ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Eschatology

    ลำดับตอนที่ #4 : chapter 03

    • อัปเดตล่าสุด 25 ธ.ค. 56


    Chapter 3

     

     

    “ถึงแล้วตรงไปข้างหน้าไม่กี่เมตรก็ถึงป้อมทหารแล้ว”  ซูโฮชี้นิ้วไปที่จุดหมายปลายทางให้คนตัวเล็กได้เห็น

     

    “คุณไม่ไปด้วยกันเหรอ”  ดีโอพูดเสียงแผ่ว  ทำไมเขารู้สึกเจ็บแปลบที่อกซ้าย   กลัวว่าจะไม่เจอกันอีก

     

    “ไม่หล่ะ  ฉันยังหนีไปอีกไกล”  ถ้าดีโอเผลอบอกความจริงออกไป  พวกเขาทั้งสี่คงไม่รอดแน่

     

    “แต่

     

    “ไม่มีแต่  นายไปตามทางของนาย  ฉันไปตามทางของฉัน”  ซูโฮเสหน้ามองไปทางอื่นเขาไม่อยากสบตากับอีกคน

     

    “คุณไปส่งผมได้ไหม”  ดีโอขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย  เขาอยากยืดเวลาให้อยู่ด้วยกันอีก  ซูโฮหันมาและพยักหน้าตามคำขอ  ทั้งสองลงจากรถมุ่งหน้าไปที่ป้อมโดยไม่พูดคุยกันสักพัก  จนถึงหน้าป้อม

     

    “ขอให้เจอพ่อแม่นะ”  ซูโฮบอกเป็นครั้งสุดท้าย  แต่สายตาเหลือบไปเห็นมินซอกยืนคุยกับผู้ชายหน้าสวยเหมือนผู้หญิงอยู่ห่างออกไป  ทำไมพี่มินซอกถึงอยู่ที่นี่นะ

     

    “ผมขอบคุณนะ  ที่ช่วยผม”  ดีโอโค้งให้ซูโฮและหันหลังจะเข้าป้อมไป  แต่โดนมือหนึ่งฉุดรั้งไว้

     

    “ฉันจะเข้าไปกับนายด้วย”  ซูโฮบอกกับดีโอและจูงมือดีโอเข้าไปข้างใน  ดีโอมึนงงกับสถาณการณ์มาก อะไรของเขาเปลี่ยนใจไปมา

     

     

     

     





     

    “นายเป็น  นายเป็น”  มินซอกที่ตอนนี้ใบ้กิน  ตอนเจอครั้งแรกนึกว่าเป็นคนธรรมดาเหมือนกับเขาแต่ไหนได้  เขาวิ่งเล่นไปหาอะไรกินในห้องครัวหน่อยเดียว  ก็มีนายทหารมากมายให้ความเคารพลู่หานอย่างเป็นคนสำคัญ 

     

    “เป็นอะไร”  ลู่หานหลุดยิ้มออกมาให้กับท่าทางที่ดูตื่นตระหนกตกใจ

     

    “ใช่สิ  นายเป็นใคร”  มินซอกยังถามต่อไปอีก

     

    “เป็นอะไรหล่ะให้เดา”  ลู่หานย้อนต่อ

     

    “ผู้บังคับบัญชาหน่วยรบพิเศษครับ”  นายทหารรูปร่างสูงใหญ่เรียกลู่หานและเดินไปกระซิบกระซาบบอกอะไรสักอย่าง

     

    “อืม  เข้าใจแล้ว”  ลู่หานตอบรับ  และหันไปดูคนตรงหน้าที่มีสีหน้าช็อกโลกเหมือนไม่คิดไม่ฝัน

     

    “นายจะไปดูผู้รอดชีวิตคนใหม่กับฉันไหม”  ลู่หานเอ่ยชวนมินซอกที่ดูเหมือนหลุดไปอีกมิติหนึ่ง  มินซอกส่ายหน้าไปมา  ลู่หานยิ้มให้และเดินตามนายทหารคนนั้นไป

     

     

     

     





     

    “ไม่กินข้าวหรือไง”  ชานยอลเดินเข้ามาในที่พักที่เห็นคนตัวเล็กยังนั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่างไม่ขยับไปมา  อาหารเช้าที่เย็นชืดไม่ได้รับการแตะต้อง  ชานยอลเดินเข้าไปใกล้พร้อมหยิบโจ๊กในยามเช้ามาจ่อหน้าคนตรงหน้า

     

    “ฉันมาฟังความจริงจากนาย”  ชานยอลลากเก้าอี้มานั่งอยู่คนตรงหน้าที่ไม่แม้แต่จะสบตากับเขา   หึ  เหม็นขี้หน้าขนาดนี้เลยเหรอ  อีกฝ่ายได้แต่เงียบ  ชานยอลใช้มือหนึ่งที่ว่างบีบปากของคนที่ไม่ยอมพูดกับเขาไปมา  พร้อมวางชามโจ๊กลงหยิบช้อนตักข้าวเข้าปาก  คนที่ถูกกระทำรู้สึกถึงความรุนแรงที่ได้รับก็พยายามขัดขืนไปมา

     

    “หึ  อย่างนายจะเงียบไปได้นานเท่าไหร่”  ชานยอลวางช้อนลงและลากจงอินเข้าห้องน้ำไปเปิดฝักบัวแล้วฉีดน้ำเย็นจัดใส่คนตัวเล็กที่ดิ้นไปดิ้นมา  ชานยอลจับถอดเสื้อออกให้หมดจนร่างกายเปลือยเปล่า  ดูดเม้มไปทั่วร่างของผิวสีน้ำผึ้งจนเกิดรอยสีกุหลาบ

     

    “ฮึก  ปล่อยนะ”  จงอินหลุดเสียงออกมาเมื่ออีกฝ่ายจูบไปที่ริมฝีปากรุกล้ำไปมา

     

    ปั๊กกกก

     

    จงอินรู้สึกเจ็บปวดเมื่อหลังถูกดันให้ไปกระแทกกำแพงอย่างแรง  และรู้สึกร้อนไปหมดเหมือนเขาเสียการควบคุมหรือเขาชอบสัมผัสของชายที่ทำร้ายเขาน่ะเหรอ

     

    “อ๊ะ  เจ็บ”  จงอินร้องครางออกมามีสิ่งหนึ่งร้อนสอดแทรกเข้าร่างกายเขา เขาเจ็บปวดไปหมดเสียงครางอย่างมีความสุขของชานยอลทำให้จงอินเจ็บเจียนตาย

     

    เมื่อไหร่จะผ่านพ้นไปเสียที

     

     

     

     





     

    ในค่ำคืนที่มีแสงจันทร์สาดส่องในคืนเต็มดวง  แบคฮยอนนำผ้าปิดปากไว้วันนี้ได้ฤกษ์เขาจะไปตามล่าซอมบี้แบบเป็นๆมาศึกษาเอง  ถ้าให้ไปหลุมเก็บศพซอมบี้มีหวังโดนคุณหมอจอมเย็นชาจับได้แน่  แบคฮยอนมองซ้ายมองขวาหาทางหนีทีไล่  เขารู้ว่าเป็นอันตรายแต่เขาแอบยืมปืนจากห้องเก็บอาวุธมา

     

    “พวกแกอยู่ไหนกันเจ้าซอมบี้”  แบคฮยอนร้องเรียกซอมบี้ไปทั่ว  สายตาสอดมองหาไปทั่ว  สายตาก็ไปสะดุดกับผู้ชายเสื้อดำสวมหมวกแก๊ปเดินลับๆ  ล่อๆ  เพื่อไปที่ไหนสักแห่ง  และผู้ชายคนนั้นเดินออกมาจากป้อม

     

    “ใครน่ะ”  แบคฮยอนได้ทีตามไปอย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่เดินนำรู้สึกตัวก่อน

     

    “เป็นไงบ้าง”  เสียงเข้มของชายร่างใหญ่มีกล้ามเป็นมัดๆ  เหมือนพวกเล่นมวยปล้ำ พูดขึ้นมาเมื่อเห็นชายที่แบคฮยอนตามมามาถึง

     

    “พวกนั้นยังทำหน้าที่เดิม  แต่มีคนนึงที่หน้าเหมือนสี่พี่น้องตระกูลคิมเลย”  อีกเสียงพูดออกมา

     

    “ห๊ะ  เราจะถล่มพวกมันให้ราบคาบจับพี่น้องพวกตระกูลคิมได้เมื่อไหร่ยิ่งดี”  ชายร่างใหญ่เหมือนจะถูกใจกับข่าวที่ได้รับมา

     

    “แต่ว่า พวกเราควรช่วยเหลือกันดีกว่าแก่งแย่งกันเอง”  ชายหมวกแก๊ปเหมือนไม่เห็นด้วย

     

    “แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอถ้าพวกเราทำลายพวกทหารนั่นได้  เราจะได้กุมอำนาจแถบนี้ให้หมด  ดีสักอีกที่ไม่มีกฎหมาย  อยากทำอะไรก็ทำ”

     

    “มันไม่ป่าเถื่อนไปหน่อยเหรอครับ”  ชายสวมหมวกแก๊ปแถมยืนอยู่ในที่มืดทำให้แบคฮยอนเห็นไม่ถนัดสักเท่าไหร่  รู้แต่ว่าอีกฝ่ายคงส่งสายตาพิฆาตให้

     

    “ครับผมจะทำตาม”  ชายสวมหมวกแก๊ปโค้งให้และเดินออกจากป่าไปแบคฮยอนรีบหลบและแอบเดินตาม  หลังจากเดินตามมาได้สักพักชายสวมแก๊ปรู้สึกเหมือนโดนถูกสะกดรอยตาม  ก็รีบออกตัววิ่งไป  แบคฮยอนรีบวิ่งตาม

     

    ปั๊กกกก

     

    “โอ๊ยเจ็บ  หายไปไหนแล้ว” แบคฮยอนกุมหน้าผากตัวเองเมือนชนร่างของใครคนใดคนหนึ่งทำให้สายตาคลาดกับชายสวมหมวกแก๊ป

     

    “คุณออกมาทำอะไรข้างนอก”  เซฮุนถาม  หลังจากที่เขาไปแอบดูในบ้านพักกลับไม่เห็นแบคฮยอนเลยออกตามหาจนมาเจออยู่ข้างนอกป้อม

     

    “ฉันเหรอ  โถ่เว้ยเพราะนายมาขัด”  แบคฮยอนขยี้ผมไปมาอย่างหัวเสีย  ถ้าเขารู้ว่าสี่พี่น้องตระกูลคิมคือใคร  เขาก็จะสามารถไปเอาสูตรยาและหาวิธีแก้ได้  โดยไม่ต้องพึ่งซอมบี้

     

    “ผมไม่รู้ว่าคุณออกมาทำอะไร  แต่ไม่ควรออกมา”  เซฮุนตีหน้าขรึมใส่

     

    “นายก็วันๆ  เอาแต่เก๊ก” 

     

    “แต่ผมช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ไม่ทำตัวไร้สาระเหมือนคุณ”  แบคฮยอนเถียงไม่ออกชั่วขณะ

     

    “สองคำก็ว่าไร้สาระ  ทำนู่นทำนี่ก็ไร้สาระ  อืม”  พูดยังไม่ทันจบริมฝีปากของแบคฮยอนก็ถูกทาบด้วยริมฝีปากของอีกคน  เป็นรสจูบที่หวานไปหมด  นุ่มและอ่อนโยนทำให้แบคฮยอนเคลิ้มได้ไปสักพัก

     

    “รู้ไหมมีคนเค้าเป็นห่วง  ทีหลังอย่าออกมาอีกนะ”  เซฮุนจูงมือแบคฮยอนเข้าไปในป้อม  อีกคนยังมึนกับเหตุการณ์ตรงหน้า  แต่ทำไมหน้าเขาร้อนอย่างนี้เนี่ย  เกิดอะไรขึ้น

     

     

     

     





     

    นี่เป็นอีกวันหนึ่งของจงแดที่เห็นจงอินอยู่ที่พักของชานยอลเมื่อวันก่อน  ทำให้จงแดต้องมาเตร็ดเตร่มองหาน้องชายที่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน  วันก่อนเขายังเห็นอยู่เลย  แต่ทำไมที่นี่ถึงเงียบนักหล่ะ

     

    “นายมาทำอะไรที่นี่”  คริสโผล่มาจากไหนไม่รู้  ทำให้จงแดตกใจอยู่เหมือนกัน  ผู้ชายคนนี้ตามติดเขาตลอดเวลาเลยหรือไง

     

    “เปล่ามาเดินเล่น”  คราวนี้เขาจะไม่ปล่อยไก่อีกแล้ว

     

    “เหรอนายส่องหาใครอยู่หล่ะ  ให้ช่วยหาให้ไหม”  คริสถามพลางจ้องมองไปยังบ้านพักของชานยอล

     

    “คือว่าผมสงสัย  ผมเคยเห็นผู้ชายผิวแทนคนนึงอยู่บ้านหลังนี้”  ยังไงซะจงแดก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าเป็นความจริงหรือเขาตาฝาดไป

     

    “อ๋อคนนั้นเหรอ  เห็นชานยอลบอกว่าเป็นทาสน่ะ”  คริสช่วยตอบให้เข้าใจ

     

    “ทาสเหรอ  ทำไมต้องเป็นทาส”  จงแดขมวดคิ้วอย่างคิดหนัก

     

    “ก็คือพวกที่ทำไม่ดี  เห็นแก่ตัวนี่แหละมั้ง”  คริสขยี้ผมจงแดเล่นด้วยความหมั่นไส้  ทำไมผู้ชายตรงหน้าดูไร้เดียงสา  น่าปกป้องชะมัด

     

    “ผมอยากเห็นพาไปดูได้ไหม”  จงแดไม่เคยขอร้องคริสแต่คราวนี้เขาอยากรู้จริงๆ

     

    “ได้”  คริสฉวยจับมือและพาเข้าไปที่บ้านพัก

     

     

     

     





     

    “ว่าแต่นายมีอะไรเหรอ  คริส”  ชานยอลถามที่เห็นคริสเดินมากับคนๆนึง  แต่ก็ทำให้จงอินที่นั่งเหม่อลอยหันมาให้ความสนใจด้วยดวงตาเป็นประกาย  เป็นประกายงั้นเหรอ

     

    “ว่าแต่คนนี้ใคร”  ชานยอลที่ลอบมองจงอินถามอย่างสนใจคนที่คริสพามา

     

    “คนนี้ชื่อ  เฉิน  เป็นคนที่ฉันช่วยมา”  คริสพูด  หลังจากแนะนะกันเสร็จ  ชานยอลก็ชวนคริสนั่งและตัวเองก็ไปนั่งข้างๆจงอิน  ทั้งสองคุยกันไปในเรื่องทั่วไป  แต่จงแดพยายามส่งสายตาสื่อสารกับจงอินที่ทั้งสองสบตากันอยู่  จงอินดูโทรมลงมาก  จงแดคิด

     

    “นี่พวกนายรู้จักกันเหรอ”  คริสถามเมื่อเห็นอาการของจงแดและจงอินสบตากันตลอด

     

    “เปล่าหรอกครับ  แค่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน”  เป็นฝ่ายจงอินที่ตอบแทน  ชานยอลมองด้านข้างของจงอิน  และยิ้มมุมปาก  ทีกับเขาไม่ยอมพูด  คนอื่นนี่พูดตลอด

     

    “งั้นไม่มีอะไรมากล่ะ  ขอตัวก่อนนะ ไปเถอะเฉิน”  คริสคว้าข้อมือจงแดและให้เดินตามออกไป

     

    “เพื่อนคุณเป็นคนดีรึเปล่า”  จงแดถามคริส  ไม่รู้เพราะอะไรแววตาของจงอินดูเศร้า  อาจเป็นคนที่ชื่อ  ชานยอลทำร้าย

     

    “เท่าที่รู้จักกันมา  ชานยอลก็เป็นคนดีคนนึง  ซื่อสัตย์และไว้ใจได้” 

     

    “ผมไม่เชื่อ  เพื่อนกันนิก็พูดเข้าข้างกัน”  ดวงตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหล  ต่อไม่ให้พูดจงแดก็ดูออก  พวกเขาทั้งสี่เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก  ใช้ชีวิตเพียงลำพังทั้งสี่คนจนสามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้โดยไม่พูด

     

    “คือ….”  คริสดูเหมือนจะพูดไม่ออกเขาไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคนนี้เป็นอะไรกัน  จงแดรีบวิ่งหนีให้ห่างจากคริสให้ไกลที่สุด  คริสได้แต่ยืนมองตามไป

     

    “ต้องมีอะไรสักอย่างแน่” 

     

     

     

     





     

    “นายบอกว่านายชื่อ  คิมมินซอกใช่ไหม”  ลู่หานถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนที่ดูเงียบผิดปกติหลังจากรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร  มินซอกไม่ตอบยังคงนั่งนิ่ง

     

    “นายรู้จักคนชื่อ  จงอิน  รึเปล่า”  ลู่หานได้รับรายงานว่าชานยอลได้พาคนึงกลับมาที่ป้อมด้วยแต่ไม่รู้นามสกุล  แต่มินซอกยังเงียบไม่ไหวติง  แต่ในใจร้อนรุ่ม

     

    “ไว้วันหลังฉันจะพานายไปหาคนชื่อจงอิน  จงอินพักอยู่ที่บ้านพักชานยอล”  ลู่หานเฝ้าดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่นิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร  คนๆนี้เขาเดาใจไม่ออกจริงๆ

     

    “ป่ะ  เถอะฉันจะพานายไปทานข้าวเย็น”  ลู่หานฉุดมือมินซอกให้เดินตามไปอย่างว่าง่าย  ในใจมินซอกตอนนี้เกิดคำถามหนึ่ง     จงอินโดนจับตัวมาเหรอ

     

     

     

     




     

    “ดีโอ  ฉันขอให้นายสัญญากับฉันไว้อย่างหนึ่ง”  ซูโฮมีสีหน้ากังวลพวกเขาทั้งสองถูกนำตัวไปให้ลู่หาน แต่ยังดีที่ดีโอไม่พูดอะไรออกไป  เขาจึงรอดมาได้

     

    “สัญญา?”

     

    “สัญญาว่าถ้าเห็นพี่น้องฉันต้องทำเป็นไม่รู้จัก  ถ้านายพูดออกไปนายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”  ไม่ต้องอธิบายให้มากดีโอก็เข้าใจ  ดีโอได้แต่พยักหน้าให้คำสัญญา

     

    “ดีมาก  ไปกินข้าวเถอะ”  ซูโฮกุมมือดีโอและเดินเข้าไปในโรงอาหาร  แต่ด้วยสายตาดีเกินไปจึงทำให้เห็นจงแดและมินซอก  ซูโฮตกใจอยู่พักหนึ่ง  จงแดและมินซอกรู้สึกเหมือนถูกจ้องก็หันมาหาสายตาคู่นั้น  ทั้งสามดูตกใจที่เห็นกัน  ต่างฝ่ายต่างเงียบและทานข้าวต่อ

     

    “นั่นมัน  จงแดและมินซอกนี่”  ดีโอที่เห็นเหมือนกันพูดขึ้นเบาๆ

     

    “นายให้สัญญากับฉันแล้วนะ”  ซูโฮย้ำเตือนอีกที

     

     

     

     




     

    เลย์ที่นั่งเงียบอยู่นานกวาดสายตาไปทั่วโรงอาหารทำให้เขาเห็นคนมาใหม่เพิ่มอีกถึง  คน  มาใหม่งั้นเหรอ

     

    “เลย์ นายนี่ฝีมือไม่ตกเลยนะ ทำอาหารเก่งมาก”  เทาที่โผล่มาจากด้านหลังพูดชื่นชมให้กับฝีมือของเลย์

     

    “อยากให้นายพูดได้จัง”  เทายิ้มแป้นและตักข้าวป้อนให้อีกฝ่าย  เลย์ได้แต่สบตานิ่งๆ  ผมขอโทษนะเทา  แต่ผมรักเทามาก  บางคำคือสิ่งที่อยากจะพูดออกมา  แต่เป็นสิ่งที่พูดไม่ได้  เมื่อมีบางอย่างมาปิดกั้นเขาไว้

     

    ผมรักคุณนะ  ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้  

     

     

     




     

    “นายโผล่มานี่ได้ไง”

     

    “พี่ต่างหาก”  หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเขาทั้งสามต่างบอกใบ้ให้มาหากันที่บริเวณป่าไม่ค่อยมีผู้คนผ่าน

     

    “รู้ไหม  จงอินอยู่ที่นี่ด้วย”  จงแดรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นหน้าพี่ทั้งสอง

     

    “ฉันรู้แล้ว”  มินซอกตอบเงียบๆ

     

    “ห๊ะ  จริงดิ  อย่างนี้พวกเราทั้งสี่ก็อยู่ถ้ำเสือ”  ซูโฮไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด

     

    “พวกเราต้องหนีออกจากที่นี่  กลับไปที่บ้านก็ไม่ได้อีกแล้ว”  มินซอกนึกวางแผนไปมาในสมอง

     

    “ทำไมกลับไม่ได้”  จงแดถามขึ้นอย่างสงสัย

     

    “มีคนต้องการตัวเรามากถึงสามกลุ่ม   กลุ่มแรกก็คือที่นี่ต้องการหาคนเริ่มต้นสงครามก็คือ  พวกเรา  กลุ่มที่สองต้องการตัวยามาทำร้ายโลกอีก  กลุ่มสุดท้ายแค่พวกอยากลงโทษพวกเรา”  มินซอกอธิบาย

     

    “แต่ฉันว่ากลุ่มแรกกับกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มเดียวกัน”  จงแดแก้คำพูดพี่ชายให้

     

    “กลุ่มที่สองถ้าจับตัวเราไปพอได้สูตรยาก็ฆ่าทิ้ง  กลุ่มแรกมีโทษอย่างเดียว  คือ  ประหาร”  ซูโฮเสริม

     

    “สรุปไปฝ่ายไหนก็ตาย”  จงแดสรุป  พวกเขาทั้งสามต้องวางแผนหนีและต้องไปช่วยจงอินด้วย

     

    “ตอนนี้ก็ทำเป็นไม่รู้จักกันก่อน”  ซูโฮบอกแค่นี้  ก่อนจะแยกย้ายกันไป   โดยไม่รู้ว่ามีบางคนแอบฟังอยู่

     

     

     

     





     

    “ดีโอ  นายเห็นพ่อแม่นายยัง”   ซูโฮถามขึ้นเมื่อปล่อยให้คนตัวเล็กเดินตามหาพ่อแม่มาทั้งวัน  สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ  การส่ายหน้า  ซูโฮไม่รู้จะปลอบยังไงก็ได้สวมกอดลูบผมคนตัวเล็กไปมาอย่างปลอบโยน

     

    “ถ้าฉันไม่คิดแบบเห็นแก่ตัวเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก”  ซูโฮรู้สึกเสียใจที่ทำลายโลกของคนในอ้อมแขนพังทลาย

     

    “ฉันขอโทษ”  ซูโฮพูดได้แค่นี้  ร่างเล็กก็ปล่อยโฮออกมา  เขาหาพวกท่านไม่เจอ  ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง

     

    “แบคฮยอนคุณมายืนทำอะไรตรงนี้”  คุณหมอมาดขรึมเอ่ยถามนักสอดรู้ตัวน้อย  เอ้ย  นักวิทยาศาสตร์

     

    “เปล่า  ไม่มีอะไร  ที่นี่มีหนอนบ่อนไส้รึเปล่า”  แบคฮยอนรีบเดินออกจากบริเวณนั้น  ไม่ให้ซูโฮรู้ตัวว่ามีคนแอบมอง

     

    “น่าจะไม่มี  ถ้าจะสงสัยก็คงเป็นคุณ”  คุณหมอยิ้มยียวนกวนประสาทมาให้

     

    “เอ่อ  ช่างเถอะ”  ตอนนี้แบคฮยอนสงสัยในสิ่งที่ซูโฮพูดออกมา  เหมือนซูโฮเป็นคนเริ่มก่อสงคราม

     

    “นี่อย่าทำหน้าหงิกสิครับ  เดี๋ยวไม่สวยนะ”  ไม่รู้อะไรทำให้เขาพูดแบบนี้  ปกติเขาจะนิ่งด้วยซ้ำ  พอเจอแบคฮยอนทำให้เขามีชีวิตชีวามากขึ้น

     

    “แหวะ”  แบคฮยอนใช้ฝ่ามือฟาดไปที่แขนของเซฮุน  จนเผลอร้องออกมา

     

    “เจ็บนะ”

     

    “สมน้ำหน้า”  แบคฮยอนแยกเขี้ยวใส่  และรีบเดินหนีไม่อยากให้คนตัวสูงว่าหน้าแดง

     

     

     

     





     

    พรึ่บบบบ

     

    มีสิ่งหนึ่งเหมือนเป็นกระดาษที่ถูกพับเป็นนกลอยเข้ามาในห้องของจงอิน  จงอินรีบมองออกไปนอกหน้าต่างอยากรู้ว่าใครส่งมา

     

    จงอิน ตอนนี้พวกพี่ทั้งสามอยู่ที่นี่  พวกเราจะหนีออกจากค่ยนี้ไปด้วยกัน  เลยจะเริ่มคืนนี้  นายต้องหนีห่างออกจากชานยอลออกมาให้ได้  ไปเจอกันหลังป้อม

     

    ปล. รีบเผากระดาษซะ

     

    จงอินหยิบกระดาษเดินไปห้องครัวแล้วเปิดเตาแก๊สจนมีไฟลุกขึ้นมา  จงอินแหย่กระดาษลงไปในประกายไฟ  ผ่านไปหลายวินาทีกระดาษก็หายไป

     

    “นายมาเผาอะไรแถวนี้”  ชานยอลเดินเข้ามาโอบกอดจากด้านหลังเอาคางเกยไหล่มนพร้อมสูดกลิ่นหอมจากซอกคอ   ถ้าเทียบจงอินเป็นสารเสพติด  ชานยอลคนนี้ก็ติดยาแล้วถ้าวันไหนไม่ได้ลิ้มลองเหมือนจะขาดใจ

     

    “เผากระดาษ”  จงอินตอบสั้นๆ

     

    “นายว่างขนาดเผากระดาษเล่นเลยเหรอ”  ชานยอลหัวเราะออกมาเบาๆ

     

    “ก็คงใช่”  น้ำเสียงจงอินช่างดูเย็นชาเหลือเกิน  แต่ชานยอลไม่สน

     

    “คืนนี้นั่งดูดาวเป็นเพื่อนหน่อยนะ” ชานยอลหอมแก้มจงอินครั้งนึงและเดินจากไป  ความรู้สึกเหมือนจงอินจะหนีจากเขาไปยังไงยังงั้น  สัญชาตญาณบอกเขามา  เขาไม่รู้ตัวว่าเป็นอะไร  รู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

     

    เขาหลงรักจงอินเข้าแล้วเหรอ

     

     

     

    Talk 

    ขอบคุณคอมเม้นนะคะ  จุ๊บๆ

     

     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×