NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ ๙ ศพที่สาม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 64
      3
      30 ก.ค. 63

    บทที่ 9

    ศพที่สาม

     

              “เอื้อยไปเยี่ยมพ่อของเธอที่เรือนจำ คิดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากที่แกบอกเขาเรื่องรอยนิ้วมือบนกระดาษห่อหมากฝรั่งนั่น”

                   ถึงคำพูดจะฟังเรียบเฉย แต่ดวงตาของสารวัตรที่มองมานั้นกำลังคาดโทษเขาอยู่ “แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายอำพันถึงตาย”

                   สารวัตรใหญ่ถอนหายใจหนัก เล่าต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “จากการสอบปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นนักโทษในแดนเดียวกัน พวกเขาทุกคนให้การตรงกันว่า นายอำพันคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเอง เริ่มจากโขกหัวกับกำแพงจนหัวแตกยับ แล้วก็ใช้มีดปาดคอตัวเองทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะอยู่อย่างกับคนบ้าที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจนตาย”

                   “อะไรนะฮะ” ถึงจะได้ยินเต็มสองหู แต่ระพีพัฒน์ก็แทบไม่อยากเชื่อ

                   “ผลการชันสูตรศพนายอำพันพบว่ามีสารเสพติดฤทธิ์หลอนประสาทในปริมาณมาก” สีหน้าของอัชวินขรึมลงกว่าปกติ “เราต้องคืบหน้าให้ได้มากกว่านี้แล้ว ฉันอยากจับไอ้คนที่บงการอยู่เบื้องหลังยัดใส่ตะรางใจจะขาด ก่อนคนที่เหลือจะถูกเช็กบิลจนเรียบ”

                   ถึงจะยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร ระพีพัฒน์ก็อยากรู้เหลือเกินว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้ฆาตกรต้องฆ่าคนถึงสองคน และถ้าไม่ได้เป็นการฆ่าปิดปากเพื่อปกป้องเครือข่ายยาเสพติด เหตุใดเพลงพิณถึงติดหลังแห และเหตุใดเอื้อยจึงยังอยู่รอด หรือไม่ตัวการที่แท้จริงอาจยังเร้นกายอยู่ในเงามืดที่ไหนสักแห่ง

                   “แทนที่เราจะเล่นเกมโปลิศจับขโมย...ผมว่าเราน่าจะเปลี่ยนไปเล่นเกมซ่อนหา” ชายหนุ่มเสนอความคิดบางอย่าง

                   “แกหมายความว่า...”

                   “ในทีแรก ผมจะไปทองผาภูมิกับเพลงพิณ แต่เห็นทีถ้าเราเสียเพลงพิณไป คดีนี้ก็คงจะยิ่งดำมืดมากขึ้นไปอีก ผมเลยเปลี่ยนความคิดใหม่ เราต้องเปลี่ยนไปเป็นการซ่อนตัวเหยื่อไม่ให้คนร้ายหาเจอ แล้วรอให้พวกมันเป็นฝ่ายผุดร่องรอยออกมาให้เราเห็น”

                   ข้อเสนอของระพีพัฒน์ได้รับการสนองจากสารวัตรใหญ่ทันที ทว่าเกมนี้จะแพ้หรือชนะนั้น มีผู้เล่นหลายคนที่เขาต้องขอร้องให้ยอมร่วมเล่นเกม และหนึ่งในผู้เล่นตัวสำคัญก็มีแม่โคโยตี้สาวสุดยั่วยวนคนนั้นด้วย

                   ชายหนุ่มขับรถมุ่งไปสู่ถนนสายรวมสถานบันเทิงในคืนนั้นหลังออกจากกรมสืบสวนคดีพิเศษ  แต่แทนที่จะเข้าทางหน้าผับ เขาเลือกจอดรถบนถนนเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับผับใหญ่ทางด้านหลังด้วยตรอกแคบแล้วลงเดิน

                   เมื่อใกล้ปากตรอกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา จึงรีบหลบเข้าในตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วลอบมองร่างของคนสองคนที่ก้าวออกจากตรอก หนึ่งคือชายตัวสูงใหญ่ผมยาวประบ่าดำสนิทนามสำริด และอีกหนึ่งคือหญิงสาวผู้มีโฉมงามสะกดสายตา

                   “นั่นน่ะหรือ คุณนายดารา” ปากหยักรำพึงเสียงเบา มองตามสาวงามเยื้องย่างขึ้นรถเก๋งคันหรูสีดำที่จอดอยู่ โดยมีนายสำริดทำหน้าที่เป็นพลขับ

                   จนรถคันนั้นออกตัวไปไกลจึงก้าวขาออกจากตู้โทรศัพท์ แล้วเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู่เขตด้านหลังผับ ลัดเลาะไปตามซอกแคบของสิ่งปลูกสร้างร้างที่ขนาบข้างกับกำแพงลูกกรงเหล็ก แล้วหลบเข้าหลังภูเขาลังเบียร์เก่า จากนั้นเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของเหล่าพนักงานผับทั้งชายหญิงที่เดินเข้าเดินออกสลับกันราวกับตุ๊กตาของนาฬิกาไขลาน

                   เมื่อเห็นหญิงสาวปรากฏตัวออกมาหลังบานประตูหนาก็หันมองรอบกาย จนได้จังหวะลับสายตาคนก็รีบเข้าไปรวบตัวพร้อมกับใช้มือปิดปากกันเสียงร้อง แล้วพาเธอเข้าไปหลบหลังลังเบียร์กองสูง

                   “ฉันมาเอาคำตอบ”

                   เขาเอ่ยบอกจุดประสงค์พร้อมคลายมือที่ปิดเรียวปากอิ่มออก แต่พอไร้การปกปิด ก็ได้เห็นรอยช้ำจ้ำใหญ่ตรงข้างแก้มของเธอชัดเต็มตา ขนาดเครื่องสำอางยังไม่อาจกลบเกลื่อน

                   “ฝีมือเสี่ย?” น้ำเสียงที่ใช้ถามนั้นขุ่นมัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

                   เอื้อยรีบผินสายตาหลบดวงตากร้าวที่จ้องมองลึกราวกับต้องการสแกนทุกอย่างบนใบหน้าของเธอ เอ่ยเสียงสั่นกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตาบวมช้ำ

                   “ปล่อยฉันเถอะ เวลาพักของฉันมีไม่มากนัก”

                   “เราทุกคนต่างก็มีเวลาไม่มากเช่นกัน” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงกดต่ำ “เอื้อย อย่ารอให้ใครเป็นอะไรไปมากกว่านี้อีกเลย ขอให้พ่อของเธอเป็นรายสุดท้ายเถอะ”

                   ร่องรอยความบอบช้ำระบายเต็มหน่วยตาคู่นั้นมากแค่ไหน ในใจของระพีพัฒน์รู้สึกช้ำใจเสียยิ่งกว่า แค่ชั่ววูบของหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มสาว ก็สั่นสะเทือนจิตใจของเขารุนแรง

                        “เอื้อย” เอ่ยเรียกหญิงสาว สบตาเธอนิ่ง แล้วกำรอบต้นแขนบางทั้งสองไว้แน่น “เธอยอมให้ป๋องกับพ่อของเธอตายโดยไม่ทวงถามความยุติธรรมจากฆาตกรเลยอย่างนั้นหรือ”

                        รู้ดีว่าคำพูดที่เปล่งออกไปอาจทำร้ายจิตใจหญิงสาว แต่แรงเชือดเฉือนหัวใจให้เกิดแผลแห่งความอาฆาตเท่านั้นที่เป็นเส้นทางนำไปสู่การแก้ไขคดี แม้จะนำคนรักทั้งสองของเธอกลับมาไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้สูญเสียใครไปมากกว่านี้ และหนึ่งในนั้นต้องมีเธอ

                   “สัญญากับฉันได้ไหม” เอื้อยเปล่งเสียงสั่น

                   “สัญญา?

                   “สัญญากับฉันว่าจะจับฆาตกรให้ได้” ดวงตาเธอมีประกายไฟลุกโชน

                   ระพีพัฒน์รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์รับปากแทนเจ้าหน้าที่ เพราะเขาเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในการสืบคดี แต่ถ้าจะทำให้กลไกไขปริศนาขยับเคลื่อนที่ ก็ไม่มีตัวเลือกไปมากกว่านี้แล้ว

                   “ตกลง”

                   “ฉันจะติดต่อคุณอีกครั้งผ่านสารวัตร” พูดแล้วเจ้าของดวงตาโศกก็หมุนตัวก้าวขาเดินกลับเข้าสู่อาคารสถานนามมูนไลต์ชาโดว์

                   ระพีพัฒน์ทอดถอนลมหายใจถ่ายความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ภายในทิ้งไว้ที่ตรงนั้น แล้วเคลื่อนขยับเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป คือการชักพาตฤณ ทายาทเจ้าพ่อกาสิโนคนที่เขาต้องการให้เข้ามาเอี่ยวกับเกมซ่อนหาด้วยเป็นอย่างยิ่ง

                   แต่เมื่อต่อสายเพื่อขอเจรจา กลับถูกตัดเข้าระบบฝากข้อความ ผิดวิสัยเพื่อนสนิทผู้แสนรู้ใจ ทว่าย้อนคิดให้ดี ในช่วงหลังมานี้ เขาและตฤณไม่ได้เสวนากันเลย แม้กระทั่งเวลาเข้าเลกเชอร์วิชาเดียวกัน ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจจากขอความช่วยเหลือทางโทรศัพท์เป็นมุ่งไปหาทายาทเจ้าพ่อเพื่อขอเจรจากันซึ่งหน้า

                   สถานที่ที่จะได้พบเจ้าหนุ่มเชื้อสายนักพนันตัวยงไม่ใช่คฤหาสน์หลังใหญ่ แต่เป็นกาสิโนใต้ดินที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนใจกลางกรุงที่มีระบบรักษาความปลอดภัยจากผู้รักษากฎหมายแน่นหนา แต่สำหรับคนที่ใช้หน้าเป็นใบผ่านทางอย่างเพื่อนสนิทของลูกชายเจ้าพ่อแล้ว เขาสามารถผ่านทุกด่านมาจนถึงด่านสุดท้ายอันเป็นประตูเข้าห้องทำงานสุดเอกซ์คลูซีฟของกาสิโนใต้ดิน

                   เมื่อแขกหนุ่มผลักประตูเข้าไปอย่างที่เคยทำ ก็พบว่าภายในนั้นมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนกำลังนั่งประชุมกันคล้ายกับอัศวินโต๊ะกลมในภาพยนตร์ โดยมีเตชิน เจ้าพ่อสายเลือดมังกรนั่งเป็นประธาน ส่วนลูกมังกรนั้นหรือ ปลีกวิเวกอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ตรงหน้าจอโทรทัศน์ขนาดมหึมาที่กำลังฉายภาพเกมการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญ ช่วงยิงลูกโทษเพื่อตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ โดยมีนางกระต่ายสาวสวยขาวอวบคอยป้อนน้ำป้อนขนมให้ไม่ขาดเคียงข้าง

                   “ตฤณ กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”

                   แต่ไร้เสียงขานรับจากเพื่อนสนิท แม้จะหันหน้ามามองก็ทำเหมือนไม่รับรู้ว่าเขายืนหัวโด่อยู่ด้านหลัง

                   “ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ ก็หันหน้ามามองกูหน่อย ไอ้มาเฟียอ่อนหัด”

                   นางกระต่ายหยุดป้อนขนมรสอร่อย เสียงพูดคุยของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมด้านหลังเงียบสนิท แล้วเพียงแค่ชั่วอึดลมหายใจ คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นไอ้มาเฟียอ่อนหัดก็ลุกพรวดขึ้นแล้วกระโจนเข้าใส่ผู้กล่าวหาจนหงายล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนกระชากคอเสื้อขึ้นแล้วยกหมัดขวาเตรียมกระแทกใส่หน้า

                   “แล้วมึงล่ะ ไอ้ลูกหมารับใช้สารวัตร ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นเพื่อน มึงก็ต้องจำได้ว่าวันนี้มีนัดดูบอลกับกูที่นี่ ไหนมึงบอกให้กูได้ยินเต็มสองหูทีว่า ไอ้คนที่กูเห็นมันเป็นเพื่อนลืมนัดกู!

                   “กูลืม”

                   ทายาทมาเฟียจึงประทานหมัดให้อย่างเต็มเหนี่ยวทันที

                   “มึงลืมนัดดูบอลกับกู กูอาจยกโทษให้ได้ แต่ที่มึงไม่ยืนข้างกูในวันที่กูได้แชมป์แข่งมอเตอร์ครอสวันนั้น มึงรู้มั้ยว่ากูเสียความรู้สึกแค่ไหน คนอย่างมึงไม่มีค่าพอจะให้กูเห็นเป็นเพื่อน!

                   ระพีพัฒน์เลียเลือดที่ริมฝีปาก ช่างเจ็บแสบสมกับความโกรธเกรี้ยวของตฤณที่ระบายออกมา แค่คำขอโทษคงไม่อาจลบล้างความผิดที่ทำไว้ และยอมรับว่าในใจตอนนี้มุ่งแต่อยากลบความผิดทางคดีอาญาที่ตัวเองก่อ แม้จะเป็นความผิดที่สารวัตรอนุโลมว่าทำไปโดยไม่ได้เจตนา แต่หากไม่ล้างประวัติตนให้ใสสะอาดแล้ว อนาคตของเขาก็มีมลทินตลอดไป

                   “กูขอโทษก็แล้วกัน” บอกแค่นั้นแล้วลุกขึ้น จ้องมองดวงตาเดือดดาลของอีกฝ่าย ไม่มีคำพูดอะไรให้อีกแล้ว จึงหมุนตัวเพื่อออกจากตรงนั้น ไม่หวังความช่วยเหลือ

                   “ไอ้มาเฟียอ่อนหัด!

                   นั่นไม่ใช่เสียงเขา ระพีพัฒน์หยุดขาแล้วหันกลับไปมอง เห็นเตชิน บิดาของตฤณผู้เป็นหัวหน้าองค์กรใต้ดินยืนส่งสายตาตำหนิ ก่อนเอ่ยคำพูดเข้มงวด

                   “เอ็งมันอ่อนหัดจริงอย่างที่ไอ้กลางมันว่า!

                   “ผมอ่อนหัดตรงไหน ตอนที่พ่อบินไปดูพื้นที่สร้างกาสิโนกับพี่ปราณ ผมก็เป็นคนดูแล เป็นคนคุมที่นี่!” ตฤณเถียงกลับด้วยเสียงดังปานกัน

                   เจ้าพ่อกาสิโนแสยะยิ้ม ยกสองแขนกางขึ้นแล้วหมุนไปรอบๆ “เอ็งดูสิว่าพ่ออยู่ท่ามกลางอะไร แล้วเอ็งน่ะอยู่ท่ามกลางอะไร”

                   ฝ่ายลูกชายไม่เข้าใจความหมายนัก กระทั่งผู้เป็นพ่อให้ความกระจ่างแก่ใจ “พ่ออยู่ท่ามกลางเพื่อน ท่ามกลางพี่น้องเหล่านี้ แล้วเราไม่ได้อยู่ข้างกันแค่ยามสุข แต่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันแม้ในยามทุกข์!

                   ตฤณปรายดวงตาเรียวไปทางระพีพัฒน์ แล้วยกมุมปากขึ้น ส่ายหน้านึกอยากด่าตัวเอง เพราะไม่สามารถหาคำพูดใดมาตอบกลับบิดาได้

                   ฝ่ายพ่อนั้นแวดล้อมไปด้วยพรรคพวกผู้ภักดี ส่วนเขาตอนนี้หรือ แม้แต่นางกระต่ายที่ป้อนขนมเอาใจก็หนีไปไหนแล้วไม่รู้ คำพูดของบิดาจึงคล้ายเป็นการคาดโทษไว้รอคำตัดสิน ว่าเขาคงไม่สามารถก้าวไปสู่ผู้นำของทุกคนได้ ถ้าไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมทั้งทุกข์และสุขกับเพื่อน

                   “ปกติกูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ เลยไม่ค่อยสันทัดอะไรที่มันทุกข์ใจเท่าไหร่...” ทายาทกาสิโนเปรยวาจา ซึ่งตฤณรู้ว่าระพีพัฒน์ฟังอยู่ “แต่กูจะยอมถ้ามันทำให้มึงกลับมายืนแท่นบัลลังก์ที่สองเพื่อดูกูครองถ้วยแชมป์”

                   ระพีพัฒน์คลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปขอบคุณเตชินทางสายตา แต่มาเฟียใหญ่กลับชี้นิ้วมาทางเขาแล้วสั่งเสียงเข้มใส่ว่า

                   “แต่ถ้าความทุกข์ของพวกเอ็งลากเจ้าสารวัตรอัชวินมาสร้างทุกข์ให้กาสิโนของข้า งานนี้ละ เอ็งทุกข์ไปตลอดกาลแน่ ไอ้หมารับใช้สารวัตร”

                   ยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ ก็มีแรงสั่นสะเทือนของเครื่องรับโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ระพีพัฒน์จึงหยิบขึ้นมาดูชื่อปลายสาย แล้วต้องเบ้ปากที่ยังเจ็บแสบจากการถูกต่อย เมื่อชื่อของสารวัตรอัชวินปรากฏชัดเต็มหน้าจอ จึงต้องออกจากกาสิโนในทันทีก่อนที่สารวัตรจะใช้ระบบติดตาม

                   พอเดินห่างจากดินแดนใต้ดินมาไกลพอ เขาจึงติดต่อกลับ ในใจก็คิดไว้ว่าจะบอกข่าวดีเรื่องเอื้อยอาจให้ความร่วมมือ

                   “สารวัตรครับ ผมมีข่าวดีจะบอก” ชายหนุ่มชิงพูดทันทีเมื่อปลายทางรับสาย

                   “แต่ฉันมีข่าวร้ายจะบอก” ทว่าปลายทางสวนกลับมาด้วยความรู้สึกตรงกันข้าม “เจ้าวายร้ายที่จะยิงเพลงพิณบนรถเมล์มัน...ตายแล้ว!

     

            ฝนหยาดสุดท้ายอำลาไปเมื่อแสงแรกแห่งอรุณทอตรงขอบฟ้า แต่พระพิรุณยังคงฝากความชุ่มฉ่ำไว้บนยอดหญ้าและผืนแผ่นดิน ทุกอย่างบนแผ่นดินนี้คงได้รับความสดชื่นกันถ้วนหน้า ตรงข้ามกับความรู้สึกแห้งเหี่ยวในหัวใจของชายหนุ่มที่ไม่อาจข่มตาหลับแล้วอดทนนอนฟังเสียงฝนและเสียงฟ้าดังครืนครางตลอดคืนจนถึงรุ่งสาง

                   เจ้าของร่างสูงชันตัวขึ้นนั่ง เมื่อหยีตามองไปทางประตูห้องนอนของคุณหมอใหญ่เจ้าบ้านยังปิดสนิท จึงลุกขึ้นเดินสำรวจรอบห้องรับแขก เห็นชั้นหนังสือวางเรียงรายตามกำแพง ซึ่งแต่ละเล่มล้วนเป็นเนื้อหาด้านการแพทย์ 

                   สายตาพลันสะดุดกับสันปกแฟ้มพลาสติกเล่มหนา ตรงสันของมันเขียนด้วยตัวหนังสืออ่านชัดเจนว่ารวมสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านเซลล์มะเร็ง จึงหยิบออกจากชั้น เห็นชื่อผู้รวบรวมเป็นคุณหมอใหญ่และหมอไหมแก้วก็คลี่ยิ้ม แล้วไล่เปิดอ่านด้วยความสนใจ แต่แล้วความเพลิดเพลินในเนื้อหาก็ถูกหยุดชะงัก เพราะมีหลายหน้าถูกฉีกหายไป

                   “ตื่นนานแล้วหรือคุณก้อง”

                   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณหมอใหญ่” ก้องปฐพีรีบเงยหน้าจากกระดาษแล้วกล่าวคำทักทาย

                   “ภรรยาผมคงกำลังจะเริ่มเตรียมอาหารเช้า คุณอยู่ทานด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปสิ”

                   “ผมไม่รบกวนดีกว่า แค่คุณหมอกับภรรยาให้ผมหลบซ่อนตัวที่นี่ก็เป็นการรบกวนมากพอแล้วครับ”

                   “ไม่รบกวนหรอก ภรรยาผมท่าจะชอบคุณมาก ชมคุณไม่ขาดปาก” คุณหมอใหญ่ยิ้มกว้าง แล้วพุ่งสายตามาที่แฟ้มในมือสถาปนิกหนุ่ม

                   “อ้าว นั่นแฟ้มวิจัยที่ผมกำลังหาให้เอกรัตน์ยืมนี่ มันอยู่ตรงนี้เองหรือ”

                   ก้องปฐพีอยากถามถึงหน้าที่ขาดไปตามสารบัญ แต่เสียงภรรยาของคุณหมอก็เรียกให้ไปร่วมโต๊ะอาหาร จึงส่งแฟ้มคืนให้แก่เจ้าของ

                   หลังถูกเลี้ยงดูจนอิ่มหนำ เขาก็จำต้องล่ำลาคุณหมอใหญ่ที่นอกจากใจดีให้เขาพักอาศัยในบ้านทั้งคืนพร้อมอาหารเช้าแสนอร่อยแล้ว ยังเด็ดมะลิวัลย์ช่อใหญ่ให้เขาไปเป็นของที่ระลึก

                   ทว่าก้องปฐพีนำช่อดอกไม้จิ๋วสีขาวมาวางไว้บนราวระเบียงชานบ้านพักของคุณหมอสาว แล้วเดินจากมาโดยรับรู้ว่าเจ้าของรถกระบะที่จอดทางเข้าบ้านพักยังคงอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเธอ

                   ขอแค่หวังให้เธอหลับสบายไม่ฝันร้ายก็พอ

                   เขาพยายามบอกตัวเองแบบนั้น แล้วลัดเลาะไปตามทางด้วยความระแวดระวัง แม้จะสวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มตัวใหญ่สุดที่คุณหมอผู้อารีเอื้อเฟื้อให้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตบตาคนที่จ้องปองร้ายได้ การพาตัวเองไปให้ถึงหมู่บ้านช้างแล้วซ่อมเจ้าแบล็กแบร์เพื่อซิ่งมันกลับบ้านจึงเป็นความคิดแรก คุณหมอสาวกับชาวบ้านจะได้ไม่เดือดร้อนเพราะเขา

                   และคนล่าสุดที่เขาได้ติดต่อไปก็คือปราณนารายณ์ โดยบอกเหตุผลที่หายจากการติดต่อไปว่า รถเสียหลักล้มแล้วโทรศัพท์ถูกกระแทกจนใช้การไม่ได้ จากนั้นฝากให้บอกธิดาว่าอย่ากังวล แล้วเขาจะติดต่อกลับไปพร้อมกับแบบแปลนใหม่ของเรือนที่จะฟื้นฟู

                   โชคดีที่เจ้าแก่ยังอยู่ดีมีสุขในที่จอดรถตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่ก็ยังมีความโชคร้ายในความโชคดี นั่นคือเขาลืมไปว่ากุญแจรถอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรดที่เขายอมตัดใจถอดทิ้งไปเมื่อคืน

                   แต่นั่นไม่ทำให้ชายหนุ่มสิ้นหวัง เขามองซ้ายมองขวาก่อนเดินตรงไปนั่งย่อเข่าข้างเจ้าแก่ แล้วขุดความรู้ข้างสนามแข่งมาใช้จนสามารถสตาร์ตรถรุ่นเก่าได้โดยไม่ใช้กุญแจ จากนั้นก็บิดแฮนด์เร่งความเร็วออกจากโรงพยาบาลทันที

                   ก้องปฐพีขับขี่ไปตามถนนที่ขนาบข้างด้วยทุ่งหญ้าป่าโปร่งเรื่อยไป สูดกลิ่นดินชื้นสดชื่นที่ยังกรุ่นในไออากาศเข้าปอด แต่ก็ไม่อาจทดแทนกลิ่นผมนุ่มหอมของคุณหมอสาวที่ยังติดอยู่ในหัวใจ

                   ปัง!

                   แต่เสียงปืนดังสนั่นทำลายความสงบของป่ากระตุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ฝันหวาน พอหันหลังไปยังทิศทางต้นกำเนิดเสียงปืนนั้น ก็สบถในใจแล้วรีบบิดเจ้าแก่เร่งความเร็วเต็มกำลังเท่าที่มันจะทำได้

                   ปัง!  

                   เจ้าของปืนยังคงไล่ยิงเขาจากรถกระบะคันโตไม่ลดละ ต่อให้ไม่เห็นหน้าค่าตา ก็มั่นใจว่าเป็นโจทก์เก่าที่ขนทั้งกำลังและอาวุธมาเพื่อชำระหนี้แค้น

                   ในเรื่องการแข่งความไวเขาไม่เป็นรองใครในสนาม แต่ถ้านอกสนามกับคู่แข่งที่มาพร้อมอาวุธครบมือแบบนี้ เห็นทีจะรอดยาก จะให้หักเลี้ยวเข้าป่าก็ยังทำไม่ได้เพราะข้างหนึ่งเป็นผาและอีกข้างเป็นสันดินภูเขา ยิ่งทางลาดชันแบบนี้ จะซิ่งเจ้าสองล้อของคุณหมอสาวหนีตาย อาจได้ตายก่อนเพราะกลิ้งตกเขา คิดไว้ในหัวว่าถ้ารอดจากความอาฆาตของคู่อริในครั้งนี้ได้ เขาจะถอยรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้คุณหมอ

                   ปัง!

                   ยังไม่ทันได้คิดว่าจะเลือกรุ่นไหนให้เธอดี ก็มีอีกหนึ่งนัดตามมา ก้องปฐพีบิดแฮนด์สุดแรง แต่ก็ไม่ได้เร็วไปกว่าเดิมเท่าไร แถมเสียงเครื่องยนต์ก็เริ่มดังแปลก ๆ คล้ายคนใกล้ตาย

                   “เล่นกูแล้วไหมล่ะเจ้าแก่” ชายหนุ่มสบถ

                   ปัง! ปัง!

                   พวกมันคงกะชำระหนี้ให้จบวันนี้ ถึงไม่ลดราวาศอกกันบ้าง และแม้ดวงเขาคงยังไม่ถึงฆาตจึงรอดจากลูกตะกั่วสองนัดซ้อนล่าสุดมาได้ แต่นัดต่อไป เขาจะตายเป็นผีสางเฝ้าป่าหรือไม่ คงต้องวัดใจกัน

    ปัง!

                   เดชะบุญที่สร้างมายังถูกดึงมาใช้ เขารอดจากนัดสุดท้ายมาได้จากการขับขี่ฉวัดเฉวียนตามประสบการณ์ แต่พอวิ่งเลยโค้งมา ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งพุ่งมอเตอร์ไซค์พรวดออกมาจากข้างทาง จนเขาต้องเบรกตัวโก่ง

                   “ไอ้โจรขโมยมอเตอร์ไซค์!” เด็กสาวชี้นิ้วว่ากล่าว มองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง “นายรู้ไหมว่ามอเตอร์ไซค์ที่ขโมยมาเป็นของใคร!

                   ก้องปฐพีหายใจเร็ว หันหน้ากลับไปมองเห็นว่าเจ้าโจทก์พวกนั้นยังไม่เลยโค้งมา จึงรีบตอบแล้วจะขับต่อ “ของคุณหมอไหมแก้ว”

                   แต่คุณเธอยังไถรถมาขวาง “รู้แล้วยังจะขโมย!

                   “ฉันไม่ได้ขโมย!

                   “ไอ้โจรหน้าด้าน หน้าตาดีเสียเปล่า นี่ถ้าฉันไม่ไปโรงพยาบาลแล้วเห็นกับตา เจ้าแก่ของคุณหมอมีหวังโดนชำแหละชิ้นส่วนแน่!

                   เสียงเครื่องยนต์รถกระบะดังใกล้เข้ามาแล้ว ก้องปฐพีจึงต้องตัดสินใจสักอย่าง เขาทิ้งเจ้าแก่ไว้ แล้ววาดขาขึ้นคร่อมนั่งซ้อนรถของเด็กสาวด้านหลัง จากนั้นเอื้อมสองแขนจับแฮนด์รถของเธอมั่น ส่วนเด็กสาวเจ้าของรถที่ถูกโอบล้อมก็กรีดร้องโวยวาย

                   “ไอ้บ้า ขโมยรถแล้วจะขโมยสวาทฉันด้วยหรือไง บอกไว้ก่อนนะว่า ถึงนายจะหล่อ ฉันก็ไม่ยอมเสียพรหมจารีให้โว้ย!

                   ปัง!

                   แล้วเสียงลั่นไกปืนก็หยุดเสียงกรีดร้องของเด็กสาวให้เงียบสนิท จนก้องปฐพีไม่แน่ใจว่าจะขอบคุณเจ้าของกระสุนนั่นดีหรือไม่

                   “ระหว่างเสียพรหมจารีกับเสียชีวิต เธอจะเลือกอะไร!

                   และไม่มีเวลาอธิบายอะไรอีก ก้องปฐพีบิดแฮนด์จนสุด ส่งผลให้รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วรอบสุด เสียงเครื่องยนต์แต่งแหลมเล็กดังสนั่นจนนกป่าแตกตื่นกระพือปีกบินฮือจากรัง ส่วนเสียงร้องปรอทแตกของเด็กสาวคนนี้ก็ดังลั่นไม่แพ้กัน

                   รถมอเตอร์ไซค์คันใหม่เครื่องยังดีเร่งความเร็วรอบได้อย่างใจก้องปฐพี เขาไม่แตะเบรกเลยแม้จะวิ่งลงเนินเขาที่เลี้ยวลดคดเคี้ยว และพอเข้าสู่ช่วงเนินที่ชันที่สุด เด็กสาวก็กรีดร้องราวกับเล่นเครื่องเล่นที่เสียวที่สุดในชีวิต

                   “คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย!

                   “จะร้องอะไรนักหนา ฉันเอาอยู่น่า!” ไม่ได้อยากโอ้อวด แต่เรื่องความชำนาญในการขับขี่มีมากพอจะช่วยแม่ลูกช้างตัวนี้ได้แน่

                   “เอาไม่อยู่ เอาไม่อยู่!” แต่เธอยังคงกรีดร้อง

                   “ก็บอกว่าเอาอยู่!” เขาย้ำให้เธอมั่นใจ แต่เมื่อเด็กสาวตะโกนประโยคต่อมา ระดับความมั่นใจของชายหนุ่มก็แตะพื้นดิน

                   “ก็รถของฉันมันเบรกไม่ดี๊!” บอกเสียงแหลมเล็กแล้วโหยหวนปานขาดใจ “แม่จ๋า รอรับวิญญาณอีตรีรัตน์ด้วยยย!






    ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านผลงานค่ะ

     สายอีบุ๊ก คลิกลิงก์ได้เลยค่ะ

    กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา


    ปรารถนาเพียงเธอ Love you so madly



    ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ
    ผลงานที่อัพจบแล้ว
    หัวใจเศรษฐี



    ผลงานที่กำลังอัพ
    สิ้นแสงสุรีย์




    อยากคุยกับไรท์ กดแอดเฟรนด์หรือกดติดตามเลยค่า
    https://www.facebook.com/mylifeiswritingmydream/


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×