Welcome to Area 51...
(Credit Mr.DeathNote Acloud.com)
เช้าวันทำงาน ทุก ๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500 คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสนามบินแมคคาร์แรน ในลาสเวกัส เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้คือ บริษัทอีจีแอนด์จี (EG&G - Edgerton, Germesausen and Grier) ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท" (Janet) ตามด้วยเลขประจำตัว สาม หลักก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่องโบอิ้ง 747-200s ที่ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร สายการบินนี้ออกบินทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง โดยมีจุดหมายอยู่ที่ทะเลสาบกรูม (Groom Lake) สถานที่ลึกลับที่หน่วยราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมันเมื่อหลายปีก่อน
เขตทดลองเครื่องบินลับ พื้นที่ 51 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าทะเลสาบกรูม นั้นอยู่ห่างจากลาสเวกัสไปทางตอนเหนือราว 90 ไมล์อันที่จริงแล้ว พื้นที่ 51 เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารแห่งหนึ่ง ของสหรัฐที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2
นับแต่นั้นมา ก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบ เครื่องบินจารกรรม เช่น เจ้าวิหคทมิฬ (Blackbird SR71)
เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน F-117 NigthHawk Stealth Bomber
เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber
ขยายอาณาเขต ฐานทัพทะเลสาบกรูมถูกขยายอาณาเขตออกไปอีกในช่วงทศวรรษ 1980 มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติม อาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบินเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรมที่มีอยู่มากมาย อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า ดีแทชเมนต์3 (Detachment3) แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพเนื่องจากพื้นที่รอบ ๆ ทะเลสาบ กรูม เป็นภูเขา ในปี 1984 กองทัพสหรัฐต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีกโดยหวังว่า จะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้ไปยังในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใข้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่ง ห่างจะทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์ คือที่บริเวณไวท์ไซด์ พีก (White Side Peak) กับ ฟรีดอมริด์จ (Freedom Ridge) เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสองแห่งสอดแนมได้อีก ในปี 1995 กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้นไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใด เพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขตกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้ แต่ก็มีการจัดเวรยามโดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนามที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หน่วยลาดตะเวนนิรนามนี้เรียกว่า แคมโมดูดส์ (Cammo Dudes) ซึ่งมีหน่วนสนับสนุนทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปอเตอร์ Silkorsky MH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ โครงการลับต่าง ๆ ที่ใช้พื้นที่ 51เป็นสถานี้ทดลองนั้นค่อย ๆ ทยอยจบลงเช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลูเสร็จสิ้นเมื่อปี 1985 การทดลองเครื่องบินยิงขีปนาวุธ แอดวานซ์ครูซ (Advances Cruise Missile - ACM) ถูกยกเลิกในปี 1992 การทดลองขีปนาวุธสแตนด์ออฟแอทแทค (Stand-Off Attack Missile) ถูกยกเลิกในปี 1994 แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่นั้น ความลับในพื้นที่ 51 เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่น ๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยในปี 1989 สถานีโทรทัศน์ลาสเวกัสได้ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ รอเบิร์ท ลาซาร์ (Robert Lazar)
ผู้ที่อ้างว่าเขาเคยทำงานในพื้นที่ 51 รอเบิร์ท กล่าวว่า เขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรมยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ในพื้นที่ 51 มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้นลงในเขตหวงห้าม บริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าบริเวณทะเลสาบปาปูส (Papoose Lake) ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์ เรื่องราวของรอเบิร์ทเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก มันทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ผู้คนสงสัยเริ่มปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ยานบินรูปทรงกลมอาจเป็นการทดลองระบบต้านแรงโน้มถ่วงโลกแน่นอน เทคโนโลยีที่น่าทึ่งเช่นนี้ต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรมที่มีความเร็วกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่ เช่น พอล์ส เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน (Pulse Detonation Wave Engine) และเครื่องบินความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโครเจน การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วกว่าเสียงหลายเท่าหรือที่เรียกว่า ยานไฮมัค(High-Mach Vehicle) โดยสร้างเครื่องบินที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 กับ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี (Super Valkarie) ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เคยไปด้อม ๆ มอง ๆ แถวพื้นที่ 51 เคยเห็นมันถูกทดสอบ ยานอวกาศจากต่างดาว จากคำกล่าวอ้างของรอเบิร์ท S4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการมูนดัส (Moondust) บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ภายใต้พื้นทรายเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย รอเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ (Barry Castillio) นักวิจัยแต่ละกลุ่มจะถูกแยก ทำงานในส่วนต่าง ๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวที่ช่วยรอเบิร์ทศึกษา ค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ
วันแรกที่รอเบิร์ทเดินทางมาถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจผิวหนัง เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิดตามจุดต่าง ๆ บนแขน วันต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คผิวหนังของเขาเกิดพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้จะช่วยป้องกันเขาจากสิ่งแปลกปลอมที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว สารที่รอเบิร์ทดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสนและในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมิคุ้มกันนั้น ต่อมารอเบิร์ทถูกแนะนำให้รู้จักกับ เรนี่ (Rene) ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเรนี่เป็นใครมีหน้าที่อะไรใน S4 เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วนของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของรอเบิร์ทชื่อ เดนนิส มาริอานี (Dennis Mariani) เขารู้จักเดนนิสตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทอีจีแอนด์จี ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศเนลลิส (Nellis Air Force Base)
ศึกษาข้อมูล ในวันแรก ๆ มีเจ้าหน้าที่พารอเบิร์ทไปที่ห้องเล็ก ๆ ที่มีเพียงโต๊ะ และเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความภายในแฟ้มล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงในการศึกษาข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้น ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ รอเบิร์ทได้เห็นการทดสอบการบินของยานบินรูปทรงประหลาดและยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อในรายงานระบุว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นล้านปีแล้ว!!!! โครงการที่รอเบิร์ททำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อนของยานอวกาศต่างดาวและบทบาทของแรงโน้มถ่วงเพื่อใช้เป็น สื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อโครงการ กาลิเลโอ (Project Galileo) โดยปรกติแล้วเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่น ๆ แต่ในกรณีของรอเบิร์ทนั้นเขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วยจึงทำให้เขาได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์กลุ่มอื่น หลากหลายโครงการ โครงการไซด์คิก (Project Sidekick) เป็นหนึ่งในสองโครงการที่รอเบิร์ทได้รับอนุญาตให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธแสง (Beam Weapon)
ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก โครงการลุกกิ้งกลาส (Project Looking Glass) เป็นการศึกษาเรื่องกำกายภาพของการมองเห็นและผลกระทบต่อเวลาและอวกาศในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง และเชื่อกันว่าโครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วงและการควบคุมมัน การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ รอเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่าง ๆ ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อว่าโครงการอื่น ๆ ที่ทำใน S4 นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่รอเบิร์ทก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นแค่ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น ไม่ว่าการทดลองที่พื้นที่ 51 จะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจำนวนมาก ได้พยายามสอดแนมเข้าไปใกล้ เพื่อบันทึกภาพ ซึ่งภาพส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่ามีการทดลองเครื่องบินหรือวัตถุบินได้บางชนิดที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน...
...........จบตอน....
|
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น