"ฮัลโหล ว่าไง โทรมามีอะไรแต่เช้าอะ"คนเพิ่งตื่นพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ซึ่งบ่งบอกคนปลายสายได้ดีว่า เธอยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับข่าวที่ลงในเช้าวันนี้
"โทษทีนะ ที่โทรมากวนแต่เช้า"น้ำเสียงนั้นบอกถึงความจำเป็นบางอย่างที่ทำให้โทรมาแต่เช้า ต้องรบกวนเวลานอนของเพื่อนแบบนี้
"อืมม...แล้วมีไรล่ะ"
นคินีนิ่งฟังพร้อมยันตัวให้ลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อตั้งหลักกับเรื่องที่คนปลายสายกำลังจะพูด...อาจจะเป็นข่าวร้าย
"นี่เธอรู้มั้ย ตอนนี้เธอดังใหญ่แล้วนะ"แตงกวาบอก
"ห๊ะ! ว่าไงนะ ดัง! เรื่องอะไรอะ"
คนส่งข่าวเงียบไปชั่วอึดใจ ทำให้คนที่กำลังรอฟังอยู่ลุ้นกับสิ่งที่เธอกำลังจะเล่าจนตัวโก่ง ก่อนเพื่อนตัวดีที่อุตส่าห์โทรมากวนแต่เช้า จะทิ้งปริศนาเอาไว้ให้เจ้าของเรื่องไปสืบข้อมูลเอาเอง
"เอางี้ฉันจะไม่เล่าหรอกนะ เพราะถ้าจะคุยกันเรื่องนี้ คงต้องคุยกันอีกยาว เอาเป็นว่าหน้าข่าวในแวดวงไฮโซ มีภาพเธอกับท่านประธานหนุ่มเจ้านายสุดหล่อของเธอ โชว์หราอยู่ในหน้านั้น ส่วนเนื้อข่าวไปหาอ่านเอาเอง แล้ววันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ค่อยนัดเจอกัน และเธอต้องชดใช้ ข้อหามีลับลมคมในกับเพื่อน แค่นี้แหละ บาย"
สายที่โทรมารายงานอย่างไร้ความละเอียดแล้วคาดโทษเอาไว้ ถูกตัดไปทันที จนทำให้คนที่กำลังจะถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอ้าปากค้างอยู่หลายวินาที ก่อนเริ่มใช้สมองประมวลข้อมูล แล้วกระพริบตาถี่ๆ วิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำ ประตูถูกปิดดัง ปัง!!
คนที่รีบเร่งมาถึงที่ทำงานแต่เช้า รีบหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับที่ต้องนำเข้าไปวางยังโต๊ะทำงานของเจ้านายทุกวันขึ้นดู แล้วถือวิสาสะคลี่หนังสือพิมพ์ฉบับที่เจ้านายของเธอควรจะได้เปิดอ่านเป็นคนแรกด้วยความอยากรู้
เมื่อเปิดไปยังหน้าที่คนนำสารมาส่งให้แต่เช้าบอก เธอก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากบางอ้าน้อยๆด้วยความตกตลึงตาค้างอยู่หลายวินาที ยังกับว่าถูกแจคพอตรางวัลที่หนึ่งหลายสิบล้าน แต่แทนที่สีหน้าของคนที่จ้องมองไปยังหน้าหนังสือพิมพ์ จะมีความยินดีฉาบฉวยอยู่บนใบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น เธอกลับร้องดังลั่นด้วยความตกใจ
เปิดเผยแล้วอย่างเป็นทางการ ว่าที่เจ้าสาวในอนาคต ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่สยาม จิวลี่ กรุ้ป
"เฮ้ย!...นี่มันอะไรกันเนี่ย" ความเป็นกุลสตรีหายไปในพริบตา ก่อนสายตาจะเริ่มไล่อ่านเนื้อข่าวที่อยู่ในนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ในหน้าข่าวนั้นมีรูปเธอกับท่านประธานของเธอกำลังจับมือถือแขนกันเดินเข้ามาภายในงาน...ที่จริงตอนนั้นเขาจับมือเธอเอาไว้ฝ่ายเดียวตังหาก
และคบหาดูใจกันอยู่นานแล้ว...ใครไปเอาข่าวที่ไม่เป็นความจริงแบบนี้มาจากไหน เธอเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของดาราขึ้นมาบ้างแล้วสิ
นคินีวางหนังสือพิมพ์ที่ยังไม่ได้ถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อยลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ด้วยความหัวเสียอย่างรุนแรง เธอไม่น่ารับปากไปงานเลี้ยงในคืนนั้นกับเขาเลย ทั้งที่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนที่อาจจะต้องตกเป็นข่าวใหญ่โต ตอนนี้เธออาจจะกลายเป็นศัตรูหัวใจของหญิงสาวหลายๆคนที่กำลังหมายปองพ่อเทพบุตรสุดหล่อของพวกหล่อนอยู่ นคินีเดาว่าพวกเธอคงกำลังตาถลนออกนอกเบ้า หากได้เห็นหัวข้อข่าวในหน้าแวดวงไฮโซฉบับของวันนี้ด้วยตาตัวเอง
ไม่อยากจะคิด...ไม่อยากจะคิดเลยว่า ตอนที่เขาอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เขาจะเป็นยังไง เขาคงรู้สึกไม่สบายใจและหัวเสียไม่ต่างจากเธอในตอนนี้
"ยืนคิดอะไรอยู่นคินี"
เสียงจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังกังวลกับเนื้อหาในข่าวของเช้าวันนี้ถึงกับสะดุ้ง แล้วรีบหมุนตัวมาทางเสียงพูดอย่างรวดเร็วก่อนรีบปรับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลในทีแรกให้กลับมาเป็นปกติ
"เอ่อ คือฉัน คือ"คนไม่รู้จะบอกเขาว่ายังไงดี หยิบหนังสือพิมพ์ที่ถูกวางไว้อย่างลวกๆส่งให้เขาแทน"คุณอ่านหน้านี้สิ"
คนร่างสูงนิ่งไปสักพักก่อนยื่นมือมารับหนังสือพิมพ์ไว้ด้วยสีหน้าเรียบเย็นก่อนเอ่ยขึ้น"ฉันรู้แล้ว"
"ฮะ!...รู้แล้ว แต่คุณยังทำหน้าตาย ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยเหรอ นี่ข่าวเขียนว่าเรา...เอ่อ"เธอลังเลไปสักพักก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลง"เป็นแฟนกันเนี่ยนะ"
แก้มของคนพูดซับสีแดงระเรื่อเหมือนลูกมะเขือเทศ หลุบตาลงต่ำเพื่อปิดบังความเก้อเขินเอาไว้ ก่อนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าสีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ที่จริงก็ไม่ได้ปกติตั้งแต่ต้น
"ก็ดีแล้ว" หัวใจของคนพูดพองโต ใบหน้ายิ้มกริ่มเมื่อได้เห็นท่าทางขวยเขินนั้นของคนที่ตนแอบมีใจให้
"อะไรนะ ก็ดีแล้วหรอ จะดีได้ยังไง ในเมื่อในข่าวนั้นมันเป็นการโมเมเอาเองของพวกนักข่าวชัดๆ"เธอว่าขึ้นเสียงสูง แววตาเต็มไปด้วยคำถามกับคำพูดของชายร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า
"แล้วถ้านักข่าวพวกนั้นไม่ได้โมเมขึ้นเอง เธอคิดว่ามันจะดีอย่างที่ฉันพูดมั้ย"
คำถามกำกวมที่ถูกส่งมาให้นั้นทำให้คนฟังทำหน้าไม่เข้าใจ "แล้ว จะดีได้ยังไงล่ะ ในเมื่อมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว"คนไปไม่เป็นกับคำถาม ตอบแบบปัดไปที ก่อนแสร้งทำเป็นโวยวายกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น
"อย่ามัวแต่ล้อเล่นได้มั้ย คุณรู้มั้ยว่าข่าวที่ออกมาแบบนี้ ฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะ!"
"แล้วไง"เขาทำเป็นว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูด เพื่อให้เธอขยายความให้ชัดแจ้ง
นคินีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วค่อยปล่อยออกมาทางจมูกช้าๆอย่างคนกำลังรู้สึกเหนื่อยหน่าย และขี้เกียจจะอธิบายกับคนเข้าใจยาก
"ก็เพราะฉันเป็นผู้หญิงน่ะสิ แล้วอีกอย่าง จะมีใครกล้าเข้ามาจีบฉันล่ะ เพราะคิดว่าเรา..เอ่อ เป็นแฟนกัน"
ภคนนท์รู้สึกไม่ชอบใจนิดๆกับคำพูดที่แสดงให้เห็นว่า คนที่เขามีใจให้ยังแอบคาดหวังว่าจะมีใครเข้ามาในชีวิตสักวันหนึ่ง
อยากให้ใครมาจีบงั้นเหรอ....อย่าหวังเลย
ภคนนท์ยิ้มร้ายเมื่อรู้สึกไม่สบอารมณ์กับคำพูดของคนตรงหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว
มีอย่างที่ไหน กลัวจะไม่มีใครมาจีบ ทั้งที่เขาก็จีบเธออยู่ตรงนี้แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง
"ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาจีบ คนที่ติดกระดุมเสื้อยันเม็ดสุดท้าย ผูกโบบนคอจนแน่น สวมกระโปรงยาวจนแทบจะลากพื้นอยู่แล้วหรอกนะ"
คำพูดอันแสนร้ายกาจที่ออกมาจากปากคนเย็นชา ทำให้นคินีแทบกรี๊ด บทเขาจะปากจัดขึ้นมาก็ทำให้เธอแทบบ้า
นคินีเม้มปากแน่นส่งสายตาพิฆาตไปยังคนที่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์เสื้อผ้าหน้าผมของเธอ เขาหาว่าเธอมันป้า ทั้งเฉิ่มทั้งเชย ไร้รสนิยม และไม่มีใครสนใจคนแบบเธอแน่นอน นี่คือความหมายที่เธอทึกทักขึ้นมาเองจากคำพูดของเขา
ก่อนที่จะได้ตอบโต้กลับไปบ้าง คนที่กำลังหัวเสียก็ต้องชะงัก เมื่อคนร่างสูงพูดขึ้นอีกว่า
"ฉันอนุญาติให้เธอบอกใครๆได้ว่าเธอป็นแฟนฉัน โดยไม่คิดเงินซักบาท แล้วขอกาแฟซักแก้วเป็นค่าตอบแทนก็คงพอ"พูดจบร่างสูงสง่าก็หมุนตัวเดินเข้าห้องทำงานไปในทันที ก่อนทิ้งให้อีกคนอ้าปากหวอกับวาจาที่แสนเจ็บแสบไปถึงทรวงด้วยความเจ็บใจ
ปากร้าย ผู้ชายอะไรปากร้ายที่สุด
เสียงเครื่องมือสื่อสารจากภายใต้สูทรสีดำราคาแพงดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังนั่งคิดถึงหน้าของใครบางคนดึงสติกลับ แล้วล้วงมือเข้าไปยังเสื่อสูทร เพื่อหยิบเอามือถือราคาแพงนั้นขึ้นมาดูชื่อบุคคลที่โทรเข้าเบอร์ส่วนตัวของเขา
เมื่อตัวอักษรที่อยู่บนหน้าจอสีขาวปรากฏเป็นชื่อมารดาที่โทรมาจากประเทศอังกฤษ ชายหนุ่มจึงรีบกดรับสายแล้วนำโทรศัพย์แนบหูโดยเร็ว "ครับคุณแม่
"ฮัลโหล ตานนท์"เสียงผู้เป็นมารดาดังออกมาจากลำโพงโทรศัพย์ด้วยความร้อนใจ"เรื่องข่าวของลูกกับผู้หญิงคนนั้น เป็นยังไงกันแน่ ไหนลองเล่ามาให้แม่ฟังซิ"คุณสุวจนีย์รีบคาดคั้นเอาคำตอบจากบุตรชายคนเดียวในทันที โดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้เลย
ความลำบากใจที่จะตอบฉายชัดอยู่บนดวงตาสีน้ำตาลดำ จะให้เขาเล่าอย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองยังรู้สึกสับสนกับเรื่องนี้อยู่ เขาจะไม่ลังเลที่จะบอกผู้เป็นมารดาเลยว่า เนื้อข่าวที่นักข่าวเอามาลงทั้งหมดเป็นความจริง ถ้าอีกคนที่ความรู้สึกช้าจนเกินไปเห็นด้วยในสิ่งที่เขาอยากจะบอก
"เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยครับ คุณแม่"
"เข้าใจผิด! แม่ไม่เชื่อหรอกนะ ในเมื่อในภาพจับมือกันกระชับแน่นขนาดนั้น บอกความจริงแม่มาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแม่จะรีบจองตั๋วแล้วบินไปหาคำตอบเอาเองที่เมืองไทยพรุ่งนี้เลย"
"เรื่องจริงครับแม่ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ"เขาย้ำคำตอบเดิมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่ปกตินัก จนคนปลายสายที่รู้จักบุตรชายของเธอดีมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมชาติในน้ำเสียงนั้น ก่อนคำตัดสินใจเด็ดขาดจะออกจากปากผู้เป็นมารดาโดยทันที
"พรุ่งนี้แม่จะบินกลับเมืองไทย เพื่อไปเอาความจริงที่นั่น แม่หวังว่าผู้หญิงคนนั้น คุณสมบัติคงไม่แย่จนเกินไป ที่แม่จะรับเป็นลูกสะไภ้ไม่ได้หรอกนะ!"
ตึ๊ดๆๆๆ เสียงสายถูกตัดไปในทันที ก่อนคนที่แนบโทรศัพย์ค้างไว้บนใบหู จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา รู้สึกกังวลกับปัญหาใหญ่ที่กำลังจะตามมา
ฝากเพจใหม่ นิยายรัก อมยิ้มรสขม ด้วยนะคะ
หากใครสนใจอ่านฉบับ e-book จิ้มด้านล่างนี้ได้เลยนะคะ
ความคิดเห็น