คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ ๙ ศพที่สาม
บทที่ 9
ศพที่สาม
“เอื้อยไปเยี่ยมพ่อของเธอที่เรือนจำ
คิดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากที่แกบอกเขาเรื่องรอยนิ้วมือบนกระดาษห่อหมากฝรั่งนั่น”
ถึงคำพูดจะฟังเรียบเฉย แต่ดวงตาของสารวัตรที่มองมานั้นกำลังคาดโทษเขาอยู่
“แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายอำพันถึงตาย”
สารวัตรใหญ่ถอนหายใจหนัก เล่าต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “จากการสอบปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นนักโทษในแดนเดียวกัน
พวกเขาทุกคนให้การตรงกันว่า นายอำพันคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเอง
เริ่มจากโขกหัวกับกำแพงจนหัวแตกยับ แล้วก็ใช้มีดปาดคอตัวเองทั้ง ๆ
ที่ยังหัวเราะอยู่อย่างกับคนบ้าที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจนตาย”
“อะไรนะฮะ” ถึงจะได้ยินเต็มสองหู แต่ระพีพัฒน์ก็แทบไม่อยากเชื่อ
“ผลการชันสูตรศพนายอำพันพบว่ามีสารเสพติดฤทธิ์หลอนประสาทในปริมาณมาก” สีหน้าของอัชวินขรึมลงกว่าปกติ
“เราต้องคืบหน้าให้ได้มากกว่านี้แล้ว ฉันอยากจับไอ้คนที่บงการอยู่เบื้องหลังยัดใส่ตะรางใจจะขาด
ก่อนคนที่เหลือจะถูกเช็กบิลจนเรียบ”
ถึงจะยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร
ระพีพัฒน์ก็อยากรู้เหลือเกินว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้ฆาตกรต้องฆ่าคนถึงสองคน
และถ้าไม่ได้เป็นการฆ่าปิดปากเพื่อปกป้องเครือข่ายยาเสพติด เหตุใดเพลงพิณถึงติดหลังแห
และเหตุใดเอื้อยจึงยังอยู่รอด หรือไม่ตัวการที่แท้จริงอาจยังเร้นกายอยู่ในเงามืดที่ไหนสักแห่ง
“แทนที่เราจะเล่นเกมโปลิศจับขโมย...ผมว่าเราน่าจะเปลี่ยนไปเล่นเกมซ่อนหา”
ชายหนุ่มเสนอความคิดบางอย่าง
“แกหมายความว่า...”
“ในทีแรก ผมจะไปทองผาภูมิกับเพลงพิณ แต่เห็นทีถ้าเราเสียเพลงพิณไป
คดีนี้ก็คงจะยิ่งดำมืดมากขึ้นไปอีก ผมเลยเปลี่ยนความคิดใหม่
เราต้องเปลี่ยนไปเป็นการซ่อนตัวเหยื่อไม่ให้คนร้ายหาเจอ
แล้วรอให้พวกมันเป็นฝ่ายผุดร่องรอยออกมาให้เราเห็น”
ข้อเสนอของระพีพัฒน์ได้รับการสนองจากสารวัตรใหญ่ทันที
ทว่าเกมนี้จะแพ้หรือชนะนั้น มีผู้เล่นหลายคนที่เขาต้องขอร้องให้ยอมร่วมเล่นเกม
และหนึ่งในผู้เล่นตัวสำคัญก็มีแม่โคโยตี้สาวสุดยั่วยวนคนนั้นด้วย
ชายหนุ่มขับรถมุ่งไปสู่ถนนสายรวมสถานบันเทิงในคืนนั้นหลังออกจากกรมสืบสวนคดีพิเศษ
แต่แทนที่จะเข้าทางหน้าผับ เขาเลือกจอดรถบนถนนเล็กๆ
ที่เชื่อมต่อกับผับใหญ่ทางด้านหลังด้วยตรอกแคบแล้วลงเดิน
เมื่อใกล้ปากตรอกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
จึงรีบหลบเข้าในตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วลอบมองร่างของคนสองคนที่ก้าวออกจากตรอก
หนึ่งคือชายตัวสูงใหญ่ผมยาวประบ่าดำสนิทนามสำริด
และอีกหนึ่งคือหญิงสาวผู้มีโฉมงามสะกดสายตา
“นั่นน่ะหรือ คุณนายดารา” ปากหยักรำพึงเสียงเบา มองตามสาวงามเยื้องย่างขึ้นรถเก๋งคันหรูสีดำที่จอดอยู่
โดยมีนายสำริดทำหน้าที่เป็นพลขับ
จนรถคันนั้นออกตัวไปไกลจึงก้าวขาออกจากตู้โทรศัพท์
แล้วเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู่เขตด้านหลังผับ
ลัดเลาะไปตามซอกแคบของสิ่งปลูกสร้างร้างที่ขนาบข้างกับกำแพงลูกกรงเหล็ก
แล้วหลบเข้าหลังภูเขาลังเบียร์เก่า
จากนั้นเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของเหล่าพนักงานผับทั้งชายหญิงที่เดินเข้าเดินออกสลับกันราวกับตุ๊กตาของนาฬิกาไขลาน
เมื่อเห็นหญิงสาวปรากฏตัวออกมาหลังบานประตูหนาก็หันมองรอบกาย จนได้จังหวะลับสายตาคนก็รีบเข้าไปรวบตัวพร้อมกับใช้มือปิดปากกันเสียงร้อง
แล้วพาเธอเข้าไปหลบหลังลังเบียร์กองสูง
“ฉันมาเอาคำตอบ”
เขาเอ่ยบอกจุดประสงค์พร้อมคลายมือที่ปิดเรียวปากอิ่มออก
แต่พอไร้การปกปิด ก็ได้เห็นรอยช้ำจ้ำใหญ่ตรงข้างแก้มของเธอชัดเต็มตา ขนาดเครื่องสำอางยังไม่อาจกลบเกลื่อน
“ฝีมือเสี่ย?”
น้ำเสียงที่ใช้ถามนั้นขุ่นมัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เอื้อยรีบผินสายตาหลบดวงตากร้าวที่จ้องมองลึกราวกับต้องการสแกนทุกอย่างบนใบหน้าของเธอ
เอ่ยเสียงสั่นกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตาบวมช้ำ
“ปล่อยฉันเถอะ เวลาพักของฉันมีไม่มากนัก”
“เราทุกคนต่างก็มีเวลาไม่มากเช่นกัน”
ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงกดต่ำ “เอื้อย อย่ารอให้ใครเป็นอะไรไปมากกว่านี้อีกเลย
ขอให้พ่อของเธอเป็นรายสุดท้ายเถอะ”
ร่องรอยความบอบช้ำระบายเต็มหน่วยตาคู่นั้นมากแค่ไหน
ในใจของระพีพัฒน์รู้สึกช้ำใจเสียยิ่งกว่า
แค่ชั่ววูบของหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มสาว ก็สั่นสะเทือนจิตใจของเขารุนแรง
“เอื้อย” เอ่ยเรียกหญิงสาว สบตาเธอนิ่ง แล้วกำรอบต้นแขนบางทั้งสองไว้แน่น “เธอยอมให้ป๋องกับพ่อของเธอตายโดยไม่ทวงถามความยุติธรรมจากฆาตกรเลยอย่างนั้นหรือ”
รู้ดีว่าคำพูดที่เปล่งออกไปอาจทำร้ายจิตใจหญิงสาว
แต่แรงเชือดเฉือนหัวใจให้เกิดแผลแห่งความอาฆาตเท่านั้นที่เป็นเส้นทางนำไปสู่การแก้ไขคดี
แม้จะนำคนรักทั้งสองของเธอกลับมาไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้สูญเสียใครไปมากกว่านี้
และหนึ่งในนั้นต้องมีเธอ
“สัญญากับฉันได้ไหม” เอื้อยเปล่งเสียงสั่น
“สัญญา?”
“สัญญากับฉันว่าจะจับฆาตกรให้ได้” ดวงตาเธอมีประกายไฟลุกโชน
ระพีพัฒน์รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์รับปากแทนเจ้าหน้าที่ เพราะเขาเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในการสืบคดี
แต่ถ้าจะทำให้กลไกไขปริศนาขยับเคลื่อนที่ ก็ไม่มีตัวเลือกไปมากกว่านี้แล้ว
“ตกลง”
“ฉันจะติดต่อคุณอีกครั้งผ่านสารวัตร”
พูดแล้วเจ้าของดวงตาโศกก็หมุนตัวก้าวขาเดินกลับเข้าสู่อาคารสถานนามมูนไลต์ชาโดว์
ระพีพัฒน์ทอดถอนลมหายใจถ่ายความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ภายในทิ้งไว้ที่ตรงนั้น
แล้วเคลื่อนขยับเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป คือการชักพาตฤณ
ทายาทเจ้าพ่อกาสิโนคนที่เขาต้องการให้เข้ามาเอี่ยวกับเกมซ่อนหาด้วยเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อต่อสายเพื่อขอเจรจา กลับถูกตัดเข้าระบบฝากข้อความ
ผิดวิสัยเพื่อนสนิทผู้แสนรู้ใจ ทว่าย้อนคิดให้ดี ในช่วงหลังมานี้
เขาและตฤณไม่ได้เสวนากันเลย แม้กระทั่งเวลาเข้าเลกเชอร์วิชาเดียวกัน
ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจจากขอความช่วยเหลือทางโทรศัพท์เป็นมุ่งไปหาทายาทเจ้าพ่อเพื่อขอเจรจากันซึ่งหน้า
สถานที่ที่จะได้พบเจ้าหนุ่มเชื้อสายนักพนันตัวยงไม่ใช่คฤหาสน์หลังใหญ่
แต่เป็นกาสิโนใต้ดินที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนใจกลางกรุงที่มีระบบรักษาความปลอดภัยจากผู้รักษากฎหมายแน่นหนา
แต่สำหรับคนที่ใช้หน้าเป็นใบผ่านทางอย่างเพื่อนสนิทของลูกชายเจ้าพ่อแล้ว
เขาสามารถผ่านทุกด่านมาจนถึงด่านสุดท้ายอันเป็นประตูเข้าห้องทำงานสุดเอกซ์คลูซีฟของกาสิโนใต้ดิน
เมื่อแขกหนุ่มผลักประตูเข้าไปอย่างที่เคยทำ ก็พบว่าภายในนั้นมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนกำลังนั่งประชุมกันคล้ายกับอัศวินโต๊ะกลมในภาพยนตร์
โดยมีเตชิน เจ้าพ่อสายเลือดมังกรนั่งเป็นประธาน ส่วนลูกมังกรนั้นหรือ
ปลีกวิเวกอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ตรงหน้าจอโทรทัศน์ขนาดมหึมาที่กำลังฉายภาพเกมการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญ
ช่วงยิงลูกโทษเพื่อตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ โดยมีนางกระต่ายสาวสวยขาวอวบคอยป้อนน้ำป้อนขนมให้ไม่ขาดเคียงข้าง
“ตฤณ กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
แต่ไร้เสียงขานรับจากเพื่อนสนิท แม้จะหันหน้ามามองก็ทำเหมือนไม่รับรู้ว่าเขายืนหัวโด่อยู่ด้านหลัง
“ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ ก็หันหน้ามามองกูหน่อย
ไอ้มาเฟียอ่อนหัด”
นางกระต่ายหยุดป้อนขนมรสอร่อย
เสียงพูดคุยของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมด้านหลังเงียบสนิท แล้วเพียงแค่ชั่วอึดลมหายใจ
คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นไอ้มาเฟียอ่อนหัดก็ลุกพรวดขึ้นแล้วกระโจนเข้าใส่ผู้กล่าวหาจนหงายล้มลงไปนอนกับพื้น
ก่อนกระชากคอเสื้อขึ้นแล้วยกหมัดขวาเตรียมกระแทกใส่หน้า
“แล้วมึงล่ะ ไอ้ลูกหมารับใช้สารวัตร
ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นเพื่อน มึงก็ต้องจำได้ว่าวันนี้มีนัดดูบอลกับกูที่นี่
ไหนมึงบอกให้กูได้ยินเต็มสองหูทีว่า ไอ้คนที่กูเห็นมันเป็นเพื่อนลืมนัดกู!”
“กูลืม”
ทายาทมาเฟียจึงประทานหมัดให้อย่างเต็มเหนี่ยวทันที
“มึงลืมนัดดูบอลกับกู กูอาจยกโทษให้ได้ แต่ที่มึงไม่ยืนข้างกูในวันที่กูได้แชมป์แข่งมอเตอร์ครอสวันนั้น
มึงรู้มั้ยว่ากูเสียความรู้สึกแค่ไหน คนอย่างมึงไม่มีค่าพอจะให้กูเห็นเป็นเพื่อน!”
ระพีพัฒน์เลียเลือดที่ริมฝีปาก
ช่างเจ็บแสบสมกับความโกรธเกรี้ยวของตฤณที่ระบายออกมา
แค่คำขอโทษคงไม่อาจลบล้างความผิดที่ทำไว้
และยอมรับว่าในใจตอนนี้มุ่งแต่อยากลบความผิดทางคดีอาญาที่ตัวเองก่อ แม้จะเป็นความผิดที่สารวัตรอนุโลมว่าทำไปโดยไม่ได้เจตนา
แต่หากไม่ล้างประวัติตนให้ใสสะอาดแล้ว อนาคตของเขาก็มีมลทินตลอดไป
“กูขอโทษก็แล้วกัน” บอกแค่นั้นแล้วลุกขึ้น
จ้องมองดวงตาเดือดดาลของอีกฝ่าย ไม่มีคำพูดอะไรให้อีกแล้ว จึงหมุนตัวเพื่อออกจากตรงนั้น
ไม่หวังความช่วยเหลือ
“ไอ้มาเฟียอ่อนหัด!”
นั่นไม่ใช่เสียงเขา ระพีพัฒน์หยุดขาแล้วหันกลับไปมอง
เห็นเตชิน บิดาของตฤณผู้เป็นหัวหน้าองค์กรใต้ดินยืนส่งสายตาตำหนิ ก่อนเอ่ยคำพูดเข้มงวด
“เอ็งมันอ่อนหัดจริงอย่างที่ไอ้กลางมันว่า!”
“ผมอ่อนหัดตรงไหน
ตอนที่พ่อบินไปดูพื้นที่สร้างกาสิโนกับพี่ปราณ ผมก็เป็นคนดูแล เป็นคนคุมที่นี่!”
ตฤณเถียงกลับด้วยเสียงดังปานกัน
เจ้าพ่อกาสิโนแสยะยิ้ม
ยกสองแขนกางขึ้นแล้วหมุนไปรอบๆ “เอ็งดูสิว่าพ่ออยู่ท่ามกลางอะไร
แล้วเอ็งน่ะอยู่ท่ามกลางอะไร”
ฝ่ายลูกชายไม่เข้าใจความหมายนัก
กระทั่งผู้เป็นพ่อให้ความกระจ่างแก่ใจ “พ่ออยู่ท่ามกลางเพื่อน ท่ามกลางพี่น้องเหล่านี้
แล้วเราไม่ได้อยู่ข้างกันแค่ยามสุข แต่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันแม้ในยามทุกข์!”
ตฤณปรายดวงตาเรียวไปทางระพีพัฒน์
แล้วยกมุมปากขึ้น ส่ายหน้านึกอยากด่าตัวเอง
เพราะไม่สามารถหาคำพูดใดมาตอบกลับบิดาได้
ฝ่ายพ่อนั้นแวดล้อมไปด้วยพรรคพวกผู้ภักดี
ส่วนเขาตอนนี้หรือ แม้แต่นางกระต่ายที่ป้อนขนมเอาใจก็หนีไปไหนแล้วไม่รู้
คำพูดของบิดาจึงคล้ายเป็นการคาดโทษไว้รอคำตัดสิน ว่าเขาคงไม่สามารถก้าวไปสู่ผู้นำของทุกคนได้
ถ้าไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมทั้งทุกข์และสุขกับเพื่อน
“ปกติกูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ
เลยไม่ค่อยสันทัดอะไรที่มันทุกข์ใจเท่าไหร่...” ทายาทกาสิโนเปรยวาจา
ซึ่งตฤณรู้ว่าระพีพัฒน์ฟังอยู่ “แต่กูจะยอมถ้ามันทำให้มึงกลับมายืนแท่นบัลลังก์ที่สองเพื่อดูกูครองถ้วยแชมป์”
ระพีพัฒน์คลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปขอบคุณเตชินทางสายตา
แต่มาเฟียใหญ่กลับชี้นิ้วมาทางเขาแล้วสั่งเสียงเข้มใส่ว่า
“แต่ถ้าความทุกข์ของพวกเอ็งลากเจ้าสารวัตรอัชวินมาสร้างทุกข์ให้กาสิโนของข้า
งานนี้ละ เอ็งทุกข์ไปตลอดกาลแน่ ไอ้หมารับใช้สารวัตร”
ยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ ก็มีแรงสั่นสะเทือนของเครื่องรับโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง
ระพีพัฒน์จึงหยิบขึ้นมาดูชื่อปลายสาย แล้วต้องเบ้ปากที่ยังเจ็บแสบจากการถูกต่อย เมื่อชื่อของสารวัตรอัชวินปรากฏชัดเต็มหน้าจอ
จึงต้องออกจากกาสิโนในทันทีก่อนที่สารวัตรจะใช้ระบบติดตาม
พอเดินห่างจากดินแดนใต้ดินมาไกลพอ
เขาจึงติดต่อกลับ ในใจก็คิดไว้ว่าจะบอกข่าวดีเรื่องเอื้อยอาจให้ความร่วมมือ
“สารวัตรครับ ผมมีข่าวดีจะบอก”
ชายหนุ่มชิงพูดทันทีเมื่อปลายทางรับสาย
“แต่ฉันมีข่าวร้ายจะบอก” ทว่าปลายทางสวนกลับมาด้วยความรู้สึกตรงกันข้าม
“เจ้าวายร้ายที่จะยิงเพลงพิณบนรถเมล์มัน...ตายแล้ว!”
ฝนหยาดสุดท้ายอำลาไปเมื่อแสงแรกแห่งอรุณทอตรงขอบฟ้า แต่พระพิรุณยังคงฝากความชุ่มฉ่ำไว้บนยอดหญ้าและผืนแผ่นดิน ทุกอย่างบนแผ่นดินนี้คงได้รับความสดชื่นกันถ้วนหน้า ตรงข้ามกับความรู้สึกแห้งเหี่ยวในหัวใจของชายหนุ่มที่ไม่อาจข่มตาหลับแล้วอดทนนอนฟังเสียงฝนและเสียงฟ้าดังครืนครางตลอดคืนจนถึงรุ่งสาง
เจ้าของร่างสูงชันตัวขึ้นนั่ง
เมื่อหยีตามองไปทางประตูห้องนอนของคุณหมอใหญ่เจ้าบ้านยังปิดสนิท จึงลุกขึ้นเดินสำรวจรอบห้องรับแขก
เห็นชั้นหนังสือวางเรียงรายตามกำแพง ซึ่งแต่ละเล่มล้วนเป็นเนื้อหาด้านการแพทย์
สายตาพลันสะดุดกับสันปกแฟ้มพลาสติกเล่มหนา
ตรงสันของมันเขียนด้วยตัวหนังสืออ่านชัดเจนว่ารวมสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านเซลล์มะเร็ง
จึงหยิบออกจากชั้น เห็นชื่อผู้รวบรวมเป็นคุณหมอใหญ่และหมอไหมแก้วก็คลี่ยิ้ม
แล้วไล่เปิดอ่านด้วยความสนใจ แต่แล้วความเพลิดเพลินในเนื้อหาก็ถูกหยุดชะงัก เพราะมีหลายหน้าถูกฉีกหายไป
“ตื่นนานแล้วหรือคุณก้อง”
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหมอใหญ่”
ก้องปฐพีรีบเงยหน้าจากกระดาษแล้วกล่าวคำทักทาย
“ภรรยาผมคงกำลังจะเริ่มเตรียมอาหารเช้า
คุณอยู่ทานด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปสิ”
“ผมไม่รบกวนดีกว่า
แค่คุณหมอกับภรรยาให้ผมหลบซ่อนตัวที่นี่ก็เป็นการรบกวนมากพอแล้วครับ”
“ไม่รบกวนหรอก
ภรรยาผมท่าจะชอบคุณมาก ชมคุณไม่ขาดปาก” คุณหมอใหญ่ยิ้มกว้าง
แล้วพุ่งสายตามาที่แฟ้มในมือสถาปนิกหนุ่ม
“อ้าว
นั่นแฟ้มวิจัยที่ผมกำลังหาให้เอกรัตน์ยืมนี่ มันอยู่ตรงนี้เองหรือ”
ก้องปฐพีอยากถามถึงหน้าที่ขาดไปตามสารบัญ
แต่เสียงภรรยาของคุณหมอก็เรียกให้ไปร่วมโต๊ะอาหาร จึงส่งแฟ้มคืนให้แก่เจ้าของ
หลังถูกเลี้ยงดูจนอิ่มหนำ เขาก็จำต้องล่ำลาคุณหมอใหญ่ที่นอกจากใจดีให้เขาพักอาศัยในบ้านทั้งคืนพร้อมอาหารเช้าแสนอร่อยแล้ว
ยังเด็ดมะลิวัลย์ช่อใหญ่ให้เขาไปเป็นของที่ระลึก
ทว่าก้องปฐพีนำช่อดอกไม้จิ๋วสีขาวมาวางไว้บนราวระเบียงชานบ้านพักของคุณหมอสาว
แล้วเดินจากมาโดยรับรู้ว่าเจ้าของรถกระบะที่จอดทางเข้าบ้านพักยังคงอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเธอ
ขอแค่หวังให้เธอหลับสบายไม่ฝันร้ายก็พอ
เขาพยายามบอกตัวเองแบบนั้น แล้วลัดเลาะไปตามทางด้วยความระแวดระวัง
แม้จะสวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มตัวใหญ่สุดที่คุณหมอผู้อารีเอื้อเฟื้อให้
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตบตาคนที่จ้องปองร้ายได้ การพาตัวเองไปให้ถึงหมู่บ้านช้างแล้วซ่อมเจ้าแบล็กแบร์เพื่อซิ่งมันกลับบ้านจึงเป็นความคิดแรก
คุณหมอสาวกับชาวบ้านจะได้ไม่เดือดร้อนเพราะเขา
และคนล่าสุดที่เขาได้ติดต่อไปก็คือปราณนารายณ์
โดยบอกเหตุผลที่หายจากการติดต่อไปว่า รถเสียหลักล้มแล้วโทรศัพท์ถูกกระแทกจนใช้การไม่ได้
จากนั้นฝากให้บอกธิดาว่าอย่ากังวล
แล้วเขาจะติดต่อกลับไปพร้อมกับแบบแปลนใหม่ของเรือนที่จะฟื้นฟู
โชคดีที่เจ้าแก่ยังอยู่ดีมีสุขในที่จอดรถตั้งแต่เมื่อคืนวาน
แต่ก็ยังมีความโชคร้ายในความโชคดี นั่นคือเขาลืมไปว่ากุญแจรถอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรดที่เขายอมตัดใจถอดทิ้งไปเมื่อคืน
แต่นั่นไม่ทำให้ชายหนุ่มสิ้นหวัง
เขามองซ้ายมองขวาก่อนเดินตรงไปนั่งย่อเข่าข้างเจ้าแก่ แล้วขุดความรู้ข้างสนามแข่งมาใช้จนสามารถสตาร์ตรถรุ่นเก่าได้โดยไม่ใช้กุญแจ
จากนั้นก็บิดแฮนด์เร่งความเร็วออกจากโรงพยาบาลทันที
ก้องปฐพีขับขี่ไปตามถนนที่ขนาบข้างด้วยทุ่งหญ้าป่าโปร่งเรื่อยไป สูดกลิ่นดินชื้นสดชื่นที่ยังกรุ่นในไออากาศเข้าปอด
แต่ก็ไม่อาจทดแทนกลิ่นผมนุ่มหอมของคุณหมอสาวที่ยังติดอยู่ในหัวใจ
ปัง!
แต่เสียงปืนดังสนั่นทำลายความสงบของป่ากระตุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ฝันหวาน
พอหันหลังไปยังทิศทางต้นกำเนิดเสียงปืนนั้น
ก็สบถในใจแล้วรีบบิดเจ้าแก่เร่งความเร็วเต็มกำลังเท่าที่มันจะทำได้
ปัง!
เจ้าของปืนยังคงไล่ยิงเขาจากรถกระบะคันโตไม่ลดละ ต่อให้ไม่เห็นหน้าค่าตา
ก็มั่นใจว่าเป็นโจทก์เก่าที่ขนทั้งกำลังและอาวุธมาเพื่อชำระหนี้แค้น
ในเรื่องการแข่งความไวเขาไม่เป็นรองใครในสนาม
แต่ถ้านอกสนามกับคู่แข่งที่มาพร้อมอาวุธครบมือแบบนี้ เห็นทีจะรอดยาก
จะให้หักเลี้ยวเข้าป่าก็ยังทำไม่ได้เพราะข้างหนึ่งเป็นผาและอีกข้างเป็นสันดินภูเขา
ยิ่งทางลาดชันแบบนี้ จะซิ่งเจ้าสองล้อของคุณหมอสาวหนีตาย อาจได้ตายก่อนเพราะกลิ้งตกเขา
คิดไว้ในหัวว่าถ้ารอดจากความอาฆาตของคู่อริในครั้งนี้ได้
เขาจะถอยรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้คุณหมอ
ปัง!
ยังไม่ทันได้คิดว่าจะเลือกรุ่นไหนให้เธอดี ก็มีอีกหนึ่งนัดตามมา
ก้องปฐพีบิดแฮนด์สุดแรง แต่ก็ไม่ได้เร็วไปกว่าเดิมเท่าไร แถมเสียงเครื่องยนต์ก็เริ่มดังแปลก
ๆ คล้ายคนใกล้ตาย
“เล่นกูแล้วไหมล่ะเจ้าแก่” ชายหนุ่มสบถ
ปัง! ปัง!
พวกมันคงกะชำระหนี้ให้จบวันนี้ ถึงไม่ลดราวาศอกกันบ้าง และแม้ดวงเขาคงยังไม่ถึงฆาตจึงรอดจากลูกตะกั่วสองนัดซ้อนล่าสุดมาได้
แต่นัดต่อไป เขาจะตายเป็นผีสางเฝ้าป่าหรือไม่ คงต้องวัดใจกัน
ปัง!
เดชะบุญที่สร้างมายังถูกดึงมาใช้
เขารอดจากนัดสุดท้ายมาได้จากการขับขี่ฉวัดเฉวียนตามประสบการณ์ แต่พอวิ่งเลยโค้งมา
ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งพุ่งมอเตอร์ไซค์พรวดออกมาจากข้างทาง จนเขาต้องเบรกตัวโก่ง
“ไอ้โจรขโมยมอเตอร์ไซค์!” เด็กสาวชี้นิ้วว่ากล่าว
มองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง “นายรู้ไหมว่ามอเตอร์ไซค์ที่ขโมยมาเป็นของใคร!”
ก้องปฐพีหายใจเร็ว หันหน้ากลับไปมองเห็นว่าเจ้าโจทก์พวกนั้นยังไม่เลยโค้งมา
จึงรีบตอบแล้วจะขับต่อ “ของคุณหมอไหมแก้ว”
แต่คุณเธอยังไถรถมาขวาง “รู้แล้วยังจะขโมย!”
“ฉันไม่ได้ขโมย!”
“ไอ้โจรหน้าด้าน หน้าตาดีเสียเปล่า
นี่ถ้าฉันไม่ไปโรงพยาบาลแล้วเห็นกับตา เจ้าแก่ของคุณหมอมีหวังโดนชำแหละชิ้นส่วนแน่!”
เสียงเครื่องยนต์รถกระบะดังใกล้เข้ามาแล้ว
ก้องปฐพีจึงต้องตัดสินใจสักอย่าง เขาทิ้งเจ้าแก่ไว้
แล้ววาดขาขึ้นคร่อมนั่งซ้อนรถของเด็กสาวด้านหลัง
จากนั้นเอื้อมสองแขนจับแฮนด์รถของเธอมั่น
ส่วนเด็กสาวเจ้าของรถที่ถูกโอบล้อมก็กรีดร้องโวยวาย
“ไอ้บ้า ขโมยรถแล้วจะขโมยสวาทฉันด้วยหรือไง
บอกไว้ก่อนนะว่า ถึงนายจะหล่อ ฉันก็ไม่ยอมเสียพรหมจารีให้โว้ย!”
ปัง!
แล้วเสียงลั่นไกปืนก็หยุดเสียงกรีดร้องของเด็กสาวให้เงียบสนิท
จนก้องปฐพีไม่แน่ใจว่าจะขอบคุณเจ้าของกระสุนนั่นดีหรือไม่
“ระหว่างเสียพรหมจารีกับเสียชีวิต
เธอจะเลือกอะไร!”
และไม่มีเวลาอธิบายอะไรอีก
ก้องปฐพีบิดแฮนด์จนสุด ส่งผลให้รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วรอบสุด
เสียงเครื่องยนต์แต่งแหลมเล็กดังสนั่นจนนกป่าแตกตื่นกระพือปีกบินฮือจากรัง
ส่วนเสียงร้องปรอทแตกของเด็กสาวคนนี้ก็ดังลั่นไม่แพ้กัน
รถมอเตอร์ไซค์คันใหม่เครื่องยังดีเร่งความเร็วรอบได้อย่างใจก้องปฐพี
เขาไม่แตะเบรกเลยแม้จะวิ่งลงเนินเขาที่เลี้ยวลดคดเคี้ยว
และพอเข้าสู่ช่วงเนินที่ชันที่สุด
เด็กสาวก็กรีดร้องราวกับเล่นเครื่องเล่นที่เสียวที่สุดในชีวิต
“คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย!”
“จะร้องอะไรนักหนา ฉันเอาอยู่น่า!” ไม่ได้อยากโอ้อวด
แต่เรื่องความชำนาญในการขับขี่มีมากพอจะช่วยแม่ลูกช้างตัวนี้ได้แน่
“เอาไม่อยู่ เอาไม่อยู่!” แต่เธอยังคงกรีดร้อง
“ก็บอกว่าเอาอยู่!” เขาย้ำให้เธอมั่นใจ
แต่เมื่อเด็กสาวตะโกนประโยคต่อมา ระดับความมั่นใจของชายหนุ่มก็แตะพื้นดิน
“ก็รถของฉันมันเบรกไม่ดี๊!” บอกเสียงแหลมเล็กแล้วโหยหวนปานขาดใจ
“แม่จ๋า รอรับวิญญาณอีตรีรัตน์ด้วยยย!”
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านผลงานค่ะ
สายอีบุ๊ก คลิกลิงก์ได้เลยค่ะ
ความคิดเห็น