ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 08

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.25K
      395
      2 พ.ค. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 8


    พอร์ช ภูดิศ เพื่อนหนึ่งตะวันหน้าตาดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก

    บีเอ็มดับบลิวรุ่นใหม่ล่าสุดแล่นปราดมาจอดหน้าทางเข้าไร่ ก่อนที่ผมจะเป็นคนเอารถกระบะออกไปนำทางเข้าบ้านพักที่ห่างออกมาจากถนนใหญ่พอประมาณแล้วเปลี่ยนกุญแจให้ไอ้โจ้เอากระบะไปเก็บ ส่วนตัวเองก็เอารถหรูของเพื่อนคุณหนึ่งไปไว้ในที่จอดอีกคัน ปล่อยให้ป้าแววเป็นคนรับแขก ส่วนแม่กำลังเตรียมน้ำท่าให้คุณ ๆ อยู่หลังบ้าน

    “คุณพอร์ชนี่หล่อมากเลยเนอะ คุณกฤชเนอะ”

    ไอ้โจ้พูดทันทีหลังจากเราลงจากรถคนละคันในเวลาไล่ ๆ กัน ผมพยักหน้า ไม่ขยายความ ไม่มีความเห็น หน้าตาดีกว่าที่คิด แตไม่ได้รู้สึกว่าหล่อมากอย่างที่สมุนเยินยอ

    “หรือจะเป็นแฟนนายน้อย”

    “เขาบอกเป็นเพื่อนกัน”

    “เรื่องแบบนี้เชื่อได้ที่ไหน” ไอ้โจ้ว่า มิวายสำทับ “เพื่อนอะไร แค่เอ็นฉีกต้องมาเยี่ยมกันถึงโคราชเชียวหรือ”

    “นายน้อยของเอ็งโทรไปอ้อนน่ะสิ” ตอบพลางถอนหายใจ ความรู้สึกแบบวันนั้นมันพูดออกมาได้ยาก ผมไม่อยากใช้คำว่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พอใจเมื่อหนึ่งตะวันให้เตรียมห้องสำหรับหญิงสาวเพียงคนเดียวอยู่ดี

    “นั่นปะไร” ลูกสมุนตบมือฉาด เดินเอาแขนล่ำ ๆ ของตัวเองมาเบียดผม “คนเป็นแฟนกัน เจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ต้องอ้อนกันธรรมดา นี่คงร้างมานาน กลับมาก็ให้อยู่ห้องเดียวกัน แหม คืนนี้ได้ฟัดกันให้หายอยาก คนมีคู่ก็ดีแบบนี้ล่ะน้า”

    กล่าวพลางลอยหน้า ผมหายใจขัดในลำคอ แต่ยังแสดงออกทางสีหน้าเรียบนิ่ง “นินทานาย เดี๋ยวได้โดนดี จะไปไหนก็ไปไป”

    “คุณกฤชอารมณ์ไม่ดีเหรอ”

    “เปล่า ปกติ ข้าปกติมาก”

    “แต่โจ้ว่าดูหงุดหงิดนา” ว่าพลางยืดตัวใช้นิ้วป้อม ๆ มากดที่เหนือคิ้ว “ขมวดเป็นปมแล้ว”

    “สู่รู้จริง ข้าไปช่วยงานแม่แล้ว อย่าลืมไปเอาเอกสารที่พี่ก้อยมาส่งล่ะ ข้าต้องรวบรวมให้นายก่อนสิ้นเดือน”

    ไอ้โจ้ตะเบ๊ะรับ วิ่งปรู๊ดหายไปจากสายตา ผมผ่อนลมหายใจออกมา ยกมือนวดขมับที่แข็งเกร็งก่อนเดินกลับบ้านด้วยจิตใจที่ไม่สมปะดี




    “กฤชขี้หึงเกินไปแล้ว”

    เสียงหวานของหญิงสาวแข็ง แทบจะตะโกน กอดอกสวมเสื้อกาวน์ของสัตวแพทย์ ออกมาจากคลินิกทั้งอย่างนั้น มือยังสวมถุงมือยาง แต่ไม่ได้เปื้อนเลือด เคสไม่เร่งด่วน

    “คุณโตนเป็นลูกค้า เขาแค่อยากให้ไปดูวัวที่ไร่ ไม่เห็นจะต้องไปเฝ้ากันเลย”

    “แต่พี่นุ่นเป็นผู้หญิง”

    “ไม่ได้ไปคนเดียว เดชก็ไปด้วย บอกแล้วนี่”

    “พี่นุ่นไม่เคยระวังตัวเลย ไอ้โตนอะไรนั่นมองพี่นุ่นตาเป็นประกาย” ผมกลืนน้ำลาย มันดังมากท่ามกลางความเงียบที่กำลังเถียงกัน “ผมไปช่วย ให้เป็นลูกมือก็ได้”

    “กฤช ทำแบบนี้เพื่อนพี่จะไม่ชอบใจ”

    “ผมก็เรียนสัตวแพทย์เหมือนพี่นุ่น เหมือนพี่เดช ทำไมถึงไปช่วยไม่ได้ ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียหาย เป็นการฝึกงานในตัวด้วย”

    “เพราะทุกคนรู้ไงว่ากฤชมาด้วยจุดประสงค์อะไร!” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาใต้แว่นกรอบแดงเริ่มคลอไปด้วยน้ำใส ผมรู้สึกผิดที่ทำให้พี่นุ่นไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความต้องการของตัวเอง

    “ผมจะไปด้วย”

    “กฤช!”

    “ถ้าพี่นุ่นบริสุทธิ์ใจจะกลัวอะไร”

    “หัดไว้ใจกันบ้างได้ไหม! กฤชกำลังทำให้พี่เป็นบ้า! กระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ไปเที่ยวกับเพื่อนที่มีผู้ชายก็ต้องไปเฝ้า โทรศัพท์เข้าก็นั่งฟัง นี่มันเรื่องงานแล้วนะ ทำไมไม่เข้าใจอะไรบ้าง”

    “พี่นุ่นต่างหากที่ไม่เข้าใจ!” ถึงคราวที่ผมขึ้นเสียง แฟนสาวน้ำตาก็ร่วงกรู “ผมเป็นห่วงพี่นุ่น”

    “หึงหน้ามืดเสียมากกว่า กฤชกลัว เพราะกฤชแย่งพี่มาจากนิว แล้วก็เป็นกฤชเองที่ไม่ไว้ใจว่าพี่จะถูกใครฉกไปอีก กฤชไม่ให้เกียรติพี่”

    “แล้วมันไม่จริงหรือไง! พี่นุ่นจะให้ผมสบายใจได้ยังไงในเมื่อใคร ๆ ก็ชอบพี่นุ่น เดี๋ยว!” ผมคว้าข้อมือเล็กได้ก่อนอีกฝ่ายจะผละหนี พี่นุ่นหันหลัง เสียงสั่นเครือ ในขณะที่ผมเจ็บปวดไม่แพ้กัน

    “สงบสติอารมณ์เถอะกฤช โตเป็นผู้ใหญ่ ทำเรื่องแบบที่ผู้ใหญ่จริง ๆ เขาทำได้สักที”

    ”กฤช...”


    “กฤช...”

    “ตากฤช!”

    เสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้ง ภาพในภวังค์เมื่อครู่หายไป กลายเป็นฝุ่นผงในอากาศ ลอยปนกับควันสีขาวที่ลอยคลุ้งมาจากหม้อหุงข้าวที่ดีดใหม่ ๆ

    “แม่บอกให้ตักข้าวไปเสิร์ฟ ทำอะไร”

    “ขอโทษครับ วันนี้เพลียนิดหน่อย” ผมปดคำโต มารดาส่ายหน้าแต่ไม่ซักไซ้ พักเดียวก็พากันยกสำรับออกมาที่ห้องนั่งเล่น วันนี้คุณหนึ่งลงมาทานข้าวข้างล่างหลังจากที่หมกตัวอยู่ในห้องให้ผมยกข้าวขึ้นไปทานด้วยตลอดหลายวันที่ผ่านมา

    ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกเรื่องที่ตัวเองทะเลาะกับคนรักเก่าขึ้นมาอีก เป็นเวลานานแล้ว ผมเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย พี่นุ่นเริ่มทำงานจริง ๆ จัง ๆ กับโรงพยาบาลสัตว์ที่เดียวกับพี่เดชเพื่อนรุ่นเดียวกัน ส่วนลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลตอนนั้นคือคนที่เป็นแฟนกับพี่นุ่นปัจจุบัน เราทะเลาะกัน พี่นุ่นปรึกษาพี่ปูน พี่ปูนมีแฟนอยู่แล้ว ผมไม่คิดอะไรมาก จนพี่นุ่นมาขอเลิก และไม่นานจากนั้นพี่ปูนก็เลิกกับแฟน

    เรื่องราวระหองระแหงที่บางครั้งก็เป็นฝันร้าย บางคราวก็เป็นฝันดี เราบอกเลิกกันในร้านกาแฟเล็ก ๆ พี่นุ่นร้องไห้ พร่ำคำว่าขอโทษนับล้าน

    ทั้งที่เคยโมโหหึงจนมีปากเสียงกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่ออีกฝ่ายยืนยันว่าจะไป ผมก็ไม่นึกโกรธพี่นุ่นเลย เสียใจมาก แต่ยอมรับสภาพ ไม่คิดว่าวันนั้นตัวเองจะสงบนิ่งเหลือเกิน


    “กินด้วยกันสิ”

    คุณพอร์ชเป็นคนเอ่ยชวนเมื่อผมเดินเลื่อนลอยไปที่โต๊ะอาหาร ยกจานข้าวทั้งสามออกจากถาดจนมันว่างเปล่า ผมเหลือบตาขึ้นมองคนพูดก่อนตวัดหางตาไปยังคนข้าง ๆ นายน้อยนั่งนิ่ง ไม่หือไม่อือ ไม่ชวนแต่ก็ไม่ปฏิเสธ

    “ชื่ออะไรนะ กฤชใช่ไหม ตะวันเล่าให้ฟัง”

    “ตะวัน?”

    “อ้อ เป็นชื่อที่เรียกกันสองคนน่ะ สมัยมัธยมในห้องมีคนชื่อหนึ่งสองคน โหลชะมัด ตะวันนี่ก็โหล เชยระเบิด ไม่มีพ่อแม่ใครตั้งชื่อเล่นลูกว่าตะวันแล้วมั้ง เอามาเรียกเสียเลย” แค่นี้ก็อธิบายความสนิทชิดเชื้อของแขกใหม่กับเจ้าบ้านได้เต็มที่ ผมพยักหน้า เตรียมจะปฏิเสธแต่คุณพอร์ชก็กวักมือเรียกให้นั่งซ้ำอีกครั้ง

    “นั่ง ๆ ยายแพทอยากรู้จัก”

    “พี่พอร์ช!”

    “เขินอะไรเล่า เมื่อกี้ใครรบเร้าให้พี่ถามว่าเขาเป็นใคร”

    เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับผมหน้าแดงก่ำ เธอมีโครงหน้าคล้ายพี่ชาย อวัยวะทุกส่วนสมดุลกันทั้งซ้ายและขวา นั่นทำให้คุณแพทเองก็ดูงามสง่าไม่ด้อยไปกว่ากัน ว่ากันว่าความสวยหล่อเกิดจากสมดุลของรูปหน้า มันพอดี เหมาะเจาะ ไม่ขาดไม่เกิน บ่งบอกว่าเป็นสายพันธุ์ดีเหมาะที่หนุ่มสาวใด ๆ จะหมายปองโดยธรรมชาติ

    ผมยังไม่ทันตอบอีกครั้ง คราวนี้เจ้าบ้านเป็นคนเอ่ยแทรกบทสนทนา “แค่คนงานอย่าไปรู้จักมากเลย แพทน่ะเหมาะกับลูกชายรัฐมนตรีอย่างคุณปริญเป็นไหน ๆ”

    “แหม พี่หนึ่งก็” แม้แต่น้องสาวยังเรียกหนึ่งตะวันด้วยชื่อเล่นจริง ๆ ผมเหลือบตามองนายน้อย หัวคิ้วกระตุก “พี่ปริญจืดออกจะตาย ดีแต่รวย อย่างอื่นทื่อมะลื่อเสื้อผ้าหน้าผมใช้แบรนด์เนมเสียเปล่า ไม่มีรสนิยม แพทว่าจะขอพ่อให้ยืดเวลาหมั้นไปอีกนิด”

    “จะได้เร้อ” พี่ชายของคุณแพทล้อ น้องสาวเลยได้ทีตวาดแหว

    “ใครใช้ให้พี่พอร์ชทำความแตกว่าเป็นเกย์ล่ะ แพทเลยถูกจับคู่ให้ ความผิดตัวเองแท้ ๆ แทนที่จะได้พบรักกับหนุ่มบ้านไร่” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ผมโค้งตัวรับนิด ๆ ตามมารยาท “กลายต้องเป็นว่าที่คู่หมายของตี๋จืดที่มีแค่เงิน”

    “ก็ว่าไป” พี่ชายพูดกลั้วหัวเราะ ผมใช้จังหวะนี้เพื่อปฏิเสธ

    “ผมไปทานกับแม่สะดวกกว่าครับ”

    “เห็นไหม ไปสิ เดี๋ยวป้าสายใจรอ”

    ประโยคดังกล่าวไม่ต้องเสียเวลาเงยหน้ามามองให้มากความว่าใครเป็นคนพูด ผมชะงักค้าง เตรียมหมุนตัวกลับแต่คุณแพทเธอรั้งเอาไว้อีกรอบ “นะคะ พี่หนึ่ง ให้กฤชนั่งทานข้าวด้วยกันหน่อย อย่างน้อยเป็นอาหารตาให้แพทชื่นใจก็ยังดี”

    “แต่กฤชต้องไปทานข้าวกับแม่” นายน้อยเอ่ยขัด มิวายสำทับด้วยคำปดคำโต “ปกติสองคนเขาทานด้วยกัน แพทจะให้ป้าสายใจทานข้าวคนเดียวจริง ๆ เหรอ”

    ผมยืนแน่นิ่งอีกครั้ง คุณหนึ่งจงใจไม่ให้ผมร่วมวงทานอาหาร อันที่จริงก็ไม่ได้โปรดปรานการทานข้าวร่วมกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว แต่ปฏิกิริยาเจ้าของบ้านทำให้ผมเผลอหายใจแรง เพราะเหตุใดที่หนึ่งตะวันอยากให้ผมหลบหลีกหนีห่างไปให้มากที่สุดทั้ง ๆ ที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังพูดได้เต็มปากว่าจะให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับตัว 

    แน่ล่ะ เขาไม่อยากให้ใครรู้ความสัมพันธ์เชิงนั้นระหว่างตัวเองกับคนงานกระจอก ๆ ผมไม่ได้ดูถูกตัวเอง แต่มันเป็นแบบนั้น ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อมีคนนอกร่วมวงด้วย

    หรือบางที...คนนอกที่ว่าอาจเป็นคนในสุด ๆ แบบที่ไอ้โจ้สงสัย

    ผมหมุนตัวกลับมา ปั้นหน้ายิ้ม หนึ่งตะวันชอบผม เรื่องนั้นจริงแน่ แต่ไม่อยากให้ภูดิศรู้อาจจะเพราะกลัวแฟนหนุ่มหึงหวงและตัวเองจะอดงาบคนงานระหว่างที่เปลี่ยวเหงา ผมจ้องเจ้าของบ้านด้วยแววตาเย็นเยียบ นึกโกรธอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่ทราบเหตุผล
    อันที่จริงแล้วผมไม่ควรจะใส่ใจมันด้วยซ้ำ...แต่ก็หักห้ามความรู้สึกขุ่นในใจของตัวเองไม่ลง

    “ถ้าเพื่อนคุณหนึ่งอยากให้ร่วมโต๊ะด้วย อันที่จริงผมก็ไม่มีปัญหา”

    “จริงเหรอ ดีจัง” สตรีเพียงหนึ่งเดียวปรบมือเบา ๆ ใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาสุกใสเป็นประกายเหมือนเด็ก “นั่งเลยค่ะ นั่งข้าง ๆ แพท จะได้ไม่เหงา แพทกลัวการทานข้าวร่วมกันสามคนมาก พี่พอร์ชไม่เคยสนใจแพทเลยทุกครั้งที่พี่หนึ่งอยู่ด้วย อย่างดีก็ได้แต่ลากมาไม่ให้ป๊าสงสัยว่าคบกับพี่หนึ่งแบบไหน”

    “แล้วคบแบบไหนล่ะครับ?”

    “complicated ค่ะ ค่อนข้างอธิบายยาก” สาวน้อยหัวเราะร่วน ผมคดข้าวในส่วนของตัวเอง เลื่อนจานมานั่งเคียงข้างกับคุณแพทอย่างเป็นธรรมชาติ หนึ่งตะวันนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนเห็นกรามชัดเป็นสันนูน

    “มีแต่ของโปรดพี่พอร์ช ไม่แฟร์เลย”

    “คุณหนึ่งสั่งเอาไว้น่ะครับ”

    “ไม่แปลกใจค่ะ” แพทกล่าวเซ็ง ๆ ตักเนื้อปลากะพงสีขาวสะอาดใส่จานให้ “ฉะนั้นต้องรีบกินเป็นการแก้แค้น พรุ่งนี้แพทขออะไรเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ เป็นพวกต้มยำได้ไหมคะ ถ้าไม่รบกวนเกินไป”

    “ไม่ครับ” ผมตอบ “ยินดีมาก แม่กับป้าแววจะได้ไม่เหนื่อยคิดว่าจะทำอะไรเอาใจคุณ ๆ ดี”

    “คุณกฤชน่ารัก” สาวงามเอ่ยชม ยิ้มจนตาหยี ขณะที่หนึ่งตะวันโมโหจนหน้าดำหน้าแดง ผมหัวเราะในลำคอ เหลือบตามองอีกฝ่ายแล้วตักกุ้งตัวโตให้น้องสาวคุณภูดิศเป็นการตอบแทน



    นับเป็นมื้ออาหารที่ไม่ใคร่จะถูกปากนัก

    ผมยกจานมาเก็บในครัว ช่วยแม่เช็ดล้างขณะที่ไอ้โจ้พาคุณพอร์ชกับคุณแพทไปเดินเล่น หนึ่งตะวันกำลังอาบน้ำ ผมพยุงไปส่งจนถึงห้องแต่เราไม่ได้พูดอะไรกัน
    อารมณ์ขุ่น ๆ ยังลอยฟุ้งอยู่ในใจ เหมือนวิ่งตามรถบรรทุกไปบนถนนลูกรัง มีแต่ฝุ่นสีส้มแดงลอยตลบ มองไม่เห็นทางข้างหน้า ไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไรให้สงบลงเสียที

    “ตายจริง เหมือนฝนจะตก” ป้าแววร้องขึ้นมา ผมกำลังเช็ดจานให้แห้งชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ลมพัดแรงหลังจากร้อนอบมาทั้งวันจริง ๆ “สายใจ เก็บผ้าหรือยัง”

    “ยังเลย กฤช แม่จะไปช่วยป้าแววเก็บผ้าเข้าที่ร่มก่อน จัดการที่เหลือในครัวเองได้ไหม”

    “ครับ” ผมรับคำ สองสตรีวัยกลางคนหายไปแล้ว คราวนี้ก็เหลือเพียงตัวคนเดียวกับความคิดที่แน่นในอก คืนที่ฝนตกแบบนี้หนึ่งตะวันคงกอดซุกภูดิศเสียจนสมใจ

    ไม่รู้ว่าทำไม นั่นสิ ผมยังจมอยู่กับคำถามว่าทำไม ทำไม และทำไมถึงนึกขึ้นมาแต่เรื่องของหนึ่งตะวันไม่หยุดหย่อน คำตอบก็ประโยคแรกที่ตั้งต้น คือไม่รู้ ผมไม่เข้าใจตัวเองสักนิดว่าเพราะเหตุใดถึงมีเพียงความขุ่นหมองในใจเมื่อความสัมพันธ์ของตัวเองกับนายน้อยไม่สู้ดีเท่าไรนัก

    มันก็แค่กลับมาที่เก่า เราก็แค่ไม่ชอบหน้ากันเท่านั้นเอง

    “เฮ้” เสียงของใครบางคนที่เป็นส่วนประกอบของจินตนาการดังทัก ผมเอี้ยวตัวกลับไปมอง คุณพอร์ชกลับมาก่อนฝนจะลงเม็ด “มีไฟแช็กไหม”

    “ไม่มีครับ จุดที่เตาแทนได้ไหม” ผมหมายถึงบุหรี่ที่เจ้าตัวคาบอยู่ เขาพยักหน้า แล้วเดินมาที่เตา บุหรี่คงเหม็นกลิ่นแก๊ส แต่นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

    “ตะวันดูดจัดไหม ช่วงนี้?”

    “คุณหนึ่งสูบบุหรี่ด้วยเหรอครับ”

    “อ้อ ที่บอกว่าเลิกบุหรี่นั่นพูดจริงสินะ” เขาหัวเราะ กระโดดขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ครัว ไขว่ห้าง ยืดตัวโดยใช้แขนข้างซ้ายยันร่างไว้ไม่ให้ล้ม เมื่อมองจากมุมนี้จะเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามและมีเสน่ห์เย้ายวนในแบบของผู้ชายแบบที่สาว ๆ คลั่งไคล้ได้ไม่ยากเย็นตามคำกล่าวอ้างของหนึ่งตะวันทุกระเบียดนิ้ว

    ควันสีขาวลอยฟ่อง ภูดิศยื่นมือออกไปเคาะขี้เถ้านอกหน้าต่าง “หมอนั่นเป็นคนสอนฉันสูบแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะชิ่งเลิกบุหรี่ก่อน แล้วนายไม่ดูดบุหรี่เหรอ”

    “ไม่ครับ”

    “เหล้าล่ะ ชอบไหม”

    “ดื่มได้” ผมตอบตามจริง “แต่ไม่ชอบเท่าไร”

    ภูดิศหัวเราะพลางพูดทะเล้น “ถ้ายายแพทอยู่นานเข้าคงหลงรักนายจริง ๆ อย่างกับพระเอกนิยายยุคโบราณ หล่อล่ำ แข็งทื่อ ยียวน มาดแมน ไม่สำอาง” 

    ผมไม่ต่อล้อต่อเถียง รู้ว่าคุณแพทแค่แซวเล่นตามประสาคุณหนูปากกล้า ตัวพี่ชายเองก็บุคลิกไม่ต่างกันนัก ดูเขาอารมณ์ดี และขี้เล่นเป็นที่สุด 

    “ดูแลไอ้ตะวันเหนื่อยเลยสิ”

    “ก็นิดหน่อยครับ”

    “ช่วงที่ไปอยู่อังกฤษด้วยกัน ฉันช่วยฝึกให้นิสัยดีขึ้นเยอะแล้วนา ไม่งั้นมีหวังนายได้ผูกคอตายใต้ขื่อองุ่นตั้งแต่สองวันแรกที่ต้องรับมือ”

    “เขาเรียกค้างองุ่น” ผมแก้ให้ แต่อีกฝ่ายสะบัดมือไปมาราวกับไม่อยากฟังนัก

    “รู้ใช่ไหมว่าแม่มันตาย พ่อก็ไม่มีเวลาให้ ลำพังเป็นลูกคนเดียวก็ถูกตามใจจะแย่ อ่อนแอ ดื้อรั้น งี่เง่า ยิ่งโตมาในภาวะที่ไม่รู้สึกว่ามีใครรักอะไร ๆ ก็บิดเบี้ยวเว้าแหว่งไปเสียหมด”

    ผมพยักหน้า แต่ไม่กล่าวเสริม ปล่อยให้ภูดิศพูดถึงเพื่อนคนพิเศษของตัวเองต่อ “ช่วงมหาวิทยาลัยจนจบปริญญาตรีมันไม่เป็นโล้เป็นพายเลย เอาแต่เที่ยวเล่น เปลี่ยนแฟนนับไม่ถ้วน ดีที่ปอดแหก ไม่อย่างนั้นติดโรคไปนานแล้ว แปลกใช่ไหม ดูเป็นคนเกเรมากน่าจะรู้ทันใคร ๆ เปล่าหรอก พยายามเกเรไปอย่างนั้นแหละ งี่เง่าจะตาย แต่ก็ร้ายกาจ เจ้าแผนการใช่เล่น”

    รอบนี้เห็นด้วยอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ผมก็ยังคงไม่สำทับ เช็ดจานชามทีละใบ ช้า ๆ เฝ้าคอยว่าเจตนาที่ภูดิศมาคุยด้วยแบบนี้คืออะไร

    “นึกออกใช่ไหม ว่าคนที่พยายามจะโตมาด้วยตัวเองมันเจ็บปวด ไม่ค่อยอยากให้ใครมาบงการชีวิต แต่มันก็กาก ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ตะวันมันไม่ค่อยได้เรื่องหรอก แต่โกงเก่ง พยายามเก่ง ถ้ามันทำอะไรโง่ ๆ อย่าไปถือสามันเลย คิดเสียว่าสอนเด็กให้รู้จักโต”

    ภูดิศเงียบไปเพื่ออัดนิโคตินเข้าปอด เขากระโดดลงมาจากเคาน์เตอร์ครัว ผมเองก็ละสายตากลับมาที่จานชามกองเดิมต่อ

    “ที่นี่มีแต่นายที่มันอยากให้ดูแล บนโลกนี้นอกจากฉัน ก็มีนายนี่แหละที่มันอยากให้สนใจมากกว่าใคร กับพ่อมันยังไม่งี่เง่าใส่ขนาดนี้ นายรู้ดี ฝากด้วยแล้วกัน” 

    แรงตบบนบ่าเกิดขึ้นระยะเวลาสั้น ๆ กลิ่นมินต์จากมวนกระดาษที่เผาไหม้ลอยตลบ ผมหันกลับไป เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของภูดิศที่หายไปจากประตูห้องครัวขึ้นไปชั้นสอง ท่ามกลางความสับสน ผมวางมือจากงานที่ทำลง เหม่อมองเงาดำมืดของยอดไม้ที่ปลิวไหวก่อนพระพิรุณจะหลั่งลงมา

    ผมถอนหายใจรอบที่ล้าน ยังคงสับสนและอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เหมือนเดิม



    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×