ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 07

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.38K
      399
      29 เม.ย. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 7



    โชคดีที่แค่เอ็นข้อเท้าฉีกตอนที่นายน้อยร่วงลงจากหลังม้า นอกจากนั้นก็มีรอยถลอกและฟกช้ำตรงก้นกบ ข้อศอก และท้องแขน สะบักสะบอมแต่ก็ไม่หนักหนาสาหัส อย่างน้อยก็มีแรงกวนประสาทโทรไปโอดโอยกับป้าแววว่านั่งรถไม่ไหวแล้วต้องขอนอนโรงแรมในเมืองสักวันแผลจะได้ไม่กระเทือน
    พอถึงที่พักตามคำปด คว้าไม้ค้ำไหล่ที่ซื้อมาได้ก็ตะเกียกตะกายลงจากรถทั้ง ๆ ที่ยังใช้ไม่เป็น

    “นั่งอยู่ข้างบนก่อน”

    พูดพลางยื้อไม้ค้ำแขนทั้งสองอันมาปรับระดับ เมื่อคิดว่าความสูงสมดุลกับร่างกายแล้วก็สั่งให้อีกฝ่ายเกาะบ่า นายน้อยเบะปาก แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี

    “ถ้าคุณไม่อยากอยู่กับผมตามลำพังก็ควรจะกลับบ้าน แล้วแยกย้ายกัน ไม่ใช่หาเรื่องนอนโรงแรมแบบนี้”

    “ฉันปวดขา ก็บอกไปแล้วนี่ นั่งรถนาน ๆ มันกระเทือน”

    “ไม่เท่าไรหรอกคุณ” ผมถอนหายใจหน่าย เอาใจยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน “เดี๋ยวผมไปจองห้องพักให้ คุณไปรอที่ล็อบบี้โรงแรมก่อนแล้วกัน”

    “ฉันไปด้วย”

    “จะเดินไปเดินมาทำไม”

    “เอาเตียงคู่” หนึ่งตะวันลอยหน้าลอยตาพูด ผมไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะยียวนได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าผมไม่ชอบใจเรื่องความรู้สึกที่มันเกินเลยจากสัมพันธภาพของลูกผู้ชายแต่ก็ดึงดันที่จะทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาย้ำคำว่า “เท่านั้น” อีกหน

    ห้องพักที่ได้เป็นห้องขนาดกลาง ไม่หรูหรามาก แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ โรงแรมสี่ดาวมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน นายน้อยหนึ่งตะวันดูจะเพลิดเพลินดีกับการนั่งที่ขอบอ่างอาบน้ำแล้วจัดการตัวเอง คงดีกว่านี้ถ้าเขาได้นอนแช่น้ำอุ่นแต่ปัญหาในการลุกนั่งตอนนี้ไม่ปกติ ถ้าหนึ่งตะวันอยากแช่น้ำอุ่น แน่นอนนั่นหมายถึงผมต้องเป็นฝ่ายเข้าไปประคองเขายืนทั้ง ๆ ที่ตัวเปลือยเปล่าและเปียกลื่นไปด้วยหยดน้ำ

    เสียงฮัมเพลงเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ และเงียบลงในที่สุด ผมนั่งดูทีวีที่โซฟาอย่างคนไม่มีอะไรทำ โดยนิสัยแล้วไม่ชอบดูโทรทัศน์เท่าไร ถ้าว่างไม่ลงไร่ ก็อ่านหนังสือ ไม่ก็เข้าอินเตอร์เน็ตศึกษาหาความรู้อะไรใหม่ ๆ ไปเรื่อย

    ครั้งหนึ่งผมมีความฝันว่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่นึกถึงความเป็นจริงแล้วช่างเป็นไปได้ยากเหลือเกิน ผมมีหน้าที่มากมายที่ต้องรับผิดชอบ ถึงแม้นายจะไม่ได้ผูกมัดไว้ด้วยสัญญา การที่ผมทิ้งไร่นี้ไปตามหาความฝันใด ๆ ก็ตามของตัวเองคงดูเนรคุณกับผู้ส่งเสียไปหน่อย

    สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ลดหลั่นความปรารถนาของตัวเองลงมาเป็นความฝันอันดับสองเพื่อทำตามเจตนารมณ์ของคุณชนินทร์ที่อยากให้ใครสักคนช่วยดูแลไร่ก่อนลูกชายคนเดียวจะพร้อม อันที่จริงลูกน้องทุกคนไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าชายร่างท้วม ผมสีดอกเลาบางเต็มทนนั่นไม่ใช่ผู้ชายที่เต็มไปด้วยเมตตา เขาทำอะไรไม่ได้เพื่อผลประโยชน์ แค่ต้องการสร้างบุญคุณแต่แรกเริ่มเพื่อผูกมัดเป็นสัญญาใจ คุณชนินทร์เป็นคนฉลาด มีวิธีการมากมายที่จะจัดการลูกน้องและลูกค้าให้อยู่หมัด เช่นเดียวกับลูกชายตัวเอง ดังนั้นคุณหนึ่งตะวันถึงจะดูเกเรในสายตาคนนอกทีไรหากเป็นคุณพ่อมาปรามแล้วก็สงบเสงี่ยมลงไปมาก

    นึกถึงตรงนี้แล้วผมก็อยากให้คุณชนินทร์กลับมาที่ไร่บ้าง อย่างน้อยก็อบรมลูกชายตัวเองให้ทำตัวสมวัยขึ้นสักนิด ไม่ใช่เที่ยวลอยหน้าลอยตาเอาแต่ใจกวนประสาทคนอื่นแบบนี้ไม่รู้จบ

    “กฤช!”

    เสียงทุ้มตะโกนเรียกจากห้องน้ำ ผมถอนหายใจทิ้ง หยิบรีโมทปิดทีวีแล้วเดินมารอ พักเดียวลูกบิดประตูก็คลายออกจากด้านใน หนึ่งตะวันสวมเสื้อคลุมของโรงแรมสีขาว แหวกจากส่วนไหปลาร้าลึกลงมาถึงเหนือสะดือ มีหยดน้ำพราวกลิ้งบนผิวเนียนจากที่สูงลงที่ต่ำ คล้ายประกายเพชรประดับร่าง ผมเผลอมองตามน้ำหยดเล็ก ๆ ก่อนอีกฝ่ายจะกระแอมไอขัดจังหวะ

    “พยุงหน่อย”

    “เช็ดตัวแห้งสนิทก่อนดีไหมครับ”

    “ปล่อยไว้เดี๋ยวก็แห้ง นายไปอาบน้ำ เสร็จแล้วมาพันขาให้หน่อย ฉันนั่งรอตรงปลายเตียงนี่แหละ”

    ผมพยักหน้า หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้หนึ่งตะวันใช้ผ้าผืนเล็กซับเส้นผมบริเวณต้นคอที่ยังชื้นน้ำอยู่ เมื่อกลับออกมาอีกครั้งค่อยลงมือใช้ผ้ายืดสีเนื้อพันข้อเท้าอีกฝ่ายไม่ให้ขยับเขยื้อนเกินจำเป็น

    “นานไหมกว่าจะหาย”

    “ถ้านั่งนิ่ง ๆ ไม่ซนมากสองสามสัปดาห์ก็หายครับ หมั่นทานยาแล้วก็ทายาตามหมอสั่ง”

    “อืม มียาทาแก้ฟกช้ำด้วยนี่”

    หนึ่งตะวันกล่าวลอย ๆ ผมรู้ว่านั่นหมายถึงอะไรแต่ก็ป่วยการจะเถียง ทำตัวสะดีดสะดิ้งเหมือนสาว ๆ โดนตาเฒ่าฉวยโอกาสก็น่าเกลียด ยังไงผมกับหนึ่งตะวันก็ผู้ชายเหมือนกัน

    "นายจะทาให้ฉันเหรอ”

    “ยื่นมือมาครับ”

    “ไม่ใช่แค่มือกับข้อศอกนะ” เขาย้ำ ผมรู้ มีก้นกบอีกอย่าง แต่จะสนใจไปทำไม สิ่งที่เขามีก็เหมือนที่ผมมี ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ไม่ได้พิศวาสโหยหารสรักในทำนองนั้นอยู่แล้ว 

    “ไม่รังเกียจเหรอ”

    “ตราบใดที่มันอยู่ในฐานะของเจ้านายกับลูกน้อง ผมก็ไม่รังเกียจ”

    คนพูดทำหน้าตึงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาให้ผมทายา หลังจากนั้นก็ปลดเสื้อคลุมอาบน้ำออกจากบ่า มันไหลร่วงลงมาจนถึงสะโพกเผยให้เห็นผิวขาวจัดสีนวลสะท้อนแสงไฟ กล้ามเนื้อเขามีสมสัดส่วนไปเสียทุกอย่าง ไม่ผอมไป ไม่อ้วนไป ไม่ล่ำไป จัดอยู่ในส่วนของผู้ชายที่มีทรวดทรงสวยงาม ไหล่ค่อนข้างกว้างที่ปกติงองุ้มนิด ๆ เมื่อเพ่งพิศมองรวมกับเอวคอดจะเห็นว่ามันเป็นรูปสามเหลี่ยม ไม่มีไรขนใด ๆ สะดุดตา นวลเนียนเหมือนตุ๊กตาเซรามิค ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นยอดอกสีชมพูเข้มทั้งสองข้างที่เมื่อปะทะลมหนาวของแอร์คอนดิชั่นก็แข็งเป็นไตขึ้นมา

    “หันหลังสิครับ”

    เมื่อพูดจบคนตัวเล็กกว่าก็หน้าแดงก่ำ เขาสะบัดหน้าหนีก่อนล้มตัวลงนอนคว่ำ ผมดึงชุดคลุมที่หมิ่นเหม่อยู่ข้างสะโพกลงมาจนถึงกลีบเนินเนื้ออันแน่นตึงก่อนจะหยุดนิ่งที่รอยสีม่วงช้ำบนผิวกาย “เจ็บมากใช่ไหมครับ”

    “ไม่เคยตกม้าหรือไง”

    “เคยครับ แต่ไม่เคยบอกว่าไม่เจ็บ ไม่เคยบอกว่าไม่เป็นไรเหมือนที่คุณหนึ่งโกหก”

    เขาไม่ตอบ ฝังหน้าลงไปกับหมอนนุ่มสีขาวปลอด

    “โชคดีนะครับที่กระดูกส่วนไหนไม่หักไม่ร้าวไป คุณรู้ไหมว่าตกม้ามันอันตรายมาก ยิ่งกับคนที่ไม่มีความรู้ด้วยแล้ว...”

    “ใครล่ะที่บอกว่าไม่สอน”

    เหมือนเรากลับมาที่เรื่องนี้อีกจนได้ ผมบรรจงแตะยาบนเนื้อขาว ก่อนค่อย ๆ ไล่เข้าไปหาวงกลมที่เป็นสีม่วงขนาดใหญ่ ใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัส เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บขึ้นมาใหม่

    “เมื่อกี้น่าจะบอกตรง ๆ ว่าเจ็บสะโพกจนนั่งรถไม่ไหว เห็นโทรบอกป้าแววว่าเจ็บขา ผมก็นึกว่าแกล้งกัน”

    “ใครจะไปบอกว่าปวดสะโพก น่าเกลียด” หนึ่งตะวันพูดอู้อี้ พัดเดียวเมื่อนึกขึ้นได้ก็ตวาดแหว “แล้วนายเห็นฉันเป็นคนชั่วร้ายนักหรือไง คิดว่าฉันอยากอยู่กับนายนักเหรอ”

    “ถ้าผมบอกว่าใช่ คุณก็คงโกรธ”

    “นายนี่มัน!”

    เสียงทุ้มคำรามรอดไรฟัน ผมถอนหายใจก่อนหมุนวนปลายนิ้วไปมาบนรอยช้ำนั่นซ้ำ ๆ “ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นห่วง ไม่ว่าคุณจะนิสัยเสียแค่ไหน แต่ผมก็ทำร้ายคุณไม่ลงหรอกนะหนึ่งตะวัน เพราะฉะนั้นถ้าเจ็บอะไรตรงไหนบอกผมตรง ๆ เข้าใจไหม”

    “เลิกพูดว่าเป็นห่วงคนนั้นคนนี้ซี้ซั้วเสียที! ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

    “คนที่เป็นเด็กเท่านั้นแหละครับที่เห็นว่าความเป็นห่วงของคนอื่นน่ารำคาญ”

    “กฤช!”

    นายน้อยหนึ่งตะวันคำรามในลำคอ หยัดตัวลุกขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน “เลิกทำแบบนี้สักที นายก็รู้ว่าฉันคิดยังไงกับนาย”

    “ก่อนออกจากบ้านมา คุณบอกว่าเกลียดผม” เท้าความถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แล้วออกแรงกดบ่าเล็กให้ล้มตัวลงนอนกับเตียง หนึ่งตะวันฝืนในทีแรกแต่ก็ยอมโอนอ่อน ผมขยับตัวลง ดึงผ้าห่มให้คลุมหัวไหล่ เปิดไฟสีส้มอ่อน ๆ ที่โคมใกล้ที่นอน รู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้อง เมื่อหันหน้ากลับไปตากลมใสสีน้ำตาลเข้มก็มองมาพลางบดริมฝีปากตัวเองอยู่พักใหญ่

    “ถ้านายยืนยันจะทำแบบนี้ ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ฉันจะทำให้นายรู้สึกแบบเดียวกับฉัน ทำไมฉันต้องเป็นคนที่หวั่นไหวไปคนเดียวด้วย”

    ทั้งที่รู้ว่าผมปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาดแล้วก็ยังดึงดันจะพูดแบบเดิมต่อ เราสบตากัน แววตาคู่นั้นไม่ได้เด็ดเดี่ยว แต่ก็ไม่พรั่นพรึง เป็นแววตาที่ผมอ่านไม่ออก มันแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ย้อนแย้งสับสนกันลึก ๆ ขณะที่หนึ่งตะวันดูเป็นเด็กโยเย เอาแต่ใจ กวนประสาท แต่ผมก็ยอมรับว่าในหลาย ๆ ครั้งที่ใช้เวลาร่วมกันเขาดูน่ารัก บางวันหนึ่งตะวันพูดไม่หยุด บางทีก็เงียบเหมือนคนคิดอะไรอยู่ บางทีราวกับเป็นพระอาทิตย์ที่สดใส แต่บ่อยครั้งก็ทำตัวเป็นสุริยาแผดแสงเจิดจ้าเผาไหม้ให้ผู้คนร้อนรน

    เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ และผมกำลังรับมือกับอะไรอยู่

    ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงไม่กลัว แต่คราวนี้กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกปั่นหัว บางครั้งก็เห็นว่ารัก บางทีกลับชิงชัง ผมหาคำนิยามให้คู่ต่อสู้ตรงหน้าไม่ได้ว่าเขาคือปีศาจที่เต็มไปด้วยพละกำลังหรือเป็นปีศาจที่ถนัดในการวางแผนอย่างสลับซับซ้อน

    “อย่าเสียเวลาเลยครับ” ผมตัดไฟแต่ต้นลม ไม่อยากจะวุ่นวายอะไรทั้งนั้น

    “ถ้าไม่มีใจก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

    “มันเป็นหน้าที่ วันนี้พอเถอะครับ คุณเหนื่อยมามากแล้ว ทานยาไปไม่ง่วงหรือไง”

    ผมเองก็ล้าเต็มทนกับการโต้เถียงที่ไม่มีจุดหมาย ลุกขึ้นมาปิดไฟจากสวิตซ์ใกล้ประตู เหลือเพียงเสียงสีส้มนวลที่นำทางให้กลับมายังเตียง เมื่อกระตุกเชือกใต้โคมเบา ๆ ทั้งห้องก็เหลือเพียงความมืดมิด ผมนอนชิดเบาะด้านหนึ่ง หันหลังให้ความสับสนมึนงง หนุนหัวไว้กับแขนของตัวเองพลางคิดไปต่าง ๆ นานา สมัยที่จีบพี่นุ่นเคยว้าวุ่นในอย่างนี้ไหมนะ ที่แน่ ๆ คือมีปากเสียงกันทีไรเล่นเอาผมนอนไม่หลับแบบนี้เหมือนกัน

    เสียงยวบของสปริงดังขึ้นเบา ๆ เมื่อคนที่นอนร่วมเตียงขยับ ต้นคอผมร้อนขึ้นด้วยสัมผัสจากลมหายใจอุ่น ๆ ก่อนจะรู้สึกถึงแขนเล็กที่วางพาดเอว อวัยวะบางอย่างที่ผมเข้าใจว่าเป็นหน้าผากวางบนแผ่นหลัง เขาออกแรงกอดแน่นขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ผลักออกหรือปฏิเสธ

    “ทำไมต้องนายด้วย”

    ผมยังคงเฝ้าถามคำถามเดียวกับหนึ่งตะวัน
    ทำไมต้องเป็นผม






    ราว ๆ สิบโมง รถกระบะคันโตขับกลับมาถึงที่พัก แม่กับป้าแววยืนรออยู่ตั้งแต่แรก มีโอ้โจ้โผล่เข้ามาในเวลางานด้วยความเป็นห่วงอีกคน จะพูดกันตรง ๆ ในไร่นี้ผมกับมันก็สนิทกันมากที่สุดแล้ว แม้จะเกิดจากความเสนอหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ยอมรับว่าถ้าโจ้ไม่ใช่คนช่างพูดช่างจาผมเองก็คงไม่ข้องแวะกับใคร

    “เป็นยังไงบ้างครับคุณกฤช”

    “ก็ตามที่เห็น ฟกช้ำดำเขียว เอ็นข้อเท้าฉีก แต่ไม่รุนแรงมาก นับเป็นเคราะห์ดี”

    “เจ็บมากไหมครับนายน้อย” ไอ้โจ้หันไปทำหน้าตาเป็นห่วง หนึ่งตะวันยิ้มให้มันพลางส่ายหน้า ขยับไม้ค้ำเก้ ๆ กัง ๆ จนลูกหม้อต้องคอยประกบ “ผมช่วย”

    “เอ็งเอารถไปเก็บไอ้โจ้” ผมบอก ก้มหน้าเดินไปใกล้คนเจ็บคอยช่วยประคองจนลูกสมุนต้องถอยออกมา ไอ้โจ้เลิกคิ้ว รับกุญแจไปจากผมแล้วจัดการกับธุระให้เรียบร้อย แม่กับป้าแววสองเพื่อนสาวคนสนิทยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ห่วงแต่ว่าจะเกะกะทางเดินของนายน้อย ปล่อยให้ผมช่วยดูแลห่าง ๆ ด้านหนึ่งตะวันเองก็ไม่ดื้อไม่ซน พยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มที่นอกเสียจากบริเวณขั้นบันไดที่ให้ผมช่วยพยุงอีกแรง

    “ผมจะออกไปดูที่ไร่ คุณอยู่บ้าน ทานข้าว ทานยา แล้วบ่าย ๆ ผมจะเข้ามาหา”

    “ไม่ต้อง ฉันดูแลตัวเองได้”

    “ช่วงนี้อยู่แค่ชั้นบนไปก่อนได้ไหม เรื่องข้าวปลาอาหารผมจะจัดขึ้นไปให้ คุณไม่ใช่คนตัวเล็ก ๆ ป้าแววกับแม่เอาไม่ไหวหรอก”
    หนึ่งตะวันส่ายหน้าแทบจะในทันที “เปียโน”

    “ต้องใช้เท้าไม่ใช่เหรอ คุณหนึ่ง ถ้าอยากหายเร็ว ๆ ก็อย่าขัดคำสั่งหมอ”

    มีใครบางคนไม่พอใจ แน่นอนว่าไม่ใช่ผม หนึ่งตะวันทำหน้าเบื่อโลก แต่ไม่มีเหตุผลใด ๆ มาขัดเลยจำยอมอยู่แต่ชั้นสองของบ้านโดยผมต้องแปลงร่างเป็นม้า แบกอีกฝ่ายขึ้นหลังไปส่งอีกครั้ง แม่ถือไม้ค้ำตามมา ส่วนป้าแวววิ่งไปเปิดประตูรอ โชคดีที่ห้องหนึ่งตะวันมีห้องน้ำในตัว มีประตูที่เปิดออกไปเป็นระเบียงกว้าง ภาพวิวที่ปรากฏคือไร่องุ่นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทำให้ไม่อึดอัดเท่าที่ควร

    “ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็โทรเรียกผมได้นะ”

    หนึ่งตะวันรับคำในลำคอ เขานั่งอยู่บนเตียงสี่เสา พยายามยกขาตัวเองขึ้นมาวางให้สบาย ผมช่วยยกมันขึ้นวางบนหมอนใบเล็ก ๆ วันนี้บวมขึ้นกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางคงเจ็บไม่ใช่เล่น

    “ช่วยยกคอมมาไว้ตรงนี้ให้หน่อย”

    “ทานยาแล้วนอนพักเยอะ ๆ ก็ดีนะคุณหนึ่ง จะได้ไม่ขยับมาก”

    “ฉันแค่เอ็นฉีกนะ ไม่ใช่ขาขาด อย่าเวอร์ไปหน่อยเลย”

    “แล้วใครที่มันร้องโอดโอยเมื่อคืนจนแทบจะเป็นเสียงสะอื้น”

    “ใคร?” ยังมีหน้ามาถาม

    “ผมมั้ง”

    คู่สนทนาแยกเขี้ยวใส่ พึมพำในลำคอแต่ก็ดังมากพอให้คนในห้องได้ยิน “ทำไมนายถึงได้เป็นผู้ชายที่ปากคอเราะร้ายขนาดนี้”

    ฟังแล้วอยากจะแย้งว่าผมไม่ใช่ นิสัยดั้งเดิมไม่ได้เป็นแบบนี้เลยสักนิด ผมไม่ใช่คนต่อล้อต่อเถียงเก่งกระทั่งต้องมารับมือกับคนขี้หงุดหงิดและร้ายกาจอย่างหนึ่งตะวันต่างหาก เขาต่างหากที่ทำให้ผมหมั่นไส้เสียจนต้องคอยลับฝีปากด้วยตลอดเวลา

    “ไปทำงานสิไป จะโดนเฉดหัวออกอยู่วันนี้วันพรุ่งแล้วยังจะมายืนกรอกตาทำหน้ากวนประสาท”

    คนบ้าอะไร ชอบเขาอยู่แท้ ๆ ยังมีหน้าพูดปาว ๆ ว่าจะไล่ไปให้พ้น
    ปีศาจชัด ๆ 





    “เหรอ แล้วจะว่างเมื่อไร”

    เสียงทุ้มดังแว่วมาจากระเบียงด้านนอก หลังจากที่ผมเปิดประตูห้องนอนเจ้าของบ้านเข้ามาอย่างถือวิสาสะนั่นเป็นสิ่งแรกที่ได้ยิน ที่เตียงว่างเปล่า มีคอมพิวเตอร์เปิดวางไว้ เก้าอี้ล้อเลื่อนดูเป็นอุปกรณ์ที่นายน้อยหนึ่งตะวันถนัดใช้เพื่ออำนวยความสะดวกมากที่สุด มันหายไปจากที่เดิม ส่วนของที่นอนแอ้งแม้งเป็นหมันกลับเป็นไม้ค้ำช่วยพยุงทั้งสองอัน

    “เหงาดิ ยิ่งเล่นเปียโนไม่ได้ยิ่งเซ็ง”

    แผ่นหลังของผู้พูดซ่อนอยู่ใต้ผ้าม่าน มันนูนออกมาจากสภาพที่ควรจะอยู่ แปลว่านายน้อยไม่ได้ไสเก้าอี้ออกไปริมระเบียงจริง ๆ หากแต่ติดธรณีประตูทำให้ล้อหมุนหยุดอยู่แค่นั้น

    “คิดถึงด้วยก็ได้ เครียด มีเรื่องอยากปรึกษา นะ ขอป๊าเถอะ เสาร์อาทิตย์ก็ยังดี โคราชไม่ไกลหรอก”

    เสียงห้าวบีบลงเล็กน้อย ฟังดูเสนาะหู ผมล้มเลิกความคิดที่จะทักอีกฝ่ายเปลี่ยนมาเก็บของที่วางระเกะระกะให้พ้นทาง

    “จริงนะ กูจะได้บอกให้คนงานเตรียมห้องให้ ชวนแพทมาด้วยก็ได้ โอเค ศุกร์นี้เจอกัน”

    หลังจากได้บทสรุปที่พอใจแล้วก็ตัดสาย นายน้อยสะบัดผ้าม่าน ใช้ขาข้างที่สบายดียันหมุนตัวกลับ เมื่อเราเผชิญหน้ากัน เขานิ่ง ผมก็นิ่ง เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ผมอธิบายว่ามันรู้สึกยังไง คล้ายจะมวน ๆ อยู่ในอก เมื่อเขาเสสายตาหลบ ผมก็กลับเป็นฝ่ายที่อยากค้นหา

    “ศุกร์นี้เพื่อนฉันจะมาค้าง”

    “เพื่อน?”

    “พอร์ชน่ะ มากับแพท น้องสาวมัน”

    “ผมจะเตรียมห้องให้สองห้องนะครับ”

    “ไม่” หนึ่งตะวันค้าน เขาอึก ๆ อัก ๆ ในลำคอครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “เขาจะนอนกับฉัน”

    ความรู้สึกบางอย่างบิดมวนอยู่ในอก แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง มันไม่ได้วาบหวาม ชวนละเมอ แต่เหมือนตัวเองถูกจับลงเครื่องซักผ้า บิดปั่นจนหัวใจฟาดกับตัวถังและหมุนติ้ว

    “ครับ”

    ผมจำไม่ได้ว่า ณ เวลานั้น ผมตอบรับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงแบบใด


    TBC


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×