ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Eschatology

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 01

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 56


    Chapter 1

     

     

                ย่างเข้าสู่ยุคโลกาวินาศ

    ชายหนุ่มตัวเล็ก  ตาโต  ย่างกรายเข้ามาในรั้วของโรงเรียนมัธยมปลาย  เขาย้ายตามพ่อแม่เลยได้ย้ายโรงเรียนด้วย  “โด คยองซู”  หรือ  ใครๆก็เรียกว่า  “ดีโอ” ได้เข้ามาเรียนที่นี่เป็นแห่งแรกสายตามองไปทั่วโรงเรียนอย่างชื่นชม  เขาต้องหาเพื่อน  ปรับตัวเข้ากับสถานที่แห่งใหม่นี้

     

    ดีโอเดินขึ้นอาคารเรียน  ด้วยความไม่ระวังทำให้เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งผิวสีแทนเข้า  ชายคนนั้นดูมีท่าทางกระวนกระวาย  ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา

     

    “ขอโทษครับ”  ดีโอพูดได้แค่นี้  ชายคนนั้นก็เดินนีไปอีกทาง สงสัยคงรีบมากจริงๆ  ดีโอคิดแบบนี้  แต่เขาไม่สนหรอก  ดีโอมุ่งหน้าไปที่ห้องเรียน

     

    “สวัสดีครับ  ผมโดคยองซู  หรือเรียกว่าดีโอก็ได้นะครับ”  ดีโอโปรยยิ้มที่เขาคิดว่าเป็นมิตรที่สุดไปให้เพื่อนๆ ในห้อง

     

    “ขอบใจมาก  ดีโอ  เอาหล่ะไปนั่งได้  เราจะเริ่มเข้าสู่บทเรียน”  คุณครูร่างท้วมส่งยิ้มหวานมาให้  พร้อมเริ่มเตรียมการสอน

     

    ตูมมมมมมม

     

    เสียงระเบิดดังกึกก้อง  พร้อมเสียงสัญญาณจากเครื่องบินไปมาพร้อมมีการยิงปืนปะทะกันของฝ่ายตรงข้ามกับทหาร

     

    “นักเรียนหนีเร็ว” ครูพูดได้แค่นั้นก็เกิดเสียงกรี๊ด  โวยวายหนีเพื่อเอาตัวรอดกันอย่างจ้าละหวั่น  ดีโอก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เขาจะต้องหนี  สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือ  พ่อแม่เขาจะเป็นยังไงบ้าง  ดีโอไม่รอช้าก็วิ่งออกมา  ภาพที่ได้เห็นเขาว่าไม่เคยเห็นในชีวิตจริง  เห็นแต่ในภาพยนตร์ก็ประจักษ์ให้เห็นตรงหน้าแล้ว  ตึกต่างๆเกิดไฟไหม้  เบื้องล่างมีผู้คนหลบหนีกัน  มีเสียงปืน  ระเบิด  ดังไปทั่ว  บนฟ้ามีเครื่องบินของหน่วยรบต่างๆ

     

    “หนีเร็ว  นายจะยืนบื้ออีกนานไหม”  เสียงของผู้หญิงดังขึ้นปลุกให้ดีโอตื่นจากภวังค์  ดีโอเร่งฝีเท้าวิ่งออกจากตัวอาคารอย่างรวดเร็ว  เสียงผู้คนกรี๊ดร้องไปทั่ว  ดีโอวิ่งหนีสุดชีวิต  วิ่งไปเรื่อยๆ  จนชนเข้ากับผู้คนต่างๆที่เบียดเสียดกันเข้ามา  ดีโอเหมือนไม่รับรู้อะไร  เหมือนทุกอย่างดับวูบ

     

     



     

    “นายทหาร  พร้อมรับคำสั่ง”  เสียงหัวหน้าฝ่ายการหน่วยรบพิเศษดังขึ้น 

     

    “รับทราบ”  เสียงทหารนายร้อยตอบพร้อมเพรียงกัน

     

    “หาผู้รอดชีวิต  ปฏิบัติ”  เสียงเข้มพูดขึ้น  ทำให้นายร้อยทหารบกอย่าง  “หวงจื่อเทา”  หรือ  “เทา” รีบเร่งปฏิบัติหน้าที่  เทาเดินสำรวจพื้นที่ในซากปรักหักพังที่ยากจะเกินเยียวยา  จากเมืองที่ดูสวยงามกลับกลายเป็นเมืองที่ดูเหมือนไม่ใช่เมือง  ทั่วโลกตอนนี้ก็ได้รับผลกระทบแบบเดียวกันหมด  ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจุดชนวนนี้ขึ้นมา

     

    เทาเดินเข้าไปสำรวจพื้นที่แห่งหนึ่ง  ที่ดูเหมือนเป็นโรงเรียนมัธยม  แต่ตอนนี้ไม่เหลือสภาพนั้นสักเท่าไหร่

     

    “กรี๊ดดดดดดดด  ช่วยด้วย”  เสียงผู้หญิงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด  เทาวิ่งไปตามที่มาของเสียง  สิ่งที่ได้พบทำให้เทาตกใจอย่างมาก  มันไม่ใช่คน  มันเหมือนเป็นซอมบี้  ศพเดินได้กำลังสูบเลือดเนื้อจากผู้หญิงที่ร้องตะโกนให้ช่วย  ซอมบี้นั้นหันกลับมาจ้องหน้าเทาและรีบวิ่งปราดเดียวก็หยุดตรงหน้าก่อนที่จะได้ทำอะไร

     

    ปัง

     

    เสียงปืนหนึ่งนัดเจาะกะโหลกของซอมบี้ตัวนั้น  ซอมบี้ล้มลงไปนอนกับพื้นเผยให้เห็นร่างที่ยิงซอมบี้  “ลู่หาน”  ชายหน้าสวยแต่นิสัยห้าวหาญที่เป็นถึงผู้บังคับบัญชาการสูงสุด  เดินเข้ามาและยิ้มชื่นชมกับผลงาน

     

    “โลกมันเปลี่ยนไปทุกวันนะ  ว่าไหม”  ลู่หานใช้เท้าเขี่ยร่างซอมบี้ไปมา

     

    “เกิดอะไรขึ้น”  เทาถามเสียงนิ่ง  เพื่อกลั้นอาการตกใจจากเมื่อครู่

     

    “เชื้อไวรัส  ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกไง  ยินดีต้อนรับสู่ยุคโลกาวินาศ” 

     

    “งั้นก็  เหลือแต่พวกเราน่ะสิ” 

     

    “ยังเหลืออีกผู้คนอีกมากมาย  และยังมีผู้ลอยนวลอยู่”  ลู่หานยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะชวนเทากลับฐานทัพ

     

     

     





     

    “เหมือนมดกัด  เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว”  โอ  เซฮุน  หรือ  เซฮุน  เป็นนายร้อยทหารอากาศ  พ่วงตำแหน่งเป็นคุณหมอประจำหน่วยกองทัพ  หน่วยรบพิเศษพูดกับเด็กตัวน้อยที่ผ่านสงครามมา  หนูน้อยมีสีหน้าที่เศร้าเหมือนสูญเสียคนรอบข้างไปจากสงครามครั้งนี้

     

    เซฮุนลูบหัวเด็กน้อยด้วยความอ่อนโยนที่สูญเสียบุคคลที่รักไป  ช่างน่าเศร้า  เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาของหัวหน้าฝ่ายการรบพิเศษ  เซฮุนเห็นทำท่าทำความเคารพในแบบที่ทหารฝึกมา

     

    “เป็นไงบ้าง”  อู๋  อี้ฟาน  หรือ  คริส  หันมาถามเขาพยายามตามหาตัวญาติของเด็กกลับไม่พบอะไรเลย 

     

    “เลิกร้องไห้  แล้วทำแพ้ให้แล้วครับ  ตกลงว่า”  หยุดไว้แค่นั้นเซฮุนและคริสต่างสื่อสารด้วยสายตาก็เข้าใจว่าคำถามกับคำตอบจะเป็นเช่นไร

     

    “เอาหล่ะ  เราต้องไปตามหาคนคิดต้นตอให้เกิดเรื่องแบบนี้”  คริสสั่งเสียงเรียบและเดินออกไป  ทิ้งให้หนูน้อยตาแป๋วไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่

     
     

     




     

    “เอาหล่ะ  หน้าที่ของพวกเราในตอนนี้ ตามหาผู้รอดชีวิต แต่ก็มีมนุษย์บางคนที่ไม่ใช่คนระวังไว้ด้วย  และก็มีคนเถื่อนที่ไม่ยอมเข้ากองทัพของพวกเรา  ยังไงๆก็ประนีประนอมหน่อยหล่ะกัน”  ลู่หานหันไปสั่งกับลูกน้องที่อยู่หน่วยงานต่างๆอย่างเสียงเข้ม

     

    “เอาหล่ะ  เลิกประชุมได้”  ลู่หานบอกแค่นี้แต่มีคนบางกลุ่มยังไม่ลุกหนีไปไหน  ปาร์คชานยอล  ที่ทำหน้านิ่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปมา

     

    “นายทำไมยังไม่ไปอีก”  ลู่หานถามเสียงเข้ม

     

    “กำลังไป”  ตอบแค่นี้  นาวิกโยธิน  อย่างเขาต้องมีอะไรให้ไปทำอีกเยอะ  และหมุนตัวออกจากป้อมไป

     

    “อ้อ  เซฮุน มีคนพบนักวิทยาศาสตร์คนนึง  ยังไงก็ฝากดูแลด้วยหล่ะ”  ลู่หานบอกก่อนที่เซฮุนจะตามชานยอลออกไป

     

    “ครับ”

     

     




     

    “ได้โปรด  ฉันขอดูเชื้อของซอมบี้หน่อยนะ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพยามยามดิ้นหลุดจากพันธนาการของทหารร่างใหญ่ที่คุมเอาไว้  ไม่ให้ไปยุ่งกับศพซอมบี้ที่ลู่หานกับเทาเอากลับมาที่ฐานทัพด้วย

     

    “นา  นะ  แปป  เดียวมันเป็นสิ่งที่น่าศึกษามากเลย”  บยอน แบคฮยอน  ยิ้มอย่างร่าเริงให้นายทหารปล่อยตนเข้าไป

     

    “คุณคือนักวิทยาศาสตร์ใช่ไหม”  เสียงติดจะเย็นชาของใครคนนึงดังมาจากด้านหลังของแบคฮยอน

     

    “อืม  ใช่”  ตอบสั้นๆ  สายตาพลางสำรวจลักษณะท่าทางคงเป็นนายทหารนายหนึ่งแต่ดูมีอำนาจมากถึงทำให้นายทหารอีกสองคนให้ความเคารพ

     

    “ที่นี่มีกฎ  โปรดทำตามกฎด้วย  ถ้าคุณยังอยากมีชีวิตต่อไป”  เซฮุนพูดได้แค่นี้และเดินเข้าที่พักไป

     

    “โธ่  อย่าหวังว่าจะสั่งแบคฮยอนคนนี้ได้”  เขาอยากได้อะไร  เขาก็ต้องได้

     

     

     

     





     

    เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อยๆถูกเปิดขึ้นมา  ทำไมที่นี่ดูมืดจัง  เขาอยู่ที่ไหน  เขาจำได้ว่าวิ่งหนีออกมาจากอาคารและจากนั้นเหมือนดับวูบไปหมด  นี่มันเวลากลางคืน  ทุกสิ่งรอบตัวไม่เหมือนเดิมมีแต่ซากปรักหักพังจากอาคารไปทุกทั่วสารทิศ  ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลย

     

    ดีโอค่อยๆลุกขึ้นสายตากวาดไปทั่วบริเวณ  มีทางหนึ่งเขาต้องหาทางกลับบ้านให้ได้  ดีโอเดินตามเส้นทางที่มีเค้าลางของสิ่งก่อสร้างต่างๆ  เดินไปเรื่อยๆ  ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งก้มหน้าร้องไห้อย่างหนัก  ร่างกายสั่นไปหมด

     

    “คุณครับ  คุณ”  ดีโอเดินเข้าไปหาร่างบอบบางของผู้หญิงคนนั้นและจับบ่าเป็นการปลอบโยน  ผู้หญิงก็ค่อยๆหันหน้ามาหา  ดวงตาขาวโพลน  หน้าซีดไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง  ที่ตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด  แถมมีเขี้ยวคม

     

    ดีโอผละมือออกเมื่อรู้ว่าไม่ใช่คน  เขาต้องหนี  หนีออกให้ห่างจากผู้หญิงคนนี้  ซอมบี้สาวเมื่อรู้สึกตัวก็วิ่งตามดีโอไป  ดีโอวิ่งอย่างสุดชีวิต  ในใจก็เกิดคำถามมากมายทำไมเป็นแบบนี้  เกิดอะไรขึ้น  แล้วพ่อแม่เขาหล่ะ

     

    ปึก

     

    “โอ๊ย”  ดีโอเผลอวิ่งชนร่างหนึ่ง  ก่อนทุกสิ่งจะดับวูบไป

     

     

     





     

    “แผนการสำเร็จแล้ว  เอาไงต่อดี”  คิมจงแด หรือ เฉิน ถามพี่ชายคนรองที่คิดแผนและสามรถผลิตยาไวรัสที่พ่อเป็นคนทำออกมาได้อีก  แต่ไม่มีวิธีแก้

     

    “ก็ช่างเถอะ  เราสนองให้คนที่ฆ่าพ่อแม่เราสมใจอยากแล้ว”  คิมจุนมยอน  หรือ  ซูโฮ  พวกเขาเหนื่อยกับการหลบซ่อนจากพวกที่ตามล่าฆ่าพวกเขามาหลายปีจนโตเป็นหนุ่มกันหมด  พวกเขาต่างหลบซ่อนและหาชื่อใหม่มาใช้กันเพื่อปิดบังตระกูลที่ผลิตยาที่ก่อให้เกิดสงครามลามไปทั่วโลกอย่างนี้  

     

    พวกเขาทั้งสี่คนเริ่มวางแผนและค่อยแพร่เชื้อไปทีละประเทศ  จนเกิดความเข้าใจผิดกัน  บางประเทศเกิดความโลภว่ายาตัวนี้สามรถฆ่าศัตรูได้ก็ต่างมาขอซื้อกับพวกเขาทั้งสี่โดยที่ไม่มีใครรู้และเห็นหน้ามาก่อน  เป็นบ่อเกิดของสงคราม  เชื้อไวรัสที่พวกเขาได้มาจากตัวอย่างของพ่ออีกตัวจากที่ห้องทดลองของพ่อที่อยู่มหาลัย  จึงสามารถสร้างได้  แต่ยังไม่มียาแก้

     

    “จะยังไงก็แล้วแต่  ยินดีต้อนรับยุคโลกาวินาศ”  คิมมินซอก  หรือ  ซิ่วหมิน  พี่คนโตอมยิ้มหลังจากทำภารกิจได้ลุล่วง

     

    “พี่ซูโฮ”  คิมจงอิน  หรือ  ไค น้องคนเล็กของตระกูลคิมเดินเข้ามาหาพี่ชายทั้งสาม

     

    “มีไรไค”  ซูโฮยิ้มให้กับน้องชาย

     

    “เด็กที่พี่พามารู้สึกตัวแล้ว”  ไคตอบและยิ้มให้ในบรรดาพี่น้องไคถือว่าเก่งศิลปะการต่อสู้ที่สุด  ด้านความฉลาดในการวางแผนยกให้ซูโฮ  ด้านหลอกผู้อื่นยกให้ซิ่วหมิน  ด้านเทคโนโลยียกให้เฉิน 

     

    “อืม  เดี๋ยวพี่ไปดูเอง”  ซูโฮลุกขึ้นไปหาผู้ชายที่เขาช่วยชีวิตจากซอมบี้ที่เขาสร้างมันขึ้นมา

     

     

     




     

    “ตื่นแล้วเหรอ”

     

    “คุณเป็นใคร”  ดีโอลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นผู้ชายผิวขาว  หน้าตาหล่อเหลา  และดวงตากลมโตมองไปรอบห้องที่นี่ที่ไหน

     

    “นายไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร”  ซูโฮยิ้มให้เด็กน้อยที่ดูน่ารัก  ทำไมเขาต้องคิดด้วยว่าเด็กคนนี้น่ารัก

     

    “ที่นี่ที่ไหน”  ดีโอหันมาสบตากับซูโฮที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

     

    “ไม่ต้องรู้หรอก  เดี๋ยวฉันจะไปส่งนายให้กับป้อมทหารเอง”  ซูโฮบอก  เขายังไม่อยากให้คนอื่นรู้ความลับในสิ่งที่พวกเขาทำลงไปหรอกนะ

     

    “ขอบคุณนะที่ช่วยชีวิตผม  ผม  ดีโอ”  ดีโอลุกขึ้นนั่งและพูดขอบคุณคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้

     

    “ฉันซูโฮ”  ซูโฮยิ้มให้และเดินออกจากห้องไป

     

     

     

     




     

    ในเช้าวันถัดไป  เทาได้รับหน้าที่ให้ออกมาตามหาผู้รอดชีวิตต่อไป  หลังจากการตามหามาได้ครึ่งวันเขากลับไม่พบวี่แววผู้ที่เหลือรอดอยู่เลย

     

    “อืม  พี่ผมว่าไอ้หมอนี่ก็หน้าตาสวยดีนะ  เอามันแก้ขัดแทนผู้หญิงไปก่อนหล่ะกัน”  เสียงๆหนึ่งดังมาจากซอกตึกใกล้ๆแห่งนี้  เทารีบวิ่งไปตามที่มาของเสียง  เห็นชายฉกรรจ์สามสี่คนกำลังเหมือนจะบังคับให้อีกคนทำตามคำสั่ง  แต่ใต้ร่างนั้นขัดขืนดิ้นไปมา

     

    เทารีบกระโดดเตะชายเหล่านั้นพร้อมแจกหมัดสองสามหมัดให้ชายพวกนี้  เทารีบคว้ามือร่างเล็กของชายคนนั้นวิ่งออกมา

     

    “ปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไรใช่ไหม”  เทาส่งยิ้มให้ผู้ชายที่ดูสวยราวกับนางฟ้า  แต่ผู้ชายคนนั้นพยักหน้าให้เป็นการตอบ

     

    “พูดไม่ได้เหรอ”  เทาถามอีกครั้ง   อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ

     

    “เขียนได้ไหม”  เทาถามอีกครั้ง  ไม่รอช้าชายหนุ่มคว้ามือคนเบื้องหน้าแบออกและใช้นิ้วเขียนชื่อลงไป  เทาพยายามจินตนาการถึงตัวอักษรที่อีกคนส่งมาให้

     

    จางอี้ชิง  หรือ  เลย์”  เทาถามย้ำอีกครั้ง  เลย์พยักหน้าอีกครั้งฉีกยิ้มให้กับคนที่ช่วยชีวิตตน

     

    “ฉันเรียกว่าเลย์แล้วกัน  ฉันชื่อเทานะ”  เทาบอกอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นใบ้

     

    “ฉันจะพานายกลับป้อมทหารนะ”  เทาคว้าข้อมือเล็กและจูงไปในสถานที่ๆที่ต้องการ ในระหว่างทางเทาก็ถามคำถามไปเรื่อยเปื่อย  อีกฝ่ายทำได้แค่พยักหน้ากับส่ายหน้า  เขารู้ว่าเลย์เป็นคนจีนเหมือนกับเขา  เป็นเด็กกำพร้า  แต่มางานที่ต่างประเทศ  แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปกว่าจะกลับคืนสู่สภาพที่ดีได้ต้องใช้เวลา

     

    “เลย์  ฉันจะดูแลนายเอง”  เทาส่งยิ้มหวานให้เลย์  เลย์ยิ้มตอบกลับแต่หัวใจตอนนี้สั่นไหวด้วยความอ่อนโยนของผู้ชายที่เดินเคียงข้างเขา

     

     

     





     

    ในช่วงตอนกลางคืนที่บ้านพักของคนที่รอดชีวิตจากภัยสงคราม  ผู้คนต่างนอนหลับใหลกัน  ก็ยกเว้นคนๆหนึ่งที่ยังนอนลืมตาโพลงรอโอกาสที่จะเก็บเชื้อไวรัสไปศึกษา   ความอยากรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่ห้ามยาก  เมื่อเห็นผู้คนต่างหลับใหลแล้ว  แบคฮยอนก็ค่อยๆลุกออกจากที่นอน  บ้านพักนี้ทุกคนต้องนอนรวมกันจะเรื่องมากไม่ได้  ทำให้แบคฮยอนต้องก้าวเท้าออกช้าๆ  เดี๋ยวไปปลุกให้คนอื่นตื่นขึ้นมา

     

    “อา  สำเร็จ”  แบคฮยอนพูดให้กำลังใจตัวเองเมื่อออกจากบ้านพักได้  แต่ยังมีนายทหารกว่าหลายนายที่ยังไม่หลับใหล  ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่  แบคฮยอนไม่สนใจเร่งฝีเท้าไปที่หลุมที่เก็บศพของซอมบี้อย่างรวดเร็ว  มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร  ก็รีบลงหลุมไปพลิกตัวศพไปมา  ดีนะที่เขาแอบขโมยเข็มฉีดยาจากห้องพยาบาลได้

     

    “เอาหล่ะ  ใจเย็นๆนะแบคฮยอน  ไม่ต้องตื่นเต้น”  แบคฮยอนปลอบใจตัวเองขณะที่หยิบเข็มขึ้นมาจะดูดเอาเลือดของศพตรงหน้า  แต่ศพซอมยี้กลับลืมตาโพลงกระโดดคร่อมตัวแบคฮยอนไว้

     

    “อ๊ากกก  ช่วยด้วย”  มือก็ค้ำยันหน้าซอมบี้ไม่ให้มากัดตัวเองไว้  ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

     

    ปัง

     

    เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับร่างซอมบี้แน่นิ่ง  แบคฮยอนผลักศพออกไปให้ไกล  และเงยหน้าดูคนที่อยู่เหนือหลุม  เซฮุนยืนเล็งปืน  สายตาเย็นชาส่งมาให้แบคฮยอนที่ตอนนี้ยิ้มแหยๆ  ไม่รู้จะทำไง

     

    “โอ๊ย  เจ็บ  เบาๆหน่อยสิ”  เซฮุนดึงแบคฮยอนขึ้นจากหลุมและลากไปที่ๆห้องหนึ่งรู้สึกจะเป็นห้องของเซฮุนเอง

     

    “ผมยังนึกว่าเข็มฉีดยาหายไปไหน  ที่แท้นายก็ขโมยไปเอง”  เซฮุนตีหน้านิ่งใส่

     

    “โธ่  แค่ขอยืมแปปเดียว  เดี๋ยวก็เอาคืน” แบคฮยอนก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา

     

    “คุณรู้ไหมว่ามีคนบาดเจ็บตั้งมากมายที่รอให้ผมช่วยอยู่ไม่มีเวลามานั่งเล่นแบบคุณหรอกที่มัวแต่ไร้สาระ”  เซฮุนตวาดขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้ายังเถียงเขาอีก

     

    “ไร้สาระตรงไหน  ฉันก็จะหาวิธีรักษาคนที่โดนพวกนี้กัดไม่ให้เป็นซอมบี้ไปอีก”  แบคฮยอนขึ้นเสียงบ้าง  มาดูถูกว่างานของเขาไร้สาระทั้งๆที่ก็หาวิธีช่วยคนอื่นเหมือนกัน

     

    “อ๋อหรอ  คุณก็ก่อความเดือดร้อนเหมือนกันนั่นแหละ  ถ้าผมไปช่วยไม่ทัน  คุณก็จะกลายเป็นซอมบี้อีกคน” ต่างฝ่ายต่างเงียบ  แบคฮยอนรู้ว่าเขาผิด 

     

    “ขอโทษ”  พูดสั้นๆได้ใจความ

     

    “ไปนอนเถอะ”  เซฮุนบอกเชิงไล่  แบคฮยอนเข้าใจก็เดินออกจากห้องไป  และเมื่อออกมาข้างนอกก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

     

    “ยังไงซะก็จะหายาที่รักษาอาการซอมบี้ให้ได้”

     

     

     

     




     

    “ยาไวรัสตัวนี้มีต้นกำเนิดมาจากตระกูลคิมที่โดนสังหารไปเมื่อหลายปีก่อน”  ชานยอลอธิบายในสิ่งที่เขาไปสืบมา

     

    “ตระกูลคิมเหรอ  แต่พวกเขาตายหมดแล้วนี่”  คริสเถียงเขาได้ยินมาว่าตระกูลนี้ตายหมดแล้ว

     

    “ยังเหลือสี่คนที่เป็นลูกชายน่ะ”  ชานยอลแก้ข่าวให้

     

    “สรุปว่าพวกนี้เป็นคนจุดชนวนให้เกิดสงคราม  เราต้องจับตัวพวกนี้มาให้ได้”  ลู่หานเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆพอจะเดาเรื่องออกหมด

     

    “เราจะแบ่งทีมกัน  คริสไปทางใต้  ชานยอลตะวันออก  เทาฉันให้นายไปทิศเหนือ  ฉันจะไปตะวันตก  เซฮุนอยู่บริเวณนี้  ส่วนที่เหลือมุ่งหน้าไปทางเฉียงเหนือ  เฉียงใต้กัน”  ลู่หานบอกแผนยังไงพวกนี้คงอยู่ไม่ไกลหรอก

     

     

     

     




     

    ดีโอช่วยพี่น้องทั้งสี่คนทำความสะอาดที่พัก  หาอาหารให้  เขายังไม่อยากไปไหน  เขาไม่มีที่ไปแล้ว  แต่ยังดีหน่อยที่พวกนี้ไม่ไล่เขาแต่ก็ให้เขาอยู่แต่บริเวณห้องครัว  ห้องนั่งเล่น  และห้องนอนของดีโอ  โดยไม่ให้ไปส่วนอื่นๆ  ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าทำไม

     

    “ดีโอนายอยากไปป้อมทหารยัง  เผื่อเจอพ่อแม่นาย”  จงแดเดินมาถามที่ห้องนั่งเล่น

     

    “ก็อยากแล้วครับ  แต่ให้ผมตอบแทนพวกคุณก่อนเถอะ  หรือว่าพวกคุณรำคาญผมแล้ว”  ดีโอรู้สึกใจกระตุกเขาก็อยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว

     

    “ฮ่าๆ  นายเอาอะไรมาพูดพวกฉันกลัวว่านายจะอึดอัดน่ะ”  จงแดส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้

     

    “ครับ   ผมไม่อึดอัดเลย” ดีโอบอกแค่นี้และเดินเข้าห้องครัวไป  พอเห็นจงแดออกไปแล้ว  สิ่งที่เขาสงสัยว่าพวกนี้มีอะไรกันแน่  ดีโอเดินสำรวจไปเรื่อยๆตามห้องต่างๆ  เดินไปเรื่อยๆมองตามผนังห้องเขาไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่ไหน  ทำไมเงียบและร้างผู้คนอย่างนี้

     

    ดีโอเดินไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าเป็นห้องอะไร  มือเล็กก็ค่อยๆผลักประตูเข้าไปสิ่งที่พบทำให้ดีโอตกใจไม่น้อยกับภาพตรงหน้า  มีศพซอมบี้วางเกลื่อนมากมาย มีห้องแล็บทดลองยาขนาดเล็ก  มีห้องทีวีที่ดูเหมือนเป็นห้องสื่อสารควบคุมระบบดาวเทียมมีจอภาพหลากหลายจอให้เห็นภาพสถานที่ต่างๆมากมายในโลก

     

    “พวกนี้เป็นอาชญากร  เป็นคนก่อเกิดสงคราม”  ดีโอตกใจวิ่งออกมายิ่งตกใจไปอีกที่เห็นมินซอกดักหน้าไว้แล้ว

     

    “ฉันว่าแล้วนายเลี้ยงไม่เชื่อง”  มินซอกจับแขนเล็กๆของดีโอไว้  แต่ดีโอใช้เท้าถีบมินซอกออกไปและวิ่งหนีหาทางออก  ดีโอวิ่งมาเรื่อยๆจนเจอบันไดเป็นทางขึ้นไปชั้นบน  นี่เขาอยู่ใต้ดินเหรอ  ดีโอวิ่งขึ้นไปโผล่ออกมาเป็นสถานที่รกร้างไม่มีซากปรักหักพังของอาคารมีแต่ทุ่งหญ้าสีน้ำตาลกว้างใหญ่  ดีโอวิ่งๆออกไป  เมื่อเหลียวหลังเห็นมินซอกวิ่งตามมา

     

    “ไค  เฉิน  ซูโฮ  ดีโอกำลังหนี”  เสียงมินซอกตะโกนดังลั่น  ไคที่หลบอยู่อีกทางวิ่งตามดีโอไป  จงแดที่โผล่ออกมาจากที่หนึ่งก็ตามวิ่งตามไป  ซูโฮเห็นก็วิ่งตามดีโอไป

     

    พี่น้องตระกูลคิมทั้งสี่วิ่งตามดีโอไปหมดในทุ่งหญ้ากว้าง  แต่มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาเหล่าซอมบี้ผู้หิวโหยเห็นมนุษย์วิ่งไปมาก็ออกแรงวิ่งตาม  ดีโอตกใจที่ไม่ใช่แต่คนที่วิ่งตามมีซอมบี้อีก  ซูโฮที่คว้าตัวดีโอไว้ได้ก็พาวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง  พวกเขาวิ่งมาเรื่อยๆ  ซูโฮหยิบปืนออกมาจากกางเกงและเหลียวหลังไปยิงซอมบี้ที่ตามมา

     

    ปัง  ปัง  ปัง  ปัง

     

    ซอมบี้ทั้งสี่ตัวล้มลงไปกับพื้น  ทั้งสองคนวิ่งมาที่หมู่บ้านหนึ่งที่รกร้าง  ซูโฮดึงดีโอขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง  จากนั้นบิดกุญแจสตาร์ทรถที่ดูก็รู้ว่าเจ้าของรถลืมกุญแจไว้และวิ่งหนีอะไรสักอย่าง  ซูโฮเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปที่แห่งหนึ่ง  ซูโฮรู้สึกว่าชายตรงหน้าอันตรายมาก

     

    “นายรู้เยอะเกินไปแล้วนะ”

     

    “พวกคุณเป็นอาชญากร”  ดีโอน้ำตาไหลออกมาผู้มีพระคุณของเขามีส่วนทำให้เมืองในฝันของเขาพังทลาย

     

    “หึ  ฉันคิดว่าพวกโลภมากอยากได้แบบนี้สักอีก”  ซูโฮเหยียดยิ้มร้ายกาจออกมา  ดีโอได้แต่มองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ  ถ้าพ่อแม่เขาเป็นไรขึ้นมา  เขาไม่ไว้ชีวิตคนตรงหน้าแน่

     

     

     

    Talk

    เป็นไงบ้างกับเรื่องใหม่  อยากบอกว่าเด่นทุกคู่นะคะ   แล้วแต่ตอนว่าคู่ไหนจะโผล่มา

     

     

     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×