้องเรียน หากแต่ยืนรออยู่แถวนั้นประมาณสิบนาทีก็เห็นไผ่เดินออกมา ในมือถือถุงใส่กล่องข้าวสองกล่องแล้วเดินลงบันไดอีกฝั่งไป ส่วนเหมยเดินตามออกมาหลังจากนั้น เหมยอาจจะไปเข้าห้องน้ำก่อนเข้าแถวก็ได้  ถึงฉันจะคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่วายแอบเดินตามไปห่างๆ แล้วฉันก็หายข้องใจเมื่อเห็นเหมยเดินไปหาไผ่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหลังอาคารเรียน ไผ่ยกกล่องข้าวตรงหน้าไปให้เหมยกล่องหนึ่งและนั่งกินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย  พอได้นั่งกินข้าวกับคนที่ตัวเองชอบแบบนี้คงมีความสุขมากสินะ หึ! คบกันแล้วก็ไม่เห็นจะปริปากบอกเพื่อนอย่างฉันซักคำ ทำไมต้องปิดบังกันด้วย ฉันได้แต่ยืนมองด้วยความอิจฉาและน้อยใจ

      พักกลางวัน ไผ่ขอไปนั่งกินข้าวด้วยกันทั้งที่ร้อยวันพันปีก็เห็นไปแต่กับเพื่อนผู้ชาย ไผ่ให้เหตุผลว่าอยากไถ่โทษที่เมื่อเช้าไม่ได้ไปกินข้าวด้วย พอเหมยเห็นฉันทำหน้าไม่พอใจก็ช่วยหาข้ออ้างอีกแน่ะ เฮอะ! น่าขำ... ทำมาพูดนั่นพูดนี่ ก็แค่อยากอยู่ใกล้แฟนตัวเองเท่านั้นแหละ โชคดีที่โรงอาหารเหลือที่นั่งว่างอยู่ไม่มากนัก เราสามคนจึงต้องนั่งเบียดอยู่ฝั่งเดียวกันโดยมีฉันนั่งอยู่ตรงกลาง นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น ฉันคิดพลางก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวโดยไม่สนใจคนทั้งสอง

      พอเลิกเรียน เหมยบอกว่าจะกลับก่อนเพราะมีเรียนพิเศษ นี่ก็โกหกฉันอีกคนสินะ... ที่รู้ก็เพราะฉันกับไผ่เป็นเวรทำความสะอาดวันนี้ เพื่อนที่เป็นเวรทุกคนก็อยู่ ขาดก็แต่ไผ่คนเดียว ทำไมจะไม่รู้ว่ามันชวนคนที่ฉันชอบไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสอง ในใจคิดแบบนั้นแต่ปากก็บอกให้เหมยตั้งใจเรียนพิเศษ ส่วนเหมยก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วรีบออกไปจากห้องเรียน

      เมื่อเหมยกลับไปได้สักพัก ฉันก็แกล้งโทรบอกไผ่ว่าวันนี้อาจารย์ประจำชั้นมาเช็คชื่อคนที่เป็นเวรทำความสะอาดให้รีบมา ซึ่งฉันเดาว่าไผ่คงต้องยกเลิกนัดกับเหมยแน่... ไม่นานนักไผ่ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงห้องเรียน นี่คงวิ่งหน้าตั้งมาเลยสิท่า... เหงื่อผุดเต็มใบหน้าอันคมคายของไผ่และไหลลงมาตามลำคอ กระเป๋านักเรียนที่สะพายข้างเดียวก็เลื่อนลงมาอยู่ตรงแขนแบบจวนจะหล่นเต็มที

      “ไหนอาจารย์ล่ะ” ไผ่ถามฉันทั้งที่ยังยืนหอบหายใจแฮ่กๆ

      “อาจารย์กลับไปแล้ว เห็นว่ามีธุระด่วนน่ะเลยเลื่อนไปเช็คชื่ออาทิตย์หน้า” ฉันโกหกเสียงเรียบ

      “โถ่เว้ย!” ไผ่สบถออกมาด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็สะพายกระเป๋าขึ้นบนไหล่ทั้งสองข้างแล้วจึงรีบวิ่งกลับไป

      “อ้าว! แล้วไม่มาช่วยกันทำเวรก่อนล่ะ” เพื่อนร่วมห้องตะโกนตามหลังไปแต่เจ้าตัวก็คงไม่ได้ยินเพราะวิ่งไปไกลแล้ว เหมยเขาเป็นคุณหนูมีคนคอยขับรถมารับมาส่งทุกวัน ป่านนี้เหมยคงโทรบอกคนที่บ้านให้มารับกลับไปแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ สะใจจริงๆ ที่แผนเล็กๆ แบบนี้ยังอุตส่าห์ได้ผล ที่จริงแล้วไผ่ก็เป็นคนดีนะ รักเพื่อนและชอบช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ที่ผ่านมาไม่เคยโดดงานโดยไม่จำเป็น แต่สาเหตุครั้งนี้คงมาจากเหมยนั่นแหละ

      ตลอดหลายสัปดาห์ ฉันยังคงใช้วิธีการเดิมๆ เพื่อแยกสองคนนั้นให้ห่างกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนเช้าก็ปล่อยให้กินข้าวด้วยกันไปแล้วฉันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ตอนกลางวันก็คอยหาโอกาสไปนั่งคั่นกลางบ้าง เรียกเพื่อนกลุ่มอื่นมานั่งกินข้าวด้วยกันบ้าง หลังเลิกเรียนฉันก็จะชวนเหมยไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด หรือไม่ก็ชวนไผ่ไปทำรายงานที่บ้านเพราะบ้านเราอยู่ติดกัน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เหมยต้องไปเรียนดนตรีทั้งวันตามประสาลูกคนรวย ทำให้ทั้งสองคนไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันนัก ตราบใดที่ยังมีฉันอยู่ อย่าหวังว่าแกจะได้ใช้เวลาด้วยกันกับคนที่ฉันชอบเลย...

      “ไผ่ ที่อ่านอยู่นั่นการ์ตูนของใครน่ะ” เหมยถามไผ่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ฉันตรงระเบียงหน้าห้องเรียน

      “เรายืมแจนมาน่ะ เรื่องนี้สนุกดีนะจะอ่านต่อมั้ย?” ไผ่ยิ้มจนตาหยี จึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาขุ่นเคืองของเหมยที่ฉายออกมาวูบหนึ่ง ก่อนที่เหมยจะเดินหนีไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

      “เหมยเป็นอะไรไปรอเราด้วยสิ” ไผ่วางหนังสือไว้แล้ววิ่งตามเหมยไป ข้าทางฉันพอดี... หึงสินะ? ไม่พอใจที่ฉันดูสนิทกับไผ่ใช่มั้ย เดี๋ยวต้องผิดใจกันแน่เลย ฉันแอบยิ้มอย่างพอใจให้กับวีรกรรมสร้างความร้าวฉานที่ตัวเองก่อขึ้น ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอ แต่เพื่อหัวใจของฉันแล้ว ฉันก็ทนให้มันเจ็บจนร้าวรานไปมากกว่านี้ไม่ได้เหมือนกัน! ฉันพร่ำบอกคนที่ฉันชอบอยู่ในใจ

      วันต่อมามีเรียนวิชากิจกรรมเข้าจังหวะ เนื่องจากห้องเรียนของฉันมีจำนวนนักเรียนชายหญิงไม่เท่ากัน อาจารย์จึงให้ผู้ชายหนึ่งคนเลือกจับคู่กับผู้หญิงสองคน แน่นอนว่าไผ่ต้องเลือกคู่กับเหมย  ฉันจึงไปขอคู่กับไผ่ด้วยอีกคน เรื่องอะไรจะให้มันได้เต้นลีลาศกับคนที่ฉันชอบ! ฉันจ้องแผ่นหลังของมันด้วยความเกลียดชังขณะที่คนอื่นๆ นั่งดูการสาธิตจากอาจารย์ ภาพตัวอย่างจังหวะการก้าวเดินแต่ละก้าวไม่ได้เข้าหัวฉันเลยแม้แต่น้อย

      ...พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ...

      เพลงพรหมลิขิตดังมาจากลำโพงสีดำตัวใหญ่ที่ตั้งไว้กลางโรงยิม ฉันฟังแล้วก็คิดตามเนื้อร้องไปด้วย พรหมลิขิตอย่างนั้นเหรอ หากมีพรหมลิขิตระหว่างฉันกับคนที่ฉันชอบจริงก็ช่วยบันดาลให้เราคู่กันทีสิ! แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนหนึ่งช่างแสนดี ส่วนอีกคนกำลังทำเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับ สุดท้ายพรหมลิขิตก็คงทำได้แค่ให้ฉันอยู่ใกล้เธอเรื่อยไปนั่นแหละ ฉันคิดพลางมองเพื่อนๆ หลายคนที่ฝึกก้าวตามจังหวะเพลงกับคู่ของตนอย่างตั้งอกตั้งใจ มีแต่ฉันที่ก้าวผิดจนเหยียบเท้าไผ่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเมื่อครู่ไม่ได้ตั้งใจฟังอาจารย์ ฉันหัวเราะแก้เก้อด้วยกลัวว่าคู่เต้นจะรำคาญ แต่ไผ่กลับยิ้มให้กำลังใจฉันเสียอย่างนั้น

      ฉันเหลือบมองเหมยที่นั่งรออยู่เป็นระยะ สีหน้าของเจ้าตัวแสดงความไม่พอใจออกมามากขึ้นทุกทีๆ สงสัยจริงว่าเมื่อวานสองคนนี้ดีกันรึยังนะ? แต่ดูจากท่าทางแล้วน่าจะยัง เวลาดาวโรงเรียนทำหน้าบึ้งก็ยังดูน่ารักนี่นา แต่ช่วยรีบๆ หมดความอดทนซะทีสิจะได้มีเรื่องไปทะเลาะกันแล้วก็เลิกกันเร็วๆ ไง... ฉันรอฟังข่าวดีอยู่นะ จิตใจชั่วร้ายของฉันรำพึงออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วเหมยก็ลุกออกไปนอกโรงยิมเงียบๆ ปล่อยให้ฉันฝึกเต้นลีลาศคู่กับไผ่จนหมดคาบเรียน

      สัปดาห์ต่อมาฝนตกหนักตลอดวันเพราะมีพายุเข้า วันนี้ก็เช่นกัน... เมื่อสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น เพื่อนๆ ก็ทยอยเดินออกจากห้องกันอย่างเชื่องช้า เนื่องจากไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกง่ายๆ ถึงรีบไปก็ยังกลับบ้านไม่ได้อยู่ดี

      “เราขอคุยอะไรกับเธอหน่อยได้มั้ย” เหมยลากแขนฉันออกมาจากห้องเรียนโดยไม่รอฟังคำตอบ มีเรื่องด่วนอะไรกันนะ หรือว่า... จะเป็นเรื่องนั้น?

      “แจน เราทนไม่ไหวแล้วนะ” เหมยพูดขึ้นหลังจากที่ลากฉันมาถึงบริเวณห้องน้ำหญิงอันไร้ผู้คน เสื้อผ้าของพวกเราเปียกชุ่มเพราะเดินตากฝนมา ฉันทำเป็นยืนบีบน้ำออกจากชายเสื้อขณะที่คนตรงหน้าไม่ได้สนใจสภาพชุดพละของตนเองเลยแม้แต่น้อย

      ความอดทนเธอถึงขีดสุดแล้วเหรอ? ฉันเองก็เหมือนกัน...

      “ฉันขอพูดตามตรงเลยนะ ว่าการกระทำทุกอย่างของเธอมันทำให้ฉันไม่พอใจ!” เหมยตะโกนใส่หน้าฉันซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยทำมาก่อน ทำเอาฉันเดือดปุดอยู่ข้างในไม่น้อย

      “อย่างนั้นเองเหรอ มิน่าล่ะพักนี้เธอถึงดูหงุดหงิดง่าย งั้นเธอก็รู้ไว้ด้วยว่าฉันเองก็หึงที่เธออยู่กับไผ่เหมือนกัน!” ฉันขึ้นเสียงกลับไปเพื่อให้ดังกลบเสียงฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย

                      “หมายความว่า... เธอชอบไผ่งั้นเหรอ” เสียงของเหมยอ่อนลง ขณะที่ดวงตากลมโตของเธอมองฉันอย่างอึ้งๆ

                      “ใครบอกล่ะว่าฉันชอบมัน ฉันชอบเธอต่างหากล่ะเหมย!” ฉันสารภาพความในใจออกไปในที่สุด

      “ฉันแอบชอบเธอมานานแค่ไหน ฉันชอบเธอมากเท่าไหร่เธอเคยรู้บ้างมั้ย? ฉันเจ็บปวดเหมือนหัวใจจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้วตอนที่เห็นเธอบอกชอบมัน.... แล้วมันก็ได้คบกับเธอ  ฮือ...แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะฉันเป็นผู้หญิง! ความกลัวที่พอบอกเธอแล้วเธอจะรังเกียจกันมันถาโถมเข้ามาทุกครั้งที่ฉันบอกชอบเธอในใจ ฮึก... ฮึก... ในเมื่อเธอยอมคบกับมันแล้วฉันจะทำอะไรได้? นอกจากคอยเป็นก้างขวางคอไปวันๆ ฉันเองก็ทรมานใจไม่ต่างไปจากเธอหรอก ฮือ ๆ ๆ...” ฉันพูดไปก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นไปอย่างกับคนบ้า เสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบลงมาบนหลังคาห้องน้ำอย่างต่อเนื่องไม่ทำให้จิตใจของฉันสงบลงเลย ฉันใช้หลังมือทั้งสองข้างปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาไม่หยุด

      เมื่อฉันเงยหน้ามามองเหมยอีกครั้ง ก็พบว่าเธอยังคงยืนนิ่ง แววตาตกตะลึงของเธอบ่งบอกให้รู้ว่าสมองของเธอกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ บอกไปแล้วสินะ... ฉันบอกความลับที่เก็บซ่อนไว้ในใจมานานหลายปีออกไปแล้ว แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ฉันก็ดีใจที่ได้บอกเหมย พอกันทีกับความหึงหวงอะไรนั่น เพราะท้ายที่สุดมันก็ทำร้ายจิตใจเราทั้งคู่

      “ฉันขอโทษนะเหมย ฉันสัญญาว่าต่อไปฉันจะไม่ยุ่งเรื่องพวกเธออีก” ความรู้สึกผิดเริ่มเข้ามาในมโนสำนึก ทำให้ฉันยกเลิกความตั้งใจที่จะขัดขวางความรักของเพื่อนทั้งสอง แต่แทนที่เหมยจะฟูมฟายหรืออาละวาด เธอกลับเดินเข้ามากอดฉันและกระซิบข้างๆ หูอย่างแผ่วเบา

      “ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ ความจริงแล้วฉันเองก็คิดเหมือนกันกับเธอนั่นแหละแจน เฮ้อ... นี่ฉันไปหลอกคบกับไผ่ทำไมกันนะ” เหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน

       


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×