คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ ๘ ฝันร้าย
บทที่ ๘
ฝันร้าย
ยามบ่ายคล้อยของวันอากาศอบอ้าว
เอกรัตน์วิ่งวนระหว่างเกษตรจังหวัดกับโรงพยาบาลเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องการเพาะพันธุ์สมุนไพร
หลังจากได้คำแนะนำเรื่องดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
ชายหนุ่มก็ลงความเห็นว่าที่ดินแปลงที่ดวงแขเคยกล่าวถึงช่างเหมาะเจาะที่สุด ราวกับพยาบาลวิชาชีพสาวผู้นั้นศึกษาค้นคว้ามาอย่างดี
“ดวงแขเขาก็เคยมาถามผมเหมือนกัน
เรื่องสมุนไพรป่าที่อยากนำมาทดลองปลูก”
คุณหมอใหญ่บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อได้ยินคำถามแรกของเขา
“แล้วดวงแขอยากปลูกอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มสนใจอยากรู้
“ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในรายการที่หมอไหมแก้วช่วยผมทำระเบียนไว้ในแฟ้มงานวิจัยนั่นแหละ
เขาว่าจะลองปลูกลงบนแปลงผักเล็ก ๆ ของเขา”
เอกรัตน์รับฟังเงียบ ๆ
แล้วชั่งใจว่าจะเล่าให้คุณหมอใหญ่ฟังเรื่องที่ดินแปลงนั้นดีหรือไม่ เพราะเกรงว่า
หากเล่าไปแล้วอาจทำให้ถูกเข้าใจไปว่าเขาใช้เงินในการแข่งขันหาเสียง แทนที่จะสู้กันด้วยความสามารถ
“อ้อ แล้วดวงแขเขาก็เคยมาขอยืมงานวิจัยของผมไปศึกษาด้วยเหมือนกัน”
“ดวงแขน่ะหรือครับ?”
“ใช่ ถ้าคุณสนใจอยากอ่าน
ไว้ผมจะเอามาให้ยืม”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยความยินดี หลังจากนั้นก็มีพยาบาลมาแจ้งนัดหมายคนไข้ เขาจึงล่ำลาคุณหมอใหญ่แล้วเดินทางออกจากโรงพยาบาล
เอกรัตน์มุ่งตรงสู่บ้านของตนอันเป็นสถานพำนักแห่งสุดท้ายของชีวิตในทุก
ๆ วัน แม้จะกลับไปพบกับความวุ่นวายหรือเหล่าสมุนนักเลงที่เดินกันขวักไขว่
แต่นั่นก็เป็นที่พักพิงให้กายและใจอันเหนื่อยล้ามาตลอดตั้งแต่เกิด
แม่จากเขาไปนานแล้วด้วยอุบัติเหตุ
ทิ้งเขาและน้องอีกสองชีวิตให้ทนอยู่กับความเหงาอ้างว้าง
หากจะรบเร้าให้บิดาหันมาดูแลทดแทนความอบอุ่นของมารดา เห็นทีว่าเขาคงได้จับปืนผาหน้าไม้แทนจอบเสียมซึ่งใช้ในหน้าที่นักพัฒนาที่ดินทำกิน
อาชีพที่บิดามองด้วยสายตาเหยียดอย่างเงียบ ๆ เขาจึงต้องเดินบนหนทางนี้ด้วยกำลังแรงและกำลังใจของตน
แล้วโชคชะตาก็พาเขามาพบไหมแก้ว
ในวันแรกที่เธอเข้ามารับตำแหน่งหมอประจำหมู่บ้านช้าง
ก็เหมือนกับเป็นวันแรกที่หัวใจเหี่ยวแห้งดั่งหญ้าคาได้รับหยาดน้ำฝนชโลมฉ่ำฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอดำเนินจากการเป็นเพื่อนร่วมงานจนไปสู่คู่รักที่มีเป้าหมายเดียวกัน
แม้ว่าคุณหมอสาวจะไม่อ่อนหวานอย่างสตรีอื่น
แต่ก็มีความเข้าใจให้เขาเสมอมา เว้นแต่เรื่องวิธีการทำให้ความฝันเป็นจริง
‘ถึงเราจะไม่มีอำนาจ
ไม่มีบารมี แต่เราก็มีความสามารถพอที่จะใช้มันทำอุดมการณ์ให้เป็นจริงได้’
เขาจำวรรคทองของเธอได้ขึ้นใจ
เธออาจมีความรู้ในวิชาชีพที่เธอเป็น
แต่เธอไม่รู้ว่ายังมีเครื่องมือที่หลายคนใช้พาไปถึงฝั่ง
ก็เปรียบได้กับเรือแจวใช้กำลังแรงพายพาเขาและเธอล่องไปตามธารฝัน
แต่เรือยนต์ไปได้ไกลและเร็วกว่ามากมายนัก
ยังไม่รวมถึงในตอนขึ้นฝั่งแล้วโดนปิดท่าเพื่อเรียกค่าผ่านทาง
เอกรัตน์ไม่อยากรอฟ้ารอฝน การก้าวเข้าสู่เวทีนักการเมืองท้องถิ่นจึงเป็นทางด่วนที่จะทำให้เขาและไหมแก้วลอยลำเข้าสู่ความสำเร็จ
เรื่องนี้เขาเรียนรู้จากบิดา
ที่มักใช้อำนาจและเงินเป็นเครื่องมือในทุกเรื่องที่ต้องการ มิเช่นนั้นแล้ว
บารมีของนายทรงชัยคงไม่แผ่กระจายไร้ผู้ใดทัดทาน แต่นั่นก็หลังจากการล่มสลายของอิทธิพลนายพนา
เพราะหากมหาโจรยังครองดินแดนตะวันตกอยู่ ต่อให้เป็นนักเลงใหญ่นักเลงโตแค่ไหน
ก็ต้องปิดประตูขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน
รถกระบะของชายหนุ่มแล่นเข้าสู่เรือนไม้สักขนาดใหญ่
สมุนของบิดาทั้งหลายที่สัญจรไปมาต่างทำความเคารพประมุขน้อยของบ้านก็ล้วนเป็นภาพชินตา
แต่สิ่งที่ผิดแผกไปคือรถยนต์สีดำยี่ห้อนำเข้าจากยุโรปคันนั้นจอดอยู่ในที่จอดของเขา
ซึ่งเป็นการบอกถึงกิตติมศักดิ์ของแขกรายนี้ได้ดี
ชายหนุ่มจึงรีบจอดรถแล้วเดินขึ้นบันไดของเรือนหลังใหญ่
ได้ยินเสียงหัวเราะของบิดาลอยมาตั้งแต่เท้ายังไม่ข้ามธรณีประตูดี
“ต่อให้ยากแค่ไหน
ผมก็ทำงานให้คุณสำเร็จ ของที่คุณนายบอกให้ปล่อยล่าสุดก็ถึงมือลูกค้า
รับรองว่าคุณไม่สามารถหาใครที่ไหนทำงานได้ดีไปกว่าผมแล้วในแถบตะวันตก”
คำพูดโอ้อวดนั้นไม่ได้เกินจริง เพราะในเวลานี้บิดาของเขาวางบารมีไว้ทั่วทุกหัวตำบล
ซึ่งก็อาจรวมถึงหัวคะแนนที่บิดาจ่ายเงินหนุนให้อย่างลับ ๆ แต่เอกรัตน์รู้การเคลื่อนไหวทุกอย่าง
และแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ ก็ไม่ได้ออกปากห้าม ด้วยเพราะในส่วนลึกของใจนั้นยังมีความต้องการเอาชนะคู่แข่งทุกคนเพื่อก้าวไปสู่ฝัน
“ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้รู้จักคุณนาย
และก็ขอบคุณแทนลูกชายด้วยสำหรับการสนับสนุนเงินหาเสียง น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่
ก็คงออกไปสร้างคะแนนนิยมเหมือนทุกวันนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินว่าถูกเอ่ยถึง
เอกรัตน์จึงก้าวขาเข้าไปที่กรอบประตูเพื่อลอบมอง เห็นใบหน้าอิ่มเอิบของบิดา ส่วนแขกของบ้านนั้นมีสองคน
คนที่ยืนอยู่เป็นชายฉกรรจ์ผมสีดำเหลือบน้ำเงินยาวรวบไว้ตรงท้ายทอย
สวมใส่แว่นตากันแดดและสวมชุดดำทั้งชุด
ส่วนอีกคนนั้นนั่งหันหลังให้ และถึงจะไม่เห็นใบหน้า
แต่เรือนผมยาวสีดำขลับดัดเป็นลอนตัดกับผิวขาวปานหยวกกล้วยที่เผยพ้นเสื้อคอปาดกว้าง
ก็เรียกสายตาของชายหนุ่มให้จ้องมองความนวลเนียนของผิวพรรณไม่วางตา และเขาอาจแสร้งยังไม่กลับตามที่บิดาเอ่ยไว้ได้
ถ้าเด็กรับใช้ไม่ยกถาดน้ำดื่มเข้ามาแล้วเกิดเสียงแก้วกระทบกับถาด จนสายตาไวของบิดากวาดมาเจอ
“อ้าว นั่นไง พูดถึงก็มาเลย”
การถูกจับได้อาจไม่ทำให้เอกรัตน์ตื่นตระหนก
แต่เมื่อแขกสาวผู้นั้นเอี้ยวใบหน้ามา ก็คล้ายกับหยุดทุกความเคลื่อนไหวรอบกายชายหนุ่ม
แม้แต่ลมหายใจก็ขาดช่วงไปราวกับถูกดูดกลืนหายไปในดวงตาแสนงามคู่นั้น
“มาทำความรู้จักคุณนายดาราเสียสิ”
เสียงของบิดากระตุกขาให้ก้าวเดินเข้าไปยืนน้อมศีรษะพร้อมกับยกมือขึ้นประนมแนบอก
ก่อนกล่าวคำทักทาย “สวัสดีครับ ผมเอกรัตน์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“สวัสดีค่ะ...คุณเอกรัตน์”
คล้ายกับชื่อของเขาถูกเปล่งอย่างชัดถ้อยชัดคำ
แต่นั่นไม่สะกิดความรู้สึกได้มากเท่ากับเรียวปากอิ่มสีแดงสดที่แย้มรอยยิ้มน่าประทับใจ
จนเขาจับความประหม่าในเสียงพูดของตนได้ชัดเจน
“ผม...ผมได้ยินเรื่องของคุณนายดาราจากพ่อแล้ว
ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนให้เป็นผู้นำชุมชน
แต่ถ้าผมทำให้คุณนายผิดหวังก็ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วย”
“คุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”
เธอเปล่งเสียงเรียบ แต่ทรงพลัง ขัดกับใบหน้าสวยหวานและเรือนร่างกลมกลึงแบบอิสตรี
“แกควรพูดว่าผมจะตอบแทนน้ำใจของคุณนายให้ถึงที่สุดหากผมชนะ
ถึงจะถูก” บิดาของเขากล่าวแทรกแล้วหัวเราะเสียงดัง
คุณนายสาวคลี่ยิ้ม จ้องใบหน้าเขาแน่วนิ่ง
“ฉันก็หวังว่าจะได้รับการตอบแทนที่สาสม” จากนั้นเบนสายตาไปทางนักเลงใหญ่
“คุณทรงชัยคงไม่ว่าอะไร
ถ้าฉันอยากหาโอกาสนัดทานข้าวเพื่อคุยเกี่ยวกับนโยบายกับคุณเอกรัตน์”
“ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธนี่ครับ
ใช่ไหมเอกรัตน์”
ทว่าเอกรัตน์ได้แต่อ้ำอึ้ง
ยืนนิ่งเฉยมองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยความอ่อนวัยที่ไม่น่าต่างจากเขามากนัก
แต่ทำไมถึงมีเงินทองมหาศาลขนาดเป็นเจ้าของกิจการผับในเมืองกรุง และในนาทีนั้น คล้ายกับร่างงามถูกโปรแกรมมาให้ได้รับการปกป้อง
ชายฉกรรจ์ในชุดดำจึงเคลื่อนตัวมาบดบังตัวเธอไว้จนมิด
“ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อน
แล้วนายสำริดจะเป็นผู้ติดต่อมอบงานให้เหมือนทุกครั้ง” จากนั้นคุณนายสาวลุกขึ้น ลอบส่งสายตามาให้เอกรัตน์ในแบบที่ปลุกปั่นเลือดในกายหนุ่มให้ร้อนผ่าว
ก่อนเดินนวยนาดนำคนของเธอออกจากเรือนไป
“ผู้หญิงคนนี้เหมือนกุหลาบ
สวยแต่มีหนามแหลมคม”
บิดาของเขากล่าวลับหลังแขกสำคัญในตอนที่มองรถสีดำคันนั้นเคลื่อนตัวออกจากอาณาเขตบ้าน
“ไม่...เธอไม่ได้เหมือนกุหลาบ” เอกรัตน์แย้งเสียงเบาคล้ายรำพึง
เพราะกุหลาบอาจถือว่าเป็นราชินีแห่งมวลดอกไม้
แต่สำหรับหญิงสาวที่เพิ่งทิ้งสายตาแห่งแรงปรารถนาให้เขาแล้วจากไป
เธอวางท่าดั่งเป็นราชินีของทุกคน และแววตาหมายมั่นคู่นั้นมีความต้องการแรงกล้าในบางอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจ
บนโขดหินในม่านน้ำตกสีรุ้ง
มีเงาของสองร่างแบ่งปันไออุ่นโอบกอดรัดรึงและขยับเคลื่อนไหวอ่อนพลิ้ว
คล้ายดั่งผีเสื้อร่ายรำบทเพลงรัก ส่วนเธอนั้นยืนแข็งทื่อ ลอบมองชายคนรักเสพสมกับผู้ช่วยที่เธอทั้งรักและเอ็นดูปานน้องสาว
นังงูร้าย คำแรกที่ผุดขึ้นมากลางใจ แต่ไม่อาจเอ่ยออกไป
เขาก็ร้ายเหมือนงูเห่า คำที่สองสะท้อนก้องในหัวไม่ห่างกัน
‘ฉันขอร้องนะคุณหมอ
อย่าให้ดวงแขมันอับอายท้องไม่มีพ่อเลย’ คำกล่าวของนางลาโพที่พร่ำพูดพลางก้มกราบเท้าเธอในวันก่อนเป็นความจริง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอคนนั้นฝังเขี้ยวก่อนปล่อยพิษให้แทรกซึมสู่หัวใจของเธอโดยไม่รู้ตัว
และกี่ครั้งแล้วที่เขาลอบสมสู่กับหญิงอื่นทั้ง ๆ ที่กำลังจะแต่งงานกับเธอ
สุดท้าย
ความรักกับความเชื่อใจที่สะสมทีละเล็กทีละน้อยก็แตกออกเป็นเสี่ยง ณ
วินาทีที่เห็นภาพบาดใจ
‘ฉันจะหลีกทางให้
แล้วจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้’ เธอยืดคอ
เปล่งเสียงแข็งลอดไรฟัน สะกดกลั้นไฟแค้นที่สุมอกจนร้อนรุ่ม
แล้วยื่นคำขาดไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ‘ถ้าอยากให้เขาตบแต่งกับดวงแขตามประเพณี
ก็ขอให้ป้าลาโพไปบอกกับนายทรงชัยเองเถอะ’
ความเจ็บปวดจากแผลทางกาย
เธอรู้ว่าจะรักษาด้วยยาขนานใด แต่ความเจ็บปวดในหัวใจนั้น
แผลมันลึกสุดหยั่งอย่างไม่มียาวิเศษใดมาสมานแผลใจได้
น่ายินดีที่นายทรงชัยรับปากส่งขบวนขันหมากมารับสะใภ้ที่ท้องก่อนแต่ง
แต่เธอไม่ขอไปร่วมงาน
และไม่ขอเจอหน้าใคร ไม่ว่าจะเป็นยายก่อพอ ผู้ใหญ่บ้าน
หรือแม้แต่เสียงของหญิงสาวผู้ช่วยที่ตะโกนเรียกหาหน้าประตูเรือนในคืนส่งตัวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
‘คุณหมอไหมแก้ว
เปิดประตูให้ฉันที’
‘ไปซะดวงแข
ไปเตรียมตัวรับขบวนขันหมากจากเอกรัตน์เสียเถอะ’
เธอขับไล่ด้วยเสียงโกรธขึ้ง
‘คุณหมอไหมแก้ว
ฉันไม่ใช่...’
‘บอกว่าให้ไป ไปจากชีวิตฉัน นังงูพิษ!’
เพียงไม่กี่วินาที เสียงเรียกด้านนอกหายเงียบไปแล้ว
เหลือแต่เสียงน้ำตาของเธอที่คร่ำครวญออกมาดัง ๆ
จนได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนเรียกพร้อมกับเคาะประตูแรงจนผนังสะเทือน เธอจึงปาดน้ำตา
เดินไปเปิดประตู แล้วก็พบกับชายแปลกหน้าผู้หนึ่งยืนมองด้วยดวงตาวาว
‘มีคนถูกทำร้ายบาดเจ็บในป่า คุณหมอไปดูเขาหน่อย’
ด้วยวิญญาณของวิชาชีพ
ไหมแก้วจะเดินกลับไปคว้ากระเป๋าแพทย์ เตรียมทุกอย่างให้ครบ แต่เธอกลับถูกชายผู้นั้นฉุดแขนแล้วบอกว่าไม่มีเวลาพอ ก่อนลากพาเธอไปยังป่าหลังหมู่บ้านกะเหรี่ยงอย่างร้อนรน
แล้วภาพทุกอย่างที่ปรากฏก็สั่นสะเทือนหัวอกจนเจ็บปวด
เธอเห็นภาพการทารุณทางเพศ
เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน เห็นน้ำตาของหญิงสาว เห็นร่างเปื้อนเลือดสด เห็นดวงตาของความเคียดแค้น
แต่แล้วทุกภาพก็สลายไปในความมืด
ครืนนน!!!
เปรี้ยงงง!!!
แสงสว่างวาบทำให้ดวงตาพร่ามัว
หัวใจของเธอเต้นแรงจนคล้ายมันอยากกระโดดออกจากอก เมื่อมีลำแสงจากเบื้องบนพุ่งดิ่งลงมาบนร่างของหญิงชรา
เสียงสายฟ้าดังก้องไปทั่วแผ่นดิน เสียงกรีดร้องโหยหวนแหลมเล็กของหญิงชราก็เหมือนมีดกรีดหัวใจ
ร่างของนางลาโพดิ้นพล่าน มีเลือดไหลออกทุกทวาร เส้นประสาททุกสรรพางค์กระตุกสั่น
ผิวหนังไหม้เกรียม
เปรี้ยงงง!!!
‘กรี๊ด!!!’
หญิงสาวกรีดร้องยกมือปิดหู
‘กรี๊ด!!!’
เธอเห็นดวงตาถลนของนางลาโพปรากฏอยู่ตรงหน้า
จึงกรีดร้องยกมือป่ายปัดให้ภาพลวงตานั้นสลายไป
แต่คล้ายกับกลายเป็นการกวักมือเรียกให้ความน่าสะพรึงเคลื่อนเข้าใกล้
‘กรี๊ด กรี๊ด!!!’ ไหมแก้ววิ่งหนีสุดชีวิต
เปรี้ยงงง!!!
แต่แล้วก็สะดุ้งตัวโยนไขว่คว้าหาที่กำบัง
แต่ในความมืดนั้นมองไม่เห็นสิ่งใดเลย เธอร้องไห้ลนลาน ตะโกนขอความช่วยเหลือ
เปรี้ยงงง!!!
สายฟ้าฟาดลงอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้มันกระหน่ำลงบนตัวเธอ ร้อนแรงจนผิวหมกไหม้ แบมือตัวเองดูเห็นเนื้อละลายเหลวเป็นแผลเหวอะ
แต่ในแผลนั้น เธอจ้องมองลึกลงไป มีดวงตาถลนปูดโปนคู่เดิมแทรกตัวออกมาจากผิวบนฝ่ามือ
แล้วจับจ้องมองเธอด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
‘ กรี๊ด!!!’
“คุณหมอ คุณหมอ” เสียงของใครคนหนึ่งเรียกชื่อเธอ
“คุณหมอแค่ฝันไป มันเป็นแค่ฝัน”
มีเสียงนุ่มอ่อนโยนปลอบประโลมข้างหู
จิตของคุณหมอสาวจึงค่อย ๆ รับรู้
เปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้นตื่นจากความฝัน แต่เสียงฝนกระหน่ำฟ้าคำรามข้างนอกนั้นเป็นของจริง
และอ้อมกอดอุ่นนี้ก็เป็นของจริงเช่นกัน
“คุณก้อง”
ไหมแก้วเปล่งชื่อชายหนุ่มเจ้าของวงแขนแกร่งที่โอบกอดตัวเธอไว้
แล้วกวาดตามองโดยรอบเพื่อระลึกความทรงจำหลังจากเขามาส่งเธอถึงโรงพยาบาล
การรักษาไม่ยุ่งยากซับซ้อนเพราะเจ้างูตัวนั้นไม่มีพิษร้ายแรงมากมายนัก
แค่ล้างบาดแผลและให้ยาตามอาการก็กลับบ้านได้ แต่นายสถาปนิกหนุ่มยืนยันขอให้นอนโรงพยาบาลสักคืน
เธอจึงให้เขาพามาพักที่บ้านพักแพทย์แทนการใช้ห้องที่ควรจะเป็นของประชาชน
“ฉันนึกว่าคุณกลับไปแล้วเสียอีก”
“ผมก็คิดว่าจะทำแบบนั้น
แต่พอรู้ตัวอีกทีก็นอนเฝ้าคุณหมอบนพื้นข้างเตียง” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว คลายวงแขนที่กอดรัดแน่นก่อนหน้าออกพอหลวมๆ
แต่พอมีแสงฟ้าแลบก็รัดกอดแน่นอีกครั้งในตอนที่ร่างบอบบางสะดุ้งตัวโยน
“เป็นเพราะฝันร้ายเลยทำให้คุณหมอกลัวฟ้าผ่า
หรือเพราะฟ้าผ่าคุณหมอถึงฝันร้าย”
ไหมแก้วเม้มปากไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องในฝัน
แต่พอวงแขนกระชับแน่นเข้า เธอก็ต่อว่าเขาเสียงขุ่น “คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ
แล้วก็ปล่อยฉันเสียที”
เขาหัวเราะในลำคอ “ผมจำเป็นต้องรู้
ถ้าเป็นเพราะอย่างแรก ผมจะปล่อยให้คุณหมอนอนต่อ แต่ถ้าเป็นเพราะอย่างหลัง
ผมคงสะดุ้งตื่นมากอดคุณหมอไว้ทั้งคืน”
ไหมแก้วตอบตัวเองไม่ถูกเช่นกันว่าอาการกลัวฟ้าผ่าของเธอมาจากฝันร้าย
หรือที่มักฝันร้ายถึงคืนแสนน่ากลัวนั้นเป็นเพราะฟ้าผ่า
แต่ถ้าให้ไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ มันมีเหตุผลที่ดึงเธอเข้าสู่ภวังค์ความกลัวทั้งสอง
ที่ไม่ใช่ทั้งฝันร้ายและไม่ใช่ทั้งฟ้าผ่า
“บอกผมมาสิว่าอย่างไหน”
ยิ่งเธอหน่วงเวลาให้คำตอบ
เขาก็ยิ่งแนบตัวเองกับแผ่นหลังเธอให้ชิดสนิทมากขึ้นเท่านั้น นึกอยากตำหนิเขาเรื่องการทำตัวลามปาม
ถือวิสาสะใช้ความกลัวของเธอเป็นเครื่องต่อรอง
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
จึงเลือกตอบให้ตรงความรู้สึก แต่ก็ไม่อาจเล่าความจริงให้เขารู้ได้
“แล้วมันคืออะไร
คุณหมอบอกผมได้หรือเปล่า”
“ปล่อยฉันเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ” เธอเลี่ยงการตอบคำถาม
แต่พอหันหน้าไปก็ยังเจอแววตาใสซื่อ ทำเป็นไม่รู้ความ
แถมลำแขนนั้นก็ขยับแน่นขึ้นกว่าเดิม จึงหยิกเข้าที่ต้นแขนเต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแบบไม่ยั้งแรง
“โอ๊ย คุณหมอ หยิกผมทำไมเนี่ย!”
แล้วก็คงเจ็บพอดู เพราะเขาร้องเสียขนาดนั้น
“ก็เป็นการยืนยันว่าฉันไม่ได้ฝันอยู่”
“เขามีแต่หยิกแก้มตัวเองนะครับคุณหมอ”
เขาคลายอ้อมแขนจากตัวเธอ บ่นอุบอิบพลางลูบผิวเนื้อตรงที่ถูกหยิกป้อย ๆ
แต่แล้วไหมแก้วก็สังเกตเห็นว่าเขายังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน
และแค่ชั่วอึดใจเดียวแก้มของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นทันควัน
“นี่ยังไม่มีใครหาเสื้อผ้าให้คุณใส่อีกหรือ!”
ก้องปฐพีไหวไหล่
“ก็มีแต่เสื้อผู้ป่วย แต่ผมไม่เอาเพราะผมไม่อยากให้เขาสิ้นเปลือง”
“คุณก็เลยให้ฉันเปลืองเนื้อเปลืองตัวด้วยการกอดฉันโดยไม่ใส่เสื้อแทนอย่างนั้นสิ”
“อ้าว ดูสิ ผมทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ”
แล้วเขาก็ส่งสายตาค้อนให้เธอ ตามด้วยการบ่นอย่างกับหมีกินผึ้ง “คนเขาก็เป็นห่วง
นอนเฝ้าทั้งคืน หนาวก็หนาว ผ้าห่มสักผืนก็ไม่มีห่ม ถ้าผมเป็นปอดบวมละก็
คุณหมอต้องรับผิดชอบ”
ไหมแก้วจึงอมยิ้ม แล้วบอกเขาไปว่า
“ขอบคุณนะคะ ทั้งเรื่องพาฉันมาโรงพยาบาล ทั้งเรื่องนอนเฝ้าอาการ แล้วก็เรื่องที่ช่วยปลอบฉันจากฝันร้าย”
เธอหยุดคำพูดไว้เพราะรู้สึกหัวใจเต้นตามอาการขัดเขิน “หายโกรธฉันเถอะนะ”
มุมปากหยักเริ่มทำองศาเป็นรอยยิ้ม แต่เขาควรจะลงจากเตียงไปนอนบนพื้นได้แล้ว
ไม่ใช่เขยิบเข้ามาหาแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้ เอ่ยด้วยประโยคแสนกวน
“ไม่หาย
ถ้าคุณหมอไม่เล่าความฝันให้ผมฟัง”
“แล้วถ้าฉันไม่เล่า?”
คุณหมอสาวนึกอยากท้าทาย
“ก็หมายความว่าคุณหมออยากให้ผู้ชายหล่อ
ๆ อย่างผมกอดทั้งคืน”
“ผู้ชายอะไรหน้าไม่อาย ชมตัวเองก็ได้
แถมยังชอบฉวยโอกาส” เธอย่นจมูกใส่
“ตอบ...ผู้ชายหน้าด้านที่มั่นใจในตัวเอง
แล้วก็ชอบพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส”
ไหมแก้วเผลอหัวเราะขบขัน
ก็ที่เธอพูดไปน่ะ ตั้งใจประชด ใช่ประโยคคำถามเสียที่ไหนกัน
“กวนนักนะ”
ปากหยักคลี่ยิ้มบาง
จับจ้องเธอด้วยดวงตาสีนิลเป็นประกาย
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเคลื่อนเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น
“คุณหมอได้ยินเสียงฟ้าร้องข้างนอกไหม
มันจะทำให้คุณหมอหลับพร้อมกับฝันร้ายอีกหรือเปล่า”
หัวใจของเธอเต้นแรง
เปล่งคำพูดเสียงแผ่วเบา “ฉันได้ยินเสียงฟ้าร้อง...แต่”
ดวงตาคมสีนิลจับจ้องรอคำตอบ
หัวใจของเธอก็สั่นเมื่อความรู้สึกในตอนนั้นกำลังสั่งให้เธอบอก
“ฉันไม่อยากนอนพร้อมกับฝันร้าย...ไม่อยากอีกแล้ว”
“คุณหมอ...” เขาเรียกเธอคล้ายรำพึง
มองเธอด้วยสายตาแสนหวานหยดงดงามประหลาดล้ำ ก่อนวาดวงแขนล้อมรอบร่างบอบบาง
เอ่ยคำหยอกเย้าแหย่หัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำของคุณหมอสาว “คืนนี้ทั้งคืน
ผมก็คงไม่ได้นอน”
สองลำแขนโอบรัดกดแผ่นหลังของเธอให้โน้มตัวแนบกับแผ่นอกกว้าง
ไหมแก้วทั้งสัมผัสทั้งได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะภายใน เป็นเสียงทุ้มฟังไพเราะและบ่งบอกถึงความมีชีวิตที่เปี่ยมพลัง
หรืออาจเป็นเพลงกล่อมให้เธอผ่อนคลายคล้ายเด็กน้อยในครรภ์มารดา ไหมแก้วจึงค่อย ๆ
ปิดเปลือกตาลงด้วยความมั่นใจว่า เขาจะกอดเธอไว้ให้หายจากฝันร้ายทั้งคืน
“ไหมแก้ว!”
เสียงเรียกนั้นทำให้ไหมแก้วลืมตาหันไปมองทันที
“เอก!”
แล้วแขกที่มาอย่างไม่คาดคิดก็พุ่งทะยานเข้ามาฉุดแขนเธอขึ้น
ก่อนส่งหมัดอัดใบหน้าของนายสถาปนิกหนุ่มเต็มแรง
“แกทำอะไรไหมแก้ว!”
ก้องปฐพีแลบลิ้นเลียเลือดจากรอยแตกที่ริมฝีปาก
แล้วตอบไปว่า “กอด”
“ไอ้ระยำ!”
เอกรัตน์โกรธจนคลุ้มคลั่ง หมายก้าวเข้าไปซัดหมัดอีกครั้งให้สาแก่ใจ
“หยุดนะเอก!” เสียงห้ามของเธอหยุดหมัดที่ง้างสูงเตรียมพุ่งใส่หน้าของคนที่ยังนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าเอกลดอารมณ์โทสะแล้วฟังไหม เอกจะยังคุยกับไหมได้ต่อ
แต่ถ้าใช้ความรุนแรงเหมือนกับพ่อของเอกละก็ เราสองคนจะเป็นอะไรกันไม่ได้แม้กระทั่งเพื่อน!”
เอกรัตน์ขบกรามจนเส้นเลือดโป่งนูน
หายใจหอบสะท้านหลายนาทีจนกำปั้นในอากาศลดความสูงลงข้างตัว
“คุณกลับไปก่อน”
แล้วคุณหมอสาวก็ออกคำสั่ง แต่คนที่เป็นเป้าหมายยังนั่งนิ่งเฉย
จึงต้องจำใจหันหน้าไปมอง “คุณก้อง คุณกลับไปเถอะค่ะ เอกรัตน์อยู่กับฉันแล้ว
ไม่ต้องเป็นห่วง”
เจ้าของร่างสูงลุกขึ้น
แล้วเดินผ่านเธอออกไปโดยไร้คำพูด ไม่มีการตอบโต้ แปลกในความรู้สึกของคุณหมอสาว ที่เธอคาดหวังให้เขาแสดงอาการกวนอย่างเคยมากกว่ามองเธอด้วยดวงตาว่างเปล่า
เสียงโต้เถียงด้านในบ้านพักแพทย์ยังดังตลอดเวลา
และแม้เขาจะยอมออกมาตามคำพูดของคุณหมอสาว แต่ก็ยังยืนใต้ชายคาเพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะไม่เป็นไร
จนกระทั่งเสียงโต้เถียงด้านในเงียบลง
ก็เท่ากับเขาควรออกไปจากที่ตรงนี้
แต่ฉับพลันในตอนนั้นมีเสียงผิดแปลกดังจากพุ่มไม้ทางเข้าบ้านพัก เรียกชายหนุ่มออกจากภวังค์ความรู้สึก
แม้มีสายลมพัดโบก แต่ก็เป็นกำลังลมระดับที่ไม่อาจขยับเขยื้อนกิ่งไม้ใหญ่ให้ไหวได้ ลางบอกเหตุชายหนุ่มจึงเริ่มทำงาน
ก้องปฐพีเอี้ยวตัวหันหน้าไปทางเรือนพักแสนเงียบสนิท
แล้วคิดว่าต้องพาตัวเองไปจากตรงนี้ก่อนเกิดเหตุอะไรไปรบกวนความปลอดภัยของคุณหมอสาว
เขาเลือกใช้ทางด้านหลังที่อับแสงไฟ
อาศัยเงาไม้หลบลี้หนีจากใครก็ตามที่คิดตามล่าทำร้าย พอย่างกรายเข้าสู่เรือนถัดไป ก็ฉวยได้เครื่องแบบแพทย์ที่ตากหลบฝนใต้ชายคามาผลัดเปลี่ยนชุด
แล้วซุกกางเกงของตนไว้ใต้พุ่มไม้
จากนั้นเดินวกกลับไปเส้นทางด้านหน้า
กวาดสายตาเห็นรถกระบะคันที่เคยไล่ยิงซ่อนตัวเนียนใต้โรงจอดรถกู้ภัยคันเก่าซอมซ่อ
แต่เพราะมองไม่เห็นตัวคน จึงตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในเขตบ้านพักแพทย์ดีกว่าเดินย้อนเข้าไปโรงพยาบาล
กริ๊ง ๆ
มีเสียงกระดิ่งจักรยานดังจากด้านหลัง
แต่ชายหนุ่มผู้กำลังปลอมแปลงเป็นหมอไม่หันกลับไปมอง จนเสียงล้อจักรยานเข้ามาใกล้
“เพิ่งได้กลับหรือ ให้ผมไปส่งคุณไหม”
คำเสนอมาพร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมความกรุณาจากคุณหมออาวุโสที่ชะลอความเร็วจักรยาน
แต่เมื่อเขาหันหน้าไปหา ดวงตาการุณย์ของคุณหมอท่านนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย
“คุณมาประจำที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
ทำไมผมไม่คุ้นหน้า”
ก้องปฐพีไม่ตอบคำถามอะไร
เพราะเห็นใครผู้หนึ่งเดินดุ่ม ๆ ตรงมาที่ปลายสายตา จึงรีบขึ้นคร่อมซ้อนท้าย
“เพิ่งมาวันนี้แหละครับ ผมมีเรื่องจะถามเกี่ยวกับที่นี่เยอะเลย
พาผมไปคุยที่บ้านคุณหมอก่อนได้ไหมครับ”
เขารวบหัวรวบหางโดยไม่ได้ถามความสะดวกใจ
แต่คุณหมอท่านนี้ก็สนองกลับด้วยเสียงหัวเราะ “ได้สิ แต่พอถึงบ้าน ผมต้องเป็นฝ่ายถามก่อนนะ”
จากนั้นก็ถีบจักรยานพาเขาตรงลึกเข้าสู่เขตบ้านพักที่ดูปลอดภัยมากกว่าส่วนหน้าที่ไร้คนพักอาศัย
ซึ่งบ้านพักของแพทย์อาวุโสหลังที่เขามาขอรบกวนนั้นสว่างไสวด้วยไฟห้อยระย้าสีเหลืองนวลจากฝ้าชายคาเรือน
และตรงซุ้มทางเข้าตัวบ้านมีไม้เลื้อยขึ้นเกี่ยวพันไปตามโครงเหล็กดัดโค้ง
ส่งกลิ่นหอมจรุงแทรกตัวในความชื้นของอากาศหลังฝนตก
“ต้นมะลิวัลย์น่ะ ภรรยาของผมชอบมาก
เธอรักของเธอ ฟูมฟักมาตั้งแต่มันสูงไม่ถึงเข่าผม”
หมออาวุโสกล่าวพลางเดินนำเขาขึ้นบันไดของเรือนที่ยกสูงจากพื้นเพียงเล็กน้อย
แล้วหันมาโยนคำถามแรกให้เขา
“หวังว่าความหอมหวานของมันจะไม่ทำลายประสาทรับกลิ่นของคุณนะ”
“ไม่ครับ...คุณแม่ของผมก็ชอบต้นมะลิ
ได้กลิ่นหอมของมันตั้งแต่ผมยังตัวสูงไม่ถึงเข่าคุณหมอ”
คุณหมอหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
แล้วเรียกหาภรรยาของตน บอกให้รู้ว่าคืนนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยียน
โดยชายหนุ่มถูกต้อนรับราวกับเป็นแขกพิเศษด้วยโซฟาตัวสบายกับชาสมุนไพรกลิ่นละมุน
“คราวนี้บอกผมได้หรือยังว่าคุณเป็นใคร
แล้วทำไมถึงไปเอาชุดของนายแพทย์คนนี้มาใส่ได้”
นี่คงเป็นคำถามที่สองของคุณหมอท่านนี้
ก้องปฐพีจิบชาอุ่นให้ร่างกายผ่อนคลายแล้ววางแก้วลงเพื่อเริ่มต้นเล่า
“ผมชื่อก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา มาจากบริษัทชลธารคอนสตรักชัน”
“อ้อ
บริษัทที่จะมาฟื้นฟูหมู่บ้านช้าง”
“ใช่ครับ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เมื่อเย็นวาน ผมกับคุณหมอไหมแก้วไปเที่ยวน้ำตก แล้วเธอถูกงูกัด
ผมเลยพามาโรงพยาบาล จริง ๆ แพทย์ผู้ตรวจบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
แต่ผมไม่วางใจอยากให้เธออยู่ใกล้หมอ เอ่อ...ถึงเธอจะเป็นหมอก็เถอะ
คุณหมอไหมแก้วไม่อยากรบกวนห้องพักที่มีน้อยอยู่แล้ว เธอเลยให้ผม...”
“พาเธอไปพักที่บ้านพักแพทย์”
คุณหมอตอบแทนทันที แล้วเป็นฝ่ายอธิบายบ้าง “ผมก็รู้ข่าวจากแพทย์คนนั้น แล้วก็เลยโทร.บอกเอกรัตน์ให้ไปช่วยดูแล
เพราะบ้านพักแถบนั้นไม่มีใครอาศัย น้องไหมอยู่ตัวคนเดียวจะอันตรายเกินไป”
ก้องปฐพีร้องอ๋อในใจ เมื่อรู้ว่าคนที่ส่งนายแว่นเจ้าของหมัดกระแทกปากเขาเป็นใคร
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะลุกขึ้นโวยวาย
บางทีนายแว่นหน้าจืดนั่นอาจปกป้องเธอได้ดีกว่าเขาที่กำลังถูกหมายหัว
“ตอนที่ผมออกจากบ้านพักของเธอ
ผมรู้สึกว่ามีคนตามทำร้ายผม พอหลบเลี่ยงหาที่ซ่อน ก็ไปเจอเสื้อแพทย์ที่แขวนตากไว้
เลยหยิบมาใช้ปลอมตัว”
แล้วเล่าต่อถึงที่มาที่ไปของเสื้อคลุมสีขาวกับกางเกงสีเดียวกัน
คุณหมอเจ้าบ้านส่งเสียงหัวเราะจนตาหยี
ริ้วรอยของวัยลึกขึ้นชัดเจน
แต่ผิวหน้ายังเปล่งปลั่งมีราศีอย่างผู้อาวุโสที่มีแต่คนนับถือ
“แล้วดันไปเจอชุดแพทย์ของหมอที่รักษาไหมแก้วนี่สิ
ขาเขาไม่ยาวเท่าคุณหรอก มันก็เลยสั้นเต่อเสียขนาดนี้ แต่เอาเถอะ
ผมจะเก็บเป็นความลับให้ ไม่บอกเขาก็แล้วกัน แต่คุณต้องบอกผมว่าคนที่คิดทำร้ายคุณเป็นใคร
เพราะถึงขนาดตามเข้ามาในเขตพักอาศัยของแพทย์แบบนี้ ก็ดูจะเหิมเกริมเกินไปมาก”
ก้องปฐพีลังเลใจที่จะพูด
แต่สายตามากประสบการณ์ที่มองมาก็คาดคั้นเอาคำตอบ “เด็กวัยรุ่นที่ชื่อทวีรัตน์”
รอยยิ้มของคุณหมอหุบลงเล็กน้อย
“ทวีรัตน์แค่ตัวลูก แต่ผมว่าที่คุณเผชิญอยู่น่ะเป็นตัวพ่อ”
ก้องปฐพีเงียบงันไปชั่วครู่
ก่อนถอนหายใจยาว คิดแล้วว่า ถ้าอยู่หมู่บ้านช้างนานเท่าไร
ก็อาจสร้างความเดือดร้อนให้คุณหมอไหมแก้วมากขึ้นเท่านั้น
“แล้วคุณได้ทันเจอเอกรัตน์หรือเปล่า”
ก้องปฐพีคลี่ยิ้ม
ยังรู้สึกเจ็บแสบที่แผลแตกบนริมฝีปากไม่หาย “เจอเต็ม ๆ เลยครับ”
“นี่เจอกันแล้วหรือ”
ดวงตาของคุณหมอฉายแววกังวล
แล้วเอ่ยประโยคต่อมาที่ทำให้คิ้วเข้มของสถาปนิกหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากัน
“เอกรัตน์...เขาเป็นลูกชายคนโตของนายทรงชัย”
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านผลงานค่ะ
ฤดีวัลย์
ความคิดเห็น