สิ่งที่พบในวันที่เข้าวัดมาเกือบ 10 ปี - สิ่งที่พบในวันที่เข้าวัดมาเกือบ 10 ปี นิยาย สิ่งที่พบในวันที่เข้าวัดมาเกือบ 10 ปี : Dek-D.com - Writer

    สิ่งที่พบในวันที่เข้าวัดมาเกือบ 10 ปี

    คนปฏิบัติธรรมนี่ มันดีไม่ดีกันแน่ ?

    ผู้เข้าชมรวม

    75

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    75

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 มี.ค. 63 / 20:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตัวผมเองไม่รู้เป็นอะไร ถ้าใครพูดเกี่ยวกับเรื่องธรรมะจะรู้สึกซึ้งเป็นพิเศษ รู้สึกอินแปลก ๆ 

    ดังนั้นตัวผมเองเลยค่อนข้างจะดูธรรมะ ธรรมโม ในสายตา ของพ่อแม่และคนทั่วไป สวดมนต์ก่อนนอน  เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ โสดอีกต่างหาก เอ๊ะ...อันหลังนี่เกี่ยวไหม ?

    ซึ่งตัวผมนั้นจะว่าไป เริ่มเข้าวัดจริง ๆ ก็ตอนอายุได้ 19 ปี เข้าแบบไปคนเดียวเลยไม่มีใครสั่ง ไม่มีบังคับ อยากไปเองเพราะรู้ว่าปฎิบัติธรรมคือสิ่งที่ดี

    ซึ่งตัวผมเองถามว่าศรัทธาเยอะไหมตอบเลยมา น้อย ! พระที่ผมจะเคารพได้นั้นถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลผมไม่นับถือเลย

    ซึ่งเอาจริง ๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ ก็คือได้อย่างเสียอย่างนั่นแหละ ที่ได้คืออะไร ? คือคนอุปนิสัยเชื่อยาก ก็โดนหลอกยากเพราะระวังตัวเก่ง แต่ถ้ามากไปจนขาดศรัทธา การปฏิบัติธรรมก็ไปไม่รอดเหมือนกัน

    ความศรัทธาที่ผมใฝ่หาและใฝ่ฝันมานานเลยเรียกว่า ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าท่านคือผู้รู้จริง ๆ ตรัสสอนสัตว์โดยหวังประโยชน์ให้เราพ้นทุกข์จริง ๆ ไม่ได้หวังประโยชน์ส่วนตนใด ๆ หลักธรรมที่ท่านสอนไว้ ถ้าเราเอามาทำจริง  จะเห็นผลได้แน่นอน...

    ตัวนี้แหละที่ผมขาด ผมเฝ้าถามตัวเอง อืม.. จริง ๆ ก็ไม่ได้ถามหรอก ก็คือรู้อยู่แก่ใจว่า ผมยังศึกษาไม่มากพอทำให้ไม่กล้าลุย

    ซึ่งที่เล่ามานี่แหละครับคือข้อด้อยของผม เพราะผมเชื่อยาก พอเชื่อยาก ผมก็จะไม่ลงมือทำเต็มที่ เพราะผมกลัวเสียเวลา กลัวโดนด่าโง่ หรือบางอย่างมองว่ามันคือความสุขบ้างหละ ไม่อยากจะทำตามเล้ยย อืม... ปัญญาข่อยไม่ถึงจริง ๆ เด้อสู 

    แต่สำหรับ คนเชื่อง่าย นี่กลับกันเลยนะครับ ถ้าโชคดีคือ ดีสุด ๆ จริง ๆ อย่างบางท่านเชื่อง่าย ๆ นี่พอเจอแนวคำสอนที่ถูกใจ พระที่สอนท่านเป็นของจริง ปฏิบัติแปป ๆ เห็นหน้าเห็นหลังเลยก็มีนะ แต่จะมีจุดที่น่ากลัวอย่างคือ ถ้าโชคไม่ดี เจอคนนำทางที่ดูดีแต่ภายนอกนี่ พาเข้ารกเข้าพงไปได้ไกลเหมือนกันครับ

    เหมือนน้องสาวหลวงพี่ที่ผมรู้จัก คนนี้ก็เชื่อง๊ายง่ายครับ ตอนแรก ๆ นี่พอรู้ว่าพระพี่ชายบวชก็ลองทำสมาธิดูแหมไปได้เร็ว จิตสงบอย่างดีเลยทีเดียว แต่ก็มีเรื่องน่าเสียดายคือไปเจอหมอผีมาสอนแนวปฏิบัติแบบประหลาด ๆ เข้ามาสอนให้ถอดจิตไปสวรรค์สีชมพูอย่างงี้...

    สุดท้ายพูดคนเดียว เดินแก้ผ้า บอกตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว.....

    โดยตัวผมเอง กว่าจะเจอพระที่ศรัทธาาได้นี่ ไล่อ่าน ไล่หาหลวงพ่อ หลวงปู่หลายรูปเลยครับ หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่เสาร์ แหม จริยวัตรท่านงดงามคำสอนท่านกินใจเหลือเกิน 

    แต่สุดท้ายยังไม่ถูกจริตผมครับ เพราะผมเป็นคนชอบแบบที่ท่านพูดตรง ๆ ถามอะไรตอบได้ แบบอยากเจอพระที่ท่านเก่ง ๆ เก่งแบบทุกด้านเลยทั้งทางโลกทางธรรม..

    แล้วสุดท้ายผมดันเจอพระรูปนั้นด้วยนะ เออบุญผมก็ยังดีเหมือนกันนะครับ

    ท่านเก่งขนาดไหนเหรอครับ ทางโลกท่านจบ ดร. ความรู้ทั่วไปไม่ต้องพูดถึง เอาภาษาที่ท่านพูดได้เอาเท่าที่รู้นะ มี ไทย จีน พม่า อังกฤษ เขมร...

    ทางธรรมหรอครับ เอาที่ประจักษ์กับตัวผมเองเลยนะ ก็มีตอนที่ผมบวชหมู่ 108 รูป ระยะสั้น 9 วัน แล้วทางวัดจัดให้ผมนั่งสมาธิร่วมกัน ผมนี่ฟุ้งซ่านสุด ๆ ตัวอะนั่ง แต่ใจอะวิ่งไปไหนไม่รู้ แล้วผมก็กดดันตัวเองไว้เยอะด้วยเป็นพระแล้วก็อยากเป็นพระดี ตอนนั้นยิ่งพยายามก็ยิ่งฟุ้งซ่านนะ คราวนี้ไม่เป็นอันนั่งแล้ว

    ด้วยความสลดและเศร้าใจ ผมเลยลืมตามมองหลวงพ่อท่านครับ ในใจก็คิดหลวงพ่อช่วยลูกด้วย ๆ ๆ 55555

    ซึ่งท่านอยู่บนเก้าอี้หลับตาอยู่ครับ ห่างจากผมไปประมาณ 6 เมตร..ไม่รู้ผมจิตสังหารเยอะไปหรือยังไง ท่านลืมตามองมาที่ผมทันที What ??!?

    ท่านมองหน้าผมเสร็จไม่พอครับ คราวนี้ท่านเปิดไมค์ เทศน์เดี๋ยวนั้น เลยใจความประมาณนี้ครับ (อาจไม่สมบูรณ์เพราะตั้งแต่ปี 57 นู้น..)

    "ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดมีแต่ต้องฝึกฝน ขัดเกลาตัวเองไปเรื่อย ๆ ทั้งนั้น" 

    และเหตุการณ์แบบนี้ ผมเจอกับตัวอีกหลายหนครับ (ไว้เล่าโอกาสหน้านะ เล่าหมดเดี๋ยวไม่มีอะไรเขียน) ค่อนข้างหายสงสัยนะครับเรื่องนี้ เพราะที่ผมเรียนมาศึกษามาคงไม่มีวิชาไหนในโลกแล้วละที่สอนคนเราให้ได้รู้จิตใจคนอื่นได้นะครับ ยกเว้นพระพุทธศาสนาเผื่อใครสนใจเขาเรียก "เจโตปริยญาณ" นะครับ คนทำได้นี่เก่งประมาณหนึ่งเลยละ

    คราวนี้ผมเจอแบบนี้ผมก็ถูกใจสิครับ คราวนี้ก็เริ่มไล่อ่านธรรมะของท่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งอ่านยิ่งถูกใจ ยิ่งอยากทำตาม ยิ่งอยากเก่งแบบท่าน

    แต่การตามนั้น มันแฝงด้วยความดีเยอะ... ผมชอบธรรมะเพราะผมอยากเก่ง ผมชอบตอนผลลัพธ์ของมันเสียแล้ว ชอบตอนที่มีฤทธิ์จะได้บินไปเที่ยว... 5555

    ซึ่งผมก็พบว่า จะอะไรก็แล้วแต่ถ้าเราชอบมันแค่ตอนได้ผลลัพธ์เราไม่มีทางเป็นสุดยอดเรื่องนั้นได้เลย  อย่างการจะมีฤทธิ์ ได้สมาธิ ทรงฌานได้นี่มันต้องผ่านฝึกฝนตัวเองหนักขนาดไหนใครจะไปรู้ครับ หลวงพ่อท่านบอกท่านเริ่มฝึกตัวเองตั้งแต่อายุ 15 ตอนนั้นเป็นเด็กฝึกงานร้านซ่อมรถ เข้างาน 6 โมงเช้าเลิก 3 ทุ่ม

    ท่านบอกเวลาปฏิบัติท่านจะเป็นตอนช่วงเช้าตื่นนอนมานั่งสมาธิ 1 ชั่วโมงออกกำลังกายแล้วไปเตรียมงานจากนั้นตอนบ่ายมีเวลาพัก 1 ชั่วโมงท่านจะกินข้าวให้เร็วที่สุด แล้วใช้กระดานเลื่อนมุดเข้าใต้ท้องรถ ภาวนาแทน และทำแบบนี้ทุกวัน !!!

    ผมนะเหรอฟังแล้วก็รู้สึกไม่ใช่เลยครับ ผมไม่ได้ชอบทำอะไรแบบนั้น อารมณ์ประมาณอยากเป็นคนรวยแต่ไม่อยากหาตังค์อะ

    เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีวันถึงฝั่งฝันของนักปฏิบัติธรรมขั้นสุดยอดหรอกครับ การปฏิบัติธรรมกว่าจะถึงช่วงที่เราจะพยูงจิตใจไม่ให้มันไหลไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ไม่ใช้ไปเข้าคอร์สปฏิบัติกัน 3 วัน 5 วัน แล้วได้เลย มันแลกมากับความพยายามทั้งชีวิตครับ....ผมกล้าพูดเลย

    แล้วสิ่งหนึ่งที่ผมตกเป็นเหยื่อมของมัน อย่างขอขอบคุณในภายหลังเลย คือผมมักจะคิดว่าตัวเองดีกว่าอื่น ! แหมจะทำอะไรนี่เราทำสูงส่งไปหมด ถือศีล 8 ถือศีล 5 ได้ก็ต้องพยายามไปบอกคนอื่นให้ทำตามด้วย เขาจะได้ดีแบบเรา โถ... พ่อคุณเอาตัวเองให้รอดก่อนไหม ?

    โดยตัวผมเองช่วงแรกนี่จะ ปากจะชอบหลุดธรรมะออกมาตลอดครับ เอะอะก็ศีล เอะอะก็ทุกข์ เอะอะก็ปฏิบัติธรรม ซึ่งทั้งหมดนั้นมันแฝงไปด้วยความอยากโดนชมครับ ไอ้ตัวอยากโดนชมนี่มันเป็นกิเลสที่น่าเกลียดมากตัวหนึ่งเลย อัตตา นั่นเอง

    เราปฏิบัติธรรมเพื่อให้เห็นอัตตา ลดอัตตาตัวตนของตัวเองลง แต่ไอ้การอยากให้คนอื่นมาชมนี่มันละ อัตตาไหม ??

    นั่นแหละครับ พิมพ์ไปก็รู้สึกว่าได้บทเรียนดีนะ ตอนนี้ผมเลยสยองมากเลย ถ้าใครจะมารู้ว่าผมปฏิบัติธรรม เพราะผมไม่อยากกอยู่ในอารมณ์แบบนั้นอีกแล้ว (แล้วที่พิมพ์นี่อยากโดนชมไหม บอกเลยไม่ครับ แค่อยากฝึกสกิลเขียน)

    เพราะฉะนั้น ผมเลยได้คำไว้สอนใจตัวเองประมาณนี้

    อย่าไปสอนใคร เอาตัวเราให้รอด ไม่ต้องไปว่าร้ายใคร เอาใจเราให้สบาย ไม่ต้องอยากให้ใครชม เพราะมันไม่มีประโยชน์ เราจะดีไม่ดีมันอยู่ที่ศีล ไม่ได้อยู่ที่ปากใคร

    เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมเลยกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่พยายามทำตัวให้กลมกลืนที่สุดในสังคม ผมจะไม่เคยสอนธรรมะใคร ไม่เคยพยายามโน้มน้าวใคร เหมือนผมใจดำใช่ไหมครับ ป่าวหรอกผมพยายามมาเยอะแล้ว 

    อย่างสถานการณ์ตอนนี้เราจะเห็นได้เลยว่า ห้างสรรพสินค้าคนเงียบมากเพราะกลับไวรัส Covid19 ใช่ไหม แต่ทำไมร้านเหล้าคนยังแน่นเหมือนเดิม ???

    คนเราเขาชอบอะไรเขาก็ไปอย่างนั้น เขาเห็นอะไรดีเขาก็ทำอย่างนั้น เราเกิดมาไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ เรามีหน้าที่ประคองตัวเองให้มันพ้นนรกก็พอ..

    ซึ่งก็คือหลักการ ทำหน้าของตนเองให้ดีที่สุดนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เรามาทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดกันนะครับ..

    บายครับ
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×