S.Fic Shigeki no kyojin [Attack on titan] Lost in mind
หมายเหตุ : ฟิคนี้มันออกมาจากความเพ้อล้วนๆ
ผู้เข้าชมรวม
3,258
ผู้เข้าชมเดือนนี้
8
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Shingeki no kyojin Fanfic
Title : Lost in mind
Author : Yian Er
Pairing : None (??)
Rating : ใสกิ๊ง*-*
........................................................................
…ช่วงนี้รีไวล์รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยปกติ…
เพล้ง!
เสียงข้าวของแตกหักที่ดังมาอย่างต่อเนื่องจากห้องพักของหัวหน้าทหารคนสำคัญแห่งหน่วยสำรวจ ดังกังวานขึ้นภายใต้ค่ำคืนอันร้อนอบอ้าว แม้บริเวณระเบียงแถวนี้จะไม่ใช่ที่ส่วนบุคคล แต่พลทหารที่อยู่แถวนั้นต่างพากันรู้สึกสั่นวูบจนไม่กล้าเดินผ่าน เมื่อจินตนาการว่าหัวหน้าร่างเล็กของพวกตนกำลังอยู่ในอารมณ์อยากระบายอารมณ์ใส่คนมากเพียงใดเบื้องหลังประตูห้องหนาหนักนั่น
ปึง!
“รีไวล์! เกิดอะไรขึ้น!”
เสียงร้องแหลมๆของฮันจิดังขึ้น ก่อนจะรีบหุบลงอยากรวดเร็วเมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันอันเลวร้ายพอๆกับสภาพภายในห้อง ข้าวของแตกหักกระจายเกลื่อนกลาด โต๊ะไม้ทำงานตัวโปรดถูกพลิกคว่ำ ส่งผลให้เอกสารที่มักจะกองแยกประเภทไว้อย่างเป็นระเบียบกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นราวกับพรมสีขาว แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับความเสียหายที่ถูกทิ้งไว้บนร่างที่กำลังยืนคว้างอยู่กลางห้อง ...แสงจันทร์จากบ้านหน้าต่างสาดส่องกระทบเรือนผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงที่ก้มต่ำจนตกลงมาปรกใบหน้าซีกบนเอาไว้ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยบาดแผล ของเหลวสีแดงสายเล็กๆค่อยๆหยดลงบนพื้นที่ละหยดๆ ย้อมเอกสารสีขาวให้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีชาดของโลหิต
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเจ้าระเบียบอย่างเขาจะปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้
ปึง! ฮันจิสะดุ้งสุดตัว แต่ก็พูดอะไรไม่ออกซักคำเมื่อคนในห้องยกขาขึ้นตวัดใส่เก้าอี้ไม้ข้างกายจนมันกลายเป็นเพียง‘เศษไม้’กองหนึ่งเท่านั้น แม้ว่านั่นจะเป็นการเพิ่มบาดแผลให้กับท่อนขาที่ไม่มีรองเท้าบู๊ตปกปิดก็ตาม เธอไม่แม้แต่จะมีปัญญาเอ่ยปากห้ามด้วยซ้ำเมื่อรีไวล์จ้ำพรวดๆเดินออกจากห้องทั้งสภาพแบบนั้นด้วยแววตาที่ทวีความเย็นเยียบขึ้น3เท่าจากเดิม
เย็นเยียบ...และว่างเปล่า
.
.
.
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องสูญเสียลูกน้องในทีมไป
เพล้ง!
ในหัวของรีไวล์ตอนนี้กำลังรู้สึกโล่งอย่างน่าประหลาด เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หลังจากการนั่งทบทวนตัวเองอยู่คนเดียวในห้องกว่าครึ่งค่อนวันด้วยหัวที่เริ่มรู้สึกโล่งขึ้นเรื่อยๆตอนนี้เขาแทบจะรู้สึกว่าทุกก้าวที่ย่างก้าวออกไปนี้ช่างราวกับกับกำลังลอยละล่องอยู่เลยทีเดียว
โครม!
เขาไม่ได้กำลังรู้สึกสูญเสีย ไม่ได้ปวดร้าว ไม่ได้อาฆาตแค้น ไม่ได้สติแตก ไม่ได้หลุดออกจากการควบคุมของจิตใต้สำนึก ยังมีสตินึกคิดเต็มที่... เขาแค่เห็นอะไรก็รู้สึกอยากผลักให้ล้ม เห็นคนขวางทางก็รู้สึกอยากซัดให้หมอบ รับรู้เพียงแต่ว่ามันช่างน่ารำคาญ
[น่ารำคาญ]ไปเสียหมด
เพียงเพราะอะไรๆมันช่างดูไม่เข้าที่เข้าทางงั้นหรือ?
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มันเป็นของแน่อยู่แล้วที่เขาจะพบเห็นการล้มหายตายจากของพวกพ้องมานับครั้งไม่ถ้วน ขนาด‘Rivaille squad’ ของเขาเองยังเปลี่ยนตัวสมาชิกมาแล้วไม่ต่ำกว่า3รุ่น เพราะงั้นอันที่จริงก็ควรจะเรียกได้ว่าเขาด้านชากับมันไปเสียแล้ว
แล้วทำไมล่ะ...ทำไมครั้งนี้ถึงได้เป็นแบบนี้กัน?
ปึง!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องสูญเสียลูกน้องในทีมไป...
...แต่เป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกได้ถึงความไม่แน่นอนของเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างแท้จริง
ปัง! ผั่วะ! เพล้ง!
5คนในครั้งเดียว
“...ลูกสาวของผมเธอกำลังจะแต่งงานน่ะ เพราะยังไงเธอก็เป็นสาวเป็นแส้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องหาอะไรที่อยากจะทำในชีวิตจริงๆเสียที...”
ไม่ เขาไม่ได้กำลังรู้สึกสูญเสีย ไม่ได้ปวดร้าว ไม่ได้อาฆาตแค้น ไม่ได้อะไรเลย
เขาแค่...
“สวัสดีครับ นายกองรีไวล์ มือไปโดนอะไรมาเหรอครับ...อ๊ากก!!”
“อ้าว ท่านรีไวล์ เจอกันอีกแล้ว กินข้าวรึยังครับเนี่ย...โอ๊ย!!”
“อ่ะ...ท่านรีไวล์ จะไปไหนเหรอครับ ให้ผมไปส่งมั้ยยย ตอนกลางคืนเด็กตัวเล็กๆเดินคนเดียวในป้อมมันอันตรายนะครับ...อั่ก! โอ๊ย! ผมขอโทษษษ!!”
ระหว่างทางที่เขาฟาดทุกอย่างที่อยู่ระยะสายตาล้มโยไม่มีข้อยกเว้น และซัดนายทหารอีก6นายให้ลงไปนอนคว่ำไม่เป็นท่า ในที่สุดสองขาก็พาร่างสูง160เซนติเมตรเดินมาจนถึงห้องอาหารที่คนยังไม่ถือว่าบางตาเพราะยังเป็นช่วงหัวค่ำที่หน่วยสำรวจส่วนใหญ่เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จและกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ตามโต๊ะ แต่เมื่อเขาตวัดขาไปข้างๆ สอยตะเกียงตั้งพื้นล้มลงแตกกระจาย ทุกสรรพเสียงในห้องอาหารก็เงียบดับลงไปทันที
นับจากนั้นคือมหกรรมการซัดคนอย่างไม่เลือกหน้า
“พระเจ้า! ใครก็ได้บอกทีซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณรีไวล์น่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
“มีใครไปตามท่านเออร์วินบ้างแล้วรึยัง!”
“เอ่อ หัวหน้ารีไวล์ครับ ใจเย็นๆนะครับ พวกผมจะหลีกทางให้เดี๋ยวนี้แหละ...เจี๊ยก!!”
รีไวล์ก้าวเท้าเดินตัดผ่านโรงอาหารด้วยท่าทีทรงอำนาจราวกับกำลังย่ำอยู่ในท้องพระโรง และล้มทุกคนที่อยู่ในระยะเอื้อมมือถึง พอไม่มีคนให้ล้มแล้วเขาก็หันไปอาละวาดกับโต๊ะอาหารและข้าวของในนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เสียงภาวนาดังขึ้นไม่ขาดสายจากคนอื่นๆที่หลบไปอยู่มุมห้องเรียบร้อยแล้ว
จนกระทั่งเขาพาตัวเองมาถึงยังประตูทางออกอีกฝั่งของโรงอาหาร ก็ได้พบกับร่างๆหนึ่งที่ยืนจังก้าขว้างหน้าเขาไว้พร้อมกับแววตาอ้อนวอนอย่างกับลูกหมา
เอเลน เยเกอร์
“เอเลน สู้ๆนะเฟร้ย! ฝากทวงความยุติธรรมให้สตูกับขนมปังของพวกฉันด้วย” แจนที่หลบอยู่ใต้โต๊ะที่อยู่ห่างออกไปตะโกนพร้อมกับกอดจานข้าวที่ว่างเปล่าของตัวเองไว้แน่น
“นายเป็นคนเดียวที่มีหวัง หยุดเขาให้ได้นะโว้ย!” คนอื่นๆตะโกนร้องบ้าง
เด็กหนุ่มทำสีหน้าหัวเราะไม่ออกรองไห้ไม่ได้ขณะก้มหน้าลงมามองคนตัวเล็กกว่าแต่พิษสงหาได้เล็กตามขนาดตัว พยายามใช้น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมีเหตุมีผลเต็มที่
“คุณรีไวล์ ใจเย็นๆก่อนนะครับ ผมเข้าใจว่าเราเพิ่งกลับมาจากภารกิจ คุณอาจจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ทำแบบนี้ นอกจากจะส่งผลเสียต่อข้าวของในสำนักงานโดยใช่เหตุแล้ว ยังส่งผลเสียต่อตัวคุณเองด้วยนะครับ อย่างน้อย...”
รีไวล์หยักยิ้มขึ้นอย่างไร้ความหฤหรรษ์ในขณะที่เอเลนพูดพล่ามต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะ...
ผลั่วะ! โครม! เพียะ! ปัง! โครม!
หัวหน้าหน่วยร่างเล็กเดินจากมา โดยที่ทิ้งผลงานและเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนอื่นๆในห้องเอาไว้เบื้องหลัง “เฮ้ย เอเลน ...เอเลนตายแล้ว! ชิบหองล่ะสิ! กรูโดนมิคาสะฆ่าแหงมๆ!”
แต่ก่อนที่จะเดินออกไปพ้นระยะโรงอาหาร มือๆหนึ่งก็เอื้อมมาคว้าหมับที่ข้อเท้าเล็ก รั้งเขาเอาไว้อีกครา รีไวล์ปรายตามองต่ำก่อนจะพบว่านั่นเป็นมืออันสะบักสะบอมของคนที่เพื่อนๆพากันร้องโหวกเหวกว่าน่าจะตายไปแล้ว
“อย่างน้อย...”เอเลนเงยหน้าอันเต็มไปด้วยบาดแผลขึ้นแล้วเค้นเสียงออกมาว่า”ก็ช่วยไปทำแผลที่มือก่อนเถอะนะครับ”
แผล? หัวหน้าหน่วยคนสำคัญชะงักแล้วก้มดูมือทั้งสองข้างของตนที่ตกอยู่ข้างตัว มันเป็นไปด้วยริ้วรอยฉีกขาด รอยบาดจากเศษกระเบื้อง รอยปริแตกของเนื้อหนังที่ใช้อัดคน และรอยช้ำมากมายเต็มไปหมดจนแทบดูไม่ได้ แต่ยิ่งกว่านั้นคือ พอได้เห็นบาดแผลพวกนี้แล้ว เขากลับรู้สึกสบายใจเหลือประมาณ
นี่สิคือสิ่งที่เหมาะสมกับเขา
ไม่ใช่เสียงโห่ร้องเซ็งแซ่กับแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมอะไรนั่น
รางวัลสำหรับผู้นำซากศพของเหล่าเพื่อนพ้องกลับคืนสู่กำแพงศักดิ์สิทธิ์
เขาสะบัดมือเอเลนออกอย่างแรงแม้จะรู้ดีว่านั่นอาจทำให้อาการอีกฝ่ายทรุดลง แต่ตอนนี้ต่อให้มือนั่นเป็นขององค์ราชา เขาก็ไม่แคร์แล้วด้วยซ้ำ
ในอกรู้สึกกลวงโบ๋อย่างบอกไม่ถูก ร่างทั้งร่างค่อยๆขาดการรับรู้ไปทุกทีๆ รีไวล์ยกขาก้าวเดินออกไปเรื่อยๆตามระเบียงทางเดินที่มีแสงจันทร์สาดส่อง น่าเสียดายที่ระเบียงแห่งนี้เป็นเพียงระเบียงหินที่มีไว้เพียงเพื่อเชื่อมตึก2ตึกเข้าด้วยกัน จึงแทบไม่มีของประดับอะไรวางขวางอยู่เลย
ยกเว้นก็เพียงแต่ร่างๆหนึ่งที่ยืนนิ่งสงบอยู่ตรงปลายสุดทางเดินอย่างเงียบงัน
รีไวล์รู้สึกหัวใจหนักอึ้งขึ้นมาทันทีเมื่อแสงจันทร์เริ่มหลุบพ้นหมู่เมฆจนพอมองเห็นเค้าโครงหน้าอีกฝ่ายได้ถนัดตา แต่ถึงอย่างนั้นสองขาก็ยังไม่คิดจะหยุดเดิน
จนกระทั่งร่างทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เมตรคนตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงง่ายๆราวกับกำลังถามถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ “ได้ข่าวว่านายสติแตก?”
“เปล่า”
“งั้นเกิดอะไรขึ้น?”
คำตอบจากผู้ถูกถาม มีเพียงเสียงกระซิบของสายลมยามค่ำคืนที่โชยผ่านร่างทั้งสอง
ดวงตาคมกริบทรงอำนาจลอบสำรวจทั่วร่างเล็กอันบอบช้ำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยตำหนิ
มีตำหนิ...แตกหัก...และผ่านการถูกกรัดกร่อนมานับไม่ถ้วน จนใกล้จะแตกสลาย
ดวงจันทร์หลุบเข้าไปหลังหมู่เมฆอีกครา ความเงียบอันยาวนานทอดกายโอบล้อมรอบบริเวณ ก่อนจะตกตะกอนลงมาเป็นเสียงสั่นเครือที่แทบไม่เคยมีใครได้ยินจากร่างเล็กอันโดดเดี่ยว ผู้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือที่สุดของมวลมนุษยชาติตรงหน้า
”มันสูญเปล่ารึเปล่า เออร์วิน...”
“หมายถึงอะไรล่ะ” เออร์วินแสร้งถามกลับทั้งๆที่ในใจรู้คำตอบดี
“ ทั้งๆที่เราทำกันมามากมายขนาดนี้ แล้วทำไม...ทำไมถึงยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้!! ”รีไวล์กำหมัดแน่นก่อนจะตะคอกออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
...ใช่แล้ว ทั้งๆที่ทำมามากขนาดนี้
“แกพาลูกสาวฉันไปตาย!”
...ทั้งๆที่สูญเสียไปมากมายขนาดนี้
“คุณทหารคะ พี่ชายหนูอยู่ที่ไหนเหรอ”
...หรือต่อให้ดิ้นรนกระเ สือกกระสนสู้ต่อไปมากกว่านี้
“ก็มันจริงไม่ใช่เหรอ...
[ ...มนุษย์น่ะ ไม่มีวันเอาชนะไททันได้หรอก” ]
“ทุกอย่างมันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย” เขาเงยหน้าขึ้นเสยเรือนผมสีนกกา ผ่อนลมหายใจที่เผลอขึ้นอารมณ์จนกระชั้นถี่ให้ทุเลาลง”น่ารำคาญ ไม่สมประกอบ บิดเบี้ยว แล้วก็...”
“โหดร้าย”
เสียงตัดบทของนายเหนือหัวไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่คำตัดบทสั้นๆเพียงคำเดียวนั้น กลับฉุดรั้งมโนสติที่ราวกับเลื่อนลอยอยู่ในม่านหมอก ให้ค่อยๆกระจ่างขึ้นมา
‘โหดร้าย’
นั่นสินะ เขารู้ดีมาตลอดไม่ใช่เหรอ
ดั่งรอยร้าว ที่ค่อยๆลุกลามไปทั่วทั้งโลกกระจกใบเล็กที่เขาสร้างขึ้นมา…
มือเรียวเล็กที่ยกขึ้นเสยผมลดต่ำลง เผยให้เห็นสีหน้าของนายกองคนเก่งที่นิ่งสนิทดังเช่นทุกที แต่ความกังขาภายในกลับค่อยๆเลือนหายไปจากแววตา
“ใช่”
เออร์วิน สมิธ คลี่ยิ้มบางๆออก นี่ทำให้รีไวล์แปลกใจเล็กน้อย เพราะจากประสบการณ์การทำงานร่วมกันมานานหลายปี ผู้บังชาการคนนี้ไม่ใช่คนที่ใคร่จะชอบยิ้มหรือแสดงอารมณ์นัก เออร์วินเดินเข้ามาใกล้ จากระยะห่างหลายเมตรหดสั้นลงเป็นระยะเพียงเอื้อมมือถึง
เออร์วินคว้ามือของเขาขึ้นมาโดยไม่ส่งสัญญาณเตือน นวดมือเรียวเล็กที่กำแน่นไว้นั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆคลายมันออกอย่างแช่มช้า
ผู้กุมอำนาจสูงสุดของหน่วยสำรวจหรี่ตาลงอย่างพิจารณา เมื่อบาดแผลที่ปรากฏบนฝ่ามือนั้นปรากฏแก่สายตา มันค่อนสาหัสมาก จนชวนให้นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้มือคู่นี้กลับมาจับดาบได้อีกครั้งรึไม่ เออร์วินเช็ดคราบเลือดออกจากบาดแผลเบาๆ แต่ก็มากพอจะทำให้ร่างที่เตี้ยกว่าเขากว่า10เซนติเมตรกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวดได้
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่แม้แต่จะแสดงอาการอะไรออกมาเลยแท้ๆ?
“ไปรักษาแผลซะ นายกองรีไวล์” เออร์วินสั่ง “หลังจากนั้นฉันจะให้คนพานายกลับห้อง และจัดเวรเฝ้าจนกว่าจะพ้นคืนนี้”
คำสั่งที่หากคนอื่นได้ยินคงจะมุ่ยหน้าเมื่อรู้สึกว่าประโยคนั้นฉายชัดถึงความไม่ไว้วางใจอย่างชัดเจน แต่รีไวล์กลับเพียงทำความเคารพและตอบรับอย่างฉะฉาน ก่อนจะพูดอย่างคนมีชนักติดหลังว่า “ขอโทษที ที่อาละวาดที่ทำลายข้าวของไปทั่ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป...”
“นายกำลังรู้สึกผิด โทษตัวเอง และเสียใจอย่างถึงที่สุดที่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ”
ดวงตาสีเข้มที่ฮันจิเคยมาพร่ำเพ้อว่าดูช่างน่ารักน่าชังเหมือนแมวคู่นั้นเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เออร์วินส่งเสียงหัวเราะหึอย่างเปี่ยมเลศนัย “อย่าลืมสิ ว่าฉันมีประสบการณ์มามากกว่านายหลายเท่านะ ท่านนายกอง”
เขากล่าวเสริมว่า“และที่สำคัญ ไม่มีใครโทษนายจริงจังหรอกนะเรื่องการตายของคนพวกนั้น ผู้เข้มแข็งกว่าคือผู้ที่อยู่รอด และนายคือกลุ่มคนที่ว่า นายเรียกกำลังใจมาสู่กองทัพ นายกำจัดศัตรูของมนุษย์ สิ่งที่นายทำเป็นสิ่งที่น่าเชิดชู นายสามารถโทษตัวเองมากตราบเท่าที่นายต้องการได้ สามารถไว้อาลัยให้ลูกทีมได้นานเท่าไหร่ก็ได้ นายอาจจะต้องอาศัยเวลาในการฟื้นฟู แต่สุดท้ายนายก็จะเรียนรู้วิธีในแบบของนายที่จะผ่านมันไปได้เอง ”
รีไวล์แค่นยิ้มอย่างประชดประชันกลับมาให้ วินาทีนั้นน่าเป็นช่วงเวลาที่ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายลงในที่สุด แต่ถัดจากนั้นอีกฝ่ายกลับเอาแต่ก้มหน้านิ่งเงียบผิดวิสัย มือเล็กๆที่เต็มไปด้วยบาดแผลที่เขายังกุมไว้อยู่สั่นเทาจนสามารถสัมผัสได้
เขาเอื้อมมือไปแตะบ่านายกองของตน ขณะที่กำลังจะอ้าปากถามว่าเป็นอะไรไป รีไวล์ก็ชิงพูดขึ้นว่า
“งั้นนายผ่านมันมาได้ยังไงกันล่ะ เออร์วิน” เสียงนั้นคาดคั้น ดุดัน และเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเป “นายทำงานนี้มานานกว่าฉัน ผ่านเรื่องพวกนี้มามากกว่าฉัน งั้นนายยังทนอยู่ได้ยังไง ท่ามกลางเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่เป็นบ้าไปซะก่อน!”
เมื่อพูดจบ รีไวล์ก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อคนตรงหน้าดึงเขาเข้าไปกอด ความไม่คุ้นเคยเกือบจะทำให้ยกมือขึ้นผลักร่างนั้นออกไปแต่เขาก็ห้ามมันไว้ได้ทัน ร่างของเออร์วินร้อน...ราวกับถ่านไฟ ราวกับเพลิงที่เผาไหม้บนคบไม้ท่ามกลางอุโมงค์มืด ราวกับกองไฟที่เผาไหม้ศพของเหล่าทหาร น้ำหนักกดลงมาบนบ่าชวนให้รู้สึกใจหายวูบพร้อมกับเสียงติดทุ้มที่ได้ยินมาทั้งชีวิต หัวเราะแผ่วเบาริมหู
“นายเข้าใจผิดแล้ว รีไวล์”
แม้จะแตกต่างกันทั้งโทนเสียง รูปประโยค จุดประสงค์ หรือแม้แต่ความหนักแน่น แต่อารมณ์ที่แฝงมากับคำพูดของผู้บังคับับญชาสูงสุด แทบจะไม่ต่างไปจากน้ำเสียงที่รีไวล์เพิ่งใช้เค้นถามไปก่อนหน้านี้
จนตรอกและแทบจะสิ้นหวัง...ราวกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ
“เพราะฉันเองน่ะ ก็ยังผ่านมันไปไม่ได้เหมือนกัน”
........................................................................
END
มันออกมาแล้ว...มันออกมาแล้ว
หลังจากกรีดร้องตอนที่6จบ และทนไม่ได้จนต้องวิ่งไปคุ้ยมังงะในเน็ตมาอ่านต่อ เราก็สามารถเวิ่นเว้อ และเก็บมาเพ้อจนสามารถปั่นฟิคเรื่องนี้ออกมาในชั่วข้ามคืนได้!! (me>> นอนตายหน้าจอคอม)
ขอร้อง...ขนาดนัตสึเมะยังไม่ทำให้ตรูเป็นได้ขนาดนี้เล๊ยยย !! orz
อาจารย์อิซาท่านช่างสุดยอดจริงๆ=.,=
เอาเป็นว่าก็ขอฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกท่านๆด้วยละกันนะขอรับ
ไรต์รักนักอ่านทุกค๊นนนน~~~ (โหยหวน)
สรุปแก่นสารของฟิคเรื่องนี้มันคืออะไร??
>>ไม่มี๊๊!!
แถมซักนิด
......................................................................................
หลังเหตุการณ์ถีบรีไวล์ส่งไปยังห้องพยาบาลเรียบร้อยแล้ว...
แปะๆๆ
เออร์วินก้าวเข้ามาในโรงอาหารพร้อมตบมือเรียกความสนใจ
“ทุกคน ฉันรู้ว่าค่ำนี้พวกนายเจออะไรกันมามาก”เขากวาดตามองไปรอบๆ สภาพห้องอาหารเหมือนกับเพิ่งถูกไททันซักตัวมาถล่ม
และถ้าเปรียบกันด้านความสามารถในการทำลายล้าง รีไวล์อาจจะน่ากลัวกว่าไททันก็เป็นได้...
“แต่ข่าวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ เนื่องจากการวิวาทนี้เป็นเรื่องของคนในหน่วยสำรวจเอง ดังนั้นทางการจะไม่ออกค่าใช้จ่ายใดๆในการซ่อมแซมทรัพย์สินภายในให้แม้แต่เหรียญเดียว” ไร้ซึ่งปฏิกริยาตอบสนองจากคนในห้องอาหารเหมือนยังประมวลผลไม่ทัน เออร์วินจึงถือโอกาสกล่าวต่อรวดเดียวจบ
“ดังนั้น ฉันจึงขอสั่งให้ทุกคน...อ่ะแฮ่ม ‘ทุกคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ’ ทำการซ่อมแซมข้าวของทุกอย่าง และทำความสะอาดป้อมให้เสร็จก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผ่านบริเวณที่พักของนายกองรีไวล์ ยกเว้นจะเป็นเหตุฉุกเฉินจริงๆ คำสั่งมีผลนับแต่บัดนี้ถึง12นาฬิกาวันรุ่งขึ้น อ้อ แล้วก็ขอให้ทุกคนหายดีโดยเร็วไว ขอบคุณ”
ท่ามกลางซากโต๊ะไม้ที่ถูกเอามาทำเป็นเปลนอนคนเจ็บ เอเลน เยเกอร์ ที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆมิคาสะที่อาสาทำแผลให้ โบกมือข้างที่ไม่ได้ดามเฝือกขึ้นโบกหยอยๆเรียกความสนใจจากผบ.ที่กำลังหมุนตัวจากไป “ ท่านครับ ขอเรียนถาม ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านรีไวล์วันนี้เหรอครับ? ”
ทุกคนในห้องหูผึ่งโดยทันที คำถามเกี่ยวกับนายกองไซส์มินิคนนี้นับเป็นประเด็นเผ็ดร้อนในห้องอาหารนับตั้งแต่เจ้าตัวเดินเข้ามาถล่มที่นี่แล้วจากไปแบบไร้คำพูดใดๆอยู่แล้ว ดังนั้นคำถามที่ว่าเรียกสายตาสนใจใคร่รู้ขั้นสุดยอดโfยเฉพาะจากเหล่าผู้เสียหายได้อย่างดี
แต่อันที่จริง คำถามที่คนในห้องนอกจากเจ้าหมาโง่เอเลนอยากจะถาม น่าจะเป็น ‘ตัวต้นเหตุคือรีไวล์แท้ๆ แต่ทำไมถึงต้องให้หน่วยสำรวจทั้งหน่วยมารับเคราะห์ทำความสะอาดแทนด้วยฟระ!!’ มากกว่า
มิคาสะฉีกผ้าพันแผลออกอย่างเหี้ยมโหดโดยไร้สุ้มเสียงหลังจากได้ยินเอเลนสุดที่รักเอ่ยชื่อคนที่ทำร้ายด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใยอย่างออกหน้า
เออร์วินไม่แม้แต่ชะลอฝีเท้า ตอบออกมาโดยไม่หยุดคิดด้วยซ้ำ
“เขาเมนส์มาน่ะ”
ปัง!
เสียงประตูห้องอาหารปิดลงพร้อมกับสมาชิกทีมสำรวจที่คางตกลงไปจรดอกเรียบร้อย
...............
จบเหอะครับXD
ปล.
คอมเม้นท์คือกำลังใจ(และสปีดในการปั่นเรื่องต่อไป)ของคนเขียนนะครับ^^+
ผลงานอื่นๆ ของ Aymeeee ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Aymeeee
ความคิดเห็น