คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Special episode : Home Sweet Home
*เนื้อหาในสเปเชียลพาร์ทเกิดขึ้นคนละช่วงเวลากับเนื้อเรื่องหลักนะคะ อ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้ ไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องหลักค่ะ*
มันเป็นเย็นวันศุกร์ที่อากาศซึมเซาเพราะฝนตก
พายุช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงนำเอาทั้งลมทั้งฝนเข้าโจมตีมนุษย์โลกที่ไม่ค่อยใส่ใจพยากรณ์อากาศอย่างผมพร้อมกัน
ในตอนที่กำลังเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ผมถึงนึกขึ้นได้ตอนนั้นว่าไม่มีร่ม
ไม่มีอะไรสักอย่างในกระเป๋าที่จะเอามาใช้กันฝนได้
หลังจากยืนมองแอ่งน้ำเจิ่งนองบนพื้นขณะคิดหาทางออกอยู่ประมาณห้านาที
ผมก็เลือกร้านอาหารญี่ปุ่นกึ่งบาร์เล็กๆ
ข้างทางลงสถานีรถไฟเป็นที่หลบฝนระหว่างรอกลับบ้าน ไม่ อันที่จริงต้องบอกว่า
รอคนมารับกลับบ้าน ซึ่งคาดเดาจากการสัญจรในเมืองหลวงตอนเย็นวันศุกร์ที่สภาพคล่องพอๆ
กับการเงินช่วงสิ้นเดือน คนที่บอกว่าจะมารับผมก็น่าจะมาถึงประมาณชาติหน้า
เสียงกระดิ่งประตูดังกรุ๊งกริ๊ง
วูบหนึ่งที่ความเย็นยะเยือกของละอองฝนแทรกผ่านคืบคลานเข้ามาในร้าน
เขาปรากฏตัวขึ้น
"ช้า"
ผมทักเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้พอในระยะที่จะได้ยิน
"เราสามารถคาดหวังอะไรได้จากการจราจรตอนเย็นวันศุกร์กันล่ะ" เขาปลดสายกระเป๋าเป้ลงจากไหล่
"แถมเป็นเย็นวันศุกร์แห่งชาติที่ฝนตกอีกต่างหาก"
จากนั้นเขาก็บ่นงึมงำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับฟ้าฝนแบบที่เข้าใจอยู่คนเดียว
พลางดันกระเป๋าเข้าเก็บใต้บาร์ ตอนนั้นผมถึงสังเกตเห็นหมวกกันน็อคที่ล็อคเกี่ยวไว้กับสายคาดกระเป๋า
"ขี่มอ’ไซต์มาเหรอ"
"อืม ขับรถยนต์ก็คิดว่าคงมาถึงชาติหน้า รถติดเป็นบ้า จากปกติที่ติดอยู่แล้ว
พอฝนตกนี่ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก"
มาร์คส่ายหัวและบ่นต่อไปในหัวข้อการจราจรแย่ๆ
ในเมือง ก่อนที่เสียงงึมงำนั่นจะหยุดลงเมื่อเห็นอาหารที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์
"โห แล้วนี่อะไร ซาซิมิกับเบียร์ มันจะสบายอกสบายใจเกินไปแล้ว"
"โห ก็กว่าพี่จะมา คนเพิ่งเลิกงานมาเหนื่อยๆ จะไม่ให้กินอะไรเลยรึไง
หิวนะเว้ย" ผมว่า หยิบตะเกียบคู่ใหม่จากในกล่องไม้ส่งให้เขาแล้วหันไปสั่งเบียร์เพิ่มอีกแก้วกับเชฟที่อยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์
พอหลังจากที่ได้เบียร์เย็นๆ กับซาชิมิ (ที่แย่งมาจากผม)
เขาก็สงบปากสงบคำได้อย่างน่าอัศจรรย์
ฝนยังไม่หยุดตก
มาร์คสั่งอาหารเพิ่มอีกสองอย่าง เรานั่งแช่กันอยู่ที่บาร์อย่างไม่รีบร้อนไปไหน
จนกระทั่งเบียร์ของทั้งผมและเขาหมดแก้วที่สอง เสียงฝนนอกร้านก็ฟังบางเบาลงกว่าทีแรก
ดูเหมือนจะซาลงเยอะแล้ว หรืออย่างน้อยก็เบาลงพอให้ฝ่ากลับไปได้โดยไม่ชุ่มโชกไปทั้งตัวเสียก่อนจะถึงบ้าน
เราเลยตัดสินใจจ่ายเงินค่าอาหารแล้วออกจากร้าน
ผมออกมายืนใต้ชายคาด้านหน้าร้าน
เริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมานิดหน่อยเมื่อโดนละอองฝนที่สาดเข้ามาโดนตัวตามแรงลม มาร์คจอดมอเตอร์ไซต์หลบไว้ใต้ร่มในลานจอดรถเล็กๆ
บนทางเท้าใกล้ประตูทางเข้า เขาปลดสายคาดคางของหมวกกันน็อคบนกระเป๋าออกและยื่นมันมาให้ผมถือไว้แล้วบอกให้ยืนรออยู่ตรงนี้ ขณะที่เขาจะเข้าไปเอามอเตอร์ไซต์ออกมารับ
"เอ้า นี่ของนาย ใส่แจ็คเก็ตไว้ด้วย หนาวจะตายชัก เดี๋ยวได้ป่วยกันพอดี"
เขายื่นหมวกกันน็อคใบที่ผมใส่ประจำมาให้
แล้วดึงของตัวเองที่ผมถืออยู่คืนไป ถอดแจ็คเก็ตหนังสีดำของตัวเองมาให้ผมใส่ เนื่องจากสิ่งที่ผมใส่อยู่ตอนนี้มีเพียงชุดทำงานที่เป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลกเท่านั้น ผมกำลังจะถามกลับว่าแล้วพี่ไม่หนาวหรือไงก็สังเกตเห็นก่อนว่ามาร์ใส่ทั้งเสื้อฮู้ดสีดำแขนยาวตัวหนาและเสื้อเชิ้ตลายสก็อตซ้อนอยู่ด้านในอีกตัว ผมเลยรับมาใส่โดยไม่แย้งอะไร มาร์ครอจนผมสวมเสร็จแล้วดึงเข้าไปหา
รูดซิบเสื้อขึ้นให้จนมิดปิดถึงคอ ผมสวมหมวกกันน็อค ปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย เอนตัวพาดแขนรอบเอวคนขับไว้ซึ่งเป็นท่านั่งที่สบายที่สุดในการนั่งมอเตอร์ไซต์แบบสปอร์ตไบค์
(ช่างเป็นรถที่เบาะซ้อนไม่มีความนั่งสบายเลยจริงๆ) แล้วเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านกันในที่สุด
พอเป็นการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์
เราก็ใช้เวลาไม่นานมากนักในการฝ่าการจราจรติดขัดในเมืองเพื่อกลับถึงบ้าน ทันทีที่มาถึง
ผมสลัดรองเท้าชื้นละอองฝนทิ้งไว้ที่หน้าประตูและเปิดเข้าไปในห้องนั่งเล่นมืดสลัว (มีเสียงบ่นจากคนที่เดินตามหลังเข้ามา
แต่ผมก็ไม่สนใจนักหรอก) เดินลากเท้าเอื่อยๆ ไปยังโซฟากลางห้อง
ปลดกระเป๋าที่หนักอึ้งด้วยแล็ปท็อปและเอกสารลงจากบ่า ก่อนจะทิ้งตัวลงแผ่บนโซฟาทั้งชุดชื้นๆ
ด้วยความเหนื่อยล้า รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทิ้งตัวลงนอนพักหลังจากทำงานมาทั้งวัน
“ไปอาบน้ำ”
“เดี๋ยวดิ ขอพักก่อน”
“แบมแบม”
“เดี๋ยวไปอาบน่า ขอพักก่อน นะ น้า แป็ปเดียว”
“เดี๋ยวไปเดี๋ยวมาเดี๋ยวก็เผลอหลับทั้งชุดนี้อีก
แล้วเมื่อเย็นก็เปียกฝนด้วย ลุกๆๆ ไป ไปอาบน้ำ”
มาร์คพยายามดึงแขนผมให้ลุกขึ้นนั่งและไล่ไปอาบน้ำ
นี่มันเข้าใจว่าขอพักก่อนไหมเนี่ย
แต่ผมก็ลุกขึ้นตามแรงดึงแล้วเดินลากขาในจังหวะสโลว์สเต็ปเท่าที่แรงเหลืออยู่จะอำนวยไปยังห้องน้ำ
โดยมีหมอนั่นรุนหลังให้เดินหน้าพลางคว้าหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดตากไว้ตรงพนักเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานของผมมาด้วยแล้วแกล้งโยนคลุมหัวผมไว้
ไอ้พี่บ้านี่
แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะชอบใจอีก
เดี๋ยวก่อนๆ ติดไว้ก่อน วันนี้ไม่มีแรงจะสู้
แค่ถลึงตาใส่ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
“สระผมด้วยนะ”
ผมเหลือบมองขึ้นสบตาคนพูดผ่านกระจกเหนืออ่างล้างหน้า มาร์คยังคงไม่ไปไหนและยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่
“รู้แล้วน่า”
ผมตอบขณะเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้าและเริ่มแปรงฟัน
“แต่ถ้าขี้เกียจมากเดี๋ยวสระให้ก็ได้นะ”
ซึ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ
ผมกลอกตาใส่ “ไม่ต้องเลย
ไปๆ ออกไปได้แล้ว ผมจะได้อาบน้ำสักที”
“แน่ใจนะ?”
“แน่ใจมาก! เพราะฉะนั้น ออกไปได้แล้ว!”
ผมคาบแปรงสีฟันไว้ในปาก
โบกมือไล่และดันหลังเขาให้เดินออกไปก่อนจะปิดประตูกั้นเสียงหัวเราะกวนประสาทที่ลอยลอดเข้ามาให้ได้ยิน
รีบอาบน้ำสระผมด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้รีบออกมาหาผ้านวมอุ่นๆ กับเตียงนอนนุ่มๆ
ที่กำลังรอผมอยู่ในห้องนอน
เมื่อกลับออกมายังห้องนอนอีกทีมาร์คก็หายไปแล้ว
แต่เจ้าพี่บ้านั่นก็ไม่ลืมที่จะเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้ เพื่อที่พอผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ
อุณหภูมิที่ปรับไว้ก็กำลังทำให้ห้องเย็นสบาย
ผมโยนผ้าพาดไว้กับพนักเก้าอี้แล้วกระโจนขึ้นเตียงทันที ช่างหัวมันเถอะว่าผมที่เพิ่งสระมาจะแห้งหรือไม่แห้ง
เพราะผมล้าและอยากนอนเต็มที
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะตั้งนาฬิกาปลุกตามความเคยชินแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์
ซึ่งหมายความว่าไม่มีพรีเซนต์งาน ไม่มีประชุมกับหัวหน้า ไม่มีนัดคุยงานกับลูกค้า
และก็ไม่ต้องแหกตาตื่นแต่เช้าไปบริษัท (เย้!) เลยเปลี่ยนเป็นล็อคอินเข้าเช็คไปอีเมลที่ยังไม่ได้อ่านแทน
ระหว่างนอนอ่านเมลจากในโทรศัพท์ ผมได้ยินเสียงเปิดปิดประตู น่าจะเป็นมาร์คที่กลับเข้ามาอาบน้ำ
เพราะจากนั้นไม่นานนักก็มีเสียงฝักบัวแว่วมาให้ได้ยิน
ผมกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์เมื่อรู้สึกว่าเปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะฝืนได้แล้ว พลิกตัวตะแคงไปด้านหนึ่งและดึงผ้าห่มคลุมจนถึงคางก่อนจะหลับตาลง ฟังเสียงฝนปรอยตกกระทบหน้าต่างกับเสียงน้ำจากฝักบัวไหลกระทบพื้นกะเบื้องอย่างเงียบเชียบ
ในตอนที่กำลังเคลิ้มใกล้หลับ ผมรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะเตียงอีกฝั่งที่ยวบลงตามแรงเมื่อมีคนนั่งลง
ตามมาด้วยกลิ่นหอมสะอาดของสบู่ กลิ่นคุ้นเคยที่ทำให้นึกถึงวันฟ้าใสที่อากาศดีและทำให้รู้สึกสบายใจ
จากนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่มาจากผิวเนื้อและร่างกายมนุษย์ ผมปรือตาขึ้นดูเพื่อที่จะขยับตัวให้พอดีกับความอุ่นสบายนั้นที่กระชับโอบล้อมผมแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
และนั่นเป็นตอนที่ผมรู้สึกว่ากลับถึงบ้านแล้วจริงๆ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Talk:
ควรจะเรียกว่าตอนพิเศษได้มั้ยทางเราเองก็ไม่รู้ (อ้าว)
จู่ๆ ก็เกิดวูบขึ้นมาตอนกำลังคิดพล็อตสเปเชียลอีพีของ Lost Control และกำลังฟังเพลง My Home อยู่ในดงคนบนบีทีเอส 5555555
แล้วก็อยากลองเขียนจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งดูบ้าง รู้สึกแปลกใหม่กับตัวเองดี เพราะปกติจะถนัดเขียนแบบเล่าจากมุมมองบุคคลที่สองหรือสามมาตลอด
ยังไงก็ตาม ถึงแม้จะเป็นฟิคเบาๆ ที่ไม่มีอะไรนอกจากเล่าโมเม้นของคนสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่ก็หวังว่าจะชอบกันนะคะ
มาอ่านอะไรสั้นๆ (มากๆ) คั่นเวลากันก่อง ตอนถัดไปกำลังอยู่ในระหว่างเกลาภาษาและเนื้อเรื่อง
ถ้าพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยมาเจอกันใหม่
ติชมได้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแฮปปี้วานเลนไทน์ค่ะ
เอ็นจอยรีดดิ้ง :)
14/02/2018
ความคิดเห็น