คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑ นิยายโหลๆ
บทที่ ๑
ผมมีความฝัน
เป็นฝันในยามตื่น
“อ่านจบหรือยัง?”
นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่ม
จับจ้องไปยังเพื่อนปีหนึ่งที่สนิทที่สุดในคณะวิทยาศาสตร์
ผู้กำลังได้รับเกียรติให้ได้อ่านนิยายที่เขาเริ่มแต่งเอาไว้ตั้งแต่เกือบ 2 ปีก่อน
แต่ต้องหยุดแต่งไปเพราะการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เพิ่งจะได้ฤกษ์ขุดเอาออกมาปัดฝุ่นให้คนอื่นได้อ่านก็ในวันนี้...
ห้องอาหารรวมของมหาวิทยาลัยเกือบเรียกได้ว่าร้างในช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ เช่นนี้
‘จิณณ์’
ขยี้ผมสีดำทรงสั้นของตัวเองอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่มีคำตอบจากเจ้าเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร
นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมของเจ้าเพื่อนตัวดียังคงแน่วแน่อยู่กับตัวหนังสือขยุกขยิกในสมุดโน้ตปกแข็งสีเทาเล่มนั้น
ความฝันของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร
เรียบ...
แต่ไม่ง่าย...
เวลาชั่วอึดใจผ่านไป แต่คล้ายนานเป็นชั่วโมงในความรู้สึกของคนรอ
ในที่สุด ‘คมชาญ’ เพื่อนของเขาก็ปิดสมุดนิยายเล่มกะทัดรัดนั้นลง
ความฝันของผม คือการได้เป็นนักเขียน
“เป็นไงมั่ง?” จิณณ์ถามย้ำด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
สำหรับนัก (อยาก) เขียน อย่างผมแล้ว
ในมือของผู้อ่าน ดู ๆ ไปคล้ายมีดาบเล่มหนึ่ง
เป็นดาบที่ไร้รูปร่าง
หากแต่อานุภาพของมันกลับร้ายกาจนัก
อานุภาพที่คล้ายจะสามารถตัดสินชี้ชะตาของผู้เขียนได้!
“พล็อตเรื่องโหลว่ะ”
ฉึก!
ดาบแรกถูกคมชาญเสียบแทงทะลุเข้ากลางลำตัวอย่างไม่ปราณี
“รู้เนื้อเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งแต่งไปได้แค่บทสองบทเนี่ยนะ?!”
จิณณ์เถียง
“อ่านแค่สองบท ก็เดาได้ทั้งเรื่อง จะไม่ว่าโหลได้ยังไงล่ะ”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าที่เดาไว้น่ะถูก?”
“ก็รู้จากพล็อตย่อ ๆ ที่นายจดเอาไว้ข้างหลังนี่ไงล่ะ”
คมชาญพลิกสมุดไปด้านหลัง
และชี้โน้ตย่อของพล็อตเรื่องทั้งหมดที่จิณณ์จดเอาไว้ที่ท้ายเล่ม
เพราะไม่ได้แตะต้องนิยายตัวเองมากว่า 2 ปีแล้ว
ทำให้เขาลืมไปเสียสนิทว่าจดพล็อตเรื่องไว้เตือนตัวเองตั้งแต่ตอนเริ่มแต่งใหม่ ๆ !
ในตอนนั้นเองที่เจ้าของนิยายพยายามสุดตัวที่จะเข้ามาคว้าสมุดคืนไป
แต่ด้วยความยาวของช่วงแขนที่มากกว่าของนักวิจารณ์ จิณณ์จึงไม่สามารถคว้าสมุดกลับมาจากเจ้าเพื่อนตัวดี
ที่ตอนนี้กำลังเงยหน้าอ่านข้อความในกระดาษที่ชูหนีขึ้นไปสุดแขนได้
“ในอาณาจักรที่ชื่อว่า จินตภพ เรื่องของเจ้าหลวง ‘คาเรียน’
ที่ถูกโค่นบัลลังก์โดยน้องชาย ‘คาไลน์’…
ทำไมชื่อตัวละครต้องเป็นแนวฝรั่งด้วยนะ...”
“ก็นี่มันนิยายแฟนตาซีไง หรือจะให้ใช้ชื่อ โกมินทร์ อินทรจักร
ออกไปตามหาพระแสงดาบเจ็ดสี มณีเจ็ดแสงเรอะ?!” จิณณ์พยายามเถียง “แต่อย่างน้อยชื่อของฉันก็มีที่มาจากชื่อไทย ๆ นะ”
“มาจากชื่อไทย?” สีหน้าคมชาญบอกชัดถึงความไม่เชื่อ
“ถูกต้อง! ชื่อเจ้าหลวง ‘คาเรียน’ นี่มาจากชื่อ “เกรียง”
ออกเสียงลากยาว ๆ เปลี่ยนตัวสะกดนิดหน่อย ก็เป็น คา-เรียน งี้... ส่วน ‘คาไลน์’
ก็มาจากชื่อ “ไกร” ไม่มีทอง... เข้าใจป่ะ ที่จริงคือ พี่เกรียงกับน้องไกร ไง ฮ่า ๆๆๆ
”
ไม่มีเสียงหัวเราะ หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มจากคมชาญ จิณณ์จึงได้แต่กลืนเสียงหัวเราะที่เหลือของตัวเองกลับคืนลงคอ
“แล้วตรงนี้ที่บอกว่า ในการชิงบัลลังก์ ‘คาไลน์’
ได้รับความช่วยเหลือจากแม่มดชั่วร้ายที่ต้องดื่มเลือดสาวพรหมจรรย์ทุกคืนวันเพ็ญ...
ขอทีเหอะ ให้แม่มดทำอย่างอื่นได้มั้ยวะ ดื่มเลือดนี่มันมุกซ้ำซากสุด ๆ ว่ะ...
แล้วลูกชายเจ้าหลวงเกรียนที่รอดชีวิตไปกับองค์รักษ์เนี่ย
พนันได้เลยว่าเป็นพระเอกที่จะมากู้บัลลังก์ใช่มั้ย?”
คมชาญหยุดดูจากสีหน้าเจ้าของเรื่องที่ชะงักอึ้งไป
ก็รู้ได้ว่าเขาเดาไม่ผิด
“นี่อีก นางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย เฮ้ย!
นี่พระเอกมันต้องโง่แบบนี้ตลอดเลยหรือไง คนอ่านเขาเจอจนเบื่อกันหมดแล้ว... แล้วยัง
‘ดาบแห่งแสง’ อะไรนี่อีก คือทำไมนะ
เป็นนิยายแฟนตาซีมันจะหลุดออกไปจากกรอบเรื่องเดินทางตามหาไอเท็มของวิเศษอัพเกรดพลังไม่ได้เลยหรือไง...
โคตรโหล!”
ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก!
จิณณ์กัดฟันทนรับความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทงรัวเป็นชุดแบบไม่มียั้งของคนตรงหน้า...
คนที่เขาเรียกมันว่าเพื่อน!
แผลเก่ายังไม่ทันหาย...
คมชาญก็เงื้อดาบขึ้นสูงเพื่อเตรียมจ้วงแทงอีกครั้ง
“นอกจากพล็อตแล้ว ส่วนภาษาก็ทื่อมาก ไม่หัดใช้ภาษาสวย ๆ คำเพราะ ๆ
เหมือนอย่างนิยายคนอื่นบ้างล่ะ? อ่านแล้วมันแข็ง ๆ”
“ภาษาฉันไม่สวยตรงไหน?!”
เคร้ง!
เสียงดาบกระทบดาบ
เพราะครั้งนี้จิณณ์รีบยกดาบของตัวเองเข้ารับการโจมตีของคมชาญสุดตัว
เรื่องพล็อตเรื่องโหลเขาอาจจะไม่ปฏิเสธ แต่กับเรื่องภาษา จิณณ์ขอสู้ตาย!
“ฉันใช้สไตล์การบรรยายที่ได้แนวทางมาจากท่านโกวเล้ง[1]เลยนะเฟ้ย!
นายเข้าไม่ถึงเองอ้ะ!”
“โอ้โห โกวเล้งเลยเรอะ เล่นของสูงมาก แต่เหมือนบอกว่าแต่งนิยายแฟนตาซีด้วยสำนวนสุนทรภู่เลย
ถามจริงเถอะ ใครจะอยากอ่าน แล้วก็นะ... อ่ะ ลองดูแค่ประโยคขึ้นต้นนี่ก็ได้...”
เพื่อนผู้หวังดีพลิกสมุดนิยายปกแข็งสีเทากลับไปที่หน้าแรก แล้วยื่นส่งสมุดกลับมาให้พร้อมกับเคาะนิ้วลงบนประโยคแรกเริ่มของนิยาย
จิณณ์รับมาอ่านออกเสียงตามอย่างไม่เข้าใจนัก
“เมืองเมืองหนึ่ง พระอาทิตย์ดวงหนึ่ง ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ดาบเล่มหนึ่ง
อุดมการณ์ข้อหนึ่ง”
“ตกลงที่อ่านมา มันนิยาย หรือโจทย์วิชาคณิตศาสตร์! ดีนะ
บรรทัดต่อไปไม่บอกว่า จงนำมาบวกกันแล้วหาผลลัพธ์ โกวเล้งบ้านแกสิแต่งสำนวนอย่างงี้!!”
ฉึก!
ดาบของคมชาญฟันเข้าเป้าจนได้ จิณณ์รู้สึกเหมือนเลือดจากบาดแผลกำลังรินไหลลงท่วมพื้นโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยอย่างเงียบ
ๆ
“สรุปว่ามันแย่มากขนาดนั้นเลยสินะ” เขาถามย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
เพราะรู้สึกเหมือนจะเสียเลือดในจินตนาการไปมาก แต่แทนที่จะแสดงอาการเห็นอกเห็นใจ
เจ้าเพื่อนตัวดีกลับพยักหน้าหงึก ๆ อย่างกระตือรือร้น จนจิณณ์อดคิดไม่ได้ว่า
บางทีการเป็นคนตรงไปตรงมามันก็น่าจะต้องมีขอบเขตกันบ้างหรือเปล่านะ
เห็นแล้วมันน่ากระโดดข้ามโต๊ะเอาเท้าเข้าไปผลักเบา ๆ !
“นิยายโหล ๆ ภาษาทื่อ
ๆ ...” จิณณ์กล่าวต่อออกมาเบา ๆ ไม่ใช่ตัดพ้อ แต่ยอมรับความจริงอย่างปลง ๆ
ผมมีความฝัน
แต่...สุดท้ายมันอาจเป็นได้แค่เพียงความฝัน
ที่ไม่อาจกลายเป็นความจริงได้ก็เท่านั้น...
“ก็แล้วทำไมไม่เอาไปแก้หรือปรับให้มันดีขึ้น ยอมแพ้ซะแล้วเหรอ?”
น่าแปลกที่ดาบของคมชาญครั้งนี้...แม้เหมือนจะแทงตรงเข้าเป้าที่ใจมากกว่าครั้งไหน
ๆ ทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก เพราะฟัง ๆ ดูคล้ายเป็นคำปลอบใจของคนที่ปลอบไม่เป็น
“แต่พล็อตอุตส่าห์วางจนจบแล้ว”
“วางเอาไว้ตั้งนานเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจำได้อยู่หรือไง?”
“ที่จริงก็จำไม่ค่อยได้...”
“ก็นั่นไง... ทำไมนายไม่ใช้โอกาสนี้ลองวางพล็อตใหม่ให้มันแหวกแนวดูล่ะ”
จิณณ์เหลือบตาขึ้นมองเพื่อนตรงหน้า
คิดอยากจะเถียงต่อเพื่อเอาชนะ แต่สิ่งที่มันพูดมานั้นที่จริงแล้วก็ไม่ผิดเลย...
สุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้
“ก็ได้ งั้นคืนนี้จะลองเอาไปแก้
พรุ่งนี้จะเอามาให้อ่านใหม่นะ” จิณณ์ก้มหน้าตอบงุบงิบ
แม้ในใจลึก ๆ จะรู้สึกว่า...
แก้ไปก็คงเท่านั้น...
“ก็ตามใจ แต่อย่ามัวแต่งนิยายจนลืมเขียนรายงานการทดลองแล็บชีวะล่ะ”
“เออใช่ ส่งพรุ่งนี้นี่หว่า!”
“แล้วก็อย่าลืมทำส่วนสรุปของรายงานกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษมาด้วยล่ะ”
“เออน่า! งานกลุ่มฉันไม่ลืมหรอก”
“มีรายชื่อกับรหัสนักศึกษาของคนในกลุ่มครบแล้วใช่มั้ย?”
จิณณ์หันไปจ้องเพื่อนสนิทอย่างชักจะอารมณ์เสีย
“เห็นฉันเป็นพวกขาดความรับผิดชอบหรือไง?!”
“ใช่” คมชาญตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“บ๊ะ! เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ตอนม.6
ฉันได้เป็นถึงหัวหน้าห้องเชียวนะ! นายได้เป็นหรือเปล่าหัวหน้าห้องน่ะ ห๊ะ?!”
“ไม่”
“นั่นไง!”
“ตอนม.6
ฉันไม่ได้เป็นหัวหน้าห้อง... แต่เป็นประธานนักเรียนว่ะ”
...ฟิ้วววว...
ความรู้สึกสะใจในชัยชนะเมื่อครู่ของจิณณ์ ลอยละล่องไปกับสายลมอ่อน ๆ ในยามบ่ายอย่างรวดเร็ว...
คมชาญระเบิดเสียงหัวเราะร่วนกับสีหน้าหมั่นไส้สุด ๆ ของเพื่อน
“ชิ! งั้น ‘ท่านประธาน’ ก็ช่วยแบ่งงานไปทำบ้างสิ
ฉันจะได้มีเวลาไปแต่งนิยายต่อ!” จิณณ์บ่น
“เฮ้ย! อะไรนะ! จินตนา นายเนี่ยนะแต่งนิยาย??”
ประโยคสุดท้ายดังขัดขึ้นมาจากด้านหลังของจิณณ์
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่
‘สมชาย’ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้าง ๆ จิณณ์โดยไม่ต้องรอรับคำเชื้อเชิญ
มันเป็นเพื่อนอีกคนในคณะที่เขาไม่ค่อยจะกินเส้นเท่าไหร่มาตั้งแต่ตอนปฐมนิเทศ
แต่ว่ามันก็ยังจะตามมาเกาะแกะเขาอยู่เรื่อยอย่างกับว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของมันหรืออะไรอย่างนั้น
และมันไม่เคยเรียกชื่อเขาถูกเลยสักครั้ง! ให้ตายเถอะ!
จินตนาบ้าง จินตหราบ้าง บางทีก็ จินดาพร จินดามณี...
ก็ไม่รู้มันช่างไปสรรหาชื่อเรียกเขามาจากไหน!
แม้คมชาญจะเคยวิเคราะห์ให้ฟังเล่น ๆ ว่าสมชายน่าจะอยากจะเป็นเพื่อนกับจิณณ์มาก
แต่เขาเองกลับไม่เคยคิดอย่างนั้น... อันที่จริง
แค่ฟังน้ำเสียงเย้ยหยันตอนที่มันถามเขาว่า “นายเนี่ยนะแต่งนิยาย?”
แค่นั้นก็แทบจะทำให้จิณณ์อยากจะลุกเดินหนีออกไปจากตรงนั้นเสียดื้อ ๆ แล้ว
ติดเพียงแต่มือของสมชายที่ถือวิสาสะตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่มอย่างกันเอง
และยังคงค้างอยู่อย่างนั้น
“นี่พูดเรื่องจริงเหรอ แต่งนิยายเนี่ยนะ?! ฮ่า ๆ ๆ
ฉันว่าเอาเวลาไปตั้งใจเรียนให้ผ่านเทอมหนึ่งก่อนดีมั้ย
ค่อยเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ?”
ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องทนนั่งอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป
จิณณ์ปัดมือของสมชายออกจากบ่า ก่อนหันไปเก็บของบนโต๊ะลงกระเป๋าเป้
ทว่าเก็บได้ไม่รวดเร็วเท่ากับสมชายที่ยื่นมือเข้ามาคว้าสมุดนิยายของเขาจากมือไปเปิดอ่านหน้าตาเฉย
“ไหนดูซิ เล่มนี้ใช่ป่ะ”
“เอาคืนมา!”
จิณณ์เอื้อมมือออกไปจะคว้าสมุดตัวเองคืน
แต่สมชายกลับลุกพรวดถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับยืนก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดเล่มนั้นอย่างตั้งใจ
“เฮ้ย นิยายอะไรของนายเนี่ย แน่ใจนะว่าจะมีคนอ่าน ฉันว่าแต่งใหม่...
ไม่สิ เลิกแต่งไปเลยจะดีกว่านะ จินตหรา!”
แม้จะเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่ความรู้สึกของการโดนว่าจากปากสมชายนั้น
มันช่างแตกต่างจากตอนที่โดนคมชาญว่าอย่างสิ้นเชิง
“ฉันบอกให้เอาคืนมา!”
จิณณ์ลุกพรวดขึ้นยืนพร้อมกับก้าวข้ามเก้าอี้ไร้พนักออกไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าด้วยความโมโหไม่ทันได้ระวังนั้นเอง ขาข้างซ้ายก็พลันสะดุดเข้ากับขาเก้าอี้ของตัวเองเข้าเต็ม
ๆ
ตึง!!
เก้าอี้โรงอาหารล้มลง พร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่ไม่อาจทรงตัวไว้ได้
ในตอนนั้นเองที่จิณณ์มองเห็นภาพพัดลมเพดานสีครีมฝุ่นเขรอะตัวใหญ่ของโรงอาหาร
และได้ยินเสียงร้องเรียกด้วยความตกใจจากคมชาญ...
เป็นอย่างสุดท้าย
ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกปกคลุมไปด้วย... ความมืดมิด...
[1] โกวเล้ง นักเขียนนิยายจีนกำลังภายใน ผลงานเช่น ฤทธิ์มีดสั้น, ชอลิ้วเฮียง, และเล็กเซี่ยวหงส์
(หงส์ผงาดฟ้า) เป็นต้น
ความคิดเห็น