ตำนานแห่ง ท้องทะเล - ตำนานแห่ง ท้องทะเล นิยาย ตำนานแห่ง ท้องทะเล : Dek-D.com - Writer

    ตำนานแห่ง ท้องทะเล

    ตำนานแห่ง ท้องทะเลค่ะ แล้วแต่จะคิดนะค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,271

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.27K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ก.พ. 49 / 13:50 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      นานมาแล้ว...ในยุคสมัยที่มนุษย์ และทวยเทพอยู่ร่วมกัน ผูกพันกันเป็นหนึ่งเดียว เทพจำแลงกายเป็นมนุษย์เดินดิน ลงมาพบปะพูดคุยกับปุถุชน ผู้คนยังคงติดต่อและนับถือเหล่าเทพด้วยศรัทธา ทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์เพียบพร้อมไปด้วยเหล่าสรรพสัตว์ ต่างเวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฏจักรของโลก ตำนานกล่าวไว้ไม่ว่าจะเป็นเหล่ามวลมนุษย์ หรือเดรัจฉานต่างต้องเกิดแก่เจ็บตาย เป็นเช่นนี้ไปตามการเปลี่ยนแปลงของผลมหาพฤกษาเอลเด ที่ตั้งอยู่ใจกลางสระจักรวาล ณ สวนสวรรค์เมเนล ยามใดที่ดอกสีชมพูอ่อนของมหาพฤกษาเริ่มตูมพร้อมที่จะเบ่งบาน ยามนั้นจะมีผู้คนกำลังเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาว แลยามดอกผลิบาน นั่นคือช่วงวัยผู้ใหญ่ที่ต้องรับภาระหน้าที่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เมื่อกลีบดอกร่วงโรยเหลือไว้เพียงผลอ่อนติดตรงก้าน นั่นคือยามชราจะมาเยือน และจะจากไปเมื่อผลสุกงอม จนกระทั่งผลนั้นตกลงสู่สระจักรวาลชีวิตใหม่ก็จะบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ณ สวนสวรรค์แห่งนี้จะมีเทพบุตรดูแลความเรียบร้อยอยู่หลายองค์ ซึ่งจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยมีเทพบุตรที่เป็นผู้ดูแลมหาพฤกษาเอลเดเป็นหัวหน้าอีกชั้นหนึ่ง เทพองค์นี้นามว่า เวนยา

             เทพเวนยาเป็นเทพบุตรที่มีรูปร่างสง่างาม ใบหน้าผุดผ่องหล่อเหลา ศีรษะสวมมงกุฎที่ทำมาจากเถาและใบของมหาพฤกษา เวนยามีหน้าที่ดูแลมหาพฤกษา ป้องกันมิให้เหล่าปักษาเอเซลมาจิกกินและทำลายผลของมหาพฤกษาที่จะร่วงลงเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลก แต่ทว่าปักษาเอเซลนั้นมีจำนวนมากมาย เวนยาจึงไม่สามารถป้องกันได้หมดทุกผลจนทำให้ผลของมหาพฤกษาให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตน้อยเกินไป ดังนั้นเวนยาจึงได้ขอประทานอนุญาตจากมหาเทพทาอาร์เพื่อจะใช้พลังเปลี่ยนแปลงการเกิดของผลมหาพฤกษา โดยเวนยาได้กำหนดให้ผลใดที่ถูกปักษาเอเซลจิกกินไปเล็กน้อยก็จะตกลงสู่สระจักรวาลตามปกติ แต่จะเกิดกลายเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ หรือพิการ ผลใดถูกจิกกินมากก็จะกลายไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ผลใดถูกจิกกินจนหมด เศษเปลือกที่ร่วงลงสู่สระจักรวาลจะบังเกิดเป็นผืนป่า ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดความสมดุลแก่โลกเบื้องล่างเป็นอันมาก อยู่มาวันหนึ่งเวนยาได้ลงมายังโลกมนุษย์โดยจำแลงกายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จนเมื่อเวนยาได้มาถึงยังอาณาเขตเมืองเบริออน ณ เมืองนี้เวนยาได้พบกับสตรีผู้หนึ่งนามว่าวาเนสเซ่ ซึ่งได้ชื่อว่างดงามที่สุดในเมือง เวนยาจึงได้เข้าไปเกี้ยวพาราสีจนได้เสียกัน เวนยาหลงรักนางมากจึงชวนนางขึ้นไปยังสวนสวรรค์ ซึ่งวาเนสเซ่ก็ตอบตกลงเพราะนางใฝ่ฝันที่จะได้เห็นสวรรค์จริงๆ กาลเวลาผ่านไปหลายปี วาเนสเซ่เริ่มรู้สึกว่านางมิอาจทนความเหงาบนสวงสวรรค์ได้ เวนยาเองก็หาได้มีเวลาให้แก่นางอย่างที่ควรจะเป็นไม่ เนื่องด้วยภารกิจที่เทพมิอาจละทิ้งหน้าที่ได้เป็นเวลานาน วาเนสเซ่จึงลอบลงมาจากสวรรค์ ซี่งในขณะที่นางลอบลงมานั้นกษัตริย์หนุ่มรูปงามแห่งเบริออนนามเอเรียทกำลังเสด็จกลับมาจากต่างเมือง ทั้งสองได้พบกันในคืนหนึ่งระหว่างทางกลับเบริออน วาเนสเซ่ที่กำลังเหงาเศร้า และโหยหารักอบอุ่นจึงตกลงปลงใจเป็นของกษัตริย์หนุ่มโดยไม่คิดคำนึงถึงความถูกต้องอันใดอีก

             ล่วงเข้าวันที่ 3 หลังจากที่วาเนสเซ่ลอบลงมาจากสวนสวรรค์ เวนยาถึงทราบข่าวการหายตัวไปของภรรยา ร้อนใจถึงขนาดสั่งให้ภูตที่อยู่ในบัญชาลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อสืบข่าว ส่วนตนเองก็รีบมุ่งหน้าไปยังเบริออนทันที แต่ในเวลานั้นเบริออนกำลังจัดงานอภิเษกสมรสระหว่าง เอเรียท และ วาเนสเซ่ ทำให้เวนยาบังเกิดโทสะเข้าทำลายพิธีสมรสนั้น พร้อมกับจะชิงตัววาเนสเซ่คืน แต่ทว่ากษัตริย์หนุ่มกลับขัดขวางไว้ โดยอาศัยพรจากเทพพิทักษ์เมืองออทต้าทำให้เอเรียทมีพละกำลังเทียบเทียมเทพ เวนยาเห็นว่าตนลงมาอยู่ในเมืองมนุษย์ซึ่งล่วงล้ำอาณาเขตของเทพองค์อื่นมิอาจต่อกรได้ด้วยตัวเพียงคนเดียวจึงล่าถอยกลับไปยังสวนสวรรค์ เมื่อกลับมาถึงเวนยาก็คิดหาทางจะถล่มเบริออนให้ราบ ด้วยความโกรธแค้นเวนยาจึงเก็บเอาผลมหาพฤกษามาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ร่ายคำสาปใส่ผลเหล่านั้นและโยนให้เป็นอาหารแก่ฝูงปักษาเอเซล เมื่อฝูงปักษาเอเซลจิกกินผลที่ต้องคำสาปก็กลายร่างเป็นอสูรเอเซล วิหคทมิฬ มีกายและปีกสีดำ ดวงตาสีแดงราวทับทิม ดุร้ายน่ากลัว จากนั้นเวนยาจึงนำเอาผลต้องคำสาปที่เหลือไปโยนลงในสระสวรรค์ ก่อให้เกิดอสูรกายใต้น้ำตัวมหึมา ว่ายวนเวียนอยู่ในทะเล เมื่อได้กองทัพต้องสาปครบแล้วเวนยาจึงลงมาจากสวรรค์อีกครั้ง พร้อมทั้งโจมตีเบริออนด้วยกองทัพทมิฬ ถึงแม้ว่าเบริออนจะได้รับพรจากเทพออทต้า แต่ก็มิอาจต้านทานฝูงวิหคทมิฬเอเซลนับร้อยได้ เอเรียทเองก็ออกรบด้วยสามารถ แลสังหารกองทัพเอเซลได้เป็นจำนวนมาก แต่กองทัพที่ช่ำชองการศึกที่ได้รับพรจากเขาไม่สามารถทานอำนาจมืดแห่งเทพได้ รวมไปถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในนครต่างล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง ทัพทางเรือที่เอเรียทเรียกมาก็ถูกอสูรใต้น้ำโจมตี และไม่มีผู้ที่รอดชีวิตกลับมาถึงฝั่งแม้แต่คนเดียว ไฟสงครามสร้างความเสียหายให้แก่เบริออนและชาวเมืองที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง วิหคทมิฬบางตัวที่หลุดจากการควบคุมก็ตรงเข้าทำลายบ้านเรือนที่ไม่เกี่ยวข้อง ความเดือดร้อนแผ่กระจายออกไปเป็นพื้นที่กว้าง สงครามในครั้งนั้นคล้ายจะจบลงด้วยชัยชนะของเวนยา ที่อาศัยพลังของตนเข้าทำลายล้างเบริออน หากแต่เบริออนก็มีเทพผู้หนึ่งที่พวกเขาบูชา ออทต้า เทพแห่งสงคราม ผู้ดูแลวิหาร เอนฟู ในสรวงสวรรค์ ชาวเบริออนต่างวิงวอนขอร้องต่อออทต้า ให้ลงมาช่วยยับยั้งสงครามครั้งนี้ หากแทนที่ออทต้าจะใช้ความถูกต้องและเหตุผลเข้าไกล่เกลี่ย เขากลับนำกองทัพ มาเฟล เหล่ากึ่งเทพที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ มีหอกทองคำเป็นอาวุธ ซึ่งเป็นกองกำลังย่อยๆของตนเข้าต่อสู้กับเวนยา การต่อสู้ครั้งนี้มิเพียงสร้างความเสียหายให้แก่เหล่ากองทัพแห่งเทพ แต่มันส่งผลกระทบไปถึงเหล่าประชาราษฎร์ ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นล้มตายลงอย่างมากมาย อีกทั้งการที่เวนยาทิ้งหน้าที่มา มหาพฤกษาเอลเดจึงไม่ได้รับการดูแลและเริ่มเหี่ยวเฉา โลกไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเกิดขึ้นทดแทนเหล่าผู้ล้มตาย จนทำให้หลายดินแดนกลายเป็นเมืองร้าง

             สงครามชิงนางครั้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรงถึงสรวงสวรรค์ร้อนถึงมหาเทพทาอาร์ซึ่งต้องลงมายุติศึกนี้ด้วยตนเอง และเมื่อได้พบสภาพแผ่นดินที่นองไปด้วยเลือด ระงมไปด้วยเสียงร่ำไห้ มหาเทพก็บันดาลโทสะ สั่งลงโทษเทพทั้งสองที่กำลังต่อสู้ขับเคี่ยวกันอยู่ทันที โดยปลด ออทต้า ที่ไม่ใช้เหตุผลและมีความลำเอียง เห็นแก่เมืองที่บูชาตนไปเป็นเทพชั้นสามัญ และสั่งจองจำเวนยาที่มีโทษละทิ้งหน้าที่ เอาพลังอำนาจข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า และละเมิดกฎสวรรค์ โดยให้นำตัวไปยังมหาสมุทรอิลเรน และเมื่อครบ 7 วันก็จะถูกน้ำวนดูดลงสู่ก้นมหาสมุทรจนขาดอากาศหายใจตาย วนเวียนอยู่เช่นนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ ด้วยความโกรธแค้น เวนยาจึงได้ร่ายคำสาปไว้ก่อนจะถูกนำไปจองจำ โดยไม่มีเทพองค์ใดทราบถึงผลแห่งคำสาปนี้ นั่นก็คือ“วันใดที่ข้าตาย ขอให้ระดับน้ำในมหาสมุทรทุกหนทุกแห่ง จงเพิ่มขึ้นเท่ากับความสูงของต้นมาเบเลีย (ราวๆ 10 เมตร) และมหาพฤกษาจงให้กำเนิดแต่สิ่งมีชีวิตที่จะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่ำต้อย ให้สาสมแก่การหลอกลวงต่อข้า” สงครามที่เกิดจากสตรีเพียงผู้เดียวก็เป็นอันสิ้นสุดลง พร้อมการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของต้นเหตุแห่งสงคราม วาเนสเซ่ นางหายสาบสูญไปหลังจากที่เรื่องราวทั้งหมดจบลง ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร นางเหลือทิ้งไว้เพียงเสียงเล่าขานถึงความงาม และความหลายใจของนางที่ถูกตราหน้าว่าเป็นชนวนของสงครามระหว่างเทพและมนุษย์

             ทางด้านของเอเรียท หลังจากที่การศึกสงบลงก็มิได้ใส่ใจที่จะซ่อมแซมบ้านเมือง กลับละทิ้งหน้าที่ออกตามหาวาเนสเซ่ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแต่ก็ไร้ผล เอเรียทจึงกลับมาที่วังเบริออนอีกครั้ง แต่สภาพที่พบนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่จากไป ผู้คนล้มตาย เกิดโรคระบาดแพร่ไปทั่ว และที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นสูงจนผู้คนที่อยู่รอบนอกกำแพงเมืองไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ กษัตริย์หนุ่มถึงกับล้มป่วย และไม่ออกว่าราชการ ผู้คนต่างอพยพหนีตายไปจากเบริออนจนเหลือแต่เมืองร้าง ว่ากันว่าครั้งสุดท้ายที่คนในวังเห็นเจ้าแห่งเบริออนก็คือ บนบัลลังก์ทอง...สิ้นพระชนม์ เหตุการณ์เลวร้ายยังคงดำเนินต่อไป ระดับน้ำเพิ่มขึ้นทุกๆ 7 วัน ผู้คนต่างอพยพขึ้นไปอยู่บนที่สูง เพียงอาทิตย์แรก ป้อมปราการบรารอสที่ตั้งเรียงรายอยู่แถบชายทะเลก็ถูกกลืนหายไป ถัดจากนั้นอีกเพียง 1 อาทิตย์ เมืองอีก 4 แห่งก็เหลือแต่เพียงชื่อ และที่ลดลงตามดินแดนต่างๆก็คือ จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่นั่นเอง มหาเทพทาอาร์ซึ่งประทับอยู่ในวิหารของตนมิได้เฉลียวใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเทพบุตรโอรอนผู้มีหน้าที่รับฟังทุกข์จากมนุษย์ได้เข้ามาแจ้งถึงความวิบัติ ณ โลกเบื้องล่าง เสียงโอดครวญ ร่ำร้องอ้อนวอน และเสียงร่ำไห้ เป็นผลให้ทาอาร์ต้องลงมาตรวจสอบด้วยตนเอง และได้พบกับโลกที่เต็มไปด้วยผืนน้ำ และเหลือแผ่นดินอีกเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่ เทพโอรอนยังบอกอีกว่า อีกเพียงวันเดียวเท่านั้นก็จะไม่มีแผ่นดินเหลืออีกต่อไป ในขณะนี้ มนุษย์เดินดินที่เหลือรอดอยู่ต่างทิ้งแล้วซึ่งศรัทธาต่อองค์เทพเจ้า เหลือไว้แต่เพียงความโกรธแค้น เพราะต่างก็นึกว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่อุบัติขึ้นนั้นต่างมีสาเหตุมาจากการรบกันของเทพเวนยา และมนุษย์ โดยที่เทพองค์อื่นๆมิได้ใส่ใจปล่อยให้เกิดภัยพิบัติขึ้นจนกระทั่งต้องหนีมานั่งรอความตาย ณ แผ่นดินที่เคยอาศัยอยู่อย่างสุขสบายผืนนี้

             มหาเทพทาอาร์เกรงว่าน้ำอาจจะท่วมขึ้นมาถึงชั้นสวรรค์ จึงใช้พลังอำนาจของตนเพื่อทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรหยุดเพิ่ม แต่ทว่าพลังอำนาจของทาอาร์ในตอนนี้มิสามารถจะคลายคำสาปได้ ด้วยเหตุว่าทาอาร์ได้แบ่งพลังส่วนหนึ่งสร้างกองทัพเทพเพื่อทดแทนกองทัพมาเฟลที่สูญเสียไป จนทำให้พลังอำนาจที่มีอยู่เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ระดับน้ำจึงยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ระยะเวลาครบรอบการเพิ่มนั้นยืดออกไปได้อีก 3 วัน ในขณะเดียวกันนั้นทาอาร์ได้มองเห็นสิ่งชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ตามท้องทะเล เหล่าอสูรร้ายที่ยึดเอาผืนน้ำเป็นแหล่งอาศัย และคอยสังหารผู้ที่หลงอยู่ในมหาสมุทร ตามปกติแล้วอสูรร้ายเหล่านี้ได้มีอยู่มานานแล้ว แต่มิได้มีจำนวนมาก และดุร้ายเท่านี้ ทาอาร์เกิดความสงสัยเป็นอันมากจึงเร่งรุดไปยังสวนสวรรค์เมเนล ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาพฤกษาเอลเด ต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ณ โลกเบื้องล่าง เพื่อตรวจหาสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของอสูรเหล่านั้น ทันทีที่มหาเทพทาอาร์มาถึงสวนสวรรค์ก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบกับสภาพอันทรุดโทรมขาดการดูแล ความสวยงามที่เคยมีถูกทิ้งเป็นอดีต ถึงแม้มหาพฤกษาเอลเดยังคงอยู่ แต่ก็คล้ายจะยืนต้นตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางสระจักรวาลที่เหม็นคลุ้ง ผลจากต้นที่ร่วงหล่นลงสู่สระจักรวาลแต่ละผล แม้จะเป็นผลดีที่ไร้รอยกัดกินก็ยังบังเกิดกลายเป็นอสูรร้ายที่มีพละกำลังมหาศาล มหาเทพทาอาร์จึงเร่งให้เหล่าเทพที่ติดตามมาช่วยกันฟื้นฟูสวนสวรรค์เมเนลในทันที เทพทั้งหลายเมื่อรับบัญชาแล้วก็ใช้พลังของตนเข้าซ่อมแซม และฟื้นสภาพสวนสวรรค์เมเนลอย่างเต็มความสามารถ เพียงไม่นานสภาพของสวนสวรรค์ก็กลับมาสวยงามเหมือนครั้งก่อน แต่ถึงกระนั้น ผลของมหาพฤกษาที่ร่วงลงสู่สระจักรวาลก็ยังคงให้กำเนิดแต่อสูรที่คอยดักคร่าชีวิตมนุษย์ ทาอาร์ได้หยุดคิดเพื่อทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากสิ่งใด จนในที่สุดทาอาร์ก็ตระหนักได้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากเทพที่ละทิ้งหน้าที่ลงไปปะปนกับเหล่ามนุษย์ และความเคียดแค้นของเทพด้วยกันเอง คำสาปที่แรงกล้าที่ฝังอยู่ในผลมหาพฤกษานั้นมีเหตุมาจาก 2 สิ่งนั้นเอง ทวยเทพที่ติดตามมาต่างได้แต่ยืนมองมหาเทพที่สงบนิ่งอยู่หน้าต้นไม้แห่งชีวิตโดยไม่มีองค์ใดเอ่ยคำพูดใดๆออกมา เพราะต่างก็ทราบว่าทาอาร์เองไม่มีพลังพอที่จะสลายคำสาปนั้นได้ ถึงแม้จะรวมเอาพลังของทุกๆองค์เพื่อทำลายคำสาป กระนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอ....

             “ด้วยเราปกครองไม่ดี จึงทำให้เกิดเภทภัยต่อมนุษย์และวงศ์เทพ นับว่าเป็นความผิดของเราโดยแท้ มหาพฤกษาให้กำเนิดแต่สัตว์ร้ายจนมนุษย์เดินดินพากันหวาดหวั่น เวนยาเอ๋ย...เจ้าทำให้เหล่าเทพลำบากนัก พลังของข้ามิสามารถทำลายคำสาปที่ชั่วร้ายได้ แต่ด้วยพลังทั้งหมดที่ข้าเหลืออยู่...มหาพฤกษาเอย จงคลายคำสาปลงเสียกึ่งหนึ่งเถิด ผลของเจ้าหากเน่าจงกลายเป็นอสูรกายดุร้าย เหลือผลดีไว้ให้กลายเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์...” จากพลังในส่วนสุดท้ายมหาพฤกษาจึงให้กำเนิดทั้งมนุษย์ และสัตว์ร้าย จากนั้นทาอาร์จึงหันกลับไปหาเหล่าเทพที่ยืนคอยอยู่พร้อมทั้งประกาศว่า “จากนี้ พวกเรา...เหล่าเทพจะลงไปเยือนโลกมนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย พรใดที่มีเหลืออยู่จงประทานให้แก่มนุษย์ที่เหลือรอด ให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ โดยมีความสามารถทางด้านการเดินเรือ อาศัยอยู่กับน้ำ และทะเลได้อย่างไม่ลำบาก” เทพทั้งหลายรับบัญชาแล้วจึงลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อทำตามคำสั่ง เหลือเพียงเทพร่างกายอ้วนท้วนนามฟูดอลที่มิได้ลงไปกับเทพองค์อื่นๆด้วย ทาอาร์หันมาเห็นเข้าจึงถามไปว่า “ไยท่านไม่ลงไปกับเทพองค์อื่นๆเล่า” เทพฟูดอลถอนหายใจก่อนจะชี้ลงไปในสระจักรวาล

             “ถึงท่านจะประทานพรให้แก่มนุษย์เหล่านั้น แต่ปริมาณมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้นในอีก 2 วันจะกลืนกินเอาพื้นดินไปเสียสิ้น จนมนุษย์ไร้ที่อยู่อาศัยเพราะมิอาจสร้างเรือ หรือที่พักอาศัยลอยน้ำได้ทัน แลอีกไม่นานนักสวรรค์ของเราก็จะถูกท่วมท้นด้วยวารี จนเราต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับมนุษย์เหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ข้าฯจึงขอประทานอนุญาต ตัวข้าฯฟูดอลจักลงไปอยู่ใต้ก้นสมุทรคอยดื่มน้ำที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อคงระดับของน้ำในมหาสมุทร” ทาอาร์ได้ฟังก็ยินดี และนับถือในความเสียสละของฟูดอลเป็นอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่เทพฟูดอลจะจากไปเขาได้เสนอให้ออทต้า ซึ่งตอนนี้เป็นเทพสามัญขึ้นมาดูแลสวนแห่งนี้แทนเวนยาที่ต้องถูกจองจำไปชั่วกาลนาน ทาอาร์เห็นว่าไม่มีทางอื่นจึงเรียกออทต้าขึ้นมาพบ และมอบหมายงานดูแลสวนสวรรค์เมเนลให้แก่ออทต้า หลังจากนั้นน้ำในมหาสมุทรก็หยุดเพิ่ม การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของมนุษย์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การดำรงชีวิตอยู่ของคนเปลี่ยนไป ผืนดินที่เคยเป็นบ้านกลายเป็นเพียงที่พักอาศัยชั่วคราว แต่น่านน้ำ เรือ และเสากระโดง กลับเป็นที่พักอาศัยหลัก ถึงกระนั้นความอุดมสมบูรณ์ที่เหลืออยู่ก็มิเพียงพอต่อความต้องการ และด้วยความเชื่อและเรื่องเล่าขานที่มิอาจยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้น หรือเป็นเรื่องจริง ทำให้มนุษย์ต่างออกเดินทาง ค้นหา และแย่งชิงสิ่งที่เรียกว่า “ดินแดนโอฟอล” ที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์หาใดเปรียบ แต่นั่นหมายถึง การข้ามเส้นแบ่งแห่งความตาย และอสูรกายในมหาสมุทรที่มิได้หยุดเพิ่มตามระดับน้ำ เมื่อเหตุการณ์สงบลงทาอาร์จึงสั่งปิดแดนสวรรค์ มิให้มนุษย์ และเทพได้พบปะกันอีก คงเหลือไว้ซึ่งพรอันวิเศษที่เทพสามารถประทานให้แก่เหล่ามนุษย์ที่นับถือตน ความสัมพันธ์ของเทพและมนุษย์จึงเหลือแต่เพียงความศรัทธาเท่านั้น นั่น...จึงเป็นเหตุให้การเดินทางเริ่มต้นขึ้น

      นั่น...เป็นเหตุให้การแย่งชิง ปล้นสะดมเพื่อความอยู่รอดเพิ่มขึ้น

      และนั่น...เป็นเหตุให้มนุษย์มีเป้าหมายเป็นหนึ่งเดียว.....

      ...ท้องทะเลเวิ้งว้าง ตำนานถูกลบเลือน...


           กาลเวลาผ่านไปนับศตวรรษหลังจากเหตุการณ์สงครามเทพ-มนุษย์ ผู้คนที่ยังเหลือรอดอยู่ต่างต้องปรับตัวให้เข้ากับการดำรงชีพในโลกที่มีผืนแผ่นดินเหลือเพียงน้อยนิด มีผืนมหาสมุทรกว้างใหญ่เข้าแทนที่ ตำนานที่เล่าขานจึงค่อยๆ ถูกลืมเลือน จนในที่สุดก็เหลือเพียงน้อยคนนักที่จะยังจดจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ครบทุกส่วนเสี้ยว

      ...ยุคสมัยแปรเปลี่ยน เรียนรู้อยู่ร่วมผืนน้ำ...


           ชาวโอเชียนิก้าที่ยังคงอยู่ต่างต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ดินแดนที่เคยเป็นภูเขาสูงไร้ผู้คนอยู่อาศัย บัดนี้กลับกลายเป็นผืนดินเพียงนิดที่ยังคงโผล่พ้นน้ำ ผู้คนหลบภัยจากน้ำท่วมมาอาศัยกันมากมาย จนเกิดการแก่งแย่งชิงพื้นที่เพื่ออยู่อาศัย การทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นแทบทุกวัน และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มคนที่เหลือรอดนี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่าฟาลัน เขาไม่ชอบการแก่งแย่งและการวิวาท จึงพยายามหาทางออกอื่นที่ไม่ต้องแย่งชิงกับผู้อื่นเพื่ออยู่รอด เขาไม่หาที่ลงหลักปักฐานสร้างบ้านเรือน เพราะหากทำเช่นนั้น เขาก็จะต้องแย่งชิงที่ดินกับคนอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องการที่ผืนเดียวกัน ซึ่งเขาก็ไม่ประสงค์เช่นนั้น จึงได้แต่เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ในขณะที่เร่ร่อนไปเรื่อยนี้เอง ฟาลันก็ได้พบว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่คิดเช่นเดียวกับเขา พวกเขาจึงเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อหาทางหลีกให้พ้นจากปัญหานี้ จนวันหนึ่ง ฟาลันได้พบบันทึกโบราณเข้าโดยบังเอิญ บันทึกนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า "...หลังสงคราม เทพประทานพร อยู่รอดปลอดภัย ผืนน้ำคือบ้าน รองจากผืนดิน..." เขานำบันทึกนั้นกลับมาให้คนอื่นๆ ในกลุ่มดู พวกเขาจึงเริ่มทดลองอาศัยอยู่กับน้ำ และได้พบว่าพวกตนสามารถอยู่ในน้ำได้นาน และสามารถจับปลาและสัตว์น้ำเป็นอาหารได้ พวกเขาจึงเริ่มเห็นทางที่จะหาที่อยู่ได้โดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้อื่น ในบันทึกโบราณที่ฟาลันค้นพบนั้น นอกจากข้อความดังกล่าวแล้ว ยังมีบันทึกถึงวิธีการต่อเรือและการควบคุมเรือ ฟาลันและพรรคพวกจึงเริ่มศึกษาบันทึกนั้นอย่างจริงจัง แล้วเรือลำแรกพร้อมด้วยคนกลุ่มแรกที่อาศัยเรือเป็นบ้านก็ล่องออกสู่มหาสมุทร ท่องไปในห้วงสมุทรอันไพศาล เรื่องราวของพวกเขาถูกกล่าวขาน และคนกลุ่มนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า โอเชียนอค

      ...จากพสุธา สู่มหาวารี...


           หลายคนเมื่อเห็นโอเชียนอคอาศัยอยู่ในทะเลกว้าง ก็เริ่มหันมาสนใจศึกษาการต่อเรือ ฟาลันจึงให้นำบันทึกที่ค้นพบไปเก็บรักษาไว้ในหอกลางน้ำอาคีล เพื่อที่ผู้อื่นจะได้มาศึกษาได้ต่อไป ผู้คนเริ่มต่อเรือและล่องเรือออกสู่ทะเลกันมากขึ้น มิใช่เพื่อเดินทาง หรือเสาะแสวงหาสิ่งใด เพียงแต่เป็นการเพิ่มที่อยู่อาศัยให้แก่ตนเองเท่านั้น แต่ก็ยังมีคนบางส่วน ที่ยังคงยึดหลักปักฐานอยู่บนผืนแผ่นดิน คนกลุ่มนี้ได้สร้างบ้านเรือนที่อาศัยให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่บนเกาะที่มีระดับความสูงแตกต่างกัน บ้างก็ขุดเจาะอุโมงค์สร้างเป็นคูหาที่อาศัย และจากการขุดเจาะอุโมงค์นี้เอง ทำให้ชาวโอเชียนิก้าค้นพบแร่ทองคำ แต่ทองคำเหล่านี้ก็ยังคงเป็นสิ่งไร้ค่า จะมีประโยชน์ก็เพียงนำไปตีอาวุธและเครื่องป้องกัน หรือทำสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เท่านั้น ปัญหาเรื่องการแก่งแย่งที่ดินบรรเทาลง ด้วยผู้คนออกสู่ทะเลกันเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนเหตุการณ์ต่างๆ จะเข้าสู่ความสงบสุข ผู้คนอาศัยเรือเป็นบ้าน ผืนน้ำคือแหล่งอาศัย ทว่า อีกปัญหาใหญ่กลับเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อมีผู้ต่อเรือออกสู่มหาสมุทรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไร้ระเบียบ ไร้ผู้ควบคุม เรือที่ลอยลำอยู่ในมหาสมุทรเพิ่มจำนวนขึ้น ก็เริ่มมีผู้กระทำตนเป็นอันธพาล คอยระรานผู้อื่น แย่งชิงยึดครองน่านน้ำ เพราะถึงแม้ว่ามหาสมุทรจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่พื้นที่บางส่วนก็เต็มไปด้วยอสูรร้ายจนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถนำเรือไปลอยลำอยู่ได้โดยปลอดภัย เรือส่วนใหญ่จึงอยู่แต่ในบริเวณที่มีเฉพาะเหล่าอสูรที่ไม่ดุร้ายมากนักอาศัยอยู่ และเมื่อมีเรือมากขึ้น บริเวณดังกล่าวก็เริ่มแออัดหนาแน่นขึ้นทุกที ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นในมหาสมุทรอีกครั้ง

      ...กลุ่มคนเรืองอำนาจ กำราบความวุ่นวาย...


           เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างดุเดือดรุนแรง ทุกวันจะต้องมีเรือจำนวนไม่น้อยที่อับปางลงสู่ก้นทะเล แต่ความวุ่นวายก็ยังคงไม่สงบลง เพราะบันทึกที่กลุ่มโอเชียนอคได้เก็บรักษาไว้ในห้องเก็บบันทึกอาคีลก็ยังคงอยู่ปลอดภัยดี จึงทำให้ยังคงมีการต่อเรือเพิ่มขึ้นโดยไร้ผู้ควบคุมเช่นเดิม จนกระทั่งในที่สุด ก็มีผู้ทนความวุ่นวายที่รุนแรงขึ้นทุกทีไม่ไหว ชายผู้หนึ่งนามโวลฮาร์ ได้รวบรวบพรรคพวกขึ้น สร้างเรือที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุด นาม "ปราการลอยน้ำ" จากนั้นก็เริ่มกวาดล้างพวกที่ก่อความวุ่นวาย ระรานผู้อื่น โวลฮาร์เป็นผู้มีความสามารถ ชื่อเสียงของปราการลอยน้ำเลื่องลือ มีผู้มาเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก จนมีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึงกว่าพันคนภายในเวลาเพียงหนึ่งปี เมื่อมีพรรคพวกเพิ่มขึ้น โวลฮาร์จึงตัดสินใจยึดเอาเกาะแห่งหนึ่งเป็นที่มั่น เรียกกลุ่มของตัวเองว่า โอคาซ แล้วตั้งตนขึ้นเป็นผู้คุมน่านน้ำทั้งหมด รวบรวมผู้ที่มีความสามารถในการต่อเรือมารวมกัน คัดคนที่ยอมร่วมมือไว้และสังหารที่เหลือเสีย จากนั้นก็ยึดเอาบันทึกการต่อเรือจากห้องเก็บบันทึกกลางน้ำอาคีลมาไว้ที่ตน ทำให้สามารถควบคุมการต่อเรือได้ แล้วโอคาซก็จัดระเบียบน่านน้ำ บัญญัติกฏต่างๆ ผู้ใดต่อต้านไม่ยอมปฏิบัติตามก็จะถูกสังหาร โอคาซยังไม่เพียงควบคุมน่านน้ำ หากเลยไปถึงคนส่วนที่ยังคงอาศัยอยู่บนแผ่นดิน ซึ่งมาถึงบัดนี้เหลืออยู่เพียงไม่มาก โอคาซได้รวบรวมผู้คนเหล่านี้ที่อาศัยอยู่กันกระจัดกระจายให้มาอยู่รวมกันเป็นเมือง เป็นชุมชน ส่งคนไปเปิดอู่ต่อเรือ ร้านค้า กำหนดค่าเงินขึ้นจากแร่ทองคำที่เคยขุดพบ วางกฎระเบียบต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโอเชียเนีย ถึงแม้ว่าการกระทำของกลุ่มโอคาซจะทำให้มีผู้สิ้นชีพไปมิใช่น้อย หากก็นำมาซึ่งความสงบสุขและระเบียบแห่งดินแดนโอเชียเนียอีกครา

      ...ปัจจุบันกาล รื้อฟื้นอารยะ...


           กาลเวลาล่วงเลยมานาน จนชื่อของโอเชียนอคและโอคาซสาบสูญไป ความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตของผู้คนดำเนินต่อไปเป็นปกติสุข ช่วงเวลาของโอเชียเนียกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง กล่องเหล็กสีแดงใบใหญ่ได้ลอยมาเกยฝั่งที่เกาะเซลาลูเวีย ภายในกล่องบรรจุบันทึกเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์และอารยธรรมโอเชียเนียเมื่อสองร้อยปีก่อน ทำให้ผู้คนเริ่มตื่นตัวที่จะค้นหาส่วนที่หายไปมากขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของหมู่บ้านนักประดิษฐ์แห่งพอร์ทวิล

      ...การค้นหา และศรัทธาที่หล่นหาย...


           และในที่สุดยุคของพวกท่านก็มาถึง หลังจากการเดินทางของเรือ 2 ลำที่ผ่านพ้นขอบทะเลเซรีล ซึ่งถือว่าเป็นทะเลต้องห้ามออกมาได้ และนำเอาเรื่องราวของตำนานของเกาะแห่งตำนานที่ชื่อว่า โอฟอล มาเล่าขานให้คนภายนอกได้รู้จัก ชื่อเสียงของพวกเขาเหล่านั้นโด่งดังไปทั่วทุกสารทิศ จุดประกายไฟแห่งความกระหายอำนาจในตัวของทุกคนที่เป็นเจ้าของนาวาทุกลำให้มุ่งสู่ดินแดนอันเป็นตำนาน การแข่งขันจึงเริ่มต้นขึ้น ทุกคนจำต้องสั่งสมประสบการณ์จากการเดินเรือเพื่อฝ่าฟันอสูรใต้น้ำทั้งหลายไปยังจุดหมายที่เป็นตำนาน การขัดขวางการเดินทางของคนอื่นจึงเป็นการเลี่ยงไม่ได้ ต่างคนต่างแย่งชิงกันเพื่อเป็นที่ 1 แห่งน่านน้ำ เพื่อป่าวประกาศว่าตนเองเหนือกว่าใครอื่น นอกจากนั้น ศรัทธาที่แตกต่าง คำสาปแห่งเทพที่ครอบงำจิตใจมนุษย์ให้เป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายตรงข้าม ทำให้การปองร้ายผู้ที่ยึดหลักศรัทธาเทพที่ต่างกันเป็นสิ่งที่จะแสดงถึงความศรัทธาต่อเทพเจ้าของตนเอง การเดินทาง และการต่อสู้จึงเริ่มต้น พวกท่านคือผู้บุกเบิกน่านน้ำโอเชียนิก้า หาใช่โจรร้ายโดยภายนอกไม่ แต่จิตใจของท่านนั่นเองที่จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ท่านคือจอมโจรที่คอยรังแกผู้อื่น หรือจอมบุกเบิกผู้มุ่งมั่นสู่ โอฟอล

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×