ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 14

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.48K
      400
      27 พ.ค. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 14


    รุ่งเช้าของวันใหม่มาถึงเชื่องช้า เรียกได้ว่าเราต่างนอนหลับตากันลงยากเย็นเหลือเกิน ลมหายใจนายน้อยติดขัด หัวใจเต้นแรง แม้กระทั่งผมเองก็รู้สึกยังสัมผัสได้ และคาดว่าหนึ่งตะวันเองก็ไม่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อไก่โห่ก่อนอาทิตย์จะขยับตัวพ้นหุบเขา เราสองคนต่างตาลึกโหลกันทั้งคู่
     
    “วันนี้นายน้อยลงมาด้วย”
     
    ไอ้โจ้รออยู่ที่คอกม้าก่อนใคร มันเอ่ยทักแล้วหลิ่วตามองผมยิ้ม ๆ ผมกับหนึ่งตะวันตกลงกันว่าจะช่วยกันทำความสะอาดคอกม้าก่อนแล้วพากันขี่ไปเล่นน้ำท้ายไร่ ก่อนแดดจะแรงก็กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานมื้อเช้าด้วยกันเป็นอย่างสุดท้ายแล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
     
    นายน้อยครางรับ นับเป็นเช้าวันแรกที่หนึ่งตะวันจะลงมือจัดการกับสิ่งปฏิกูลของแสงเพชรกับแสงฟ้าด้วยตัวเอง เขารับไม้กวาดที่ผมโยนให้ จับด้ามด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็พยายามสุดตัว
     
    “คุณกฤชแกล้งนายน้อย เดี๋ยวก็เหนื่อยแย่”
     
    “ฉันทำได้” หนึ่งตะวันคนเดินพูด มือไม้ยังวางไม่ถูกที่ ลักจำจากท่าทางจับด้ามไม้กวาดของผมแล้วขยับจัดท่าใหม่ ทะมัดทะแมงมากกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นมาหน่อย
     
    “การเลี้ยงม้าในคอกต้องระมัดระวังมากครับ ถ้าม้าไม่ค่อยได้เดิน การเคลื่อนที่ของลำไส้ก็จะลดลง” ผมบอกขณะที่กวาดมูลม้ามารวมกันด้านหนึ่ง หนึ่งตะวันเงยหน้าขึ้นมอง ตากลมใสจับจ้องด้วยความตั้งอกตั้งใจ
     
    “ลำไส้ม้าออกแบบมาเพื่อทานหญ้าเป็นอาหารหลัก แต่อาหารเม็ดเป็นอาหารเสริม แล้วใช้กระบวนการหมักแบคทีเรียในลำไส้แปลงให้เป็นพลังงาน ถ้าให้อาหารเม็ดในปริมาณมาก ระบบการย่อยของม้าก็จะผิดเพี้ยน เกิดสารพิษดูดซึมเข้ากระแสเลือดทำให้ม้าป่วยง่าย”
     
    “ถ้าอย่างนั้นต้องพามันออกวิ่งบ่อย ๆ”
     
    “ใช่ครับ” ผมบอก “แล้วเรื่องสุขอนามัยก็สำคัญมาก โชคดีที่ไร่เราเลี้ยงไว้แค่สองตัว ผมกับโจ้มาดูแลไม่ขาด บางที่ขังม้าแล้วไม่ค่อยใส่ใจ ระบบระบายอากาศไม่ดี ให้ม้ายืนดมมูลของตัวเองปัญหาระบบทางเดินหายใจก็จะตามมา และการมีขี้ม้าในคอกมาก ๆ ก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคด้วย”
     
    หนึ่งตะวันย่นจมูก กลิ่นของแอมโมเนียลอยขึ้นจมูกจนต้องนิ่วหน้า “วัน ๆ หนึ่งมันขี้กี่กอง เยอะแยะไปหมด นี่ขนาดนายมาทำความสะอาดบ่อย ๆ แท้ ๆ”
     
    “เป็นสิบนั่นแหละครับ” เห็นทำท่าแบบนั้นแล้วอยากหยิกจมูก แต่มือที่เลอะเทอะก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้ คนตัวเล็กกระโดดเหยงผ่านกองอุจจาระม้าแต่ก็ตั้งหน้าตั้งตากวาดแม้จะทำมันกระจัดกระจายมากกว่าเก่า
     
    “แต่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ”
     
    “ครับ?”
     
    “ขี้ม้าน่ะ เยอะ ไม่น่าเล่น แต่ถ้าให้มาทำความสะอาดทุกวันก็ได้” ไอ้โจ้เงยหน้าขึ้น สบตากับผมโดยบังเอิญแล้วไม่ลืมที่จะยิ้มแซว วันนี้สงบเสงี่ยมมากกว่าปกติ เห็นได้ชัดว่ามันเปิดโอกาสให้หนึ่งตะวันรู้สึกเหมือนอยู่กับผมเพียงลำพัง
     
    “ถ้านายน้อยอยากมาบ่อย ๆ ก็ได้ครับ ผมจะปลุกทุกวัน ห้ามงอแงแล้วกัน มานี่ ผมจะสอนดูขี้ม้า”
     
    เจ้าของไร่ขยับมาใกล้ ผมใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวเขี่ยกองอุจจาระที่กวาดรวมกันไว้ออกแล้วอธิบาย “ขี้ม้าสุขภาพดีจะไม่แข็ง ไม่แห้ง เป็นก้อนครับ ถ้าขี้ม้าเหลวแปลว่าภาวะของลำไส้เป็นกรดมากกว่าปกติ พบมากที่สุดเพราะปริมาณอาหารที่ให้ ปกติมื้อหนึ่ง ๆ สำหรับม้าน้ำหนัก 400 กิโลกรัม ลำไส้ใหญ่จะรับได้ประมาณ 2 กิโลกรัม ไอ้โจ้มันรู้ว่าอาหารควรให้เท่าไร แต่ที่คอกนี้เดี๋ยวคุณหนึ่งน่าจะได้มีโอกาสมาบ่อย ๆ ผมเลยจะสอนไว้”
     
    จับจ้องไปบนใบหน้าใส แสงไฟนีออนสะท้อนให้เห็นแก้มขาวที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีเมื่อผมมองค้าง หนึ่งตะวันไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา เอาแต่จ้องขี้ม้าราวกับมันน่ามองมากกว่าผมเสียเต็มประดา
     
    “ต่อไปผมอาจจะไม่ให้มันมาวุ่นวายที่นี่อีกก็ได้ จะได้อยู่กับคุณหนึ่งแค่สองคน”
     
    ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากัน หนึ่งตะวันไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น เขานิ่งเงียบ แล้วหมุนตัวหนีไปกวาดที่มุมอื่น ผมมองต้นคอขาว เหงื่อเม็ดเป้งพราวผุดจนอยากจะเข้าไปช่วยซับ
     
    “จีบกันกลางกองขี้ม้าโรแมนติกนักล่ะ” เสียงกุมารตัวน้อยกระซิบ มันกระโดดมาอยู่ข้างผมแทนที่หนึ่งตะวันที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ “นายน้อยเขินจนตัวจะระเบิดอยู่แล้ว”
     
    “อย่าพูดมากน่า”
     
    “แหม ถึงโจ้เงียบโจ้ก็ยังอยู่นะคุณ” ไอ้ตัวดียังคงบังคับเสียงให้แผ่ว ป้องปากพูดกับผมเหลือบไปมองคนถูกนินทาเป็นระยะ ๆ “เดี๋ยวก็ถูกโกรธเอาหรอก ทำเขาเขินต่อหน้าโจ้น่ะ”
     
    “โกรธสิ จะง้อให้ระทวย”
     
    “แหม ช่างมั่นใจเหลือเกิน” เสียงไม้กวาดทางมะพร้าวลากครืดไปบนพื้นดินแข็ง มองแผ่นหลังในเสื้อยืดตัวมอมแล้วก็ส่งไม้กวาดให้ไอ้โจ้
     
    “เอ็งจัดการที่เหลือก่อนได้ไหม”
     
    “อะไร จะอู้เหรอคุณกฤช”
     
    “เออน่า ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน”
     
    ไอ้โจ้เหลือบมองไปยังคนใหม่ของคอกม้าที่ก้ม ๆ เงย ๆ กับไม้กวาดของตัวเองแล้วยักยิ้มอย่างคนรู้ทัน ผิวปากหวือพลางรับของที่ผมส่งไปให้อย่างใจเย็น
     
    “เอาที่สบายใจเถอะคุณกฤช ไว้โจ้รอฟังข่าวดีทางนี้แล้วกัน”
     
    ผมหัวเราะในลำคอ เดินไปหาหนึ่งตะวันอย่างเงียบเชียบ จับด้ามไม้กวาดในมืออีกฝ่ายจากด้านหลัง เมื่อนายน้อยหันกลับมาก็สะดุ้งในอ้อมแขนของผมเต็มตัว
     
    “ไอ้เด็กบ้า ชอบเล่นอะไรแบบนี้ ตกใจหมด”
     
    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองไปด้านหลัง ผมหันไปบ้างเมื่อเห็นไอ้โจ้ก้มหน้าก้มตากวาดพื้นหนึ่งตะวันก็ลอบถอนหายใจ “กลัวไอ้โจ้เห็นเหรอครับ”
     
    “จะทำไมเล่า”
     
    “ผมจะชวนออกไปขี่ม้า เผื่อว่าทันพระอาทิตย์ขึ้นผ่านภูเขา มีมุมหนึ่งมองลอดต้นไม้ไปทางทิศตะวันออกพอดี อยากให้ไปด้วยกัน”
     
    “แล้ว...”
     
    “ไอ้โจ้ไม่ไป ผมถามแล้ว”
     
    หนึ่งตะวันมองหน้าผมด้วยท่าทีหวาดระแวง ผมกระชับอ้อมแขนที่ยังโอบอีกฝ่ายอยู่เข้าใกล้คนตัวเล็กกว่าก็เบิกตากว้าง “ไปแล้ว ๆ อย่าแกล้งกันนักได้ไหม”
     
    “ก็ไม่เห็นตอบสักทีนี่ครับ”
     
    “ไอ้เด็กนรก” เขาว่า แต่ก็ยอมไปหาแสงเพชร ม้าตัวโปรด จูงเดินผ่านหน้าผมออกไปนอกคอก พอผมไปจูงแสงฟ้าบ้างไอ้โจ้ก็กระแอมไอ
     
    “อะไรติดคอเอ็งไอ้โจ้”
     
    “มด” มันตอบกวนประสาท ยิ้มแยกเขี้ยวยิงฟันสวย “อย่าไปปล้ำเขาที่น้ำตกล่ะ นายท่านยิงกบาลแยก”
     
    “ข้าจะเตะเอ็งไส้แตกก่อนน่ะสิ”
     
    “อย่าดุกับโจ้นักเลยคุณ นายน้อยรอแล้วนั่น ทางนี้ไม่ต้องห่วงนะ คอกเปล่า ๆ โจ้จัดการเองไหว สบ๊าย”
     
    “ข้าไม่เคยห่วงเอ็ง” 
     
    พูดไปยิ้มไป ไอ้โจ้ก็หัวเราะร่วน ไม่ถือโทษ เป็นอันรู้กันของอีกฝ่ายว่าต่างคนต่างเพียงเย้าแหย่ ผมกับมันทำงานด้วยกันมานาน มองตาก็แทบจะรู้ใจ ไอ้โจ้ยักคิ้วให้ มิวายขยิบตาซ้ำอีกครั้งเป็นการอวยพรในแบบของมัน
     
     
     
     
    ฝีเท้าของม้าสองตัวเดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยหญ้าเชื่องช้า เงียบเชียบ เสียงที่ดังเป็นเพียงหรีดหริ่งเรไรที่ออกมาดื่มน้ำค้างยามเช้าตรู่สลับกับไก่ขันจากแดนไกล ผมกับหนึ่งตะวันไม่ได้พูดอะไรกัน ต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเองกับหัวใจที่อุ่นขึ้นเมื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกคนข้างกาย
     
    ระยะทางจากคอกม้ามาจนถึงลำธารไม่ไกลมากนัก ม้าทั้งสองตัวแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักผม หรือหนึ่งตะวันไว้ได้ แต่ไม่ใช่สำหรับสองคน แม้นึกอยากให้นายน้อยมานั่งซ้อนหน้าแล้วตัวเองเป็นฝ่ายขับเคลื่อนม้าเพียงลำพังแค่ไหนก็คงไม่ได้ ดีที่สุดคือแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างควบม้าเคียงกันไปไม่มีใครนำใคร
     
    เสียงน้ำไหลดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถึงบริเวณที่ไอน้ำล้อมกระจายโรยตัวต่ำให้ดินนุ่มชื้นผมก็กระโดดลงจากแสงฟ้า รับหนึ่งตะวันลงมาเดินด้วยกันก่อนผูกอาชาทั้งสองตัวใต้ต้นไม้ที่กิ่งก้านแข็งแรง ยอดอ่อนของใบหญ้าเป็นที่โปรดปรานของมันเป็นพิเศษ เจ้าสองตัวจึงสะบัดหูซ้ายทีขวาทีสบายอารมณ์
     
    “มาตามผมครับ อย่าออกนอกเส้นทาง”
     
    ว่าพลางคว้ามือนุ่มมาจับ ลัดเลาะผ่านเงาตะคุ่มของพุ่มไม้ออกมาเรื่อย ๆ แสงของวันใหม่เจือลงมาแต่ยังไม่สว่างจ้า แปลว่ายังมีโอกาสที่จะเห็นพระอาทิตย์ตื่นนอนอย่างเกียจคร้านด้วยกัน กระทั่งมาถึงบริเวณที่ป่าชัฏเบาบาง หุบเขาที่โอบล้อมไร่ตะวันฉายก็ปรากฏในสายตา
     
    ผมทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินใหญ่ชื้นน้ำ ดึงหนึ่งตะวันที่ยังคงนิ่งเงียบลงมาตรงหน้าแต่ยังจับมือไม่ปล่อย มองตามสายตาที่จับจ้องอะไรบางอย่างของคนตัวเล็กก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าหนึ่งตะวันยังคงเพ่งค้างที่มือซึ่งถูกผมจูงมาจนถึงตอนนี้
     
    “อ้อ...มือนี่....” ผมร้อง แต่ยังไม่ปล่อย เมื่อคนที่ถูกจับโดยวิสาสะไม่มีทีท่าจะทักท้วงก็สอดประสานปลายนิ้วไว้ด้วยกันเสียดื้อ ๆ ตากลมสีน้ำตาลเบิกกว้าง เพ่งพิศไปยังนิ้วเรียวเมื่อผมเกี่ยวกระหวัดคล้ายจะกอดรัดอีกฝ่ายด้วยฝ่ามือสลับกับเอียงคอมามองหน้าผม
     
    “มือนิ่มมากเลยครับ”
     
    “.........” 
     
    หนึ่งตะวันนิ่งเงียบ หน้าเขาไม่ได้แดงกว่าส่วนอื่น พูดให้ถูกคือความมืดอำพรางไม่ให้ผมรู้ว่านายน้อยเริ่มเขินอายตั้งแต่ตอนไหน กว่าแสงของวันใหม่จะทอประกายเข้ามาก็แดงเจียนระเบิดเหมือนไอ้โจ้ว่าไปทั้งตัว ผมยักยิ้มมุมปาก ไม่สะทกสะท้านแม้อีกฝ่ายจะสะดุ้งตัวทุกครั้งที่ผมขยับตัวเข้าไปใกล้
     
    รู้ตัวอีกทีก็เอาคางไปวางบนบ่าลาด หนึ่งตะวันจึงผินหน้าออกไป หุบเขาอันไกลโพ้นค่อย ๆ มีจุดสีเหลืองทองทอประกายออกมา เสียงของแหล่งน้ำขับกล่อมให้เราตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความรักช้า ๆ จนแทบไม่รู้ตัว
     
    หนึ่งตะวันยังคงนิ่งเงียบ บดริมฝีปากเข้าหากัน ตายังคงจ้องมองพระอาทิตย์ของวันใหม่โผล่จากยอดเขาที่ซ้อนกันอยู่ แสงสีเหลืองเป็นจุดกลมเล็ก ๆ ในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผมเห็นดวงตะวันทอประกายจากตาของนายน้อย ผ่านม่านขนตาที่ยาวประดับใบหน้าให้ดูน่ามอง
     
    นานนับชั่วนิจนิรันดร์ แต่เวลาผ่านไปรวดเร็วคล้ายสายลมพัดผ่าน ผมมองเสี้ยวหน้าเขา แน่นิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งแสงแดดไล่มาถึงปลายเท้าก็ยอมละสายตา อาการตื่นเต้นของนายน้อยดีขึ้นมาก ผิวของเขากลายเป็นสีขาวเนียนเหมือนเคย ยามต้องแสงตะวันก็กลายเป็นเหลืองหน่อย ๆ
     
    “ยังไม่อยากกลับ” เขาพูดเมื่อผมขยับตัวเล็กน้อย ดวงตากลมหลุบลงต่ำแล้วลืมขึ้นมองใหม่ “อยากเล่นน้ำ”
     
    “ไม่บอกผม จะได้เตรียมชุดมา”
     
    “ไม่เป็นไร” เขาว่า “ถอดเสื้อกับกางเกงเล่นเอาก็ได้ เหลือบ็อกเซอร์ตัวเดียวไม่น่าเกลียดหรอก เป็นผู้ชาย”
     
    ว่าแล้วก็ลุกขึ้นถอดเสื้อยืดที่สวมไว้ออก ผิวขาวยามมีแสงอาทิตย์ทอประกายจากด้านหลังยิ่งเจิดจรัส หนึ่งตะวันเหลือบตามองผมวูบหนึ่งก่อนขยับตัวไปถอดกางเกงขาสั้นที่สวมไว้อีกฝั่ง
     
    บ็อกเซอร์สีเทาขาสั้นเป็นอาภรณ์ชนิดเดียวที่เจ้าตัวสวมอยู่ กลายเป็นผมที่แน่นิ่งเมื่ออีกฝ่ายขยับก้าว ท่อนขาเล็กเรียว ได้รูปสวยเกลี้ยงเกลาจนไปถึงขาอ่อน เมื่อแช่ตัวไปในน้ำดูคล้ายผ้าเบา ๆ นั่นจะพะเยิบเปิดขึ้นมาอีกเล็กน้อยเผยให้เห็นเนื้อเนียนในส่วนที่ถูกปกปิดเสมอมา
     
    ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อละสายตามาจากใต้น้ำใสของลำธารก็เห็นสีน้ำตาลลึกของดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ คล้ายจะเย้ายวนแต่พักเดียวก็หลบวูบ
     
    “น้ำเย็นมากเลย” ว่าพลางหันหลัง แล้วหมุนตัวกลับมาใหม่อีกครั้งพร้อมรอยยิ้มสดใส น้ำไม่ลึกเท่าไรแต่เมื่อนั่งลงก็ทำเอาท่วมขึ้นมาใต้อก “ฉันจะลงไปลึกกว่านี้”
     
    “อันตรายนะครับ”
     
    “ไม่เป็นไรน่า วันก่อนมากับโจ้ก็เล่นที่ลึก ๆ เหมือนกัน”
     
    ผมถอนหายใจ ท้ายที่สุดก็ยอมถอดเสื้อผ้าตามลงไปดำผุดดำว่ายด้วย ไม่รู้ว่าหนึ่งตะวันว่ายน้ำแข็งแค่ไหน แต่ในแหล่งน้ำธรรมชาติต่อให้ว่ายน้ำเป็นก็อันตรายอยู่ดี
     
    “คุณหนึ่ง” 
     
    เมื่ออยู่ใกล้พอก็คว้าแขนอีกฝ่ายเข้ามาประชิด หนึ่งตะวันสะดุ้งเล็กน้อย แต่ผมก็ลอบเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากก่อนจางหายไปเปลี่ยนเป็นสีหน้าหงุดหงิด
     
    “ตามมาทำไม”
     
    “คงอยากเล่นตามเกมของใครบางคนแถวนี้มั้งครับ”
     
    “เกมอะไร ปล่อย”
     
    “ถ้าจะให้ปล่อยก็ขัดขืนให้มันจริงจังสิครับ ไม่ใช่แง้ว ๆ แบบนี้แล้วสะบัดตัวให้มาใกล้ผมมากขึ้น” คู่สนทนาอ้าปากค้าง มองค้อนขวัก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงเข้าใจว่าหนึ่งตะวันเอาแต่ใจ แต่เอาเข้าจริงก็เอาแต่ใจนั่นแหละ เพียงแต่มีจุดประสงค์ที่ผมคาดไม่ถึงเท่านั้นเอง
     
    “นี่ยั่วผมใช่ไหม”
     
    “ยั่วอะไร”
     
    “ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาแล้วยังโอ้เอ้ไม่ยอมแต่งตัวไวไว” พาลเพโลนึกถึงตัวเองที่เอาแต่มองแล้วหลบตาอีกฝ่ายเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมอง หนึ่งตะวันคงสนุกกับท่าทางผีเข้าผีออกของผมชอบกล “ไม่ยอมเป็นลูกบอลให้เขี่ยเล่นตลอดเวลาหรอกนะครับ คุณแมว”
     
    “แมวอะไรของนาย เพ้อเจ้อน่า แล้วปล่อยได้หรือยัง”
     
    “อยากให้ปล่อยหรือเปล่า” ว่าพลางโอบเอวเข้าประชิด อวัยวะบางส่วนของเราใต้น้ำแนบกัน ผมรู้สึกถึงการขยับตัวใต้บ็อกเซอร์ผืนนั้นเล็กน้อย เมื่อยิ้มเจ้าเล่ห์อีกฝ่ายก็กลับมาหน้าแดงวาบแล้วดิ้นขัดขืนรุนแรง
     
    “ปล่อยก่อน...ปล่อย”
     
    “เพราะผมกอดเหรอครับ”
     
    “เพราะนายเล่นอะไรบ้า ๆ ต่างหาก มากอดทำไมเล่า” 
     
    ผมไม่ตอบ หางตาเหลือบไปเห็นดอกหญ้าที่ร่วงลงมาสู่ลำธารแล้วลอยพัดตามน้ำ ใช้มือข้างหนึ่งคว้าแล้วจัดการผูกมันเป็นปมมัดรวบเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากของหนึ่งตะวันเข้าด้วยกัน คราวนี้นายน้อยกลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลหลุกหลิกมองการกระทำของผมแล้วเม้มปาก เมื่อละมือออกมาก็ว่ายหนีไปทางอื่นให้ผมต้องว่ายตามไปจับตัวไว้
     
    “ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว!”
     
    ดวงตะวันว่า คราวนี้ถูกรวบตัวได้จากด้านหลัง สะโพกด้านหลังของเขาแนบกับอวัยวะบางส่วนด้านหน้าของผม ผิวเนื้อปราศจากอาภรณ์เสียดสีกันในส่วนบน ยิ่งดิ้นความรู้สึกบางอย่างก็ยิ่งปะทุขึ้นมา
     
    “ไอ้กฤช ไอ้เด็กทะลึ่ง ไอ้นั่นนายมัน...”
     
    “อยู่นิ่ง ๆ สิครับ เดี๋ยวมันก็ได้จิ้มผ่านผ้าเข้าไปจริง ๆ หรอก”
     
    “ฉันเกลียดนาย” เสียงนั่นสั่นพร่าอย่างคนไร้ทางสู้ หนึ่งตะวันดูตกใจ ขณะเดียวกันก็ขลาดกลัว “อย่าทำอะไรนะ...ขอโทษที่แกล้ง ขอโทษแล้ว...ปล่อยเถอะนะ”
     
    “กว่าจะยอมรับว่าแกล้งกันได้นะคุณหนึ่ง” ผมหัวเราะในลำคอ ก้มลงมากระซิบชิดใบหู “ยั่วเขาเองทำไมถึงเขินเองเสียล่ะครับ”
     
    “กะ...ก็นายบอกว่านายเป็นผู้ชาย แถมยังไม่มีวันเป็นเกย์ด้วยไม่ใช่หรือไง”
     
    “แต่คุณหนึ่งก็รู้ดีตั้งนานแล้วว่าผมมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป” คนในอ้อมแขนยังคงดิ้นขัดขืนไม่หยุด กระทั่งผมกระซิบปลอบให้นิ่งเงียบ “ผมไม่ทำอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว แค่ขอกอดสักพักหนึ่งเท่านั้นเอง”
     
    คู่สนทนายอมฟังแต่โดยดี เสียงหัวใจของหนึ่งตะวันเต้นรุนแรง ขนาดที่ผมซึ่งโอบจากทางด้านหลังยังสัมผัสได้ เมื่อเอาคางเกยบ่าแบบที่ชอบทำอีกครั้ง คนตัวเล็กกว่าก็หลับตาปี๋
     
    “หนวดขึ้นแล้วนะครับ”
     
    “มันใช่เรื่องที่จะมาพูดเวลานี้ไหม”
     
    “แล้วคุณหนึ่งอยากให้ผมพูดอะไร” 
     
    “ก็สารภาพรักมาสักทีสิโว้ยไอ้บื้อ!”
     
    ความเกรี้ยวกราดนั้นดังก้องสะท้อนในป่า ก่อนเสียงน้ำไหลจะเป็นสิ่งเดียวที่ดังต่อจากนั้น หนึ่งตะวันหอบหายใจแฮก แก้มปรากฏเส้นทางของเส้นเลือดฝอยเด่นชัด เขายังคงหลับตา คล้ายกับว่าเมื่อภาพตรงหน้ามืดบอดไปแล้วจะเป็นถิ่นสถานที่ตัวเองปลอดภัยที่สุด ผมไม่ตอบในทันที ให้หัวใจสดับฟังเสียงของกันและกันจนชุ่มฉ่ำ มอบกอดที่เต็มไปด้วยไมตรีของความห่วงใย ความผูกพันโอบรัด ภาพแรกที่เจอกันตรงคอกม้า ไม่สิ ก่อนหน้านั้นเห็นทีจะเป็นตอนที่หนึ่งตะวันยังเด็กผุดฉายซ้ำ
     
    เขาเป็นผู้ชายตัวสูงกว่าคนวัยเดียวกัน ทุกคราวที่มาที่ไร่จะหอบขนมมาห่อใหญ่ ปาใส่หน้าผมแล้วบอกว่าเหลือกินเลยเอามาทิ้งที่ไร่
    แม่บอกว่านายน้อยเป็นคนขี้อาย และบางทีเขาก็อาจจะอยากเล่นด้วยแต่แสดงออกไม่เป็นเท่านั้น
     
    กาลเวลาผ่านไป เขาเกลียดผม เขาเกลียดแม่ แต่เมื่อสนิทสนมกันระยะหนึ่งกลายเป็นตาลปัตร ส่วนภาพที่อยู่ในใจของผม ที่เคยพูดไว้ว่าไม่เคยเกลียดหนึ่งตะวันนั่นเป็นเรื่องจริง และมันมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาเรื่อย ๆ จนสามารถสัมผัสได้ชัดเจน
     
    ใจเราตรงกัน
     
    และนับว่าโชคดีเหลือเกินเมื่อผมมีโอกาสได้โอบกอดเขาแนบกาย
     
     
    “คุณหนึ่งน่ารัก”
     
    ผู้ฟังนิ่งเงียบ ยังคงหายใจติดขัด เวลานั้นผมถือโอกาสกอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้น อารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาด้วยความวาบหวามสงบลง เหลือเพียงความอุ่นใจและอิ่มใจเท่านั้นที่ผุดพราว
     
    ผมจับคนตัวเล็กหมุนตัวกลับใต้ผืนน้ำ บรรจงจูบไปบนหน้าผากขาวที่ร้อนฉ่า จูบซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนพอใจถึงได้ผละออก ใช้มือสองข้างคลึงแก้มเนียนไปมาจนย่นย้วย จับจ้องที่ขนตาเป็นแพหนากระทั่งมันปรือเปิดขึ้น
     
    “ผมชอบหนึ่ง จีบได้หรือเปล่า”
     
    “ทำขนาดนี้แล้วยังต้องจีบอีกเหรอไอ้บ้า!”
     
    “โธ่ คุณหนึ่งก็” ผมหัวเราะร่วน ขณะที่นายน้อยเอาแต่หลบตา “รู้สึกเสียเชิงชายยังไงไม่รู้ โดนคุณหนึ่งรวมหัวกับไอ้โจ้ต้มเสียเปื่อย”
     
    “มันบอกเหรอ”
     
    “ที่จริงมันหลุดปากมาเมื่อวันก่อน”
     
    “ไอ้ปากเปราะ” เสียงสบถดังขึ้นผะแผ่วแต่ผมก็ได้ยิน กระนั้นก็ไม่คิดถือโทษโกรธอะไร นิ้วหัวแม่มือยังคงคลึงแก้มขาวมุ่นอย่างเพลินมือ
     
    “อย่าไปว่ามันเลย มันช่วยให้เราใจตรงกันนี่ครับ”
     
    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ รู้อย่างนี้ไม่ซื้อมือถือเครื่องนั้นให้หรอก” 
     
    พูดถึงมือถือของไอ้ตัวแสบแล้วก็นึกย้อนกลับไปถึงช่วงก่อนหน้านี้ที่มันเห่อเครื่องมือสื่อสารชิ้นใหม่ เวลาช่างพอดีเหมาะเจาะกันกับที่ไอ้โจ้เริ่มเตือนเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหนึ่งตะวัน ถึงแม้ไม่ได้ยุยงส่งเสริมแต่ก็เป็นคนชี้ชวนให้ผมเริ่มมองนายน้อยแปลก ๆ นานทีเดียวนับตั้งแต่ตอนนั้นจวบจนวันนี้ ผมมองหน้าคนในอ้อมแขนนิ่ง...ช่างร้ายกาจเหลือเกิน
     
    “ผมอยากกัดคุณสักหนึ่งคำโต ๆ หนึ่งตะวัน”
     
    “อะไรของนาย”
     
    “คุณนี่มันจริง ๆ เลย” 
     
    หมดคำจะสรรหา สุดท้ายก็ได้แต่หัวเราะในลำคอเท่านั้น ผมกวาดตามองตลอดทั้งใบหน้า เมื่อเส้นผมบางส่วนถูกรวบมัดด้วยดอกหญ้าและบางส่วนก็เปียกลู่ลงมาระลำคอยิ่งเผยให้เห็นรูปหน้าและส่วนประกอบต่าง ๆ ชัดเจนขึ้นไปอีก
    ราวกับมันจะไปช่วยสลักในความทรงจำว่าคนแบบไหนที่ทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะได้อีกครั้ง
     
    “ขึ้นเถอะครับ ท่าทางจะหนาวแล้ว”
     
    “นายขึ้นไปก่อน แล้วหันหลังด้วย”
     
    “อ้าว” ผมร้อง “ทีเมื่อกี้ยังแก้ผ้าเดินลงมาโทง ๆ”
     
    “ไม่ได้แก้โว้ย! แค่ถอดเสื้อกับกางเกงเท่านั้นเอง”
     
    “ทำไมจู่ ๆ เขินขึ้นมาล่ะครับ”
     
    “ใครมันใช้ให้นายรู้สึกนั่นกับฉันล่ะ” 
     
    รอยยิ้มผมราวกับไม่อาจหุบลงได้อีก หนึ่งตะวันขมวดคิ้วฉับ เมื่อผมหยิบเส้นผมที่แปะติดข้างแก้มทัดใบหูได้ก็เบี่ยงหน้าหลบ สะบัดตัวจากแขนว่ายหนีไปทางอื่น “เร็ว ๆ ซี่ คนหนาวจะตายอยู่แล้ว”
     
    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่กลับฝังตัวไปใต้ผืนน้ำ หลบเลี่ยงไม่ให้สายตาผมกวาดมองไปยังผิวเนียน เห็นปากหยักได้รูปเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง กระพือสั่นแล้วก็หวั่นใจ เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่สบายเข้าให้จึงเลิกอิดออดทำตามคำสั่งแต่โดยดี
     
    เสียงผ้าสะบัดดังขึ้นเมื่อผมหันหลังให้ จากนั้นไม่นานปลายเท้าของหนึ่งตะวันก็เหยียบเศษหญ้าแห้งดังกรอบมายืนเคียงข้างผมอีกครั้ง
     
    “สว่างแล้ว ยังต้องให้จับมือออกไปจากตรงนี้อีกหรือเปล่าครับ” 
     
    แกล้งถามไปแบบนั้น เหล่หางตามองคนถูกถามที่อมยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก หนึ่งตะวันแสนซนคนเดิมกลับมา คราวนี้ไม่เจือซึ่งความเขินอายหรือเกรี้ยวกราด ราวกับเงาะป่าถอดรูปเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริง
    เขาน่ารัก...น่ารักเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
     
    “อยากจับหรือเปล่าล่ะ” 
     
    เล่นโยนคำถามมาแบบนี้ จะเหลืออะไรให้ผมตอบได้นอกเสียจากยอมรับ มือนุ่มยินดีถูกกอดอีกครั้งด้วยฝ่ามืออันแข็งกระด้างของผม ดอกหญ้าที่รวบมัดผมเมื่อครู่ยังคงพันเกี่ยวอยู่เหนือหน้าผาก ผมสางให้มันร่วงหล่นลงมา สบตากับนายน้อยคนเก่งอีกครั้ง
     
    “มองหน้าตาเยิ้มอยู่ได้ จะไปหรือยัง ยังไม่หายหนาวหรอกนะ”
     
    “ถ้าอย่างนั้นต้องรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้ายังไม่อุ่นให้ซุกตัวในผ้าห่ม”
     
    ผมว่าพลางผิวปากหวือ จูงแขนเล็ก ๆ ให้เดินออกจากป่าไป
     
    “แล้วถ้ายังไม่หายหนาว ผมจะไปนอนกอด ดีไหมครับ”
     
    นายน้อยยิ้มตาปิด 
     
     
     
    “ที่สุดเลย”
     
     
     
     
    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×