ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] จินตภพ (ฉบับที่ผมแต่งใหม่)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑ นิยายโหลๆ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 575
      27
      20 ก.พ. 65



    บทที่ ๑

     

    ผมมีความฝัน

    เป็นฝันในยามตื่น

     

    อ่านจบหรือยัง?

     

    นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่ม จับจ้องไปยังเพื่อนปีหนึ่งที่สนิทที่สุดในคณะวิทยาศาสตร์ ผู้กำลังได้รับเกียรติให้ได้อ่านนิยายที่เขาเริ่มแต่งเอาไว้ตั้งแต่เกือบ 2 ปีก่อน แต่ต้องหยุดแต่งไปเพราะการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพิ่งจะได้ฤกษ์ขุดเอาออกมาปัดฝุ่นให้คนอื่นได้อ่านก็ในวันนี้...

    ห้องอาหารรวมของมหาวิทยาลัยเกือบเรียกได้ว่าร้างในช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ เช่นนี้ ‘จิณณ์’ ขยี้ผมสีดำทรงสั้นของตัวเองอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่มีคำตอบจากเจ้าเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมของเจ้าเพื่อนตัวดียังคงแน่วแน่อยู่กับตัวหนังสือขยุกขยิกในสมุดโน้ตปกแข็งสีเทาเล่มนั้น

     

    ความฝันของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร

    เรียบ...

    แต่ไม่ง่าย...

     

    เวลาชั่วอึดใจผ่านไป แต่คล้ายนานเป็นชั่วโมงในความรู้สึกของคนรอ ในที่สุด ‘คมชาญ’ เพื่อนของเขาก็ปิดสมุดนิยายเล่มกะทัดรัดนั้นลง

     

    ความฝันของผม คือการได้เป็นนักเขียน

     

    เป็นไงมั่ง?” จิณณ์ถามย้ำด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

     

    สำหรับนัก (อยาก) เขียน อย่างผมแล้ว

    ในมือของผู้อ่าน ดู ๆ ไปคล้ายมีดาบเล่มหนึ่ง

    เป็นดาบที่ไร้รูปร่าง

    หากแต่อานุภาพของมันกลับร้ายกาจนัก

    อานุภาพที่คล้ายจะสามารถตัดสินชี้ชะตาของผู้เขียนได้!

     

    พล็อตเรื่องโหลว่ะ

    ฉึก!

    ดาบแรกถูกคมชาญเสียบแทงทะลุเข้ากลางลำตัวอย่างไม่ปราณี

    “รู้เนื้อเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งแต่งไปได้แค่บทสองบทเนี่ยนะ?!” จิณณ์เถียง

    “อ่านแค่สองบท ก็เดาได้ทั้งเรื่อง จะไม่ว่าโหลได้ยังไงล่ะ”

    “แล้วรู้ได้ยังไงว่าที่เดาไว้น่ะถูก?”

    “ก็รู้จากพล็อตย่อ ๆ ที่นายจดเอาไว้ข้างหลังนี่ไงล่ะ”

    คมชาญพลิกสมุดไปด้านหลัง และชี้โน้ตย่อของพล็อตเรื่องทั้งหมดที่จิณณ์จดเอาไว้ที่ท้ายเล่ม

    เพราะไม่ได้แตะต้องนิยายตัวเองมากว่า 2 ปีแล้ว ทำให้เขาลืมไปเสียสนิทว่าจดพล็อตเรื่องไว้เตือนตัวเองตั้งแต่ตอนเริ่มแต่งใหม่ ๆ !

    ในตอนนั้นเองที่เจ้าของนิยายพยายามสุดตัวที่จะเข้ามาคว้าสมุดคืนไป แต่ด้วยความยาวของช่วงแขนที่มากกว่าของนักวิจารณ์ จิณณ์จึงไม่สามารถคว้าสมุดกลับมาจากเจ้าเพื่อนตัวดี ที่ตอนนี้กำลังเงยหน้าอ่านข้อความในกระดาษที่ชูหนีขึ้นไปสุดแขนได้

    “ในอาณาจักรที่ชื่อว่า จินตภพ เรื่องของเจ้าหลวง ‘คาเรียน’ ที่ถูกโค่นบัลลังก์โดยน้องชาย ‘คาไลน์’… ทำไมชื่อตัวละครต้องเป็นแนวฝรั่งด้วยนะ...”

    “ก็นี่มันนิยายแฟนตาซีไง หรือจะให้ใช้ชื่อ โกมินทร์ อินทรจักร ออกไปตามหาพระแสงดาบเจ็ดสี มณีเจ็ดแสงเรอะ?!”  จิณณ์พยายามเถียง  “แต่อย่างน้อยชื่อของฉันก็มีที่มาจากชื่อไทย ๆ นะ”

    “มาจากชื่อไทย?” สีหน้าคมชาญบอกชัดถึงความไม่เชื่อ

    “ถูกต้อง! ชื่อเจ้าหลวง ‘คาเรียน’ นี่มาจากชื่อ “เกรียง” ออกเสียงลากยาว ๆ เปลี่ยนตัวสะกดนิดหน่อย ก็เป็น คา-เรียน งี้... ส่วน ‘คาไลน์’ ก็มาจากชื่อ “ไกร” ไม่มีทอง... เข้าใจป่ะ ที่จริงคือ พี่เกรียงกับน้องไกร ไง ฮ่า ๆๆๆ ”

    ไม่มีเสียงหัวเราะ หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มจากคมชาญ จิณณ์จึงได้แต่กลืนเสียงหัวเราะที่เหลือของตัวเองกลับคืนลงคอ

    “แล้วตรงนี้ที่บอกว่า ในการชิงบัลลังก์ ‘คาไลน์’ ได้รับความช่วยเหลือจากแม่มดชั่วร้ายที่ต้องดื่มเลือดสาวพรหมจรรย์ทุกคืนวันเพ็ญ... ขอทีเหอะ ให้แม่มดทำอย่างอื่นได้มั้ยวะ ดื่มเลือดนี่มันมุกซ้ำซากสุด ๆ ว่ะ... แล้วลูกชายเจ้าหลวงเกรียนที่รอดชีวิตไปกับองค์รักษ์เนี่ย พนันได้เลยว่าเป็นพระเอกที่จะมากู้บัลลังก์ใช่มั้ย?”

    คมชาญหยุดดูจากสีหน้าเจ้าของเรื่องที่ชะงักอึ้งไป ก็รู้ได้ว่าเขาเดาไม่ผิด

    “นี่อีก นางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย เฮ้ย! นี่พระเอกมันต้องโง่แบบนี้ตลอดเลยหรือไง คนอ่านเขาเจอจนเบื่อกันหมดแล้ว... แล้วยัง ‘ดาบแห่งแสง’ อะไรนี่อีก คือทำไมนะ เป็นนิยายแฟนตาซีมันจะหลุดออกไปจากกรอบเรื่องเดินทางตามหาไอเท็มของวิเศษอัพเกรดพลังไม่ได้เลยหรือไง... โคตรโหล!

    ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก!

    จิณณ์กัดฟันทนรับความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทงรัวเป็นชุดแบบไม่มียั้งของคนตรงหน้า... คนที่เขาเรียกมันว่าเพื่อน!

    แผลเก่ายังไม่ทันหาย... คมชาญก็เงื้อดาบขึ้นสูงเพื่อเตรียมจ้วงแทงอีกครั้ง   

    “นอกจากพล็อตแล้ว ส่วนภาษาก็ทื่อมาก ไม่หัดใช้ภาษาสวย ๆ คำเพราะ ๆ เหมือนอย่างนิยายคนอื่นบ้างล่ะ? อ่านแล้วมันแข็ง ๆ”

     “ภาษาฉันไม่สวยตรงไหน?!”

    เคร้ง!

    เสียงดาบกระทบดาบ เพราะครั้งนี้จิณณ์รีบยกดาบของตัวเองเข้ารับการโจมตีของคมชาญสุดตัว เรื่องพล็อตเรื่องโหลเขาอาจจะไม่ปฏิเสธ แต่กับเรื่องภาษา จิณณ์ขอสู้ตาย!

    “ฉันใช้สไตล์การบรรยายที่ได้แนวทางมาจากท่านโกวเล้ง[1]เลยนะเฟ้ย! นายเข้าไม่ถึงเองอ้ะ!”

    “โอ้โห โกวเล้งเลยเรอะ เล่นของสูงมาก แต่เหมือนบอกว่าแต่งนิยายแฟนตาซีด้วยสำนวนสุนทรภู่เลย ถามจริงเถอะ ใครจะอยากอ่าน แล้วก็นะ... อ่ะ ลองดูแค่ประโยคขึ้นต้นนี่ก็ได้...”

    เพื่อนผู้หวังดีพลิกสมุดนิยายปกแข็งสีเทากลับไปที่หน้าแรก แล้วยื่นส่งสมุดกลับมาให้พร้อมกับเคาะนิ้วลงบนประโยคแรกเริ่มของนิยาย จิณณ์รับมาอ่านออกเสียงตามอย่างไม่เข้าใจนัก

    “เมืองเมืองหนึ่ง พระอาทิตย์ดวงหนึ่ง ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ดาบเล่มหนึ่ง อุดมการณ์ข้อหนึ่ง”

    “ตกลงที่อ่านมา มันนิยาย หรือโจทย์วิชาคณิตศาสตร์! ดีนะ บรรทัดต่อไปไม่บอกว่า จงนำมาบวกกันแล้วหาผลลัพธ์ โกวเล้งบ้านแกสิแต่งสำนวนอย่างงี้!!”

    ฉึก!

    ดาบของคมชาญฟันเข้าเป้าจนได้ จิณณ์รู้สึกเหมือนเลือดจากบาดแผลกำลังรินไหลลงท่วมพื้นโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยอย่างเงียบ ๆ

    “สรุปว่ามันแย่มากขนาดนั้นเลยสินะ” เขาถามย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เพราะรู้สึกเหมือนจะเสียเลือดในจินตนาการไปมาก แต่แทนที่จะแสดงอาการเห็นอกเห็นใจ เจ้าเพื่อนตัวดีกลับพยักหน้าหงึก ๆ อย่างกระตือรือร้น จนจิณณ์อดคิดไม่ได้ว่า บางทีการเป็นคนตรงไปตรงมามันก็น่าจะต้องมีขอบเขตกันบ้างหรือเปล่านะ เห็นแล้วมันน่ากระโดดข้ามโต๊ะเอาเท้าเข้าไปผลักเบา ๆ !

    “นิยายโหล ๆ ภาษาทื่อ ๆ ...” จิณณ์กล่าวต่อออกมาเบา ๆ ไม่ใช่ตัดพ้อ แต่ยอมรับความจริงอย่างปลง ๆ

     

    ผมมีความฝัน

    แต่...สุดท้ายมันอาจเป็นได้แค่เพียงความฝัน ที่ไม่อาจกลายเป็นความจริงได้ก็เท่านั้น...

     

    “ก็แล้วทำไมไม่เอาไปแก้หรือปรับให้มันดีขึ้น ยอมแพ้ซะแล้วเหรอ?”

    น่าแปลกที่ดาบของคมชาญครั้งนี้...แม้เหมือนจะแทงตรงเข้าเป้าที่ใจมากกว่าครั้งไหน ๆ ทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก เพราะฟัง ๆ ดูคล้ายเป็นคำปลอบใจของคนที่ปลอบไม่เป็น

    “แต่พล็อตอุตส่าห์วางจนจบแล้ว”

    “วางเอาไว้ตั้งนานเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจำได้อยู่หรือไง?”

    “ที่จริงก็จำไม่ค่อยได้...”

    “ก็นั่นไง... ทำไมนายไม่ใช้โอกาสนี้ลองวางพล็อตใหม่ให้มันแหวกแนวดูล่ะ”

    จิณณ์เหลือบตาขึ้นมองเพื่อนตรงหน้า คิดอยากจะเถียงต่อเพื่อเอาชนะ แต่สิ่งที่มันพูดมานั้นที่จริงแล้วก็ไม่ผิดเลย... สุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้

    “ก็ได้ งั้นคืนนี้จะลองเอาไปแก้ พรุ่งนี้จะเอามาให้อ่านใหม่นะ” จิณณ์ก้มหน้าตอบงุบงิบ

    แม้ในใจลึก ๆ จะรู้สึกว่า...

    แก้ไปก็คงเท่านั้น...

    “ก็ตามใจ แต่อย่ามัวแต่งนิยายจนลืมเขียนรายงานการทดลองแล็บชีวะล่ะ”

    “เออใช่ ส่งพรุ่งนี้นี่หว่า!”

    “แล้วก็อย่าลืมทำส่วนสรุปของรายงานกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษมาด้วยล่ะ”

    “เออน่า! งานกลุ่มฉันไม่ลืมหรอก”

    “มีรายชื่อกับรหัสนักศึกษาของคนในกลุ่มครบแล้วใช่มั้ย?”

    จิณณ์หันไปจ้องเพื่อนสนิทอย่างชักจะอารมณ์เสีย

    “เห็นฉันเป็นพวกขาดความรับผิดชอบหรือไง?!”

    “ใช่” คมชาญตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

    “บ๊ะ! เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ตอนม.6 ฉันได้เป็นถึงหัวหน้าห้องเชียวนะ! นายได้เป็นหรือเปล่าหัวหน้าห้องน่ะ ห๊ะ?!”

    “ไม่”

    “นั่นไง!”

    “ตอนม.6 ฉันไม่ได้เป็นหัวหน้าห้อง... แต่เป็นประธานนักเรียนว่ะ”

    ...ฟิ้วววว...

    ความรู้สึกสะใจในชัยชนะเมื่อครู่ของจิณณ์ ลอยละล่องไปกับสายลมอ่อน ๆ ในยามบ่ายอย่างรวดเร็ว... คมชาญระเบิดเสียงหัวเราะร่วนกับสีหน้าหมั่นไส้สุด ๆ ของเพื่อน

    “ชิ! งั้น ‘ท่านประธาน’ ก็ช่วยแบ่งงานไปทำบ้างสิ ฉันจะได้มีเวลาไปแต่งนิยายต่อ!” จิณณ์บ่น

    เฮ้ย! อะไรนะ! จินตนา นายเนี่ยนะแต่งนิยาย??

    ประโยคสุดท้ายดังขัดขึ้นมาจากด้านหลังของจิณณ์ เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่

    ‘สมชาย’ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้าง ๆ จิณณ์โดยไม่ต้องรอรับคำเชื้อเชิญ มันเป็นเพื่อนอีกคนในคณะที่เขาไม่ค่อยจะกินเส้นเท่าไหร่มาตั้งแต่ตอนปฐมนิเทศ แต่ว่ามันก็ยังจะตามมาเกาะแกะเขาอยู่เรื่อยอย่างกับว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของมันหรืออะไรอย่างนั้น

    และมันไม่เคยเรียกชื่อเขาถูกเลยสักครั้ง! ให้ตายเถอะ!

    จินตนาบ้าง จินตหราบ้าง บางทีก็ จินดาพร จินดามณี... ก็ไม่รู้มันช่างไปสรรหาชื่อเรียกเขามาจากไหน!

    แม้คมชาญจะเคยวิเคราะห์ให้ฟังเล่น ๆ ว่าสมชายน่าจะอยากจะเป็นเพื่อนกับจิณณ์มาก แต่เขาเองกลับไม่เคยคิดอย่างนั้น... อันที่จริง แค่ฟังน้ำเสียงเย้ยหยันตอนที่มันถามเขาว่า “นายเนี่ยนะแต่งนิยาย?” แค่นั้นก็แทบจะทำให้จิณณ์อยากจะลุกเดินหนีออกไปจากตรงนั้นเสียดื้อ ๆ แล้ว ติดเพียงแต่มือของสมชายที่ถือวิสาสะตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่มอย่างกันเอง และยังคงค้างอยู่อย่างนั้น

    “นี่พูดเรื่องจริงเหรอ แต่งนิยายเนี่ยนะ?! ฮ่า ๆ ๆ ฉันว่าเอาเวลาไปตั้งใจเรียนให้ผ่านเทอมหนึ่งก่อนดีมั้ย ค่อยเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ?”

    ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องทนนั่งอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป จิณณ์ปัดมือของสมชายออกจากบ่า ก่อนหันไปเก็บของบนโต๊ะลงกระเป๋าเป้ ทว่าเก็บได้ไม่รวดเร็วเท่ากับสมชายที่ยื่นมือเข้ามาคว้าสมุดนิยายของเขาจากมือไปเปิดอ่านหน้าตาเฉย

    “ไหนดูซิ เล่มนี้ใช่ป่ะ”

    “เอาคืนมา!”

    จิณณ์เอื้อมมือออกไปจะคว้าสมุดตัวเองคืน แต่สมชายกลับลุกพรวดถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยืนก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดเล่มนั้นอย่างตั้งใจ

    “เฮ้ย นิยายอะไรของนายเนี่ย แน่ใจนะว่าจะมีคนอ่าน ฉันว่าแต่งใหม่... ไม่สิ เลิกแต่งไปเลยจะดีกว่านะ จินตหรา!”

    แม้จะเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่ความรู้สึกของการโดนว่าจากปากสมชายนั้น มันช่างแตกต่างจากตอนที่โดนคมชาญว่าอย่างสิ้นเชิง

    “ฉันบอกให้เอาคืนมา!”

    จิณณ์ลุกพรวดขึ้นยืนพร้อมกับก้าวข้ามเก้าอี้ไร้พนักออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความโมโหไม่ทันได้ระวังนั้นเอง ขาข้างซ้ายก็พลันสะดุดเข้ากับขาเก้าอี้ของตัวเองเข้าเต็ม ๆ  

    ตึง!!

    เก้าอี้โรงอาหารล้มลง พร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่ไม่อาจทรงตัวไว้ได้

    ในตอนนั้นเองที่จิณณ์มองเห็นภาพพัดลมเพดานสีครีมฝุ่นเขรอะตัวใหญ่ของโรงอาหาร และได้ยินเสียงร้องเรียกด้วยความตกใจจากคมชาญ...

    เป็นอย่างสุดท้าย

    ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกปกคลุมไปด้วย... ความมืดมิด...

     



    [1] โกวเล้ง นักเขียนนิยายจีนกำลังภายใน ผลงานเช่น ฤทธิ์มีดสั้น, ชอลิ้วเฮียง, และเล็กเซี่ยวหงส์ (หงส์ผงาดฟ้า) เป็นต้น


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×