เธอคือดวงตะวัน
ในคืนที่มืดมัวยังมีดวงจันทร์สาดแสงมาให้พอมองเห็น แต่ชีวิตที่ต้องมืดมนของผมกลับมีผู้หญิงคนนึงที่เป็นเสมือนดวงตะวันสาดแสงกระทบใจให้ผมมีความหวัง
ผู้เข้าชมรวม
485
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ไอ้ตาบอด”
ผมนั่งฟังเสียงของใครหลายคนที่ผมไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาเลยมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ทุกครั้งที่ผมมานั่งที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะขามในโรงเรียนพวกเขาก็มักจะหาเรื่องผมเป็นประจำ และก็มักเป็นคำพูดซ้ำๆ เดิมๆ ที่ผมได้ยินจนเริ่มจะชาชินเสียแล้วกับคำว่า “ไอ้ตาบอด”
“เฮ้ย! แต่ก่อนสาวติดตรึมไม่ใช่เหรอไอ้ตาบอด แต่ตอนนี้ทำไมถึงกลายเป็นหมาหัวเน่าไปได้วะ ฮ่าฮ่าฮ่า”เสียงหัวเราะที่ร่วมกันประสานเสียงด้วยความสะใจดังขึ้นอย่างเย้ยหยัน ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะมีประมาณ 2-3 คนผมได้แต่นั่งนิ่งฟังพวกเขาดูถูกตัวเองจะเถียงอะไรก็ไม่ได้หรอกเพราะที่พวกเขาพูดทั้งหมดนั้นก็เป็นความจริง ผมตาบอดมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วเพราะอุบัติเหตุรถชน ผมถูกรถของคนเมาชนจนหัวผมกระแทกเข้ากับพื้นถนนอย่างแรงทำให้ประสาทตาดับ ผมจึงตาบอดกลายเป็นคนพิการมาจนถึงทุกวันนี้
“ว่างกันนักหรือไงที่มาหาเรื่องคนอื่น หัดทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างนะอย่าลืมล่ะว่าพวกนายยังมีคดีเก่าติดตัวอยู่” เสียงใสๆของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีกล่าวต่อว่าพวกที่มาหาเรื่องผมและพวกนั้นก็จะสลายตัวหนีไปทันทีเพราะเธอเป็นถึงสารวัตรนักเรียน
“พี่อาร์มกลับบ้านเถอะค่ะ เย็นมากแล้วขอโทษนะที่ให้รอนาน” ผมยิ้มและพยักหน้าแม้จะไม่เห็นหน้าเธอเลยก็ตาม ตลอดเวลาที่ผมตาบอดก็มีเธอคนนี้เข้ามาในชีวิต ผมรู้จักเธอเพราะผมตาบอดเธอเข้ามาดูแลผมทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เธอบอกผมแต่เพียงว่าเธอชอบผมมานานแล้ว แต่ผมไม่เคยรู้จักเธอไม่เคยเห็นหน้าเธอเพราะเธอไม่ได้หน้าตาสะสวยเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ชอบผมแต่ ใจผมคิดว่าถึงแม้ผมจะไม่เคยเห็นหน้าเธอหรือเธออาจไม่ได้งดงามอะไรมาก แต่สิ่งที่เธอทำก็ทำให้ผมเชื่อว่าเหนือสิ่งอื่นใดที่งดงามกว่าใบหน้าก็คือน้ำใจที่งดงามของเธอ ตั้งแต่ที่ผมตาบอดคนที่ผมเคยรู้จักก็ไม่เคยมาดูแลหรือมาสนใจผมเลยโดยเฉพาะเพื่อนหรือสาวๆที่เคยชอบผม จะมีก็แต่เธอนี่แหละที่คอยเป็นเพื่อนเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผมมาโดยตลอดและไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงดีกับผมได้มากถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ผมมันก็แค่ผู้ชายตาบอดคนหนึ่ง เธอมักไปรับไปส่งผมกลับบ้านทุกวันเธอช่างดีกับผมจริงๆ ผมอยากเห็นหน้าเธอ ‘ตะวัน’ ผมอาศัยอยู่ในบ้านกับแม่เพียงแค่สองคน บ้านของเราเป็นบ้านหลังไม่ใหญ่มากเพราะไม่ใช่คนรวยอะไร แม่ผมมีอาชีพขายข้าวแกงภายในตลาดมีรายได้แค่พอกินพอใช้ไปวันๆ แต่ก่อนผมทำงานที่อู่ซ่อมรถไปด้วยหลังเลิกเรียนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระท่าน แต่ตอนนี้ผมต้องออกจากงานเพราะผมตาบอด ตะวันเริ่มเข้ามาเป็นสมาชิกอีกคนภายในบ้านผมกับแม่รู้สึกมีความสุขมากที่มีเธอเข้ามา เธอจะคอยมาช่วยแม่ผมขายข้าวแกงทุกเย็นและคอยเรียกลูกค้าให้แม่เสมอ
“ข้าวแกงจ้า ข้าวแกงอร่อยๆเชิญทางนี้ใครหิวมากินที่ร้านแม่ละมัยรับรองอิ่มท้องคุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอนจ้า”เสียงเธอเรียกลูกค้าแบบนี้เป็นประจำทุกวันผมนั่งอมยิ้มกับเสียงของเธอที่ร้องเรียกแบบไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลย “
ช่วยหน่อยนะค่ะอาหมอ จะให้ตะวันทำอะไรก็ได้เพื่อตอบแทนตะวันก็ยอมค่ะ” เสียงของตะวันพูดเหมือนรอความหวังจากใครบางคน เธอมักจะมาที่โรงพยาบาลบ่อยๆ และก็มักจะมาหาอาของเธอที่เป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลนี้
“ตะวันแต่เราน่ะป่วยอยู่นะ อาไม่อยากให้เธอต้องมาทำอะไรที่มันลำบาก” ผู้เป็นอาถอดสีหน้ามองหลานสาวของตนที่กำลังมองด้วยสายตาวิงวอน ตะวันยกมือทาบที่หน้าอกเธอรู้ดีว่าสุขภาพของเธอไม่ค่อยจะสู้ดีนักแต่ตอนนี้อะไรจะสำคัญไปกว่าการที่อาร์มชายที่เธอเฝ้ารักและดูแลจะได้กลับมามองเห็นอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ ตะวันไหวขอแค่อาสัญญาว่าจะผ่าตัดตาให้พี่อาร์มก็พอ”เธอยิ้มอย่างมีความหวังที่ในที่สุดอาร์มก็จะมีโอกาสกลับมามองเห็นอีกครั้ง แต่ผู้เป็นอานั้นกลับแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่เพราะเป็นห่วงสุขภาพของหลานสาวตนแต่ก็มิได้คัดค้านประการใด ผมรู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี้ตะวันไม่ค่อยได้มาช่วยแม่ผมขายข้าวแกงเหมือนอย่างเคยแต่ก็ไม่ได้หายไปไหนเพียงแค่มาไม่บ่อยเหมือนเดิม บางครั้งก็จะแวะซื้อของมาฝากผมกับแม่แล้วก็รีบไปผมเข้าใจว่าเธอคงมีธุระและก็อาจจะต้องเรียนหนักขึ้นจึงไม่ได้ถามอะไรมากเธอเพียงแค่บอกว่ามีงานต้องรีบไปทำ ตะวันเดินเข้ามาในโรงพยาบาลเหมือนอย่างเคยแต่เธอไม่ได้เข้ามาหาอาของเธอ ตะวันเดินเข้าไปหยิบถังน้ำและไม้ถูพื้นมาทำความสะอาดพื้นในโรงพยาบาล นี่เป็นข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเธอกับอาในการที่เธอจะยอมมาทำความสะอาดในโรงพยาบาลเองทั้งหมดเพื่อแลกกับการที่อาร์มได้ผ่าตัดดวงตาเพื่อให้ได้มองเห็นอีกครั้ง ผู้เป็นอายืนมองหลานสาวของตนอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง เขาไม่ได้เห็นด้วยเลยที่เธอทำแบบนี้แต่ตะวันเองที่เป็นคนขอร้องในข้อแลกเปลี่ยนครั้งนี้เพราะเธออยากทำอะไรเป็นการตอบแทนด้วยตัวของเธอเอง
“แม่ค่ะ พรุ่งนี้พาพี่อาร์มไปที่โรงพยาบาลนะค่ะ” ตะวันพูดขณะที่กำลังช่วยแม่ผมเก็บของจะกลับบ้านเมื่อขายข้าวแกงหมด เธอมักเรียกแม่ผมว่า ‘แม่’ เสมอเพราะท่านเป็นคนขอร้องให้ตะวันเรียก ผมเองก็เขินเหมือนกันที่เธอเรียกท่านว่าแม่รู้สึกเหมือนเราสองคนเป็นแฟนกันเลยผมนี่เข้าข้างตัวเองจริงๆ ตะวันเขาอาจไม่ได้คิดอะไรกับผมเลยก็ได้
“ไปทำไมล่ะตะวันลูก” แม่หันหน้ามาถามเธอเมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“คือที่โรงพยาบาลเขามีโครงการฉลองครบรอบ 100 ปีของโรงพยาบาลค่ะเขาเลยจัดโครงการผ่าตัดตาฟรีแก่ผู้ที่ตาบอด ตะวันเลยรีบสมัครให้พี่อาร์มเลยค่ะ” เธอโกหก ตะวันยิ้มแบบมีความสุขแต่สีหน้าของเธอนั้นดูเหนื่อยไม่น้อยราวกับว่าอดหลับอดนอนมาหลายคืน
“จริงเหรอตะวัน แม่ขอบใจหนูมากนะที่คอยช่วยเหลือดูแลตาอาร์มมาตลอดนี่ถ้าตาอาร์มมองเห็นแล้วแม่จะให้ดูแลหนูตอบแทนบ้าง” แม่คุยกับตะวันด้วยน้ำเสียงที่ดีใจ ผมเองเมื่อได้ยินก็รู้สึกดีใจไม่น้อยนี่ผมมีโอกาสจะมองเห็นแล้วใช่ไหม ขอบคุณเธอมากนะตะวันเธอเป็นเสมือนดวงตะวันที่คอยส่องแสงสว่างให้ฉันในตอนที่มืดมน ‘ฉันรักเธอ’ ผมพูดกับตัวเองในใจและคิดว่าสักวันหนึ่งผมต้องพูดคำนี้กับตะวันให้ได้
“พลุสวยจัง”ตะวันพูดขึ้นขณะเดินจูงมือผมออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะประมาณตอนหัวค่ำ ผมยิ้มให้เธอไม่ได้รับรู้ว่าพลุนั้นสวยงามเพียงใด แต่ได้ยินจากที่เธอพูดก็พอจะจินตนาการออกและฟังจากเสียงของพลุแล้วคงจะยิ่งใหญ่และสวยงามไม่น้อย
“พี่อาร์มอีกไม่นานพี่อาร์มก็จะมองเห็นแล้วนะค่ะ ดีใจไหม” เธอพูดกับผม
“ดีใจสิพี่จะได้เห็นหน้าตะวันแล้ว” ผมตอบตะวันด้วยท่าทางดีใจแต่ดูเหมือนเธอจะเงียบไปพักใหญ่เหมือนกัน ทำให้ผมเงียบตามและคิดในใจว่าคงจะพูดอะไรออกไปที่ไม่ดีหรือเปล่า
“พี่อาร์ม ตะวันดีใจมากเลยนะค่ะที่ครั้งหนึ่งตะวันได้เคยดูแลพี่อาร์ม ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตะวันอยากให้พี่อาร์มจำไว้นะคะว่าตะวันจะยังอยู่ข้างๆ พี่อาร์มเสมอ และตลอดไป” เธอพูดพร้อมกับกุมมือผมไว้คำพูดของตะวันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เสียงของเธอสั่นเครือคล้ายกับกำลังจะร้องไห้ เธอพูดเหมือนกับว่าจะสั่งลาไปไหน มือของตะวันช่างอบอุ่นเสียจริงๆ แม้จะเป็นมือที่เล็กน่าทะนุถนอมแต่ก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่งภายในตัว เสียงพลุในยามนี้เหมือนเป็นการฉลองให้กับผมที่อีกไม่นานผมจะได้กลับมามองเห็นอีกครั้ง ได้เห็นหน้าผู้หญิงที่ผมอยากมองเห็นเธอมากที่สุด อดทนรออีกนิดนะตะวันแล้วต่อไปฉันจะเป็นคนดูแลเธอเอง ผมยิ้มอย่างมีความสุข ในตอนรุ่งเช้าแม่และตะวันพาผมมาที่โรงพยาบาลเพื่อมารับการผ่าตัดกระจกตา ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ตื่นเต้นที่จะได้กลับมามองเห็น แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวว่าผลที่ออกมาจะไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ
“อาร์ม ไม่ต้องกลัวนะลูกเดี๋ยวลูกก็จะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง เชื่อแม่สิ” แม่คอยพูดให้กำลังใจผมขณะกำลังนั่งรอการผ่าตัดหลังจากที่ตรวจเช็คสภาพร่างกายเรียบร้อยแล้ว
“พี่อาร์ม สู้สู้นะค่ะ ตะวันกับแม่จะไม่หนีไปไหนจะอยู่ให้พี่อาร์มเห็นหน้าเป็นคนแรกเลย” ผมยิ้มกับคำพูดของตะวัน เธอช่างน่ารักเสียจริงๆ แม่ก็พลอยหัวเราะไปกับคำพูดของเธอด้วย
“ตะวันเป็นอะไรไปลูก” แม่กล่าวขึ้นเมื่อเห็นตะวันยกมือทาบที่หน้าอก แสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมาแต่ไม่มากเท่าไหร่เหมือนว่าเธอกำลังอดกลั้นความเจ็บปวดนี้เอาไว้
“ไม่เป็นอะไรค่ะ แค่รู้สึกแน่นหน้าอกนิดหน่อยค่ะ”ตะวันแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนความเจ็บปวด ผมเริ่มรู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่ทันที่จะได้ถามอะไรเธอมาก ผมก็ถูกเรียกให้เข้าห้องผ่าตัดทันทีผมขึ้นไปนอนบนเตียงเข็นเพื่อให้บุรุษพยาบาลนำผมไปที่ห้องผ่าตัด
“พี่อาร์ม ตะวันรักพี่อาร์มคะ” เสียงของตะวันพูดขึ้นพร้อมทั้งกุมมือผมไว้ก่อนที่ผมจะเข้าไปในห้องผ่าตัด ทำไมนะผมถึงไม่รู้สึกดีใจเลยที่เธอรักผมแต่กลับมีความรู้สึกว่าเหมือนเป็นการสั่งลาในวินาทีที่เธอปล่อยมือผม ตอนนี้ในใจผมเริ่มกังวลเป็นห่วงตะวันเสียมากกว่า ผมกลัวเธอจะเป็นอะไรไประหว่างที่ผมผ่าตัด หากว่าผมฟื้นขึ้นมาแล้วไม่มีเธออยู่ตรงหน้าผมจะทำอย่างไร ผมคิดได้แค่นี้ก่อนที่สติสัมปะชัญญะของผมจะดับวูบลงไป ตะวันมองตามอาร์มเข้าไปในห้องผ่าตัด และมองหน้าผู้เป็นอาด้วยความหวังที่อาหมอของเธอจะรักษาชายที่เธอรักให้กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม เธอยิ้มอย่างมีความสุขผู้เป็นอามองหน้าหลานสาวด้วยความเป็นห่วงเพราะสีหน้าตะวันตอนนี้ซีดยิ่งกว่าคนที่จะเข้าห้องผ่าตัดเสียอีก แต่ก็ต้องจำเดินเข้าไปทำหน้าที่ของหมอในห้องผ่าตัด ตะวันน้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัวนี่คงเป็นน้ำตาแห่งความสุขที่เธอรอคอยมานาน เธอดูไร้เรี่ยวแรงราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำมาทั้งหมดมันกำลังจะจบลงด้วยดีแล้ว ตะวันหันหลังกลับมาแล้วร่างของเธอก็ทรุดลงกับพื้นราวกับกลีบกุหลาบที่ร่วงโรยออกจากดอกของมัน
‘ มืดไปหมด’ ผมกล่าวกับตัวเองเมื่อสิ่งที่ผมเห็นข้างหน้านั้นคือความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ผมจะแปลกใจทำไมล่ะเมื่อผมก็เผชิญกับความมืดมาได้เป็นเดือนแล้วช่างดูเวิ้งว้างเสียเหลือเกิน ที่นี่เป็นที่ไหนกันผมพูดในใจ สักพักผมก็รู้สึกว่าเห็นแสงสว่างของอะไรสักอย่างส่องมายังบริเวณที่ผมยืนอยู่ สว่างมากและดูอบอุ่นเมื่อแสงส่องมากระทบตัวผมแต่ทำไมผมถึงมองเห็นล่ะทั้งๆ ที่ผมเองตาบอดอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง เธอช่างดูสวยเสียเหลือเกิน ราวกับนางฟ้าใบหน้าที่เอิบอิ่มไปด้วยรอยยิ้มของเธอทำให้ยิ่งชวนมอง ผมได้แต่จ้องมองเธออยากจะถามว่าเธอเป็นใคร แต่ทำไมผมถึงรู้สึกขยับร่างกายไม่ได้เลย แล้วเธอก็หายไปพร้อมกับแสงสว่างนั้นด้วย ทิ้งให้ผมต้องเผชิญกับความมืดอย่างเดียวดายเหมือนเดิม “ค่อยๆลืมตานะครับ ไม่ต้องรีบ” เสียงของแพทย์ผู้ผ่าตัดรักษาตาให้ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังเปิดผ้าพันแผลที่ตาออก หลังจากที่ผมพักฟื้นมาได้เกือบสองสัปดาห์ก็ถึงเวลาที่ผมจะได้มองเห็นสักที
“เป็นยังไงบ้างครับ ปวดตาหรือเปล่า” นายแพทย์ผู้นั้นถามอาการผมเมื่อผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สิ่งที่ผมเห็นในตอนแรกเป็นลักษณะเบลอๆเหมือนลืมตาในน้ำแต่สักครู่ภาพต่างๆ ก็ค่อยๆ ชัดขึ้นตามลำดับ
“แม่” ผมเรียกชื่อท่านเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ แม่ยิ้มอย่างดีใจก่อนที่จะเดินมากอดผมพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจอย่างเป็นที่สุดผมเองก็ดีใจไม่น้อยและกอดท่านตอบ ‘ตะวัน’ ผมนึกถึงเธอขึ้นมาเมื่อผมไม่เห็นว่าผู้หญิงที่ผมต้องการจะเห็นหน้าที่สุดไม่อยู่ตรงนี้ ในห้องนี้มีเพียงผม แม่ แพทย์หนึ่งคน และพยาบาลอีกสองคนเท่านั้น ตะวันเธอไปไหน? หลังจากที่ผมออกมาจากโรงพยาบาลได้สองวันแม่ก็พาผมไปทำบุญที่วัด ตลอดระยะเวลาที่ผมฟึ้นขึ้นมาผมเฝ้าคอยถามแม่ว่า ตะวันอยู่ที่ไหน แม่ก็จะเลี่ยงตอบและบอกว่าวันหนึ่งแม่จะพาไปเจอเธอเองและทุกครั้งที่ผมถามแม่ก็จะรู้สึกเศร้าทุกครั้ง ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ทำไมเธอถึงไม่รักษาคำพูดที่เธอพูดไว้ว่าถ้าผมตื่นมาจะได้เห็นหน้าเธอเป็นคนแรก ผมได้แต่นึกตำหนิเธอในใจ เธอจะรู้บ้างไหมว่าผมอยากเจอเธอมากเพียงไร เธอช่างใจร้ายเสียเหลือเกิน ผมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ผมได้เบียดเบียนให้พวกเขาได้รับบุญกุศลที่ผมส่งไปให้ แม่เดินนำผมไปที่บริเวณที่ไหว้โกศคนตายพาผมมาที่นี่ทำไม? ผมคิดแล้วเดินตามท่านไป แม่เดินมาหยุดที่หน้าโกศใครคนหนึ่ง
“อาร์ม ทักทายน้องซะสิลูก” แม่หันหน้ามาหาผมพร้อมกับน้ำตาอาบหน้า ผมมองไปที่รูปสิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมตกใจมากเพราะรูปนั้นคือผู้หญิงคนเดียวกับที่ผมเคยฝันเห็นเมื่อตอนที่อยู่โรงพยาบาล แต่ที่ทำให้ผมตกใจไปยิ่งกว่านั้นคือชื่อที่อยู่บนหน้าโกศ ‘ตะวัน รัตนชาติ’ ผู้หญิงที่ผมอยากเจอมากที่สุด
“ไม่จริง ใช่ไหมครับแม่ไม่ใช่ตะวันใช่ไหม” ผมเริ่มสับสนเหมือนคนบ้าไม่อยากให้สิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้เป็นเริ่องจริง แม่จับที่ไหล่ผมและพูดทั้งน้ำตา
“นี่คือตะวันผู้หญิงที่ดูแลลูก คนที่ลูกอยากจะเจอ ตะวันรักลูกมากนะอาร์ม แม่ดีใจที่ได้มาเจอผู้หญิงดีๆ อย่างหนูตะวัน แต่แม่ก็เสียใจที่เขาอยู่กับเราได้ไม่นาน” แม่หยุดพูดเพราะน้ำตาไหลมาไม่ขาด ตัวผมเองตอนนี้ก็เริ่มมีน้ำตาไหลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ผมยืนนิ่งเหมือนคนไร้สติพูดไม่ออก มันเร็วจนผมทำใจไม่ทัน
“หนูตะวันเป็นโรคหัวใจมานานแล้ว แต่เธอทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกกลับมามองเห็นทั้งๆ ที่ร่างกายของเธอไม่แข็งแรง แต่เธอไม่เคยปริปากร้องว่าเจ็บปวดเลย” แม่มองหน้าผมแล้วเดินออกไปรอผมข้างนอกท่านคงอยากให้ผมพูดอะไรกับตะวัน ผมทรุดตัวลงกับพื้นดินทำไมกันฟ้าดินช่างกลั่นแกล้งผมเสียจริงๆ นอกจากจะไม่ให้ผมเจอหน้าผู้หญิงที่ผมอยากจะเจอมากที่สุดแล้วยังพรากเธอไปจากผมอีก ผมเจ็บปวดกว่าตอนที่ผ่าตัดเป็นร้อยเป็นพันเท่าการที่ต้องสูญเสียคนที่เรารักมันทรมานยิ่งกว่าทุกสิ่ง ผมนึกอยากจะย้อนเวลาไปอยากกลับไปตาบอดอีกครั้ง อยากมีตะวันคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ แม้ผมจะมองไม่เห็นเธอก็ตาม อยากเอ่ยคำว่ารักให้เธอได้ยินแต่ ณ ตอนนี้ผมกลับไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งนั้น น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลออกมานองหน้าแบบไม่อายฟ้าดิน
“ไม่! ตะวันอย่าทิ้งพี่ไป” ผมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงทั่วบริเวณวัดเงียบกริบได้ยินเพียงเสียงสะอื้นของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งทรุดตัวอยู่หน้าโกศของหญิงอันเป็นที่รัก ตอนนี้ผมได้เจอเธอแล้วผู้หญิงที่เป็นเสมือนดวงตะวันส่องทางให้ผมในตอนที่มืดมนแต่ผมกลับได้พบเธอในตอนที่เธอไม่ที่ลมหายใจ เธอไม่อยู่แล้วเหลือเพียงความทรงจำที่ดีระหว่างเราสองคนเท่านั้นที่ยังติดตรึงอยู่ในหัวใจของผม เธอจะอยู่ในใจผมเสมอ ตลอดไปและตราบจนนิรันดร์
ผลงานอื่นๆ ของ Ichiteru ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ichiteru
ความคิดเห็น