คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : THE SERIES STORY SONG ll ทฤษฎีสีชมพู Part 0.1
อะไรเป็นของเธอ...ก็กลายเป็นอะไรของฉัน
เมื่อเราต่างเทสี ผสมละลายเข้าด้วยกัน
ก็คงจะเป็นไปตามทฤษฎีที่เขาบอกไว้ว่ามัน...เมื่อสีทั้งสองผสมกันนั้น
ก็คงไม่มีอะไรที่จะเป็นเหมือนเดิมได้อย่างวันนั้น
เมื่อสีทั้งสองผสมกัน เมื่อนั้นมันก็จะเป็นสีของเรา
“โลกของนายมันเป็นโลกประเภทไหนกันแน่”
“ก็เป็นโลกธรรมดาๆนี่ แปลกตรงไหนเหรอ ?”
“แปลกสิ...ทำไมโลกของนายมันถึงได้สีชมพูขนาดนั้น”
“โลกนายมันเป็นสีเทาเองต่างหาก”
_______________________________________________
ทฤษฎีสีชมพู
[ Pink Theory 0.1 ]
เธอ...เธอเป็นสีชมพู
เธอมีโลกของเธออยู่ ที่ฉันไม่อาจล่วงรู้และไม่เคยเข้าไป
ส่วนฉันเป็นสีเทา...มีแต่ความเหงารอบๆกาย
ไม่รู้เลยมีความหมายอะไรนอกจากนี้
หยาดฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าของอีกวัน...น่าเบื่อหน่ายเหลือเกินกับหยดน้ำใสๆที่หลั่งไหลอย่างไม่มีท่าทีจะหยุดลงง่ายๆ ไม่ใช่ฤดูฝนแต่ก็หม่นหมอง พายุเข้าแล้วก็พาเอาความน่าหงุดหงิดมาเต็มไปหมด มีอะไรสดใสสวยงามและมีสีสันชัดเจนจริงๆสำหรับ ‘โอ เซฮุน’ บ้างนะ
คนตัวสูงผมสีควันบุหรี่ในชุดยูฟอร์มของโรงเรียนมัธยมเอกชนธรรมดา เขาเกลียดฝนตกถึงได้เข้าร้านทำผมพี่คีย์เมื่อวานนี้เพื่อเปลี่ยนสี ความจริงก็แอบเบื่อสีน้ำตาลอ่อนแล้วเหมือนกัน พี่คีย์บอกว่าเขาทำสีนี้แล้วจากตัวซีดๆก็ยิ่งซีดหนักเข้าไปใหญ่ มันมักมีเหตุผลเสมอก่อนการเดินเข้าร้านและออกมากับผมสีใหม่ในทุกๆอาทิตย์
เขาขี้เบื่อ ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ เขาเบื่อคนในโลกที่วุ่นวายและวิ่งตามเรื่องไร้สาระ ไม่มีเรื่องไหนมีน้ำหนักมากพอจะทำให้เซฮุนสนใจ ไม่รับรวมชาไข่มุกและอาทิตย์ต่อไปจะทำผมสีอะไรดี เดินไปได้ไม่กี่เก้าก็มีอันต้องก้มมองขากางเกงสแล็คสีฟ้าอ่อนที่บัดนี้เปรอะเปื้อนด้วยโคลนจากฝุ่นดินบนทางที่โดนหยาดฝนชะล้าง ยิ่งเห็นรองเท้าผ้าใบคู่เก่งด่างดำด้วยสีน้ำตาลของคราบสกปรกก็ยิ่งขัดใจ
แต่ก็ได้แค่ขมวดคิ้วแล้วก้าวเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง เขาพูดน้อยพอๆกับการสนใจสิ่งรอบตัวนั่นแหละ บางทีถ้าวันนี้แม่ไม่ไปปลุกเขาแล้วก่อนออกจากบ้านไม่ยัดร่มสีใสนี้ใส่มือมา เขาอาจจะนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ไม่ก็เดินตากฝนมาโรงเรียนมันซะเลย
“ฝนตกๆๆ! จะไปโรงเรียนทันมั้ยอ่ะ แต่ก็ไม่ต้องเข้าแถวร้อนๆนี่เนอะ”
เสียงใสแว่วดังท่ามกลางสายฝน เซฮุนย่นคิ้วก่อนจะเห็นต้นเสียงเป็นผู้ชายตัวเล็กๆที่ยืนถือกระเป๋าหนังสีดำหลบฝนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ฝนก็สาดหนาวก็หนาว เนื้อตัวก็เปียกปอน...ทำไมยังยิ้มกว้างขนาดนั้น เซฮุนส่ายหัวน้อยๆ ใส่ยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเขาคงเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ถ้าเขาต้องมายืนตากฝนอย่างงั้นคงหงุดหงิดจนแทบระเบิดเลยล่ะ ไม่มีทางมายืนยิ้มพูดคุยกับฟ้าดินอย่างนั้นหรอก
ว่าแล้วก็คิดจะไม่สนใจแล้วเลือกจะก้มหน้าก้มตาเดินผ่านไป แต่ยังไม่ทันจะไปไหนไกลเสียงใสก็เอ่ยเรียกจนเขาต้องหยุดยืน ทั้งๆที่เมื่อเต็มที่แล้วกับร่มที่รับแรงกระทบจากฝนในมือ
“นี่ๆๆ ไปด้วยคนได้มั้ยอ่ะ ไม่อยากขาดเรียนน่ะ”
“...”
“อ่า...เรา...เราเรียนที่เดียวกันนี่ ฉันกลัวว่า...”
ตัวสูงๆขยับตัวเข้าไปยืนในป้ายรถเมล์ข้างเจ้าของเสียงใส ใบหน้าหวานที่ดูชุ่มฉ่ำจากน้ำฝน ผมสีน้ำตาลประกายเปียกลู่ แถมตัวเล็กๆบางๆดูจะหนาวสั่นน้อยๆด้วย คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ ฟังเสียงก็คิดว่าเป็นผู้หญิง เอาจริงๆแล้วเป็นผู้ชาย...แต่ดูรูปร่างหน้าตาสิ มีตรงไหนที่บอกว่าเป็นผู้หญิงบ้างเนี่ย
หน้าหวานซะขนาดนั้น...ไม่โดนตาแก่หื่นกามที่ไหนลากไปก็ดีเท่าไหร่
“ชื่ออะไร”
“ห๊ะ ?!” เอ่ยถามเสียงห้วนตามประสา จ้องตากลมใสเหมือนกวางน้อยนั้นเขม็ง สงสัยอะไรหรือเขาพูดเบาไปหรือไง แล้วผู้ชายน่ะเขาไม่ทำหน้าตาเหรอหราแบบใสซื่ออย่างนั้นหรอก
มันน่ารักเกินไป...
“ลู่ฮาน อ่า...เราชื่อลู่ฮาน ม.ปลายปี 2 ห้อง A”
“ใครอยากรู้”
คนตัวเล็กมุ่ยหน้าน้อยๆ กวนประสาทหรือไงนะผู้ชายคนนี้ เขาแค่ไม่อยากจะขาดเรียนก็เลยขอติดร่มไปด้วยคน มีอย่างที่ไหนมาซักไซ้ประวัติกัน จะให้เขาไปด้วยมั้ยเนี่ย ท่าทางเย็นชาน่ากลัวชะมัด แล้วดูผมเขาสิสีเทาๆเหมือนเมฆฝนเลย
“คิกๆ”
“เสียมารยาท”
หุบยิ้มก้มหน้าจนคางชิดอกแทบไม่ทัน แค่เห็นท่าทางเหมือนเด็กเวลาโดนดุก็ทำเอาเซฮุนหน้ากระตุก ทำเหมือนเขาเป็นคนใจร้ายเลย ถึงแม่จะดุอยู่บ่อยๆว่าเขาน่ะพูดตรงจนทำผู้ใหญ่บางคนร้องไห้ได้ง่ายๆเลย แต่นั่นมันเป็นเพราะพวกเขายอมรับความจริงไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำพูดของเขาซักนิด
เขาโกหกไม่เป็น...
“แค่นี้ก็ต้องดุด้วย”
“เสียเวลา”
“...”
“จะไปไหม”
ลอบถอนหายใจกับท่าทีคนตัวเล็กกว่า เมื่อกี้ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แต่พอบอกให้ไปด้วยได้ก็ยิ้มกว้างออกมาขนาดนั้น เห็นแล้วก็ทนมองไม่ได้นานจนต้องเบือนหน้าหนี คนอะไรทำตัวเหมือนเด็ก
...น่ารัก...
...........
....
.
“ขอบคุณน้า...”
“อือ”
“บอกชื่อหน่อยสิ”
“รู้ไปทำไม”
“นะๆๆ จะขอบคุณไง พรุ่งนี้จะทำขนมอร่อยๆมาให้”
“โอ เซฮุน”
“อ่า...เซฮุน”
“ขนมน่ะ ไม่อยากได้”
จบคำก็หมุนตัวกลับไปอีกทางก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนของตัวเองที่อยู่ถัดไป หน้าหวานหม่นลงเมื่ออีกคนเอาแต่ปฏิเสธน้ำใจแล้วก็พูดเสียงห้วนใส่ตลอด คิดว่าจะได้เพื่อนใหม่ใจดีแล้วซะอีก เฮ้อ~หวังมากไปหรือเปล่าลู่ฮาน
.
.
.
“มาช้าจังวะ”
“ฝนตก”
เพื่อนผิวเข้มส่ายหน้าระอากับไอ้การรู้จักตอบเป็นคำนามแต่ตอบให้เป็นประโยคไม่เป็นโอ เซฮุนมันไม่เคยเรียนการแต่งประโยคตอนป.1 หรือไง ประธาน + กริยาน่ะ ไอ้นี่ไม่มีประธาน ก็มาแค่กิริยา บางทีมีมาแต่กรรมเฉยๆก็มี เขาไม่เรียกว่าการสื่อสารนะเว้ย!!
“ไอ้ปาร์คดูมันดิ ไม่พูดไม่จากะกูอีกและ”
“ยังไม่ชินอีกอ่อวะ”
คนตัวสูงที่นั่งอยู่ริมสุดด้านนอกเอ่ยตอบเสียงขัน ปาร์ค ชานยอลใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านกับแว่นสายตาอันโตหันกลับไปสนใจหนังสือเรียนในมือต่อ ปล่อยให้คิม จงอินผิวเข้มหน้ามึนพูดมากเท้าคางลงบนโต๊ะถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับโอ เซฮุนที่แค่เดินเข้าไปนั่งประจำที่ติดริมหน้าต่าง เฮดโฟนสีขาวเกลี้ยงถูกหยิบมาสวมต่อกับไอพอดเครื่องเล็ก เพลงบัลลาดดังขึ้นช้าๆพร้อมกับอาการเหม่อออกไปนอกหน้าต่างเหมือนทุกวัน
โลกของผมมันไม่มีสีสันมากเหมือนคนปกติหรอก มันไม่สว่างจ้าขนาดนั้น มันเหมือนโลกที่มีแต่ละอองน้ำแล้วก็ควันคลุมอยู่ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมมองเห็นทุกอย่างปกติดีนะ แต่แค่เหมือนมันขาดอะไรจนกลายเป็นได้แค่สีทึมๆเท่านั้นเอง ผมแค่เหนื่อยหน่าย...มันอาจจะเริ่มตอนที่พ่อทำงานหนักวิ่งไล่ตามเงินทองที่ใช้วัดค่าความสุข จนสุดท้ายพ่อก็ล้มป่วยก่อนจะจากไปล่ะมั้ง เด็กชายเซฮุนถึงได้กลายเป็นอย่างทุกวันนี้
.
.
.
มันเป็นเหมือนเดิมทุกๆวัน ผมรู้สึกหรือคิดอะไรก็ได้แต่เก็บเอาไว้รอจนมันจางไป ในโลกของผมทุกๆอย่างจะเลือนๆหายๆไปตามเวลานั่นแหล่ะ แต่วันนี้...ไม่รู้สิ ผู้ชายตัวบางคนนั้น เสียงใสกับรอยยิ้มยิ้มสว่างไสว มันเหมือนกับว่าผมสามารถมองเห็นเขาได้ชัดเจน ถ้าเอาเขามายืนในโลกของผม เขาจะโดดเด่นออกมาจากทุกอย่าง ความทรงจำที่กระจัดกระจาย ถ้าผมต้องการค้นหาผมจะเจอเขาได้ง่ายๆ
เขามีสีสันในความคิดของผม และรอยยิ้มนั้นก็ฉายวนซ้ำไปมา ใสซื่อขนาดนั้น...โดนคนอื่นรังแกบ้างมั้ยนะ
น่าแปลกที่วันนี้...ความคิดของโอ เซฮุน มีแต่เสี่ยว ลู่ฮานเต็มไปหมด
.
.
.
“เย็นนี้ไปร้านพี่คริสกันป่ะ ชาไข่มุกไงไอ้ฮุน”
“ก็ดีนะ...แต่เอ่อ...เดี๋ยวตามไปทีหลังนะ”
“แหน่ะ! ไอ้คุณชายปาร์ค ไปห้องสมุดอีกแล้วดิ”
“ก็...ตามนั้น”
“เออๆๆ ไปกันไอ้ฮุน รีบๆตามไปนะเว้ย!”
แต่จู่ๆคิม จงอินแทบหงายหลัง เขาเดินมาไกลแล้วพูดเจื้อยแจ้วเหมือนคนบ้าเพราะชานยอลปลีกตัวออกไปห้องสมุดก่อน ส่วนคนที่คิดว่าจะเดินตามมามันก็ยืนนิ่งค้างอยู่หน้าตึก...ปกติมันก็ซึน แต่ไม่เห็นจะเป็นขนาดนี้ อะไรของมันวะ ?!
“ไอ้ฮุน!!”
“เดี๋ยวไป”
“ห๊ะ !”
“เดี๋ยวตามไป”
ว่าแล้วก็ขยับตัวเดินกลับเข้าไปในตึก จงอินเบะปากแทบร้องไห้...เพื่อนบ้าพวกนี้ทิ้งเขาอีกแล้ว!
.
.
.
ขาเรียวก้าวเร็วต่างจากปกติ...ร่มสีใสในมือถูกกระชับแน่น เขาไม่เคยเดินเร็ว ไม่เคยรู้สึกร้อนรน สายตาเขาไม่ได้มีไว้เพื่อมองใครๆด้วยซ้ำ แต่เมื่อกี้ตอนเดินลงบันไดมา เขาเห็นคนตัวเล็กเมื่อเช้ากำลังถูกเพื่อนหลายคนต้อนเขาไปในยิม ท่าทางหวาดกลัวแต่ก็ยังยิ้มออกมามันคืออะไร
คิดไปมาก็ไม่เจอเหตุผลดีๆซักอย่าง มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น...เป็นห่วง ก็เลยต้องรีบเดินกลับขึ้นมา ได้ยินเสียงหัวเราะกับเสียงหวีดร้องเบาๆดังมาจากในโรงยิมที่เขาเห็นลู่ฮานถูกต้อนเข้าไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ไม่รอช้าที่เขาจะผลักเปิดประตูเข้าไป
.
.
.
.
ภาพข้างหน้าบนเบาะที่ใช้รองสำหรับเล่นกีฬา บีบหัวใจเขาให้เต้นรัวและเลือดสูบฉีดขึ้นหน้า ร่มในมือตกลงพื้นพร้อมๆกับตัวเขาที่ก้าวขายาวเพียงครู่เดียวก็ประชิดตัวสูงใหญ่ของผู้ชายสองสามคนที่ยืนล้อมลู่ฮานอยู่ ลู่ฮานที่เสื้อขาดหลุดลุ่ย กางเกงนักเรียนถูกถอดเข็มขัดซิปถูกรูดออกเลื่อนลงหมิ่นสะโพกกลม ใบหน้าใสก็ประปรายด้วยรอยฟกช้ำ น้ำตาเปรอะเปื้อนแก้มใส สะอึกสะอื้นร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
แค่ภาพนั้นเอง...ชั่วครู่เดียวที่สมองว่างเปล่า หมัดหนักๆซัดเข้าที่สันกรามของผู้ชายคนแรกกว่าที่พวกนั้นจะรู้สึกตัว เซฮุนก็ทั้งเตะทั้งถีบ เขาไม่รู้ว่ามีเรี่ยวแรงหรือความสามารถพอที่จะล้มผู้ชายตัวโตสามคนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาจุกเพราะถูกมันคนหนึ่งเตะเข้าที่ท้อง ส่วนปากก็แตกนิดหน่อยเพราะเคลื่อนไหวช้าไปนิดเดียว แต่มันไม่เจ็บซักนิด เทียบกับเสียงร้องไห้ของคนที่เขาเป็นห่วงอยู่ตอนนี้
“เจ็บเหรอลู่ฮาน เจ็บตรงไหน”
“ฮึก...”
สองมือจับพลิกคนตัวบางซ้ายขวา สูทนักเรียนสีฟ้าถูกถอดเปลี่ยนสวมให้คนตัวเล็ก ลู่ฮานสั่นไปหมด ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นจนเขากังวล มือกร้านลูบไปตามใบหน้าขาวที่ขึ้นรอยช้ำ เกลี่ยเช็ดน้ำตาข้างสองแก้มใส หัวใจกระตุกวูบไปหมด กังวล...เป็นอะไรร้องไห้ทำไมน่ะ
“ไปห้องพยาบาลนะ พี่คยองซูอยู่ห้องพยาบาล เขายังไม่กลับหรอก”
“ฮึก...เซฮุน”
“นายอย่าเอาแต่ร้องไห้สิ ไปห้องพยาบาลกันเถอะ”
หมับ !
“เซฮุน ฮือ...ขอบคุณนะ ขอบคุณ”
แค่สัมผัสนุ่มนิ่มจากแขนเล็กที่คล้องโอบรอบคอ กับใบหน้าอ่อนใสที่ซุกลงลาดไหล่ หัวใจของโอ เซฮุนเต้นแรง มันเต้นแรงมากจนเขานึกกังวล เขาลืมไปว่าเขาทำอะไรไปก่อนหน้านี้ เขาลืมไปว่าเขาไม่เคยมีเรื่องชกต่อย ไม่เคย..’เป็นห่วง’ ใครขนาดนี้มาก่อน
“พวกนั้นเป็นใคร ทำไมต้องแกล้งนายขนาดนี้”
“อึก...เพื่อนในห้อง เค้าเกลียดฉันน่ะ ไม่รู้สิ...อาจจะแค่เล่นๆก็ได้”
ผละตัวออกมาจ้องมองใบหน้าขาวใสที่ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ แค่นั้นก็นึกหงุดหงิดขึ้นมา ก่อนจะนึกได้ว่าเผลอทำอะไรๆมากเกินไปแล้ว บ้าหรือเปล่าทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นก็กลัวมาก ถ้าเป็นเพื่อนก็เลวเหลือเกินที่ทำกันขนาดนี้ ทำไมยังยิ้มอยู่อีก !!
“กลับบ้านซะ”
“เซฮุน”
ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง ใบหน้าหล่อเหลาติดเย็นชาเรียบนิ่งอย่างเคย คว้ากระเป๋าสะพายสีดำของตัวเองที่ตกห่างออกไปตอนสู้กับไอ้เลวพวกนั้นก่อนจะหมุนตัวกลับไปหยิบร่มมาถือไว้เหมือนเคย ไม่หันกลับไปมองคนตัวเล็กที่กำลังน้ำตารินไหลลงมาอีกครั้ง
.
.
.
.
“ถ้าใครรังแก ให้สู้...ไม่ใช่ยิ้มให้มัน”
“...”
“ยิ้มของนายน่ะ น่าหงุดหงิดชะมัดเลย”
“...”
“...”
“ขอบคุณนะเซฮุน”
แต่เธอและฉันก็เดินเข้ามาชิดใกล้
มาทำให้ฉันแปรเปลี่ยนเป็นสีใหม่
เมื่อชีวิตของเราไหลปนกัน
โลกของฉันก็ดูจะเปลี่ยนสีไป...
______________________________________________________________________________
Talk =))
มาเปิดฟิคใหม่อีกละ
รอฟีดแบกก่อนแล้วจะรีบมาอัพครับ
ฮ่าๆๆ
แอบบอกได้เลยนะว่าอยากอ่านคู่ไหนก่อน
เจอกันค้าบบบบ !
เย้! มาอัพแล้วครับ เม้นบอกติชมเค้าด้วยนะ *O*
รักนะรีดเดอร์ ^^
:) Shalunla
ความคิดเห็น