ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 13

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.3K
      400
      24 พ.ค. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 13


    หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าของไร่ตะวันฉายก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีดำมืดเสียทีเดียวน้ำเงินเข้มเป็นสิ่งที่หลงเหลือหลังจากแสงสุดท้ายลับหายไป ดวงไฟนีออนสว่างจ้าขึ้นมาตามบ้านเรือนและท้องถนนทอดยาวสู่ท้ายไร่ เสียงฝูงนกบินกลับรังสลับกับใบไม้หวีดหวิวเมื่อสายลมพัดผ่าน

    หนึ่งตะวันเข้าครัวไม่บ่อย อย่างที่นางสายใจบอก เขาไม่ค่อยชอบใจแม่ผมนัก กับป้าแววยังคุยกันได้ แต่ถามว่าถ้าสนิทใจจริง ๆ แล้วก็มีแค่ผมกับไอ้โจ้มากกว่า ดังนั้นเมื่อผมเดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นภาพของนายน้อยใช้มีดแล่เนื้อปลาออกอย่างประณีต ขณะที่แม่ผมล้างหน่อไม้ฝรั่งเตรียมหั่นอยู่ไม่ไกลนักก็อดแปลกใจไม่ได้


    “ทำอะไรกันครับ”

    ผมถามขึ้น แม่หันมายิ้มเป็นคนแรก ขณะที่นายน้อยยังคงง่วนอยู่กับเนื้อปลากะพง มีอุปกรณ์ประกอบอาหารหลายอย่างวางระเกะระกะ

    “สเต๊กปลา” เจ้าของเมนูตอบโดยไม่หันหน้ามอง สักพักเขาก็ละมือจากเนื้อปลาไปหยิบกระทะเทฟลอน ใส่น้ำมันเล็กน้อย “เดี๋ยวป้าสายใจเอาเห็ด กับหน่อไม้ฝรั่งลงย่างเลยนะ โรยเกลือกับพริกไทยนิดหน่อย พอได้ที่ก็ใส่เนยจะได้หอม ๆ”

    แม่ผมรับคำ หันไปจัดการตามสั่งอย่างทะมัดทะแมง ถ้าพูดถึงอาหารฝรั่งแล้วต้องยกให้คุณหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยทำพอร์คช็อปก็อร่อยนุ่มลิ้นจนผมติดใจไปหลายวัน

    “ผมช่วยดีกว่า”

    “เกะกะ” นายน้อยตอบแทบจะในทันที ยังคงไม่มองหน้า “ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ”

    “ให้ผมช่วยเถอะน่า” 

    หนึ่งตะวันเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนเบือนหนีไปยังมายองเนสจุขวด เทใส่ถ้วยผสมน้ำตาลเล็กน้อย “แม่ไปพักเถอะ เดี๋ยวผมจัดการกับคุณหนึ่งเอง” 

    ว่าแล้วก็แทรกตัวเข้าไปในครัว มารดาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยแต่เมื่อถูกแย่งตะหลิวไปก็ปลีกตัวออกมาเงียบ ๆ หนึ่งตะวันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน มือยังคนส่วนผสมของซอสที่ใช้ทานคู่สเต๊กไปเรื่อย ๆ

    “ล้างมือก่อนสิ”

    ผมครางรับ หรี่ไฟลงแล้วผละออกมาล้างมือด้วยน้ำสะอาด กลับมายังกระทะผักย่างอีกครั้งเมื่อเห็นว่าได้ที่แล้วก็ตักขึ้นพัก หนึ่งตะวันถือจานใส่เนื้อปลาดิบ ๆ มาแทนที่ เอาลงทอดอย่างใจเย็น

    แววตาเขาทอดมองตรงไปข้างหน้า หากแต่ไหวระยับและเต็มไปด้วยความรู้สึก ผมยืนพิงตู้เย็น มองนายน้อยไม่ละสายตา เมื่อเพ่งพิศดี ๆ ก็พบว่าเครื่องเคราบนใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นช่างดึงดูดสายตาเสียเหลือเกิน คิ้วเป็นทรงสวย จมูกสันไม่สูงไม่ต่ำเกินไป และริมฝีปากฉ่ำน้ำนั่นที่ชวนคิดว่ายามแตะสัมผัสกันนั้นมันจะนุ่มนิ่มสักเพียงไหน

    “มองอะไร”

    เจ้าของภาพที่ผมยลอยู่เอ่ยถามขึ้นเสียงสะบัด ผมกอดอก ยิ้มที่มุมปาก แก้มขาวขึ้นสีเล็กน้อย เม็ดเหงื่อผุดพราวตามไรผม 

    “มองคุณหนึ่ง”

    “รู้แล้วว่ามอง” เขาย้อน “ที่ฉันถามคือมองอะไรฉันต่างหาก”

    “มองคิ้ว มองตา มองจมูก มองปาก” บรรยายให้เสร็จสรรพ ไล่สายตาไปยังส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าตามปากเรียก หนึ่งตะวันเคาะตะหลิวกับกระทะถี่ ราวกับเร่งเร้าให้เนื้อปลาสุกเร็วไวเพื่อจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ตรงนี้

    “ปากคุณหนึ่งน่าจูบ”

    ดวงตากลมค้อนขวัก ตวัดลิ้นเลียริมฝีปากโดยอัตโนมัติแล้วหันมาที่กระทะต่อ มือขาวพลิกเนื้อปลาเก้ ๆ กัง ๆ ผิดกับนายน้อยของไร่ตะวันฉายผู้ชำนาญการครัวก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเขาเขินและไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้

    “ใจเย็น ๆ ครับ ผมยังไม่จูบคุณตอนนี้หรอก”

    “ไอ้เด็กบ้า” ชายหนุ่มสบถในลำคอ เมื่อตักเนื้อปลาที่เหลืองได้ที่ได้ก็ถอนหายใจโล่ง ผมหยิบทิชชูใกล้มือ เดินเข้าไปประชิดเพื่อซับเม็ดเหงื่อที่ผุดพราว นายน้อยเบี่ยงตัวหลบ ลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก

    “อย่ามาเล่นแบบนี้นะ เมื่อกลางวันก็รอบหนึ่งแล้ว”

    “ครับ?”

    “ก็ที่มากอดนั่น แถมยัง...”

    “เกือบจะหอม?”

    ชายหนุ่มใช้ความเงียบแทนคำตอบ พยายามสะกดลมหายใจ อาการตื่นเต้นลดลงแต่เจ้าตัวยังคงไม่เงยหน้าสบตา โชคดีที่ปิดเตาแก๊สเรียบร้อย ดังนั้นเราต่างใช้เวลานานเท่าไรก็ได้ที่จะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้
    เสียงลมหายใจผ่อนช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นยังหลุบต่ำ มองค้างที่กระดุมสัก 

    เม็ดบนเสื้อของผม ไม่ทันรู้ตัว ผมเผลอยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มอีกฝ่ายผะแผ่วเพื่อยืนยันว่าผิวบนใบหน้าของหนึ่งตะวันร้อนฉ่าเพราะเลือดสูบฉีดมากเพียงใด

    “นาย...คิดอะไรกันแน่”

    “ครับ?”

    “นายทำให้ฉันสับสน”

    หนึ่งตะวันพูดความจริง ผมเองก็ไม่ต่างกัน ดูท่าจะมากกว่าเขาจนรับมือด้วยตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำในช่วงก่อนหน้านี้ ความรู้สึกที่บีบคั้นในจิตใจ โหยหาและเฝ้าฝันว่าจะได้เคียงข้าง มีความสำคัญเหนือกว่าคนอื่นใด

    ผมไม่ตอบ จับจ้องไปที่กรอบหน้าคนตัวเล็กกว่า เมื่อความเงียบปกคลุมลูกชายคนเดียวของเจ้าของไร่ก็เงยหน้าขึ้นสบตาในที่สุด ผมยิ้มละมุน วางมือบนศีรษะทุยแล้วหันหลังกลับโดยใช้เพียงความเงียบและสายตาเป็นเครื่องมือสื่อสารให้อีกฝ่ายใช้หัวใจสดับรับฟัง







    “นายน้อยทำกับข้าวอร่อย”

    หลังจากมื้อเย็นอันเงียบงันของผมกับนายน้อยสิ้นสุดลง หนึ่งตะวันก็ปลีกตัวกลับขึ้นห้องขณะที่ผมยังคงช่วยแม่เช็ดจานชามให้เกลี้ยง หน้าที่หลักในครัวและอาหารเป็นของนางสายใจ ส่วนการทำความสะอาดบ้านเป็นของป้าแวว แน่นอนว่าบ่อยครั้งสองสาวเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยวัยขบเผาะก้าวก่ายหน้าที่กันและกันมากเท่าที่โอกาสอำนวย ช่วยเหลือกันจนไม่รู้หน้าที่ใครเป็นของใคร แต่ถ้าเห็นว่าผมเข้าครัวเมื่อไร ป้าแววมักจะผละไปทำงานอย่างอื่นแทน

    สมัยสาว ๆ แม่เคยทำงานอยู่ร้านอาหาร เป็นสถานที่ที่ทำให้เธอพบกับคุณชนินทร์จนย้ายมาเป็นแม่ครัวให้เมื่อทั้งคู่ตกลงปลงใจจะคบหากันในช่วงแรก ส่วนป้าแววเพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพ ฯ เป็นแม่บ้านของคุณนายใหญ่หรือหมายถึงคุณย่าของหนึ่งตะวันอีกทีที่ถูกส่งตัวมาคุมความประพฤติ แต่ด้วยความอัธยาศัยดี ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าสายสืบของคุณนายใหญ่กลับกลายเป็นเพื่อนซี้กับสาวชาวบ้านไปโดยปริยาย 

    ผมรู้เรื่องของแม่กับคุณชนินทร์เท่าที่ผู้ใหญ่อยากให้รับรู้ ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องราวที่ถูกถมจนเป็นดินหนา ฝังรากลึกลงไปสุดใจมาแสนนาน ทว่าหลังจากการจากไปของคู่สมรสทั้งฝั่งแม่ผมและคุณชนินทร์ จวบไปจนถึงคุณนายใหญ่จอมบงการละสังขารไปแล้วคนงานก็กลับมาพูดกันหนาหู กระนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างดำเนินไปตามทำนองคลองธรรมที่ควรจะเป็น
    ผมนึกแปลกใจไม่ใช่น้อยครั้งแรกที่ได้ยินหนึ่งตะวันพูดพาดพิงแม่ผมในทำนองที่ไม่สู้ดีนัก

    “ถ้าอาหารฝรั่งล่ะก็ แม่ยอมนายน้อยเลย เจ้าของสูตรเยอะแยะไปหมด ดูทำอะไรง่ายดายไปเสียทุกอย่าง”

    ผมพยักหน้าเห็นด้วย หนึ่งตะวันทำอาหารอร่อยมากกว่าที่คิด “แต่อาหารไทยแม่ทำอร่อยกว่า”

    นึกถึงต้มยำในคราวนั้นที่นายน้อยเป็นคนลงมือ รสชาติไม่ได้แย่ แต่อย่างที่บอก แม่ผมถนัดมากกว่า คล้ายกับไม่สุดไปสักทาง รสชาติยังจืดชืดติดฝรั่งไม่น้อย

    “นายน้อยมาขอสูตรแม่ล่ะ”

    “จริงเหรอครับ”

    “ใช่ เดี๋ยวนี้ถ้าเบื่อจากงานก็จะลงครัวบ่อย ๆ”

    “แม่ว่าไงครับ” ผมถาม เหมือนเราต่างจะเห็นความผิดปกติบางอย่างของคุณหนูเอาแต่ใจกันทั้งคู่ มารดาของผมยิ้ม เป็นยิ้มที่ไม่เคยถือสาหาความอะไรกับชายหนุ่มเป็นยิ้มแบบเดิมเหมือนวันแรกที่หนึ่งตะวันกลับมาไร่นี้ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

    “กฤชว่ายังไงบ้างล่ะ”

    “ก็...” คำพูดทั้งหมดของผมคงค้างไว้แค่นั้น รู้สึกเลือดสูบฉีดขึ้นมาบนหน้าเมื่อถูกแววตารู้ทันของแม่ล้อเลียน “แม่ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอถ้าผมเป็นแบบนั้นจริง”

    “รู้ไหม ที่จริงแม่กับพ่อเราอยากได้ลูกสาวมากเลย แต่พอกฤชเกิดมาก็ไม่สำคัญแล้วว่าเป็นเพศไหน”

    ผมเช็ดจานใบสุดท้ายเสร็จพร้อมกับคู่สนทนาที่เดินเข้ามาใกล้ ฝ่ามือกระด้างยืดมาลูบศีรษะผม ประคองแก้มทั้งสองข้าง แววตาที่มีส่วนคล้ายคลึงกันแม้เพียงน้อยนิดจ้องมองมาด้วยความเข้าใจ 

    “แค่เป็นลูกแม่แม่ก็รักทั้งนั้น”

    ผมยกมือขึ้นประนม กราบลงบนบ่า มือหยาบกร้านและแห้งเหี่ยวตามอายุนั้นโอบกอดไว้เหมือนครั้งที่ผมยังตัวเล็กจิ๋ว ตอนนี้แม่ต้องกางแขนให้กว้างขึ้น เขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้น แต่ดูเหมือนรูปร่างที่เปลี่ยนไปของผมไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย

    “ถ้ากฤชดูแลนายน้อยได้ แม่เชื่อว่านายท่านก็สนับสนุน”

    “แม่คิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอครับ”

    “กฤช แม่กับคุณชนินทร์ผ่านความรักที่จบเพราะความไม่เข้าใจของผู้ใหญ่มา ดังนั้นไม่มีเหตุผลเลยที่เราจะต้องเดินตามรอยให้คนที่เรารักเจ็บปวด” 

    แม่สอนผมด้วยประสบการณ์ที่สอนท่านมาอีกที ผมพยักหน้ารับรู้ ฟังมารดาทุกถ้อยคำ “กฤชต้องดูแลนายน้อยให้ได้เข้าใจไหม ไม่ใช่เอาแต่ทะเลาะกันเหมือนเมื่อก่อน นายน้อยเองก็พยายามปรับตัวทำความรู้จักกับแม่เพิ่มขึ้นอยู่”

    “ครับ” ผมรับปาก หลังจากเหตุการณ์นั้นที่พลั้งปากพูดเรื่องไม่ดีถึงมารดาผม แม้หนึ่งตะวันจะไม่ขอโทษ แต่การที่เริ่มเข้าหาแม่ครัวที่ตัวเองไม่ชอบใจนักก็นับเป็นนิมิตหมายอันดี “แม่ ผมจะจีบนายน้อยจริง ๆ แล้วนะ”

    นางสายใจผุดยิ้ม ตีเข้าที่บ่าผมให้พอแสบ ๆ คัน ๆ “ที่เราทำมาตลอดนี่ยังไม่เรียกจีบอีกเหรอ”

    “เปล่าสักหน่อย”

    “เรามันช่างให้ความหวังเก่งเหมือนพ่อไม่มีผิด ระวังเข้าเถอะ เดี๋ยวจะโดนดี”

    ผมฉีกยิ้มกว้าง ทุกครั้งที่เอ่ยถึงคุณชนินทร์ร่องรอยบนใบหน้าแม่คล้ายกับรำลึกถึงความทรงจำดี ๆ แต่เมื่อไรก็ตามที่พูดถึงพ่อขึ้นมาดวงตาของแม่จะเปี่ยมไปด้วยความสุข

    รักครั้งแรกของแม่อาจไม่สมหวัง แต่ผมก็รู้ดีว่าสิ่งที่คงค้างตราบสิ้นลมหายใจของแม่คือรักที่มีให้พ่อ
    ความรักที่เกิดขึ้นจริง ๆ ฝ่าฟันและเคียงข้างกันมาจริง ๆ





    ตัวโน้ตสุดท้ายถูกบรรเลงจากปลายนิ้วผ่านมาตามสายลม ผมยืนอยู่ที่ระเบียงบ้านจนกระทั่งแม่เข้านอนเมื่อครู่ก็สาวเท้ามายังเรือนใหญ่ ไฟสีสว่างดับลงทีละดวง เหลือเพียงไฟหน้าบ้านเท่านั้นที่สว่างจ้า นายน้อยหนึ่งตะวันใช้แสงจากมือถือคลำหาทางขึ้นชั้นสอง ผมกระโดดผ่านรั้วระเบียงแคบ ๆ แทรกตัวเข้าผ่านหน้าต่างบ้านอย่างเงียบเชียบก่อนปิดล็อกหน้าต่างบานนั้นด้วยตนเอง 
    เมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูห้องแล้วจึงแตะเบา ๆ ที่ข้อศอก

    “เฮ้ย!” หนึ่งตะวันสะดุ้งโหยง ขณะที่ผมยกปลายนิ้วขึ้นจรดริมฝีปากกลั้วหัวเราะขณะที่เจ้าของห้องขึงตานิ่ง “เล่นบ้าอะไร”

    “ผมจะมานอนด้วย”

    “อะ...อะไรของนายอีก”

    “พรุ่งนี้ไปขี่ม้ากันครับ” เอ่ยชวนพลางดันแผ่นหลังเจ้าของห้องเข้ามาด้านใน เมื่อเปิดสวิตไฟเพิ่งเห็นว่านายน้อยหนึ่งตะวันยังคงสวมชุดเดียวกับเมื่อตอนบ่าย

    “ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอครับ”

    “อากาศมันเย็น ๆ ยังไงไม่รู้ ขี้เกียจ”

    “น้ำอุ่นก็มี” ผมว่าพลางหัวเราะ หนึ่งตะวันโยเยเหมือนเด็ก ๆ “ผมรองน้ำลงอ่างให้ไหม ถึงอากาศจะเย็นแต่คลุกฝุ่นมาทั้งวันนอนแบบนี้ไม่ดีมั้งครับ”

    “ก็ได้” เขาครางรับ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ “ฉันรออยู่ตรงนี้แหละ นายไปเตรียมให้หน่อย”

    ผมยิ้มรับแล้วปลีกตัวเข้าห้องน้ำส่วนตัวของหนึ่งตะวัน



    หลังจากน้ำอุ่นรองไว้มีปริมาณมากพอให้เจ้าของไร่นอนแช่แล้วผมก็เดินออกมาเรียก นายน้อยหน้ามุ่ยกับจอคอมพิวเตอร์ โดยมีสีหน้าพออกพอใจของคนที่กรุงเทพ ฯ สะท้อนออกมาจากโปรแกรมแชทที่เจ้าตัวชื่นชอบนักหนา ผมกระแอมไอเล็กน้อย คุณพอร์ชก็ยักคิ้วพลางโบกมือทักทายอารมณ์ดี

    “ไง กฤช มาอยู่กับไอ้ตะวันยามวิกาลแบบนี้ไม่กลัวมันปล้ำเอาเหรอ”

    “ไอ้ห่าพอร์ช!” หนึ่งตะวันตวาดเสียงลั่น ผมหลุดขำเมื่อเห็นหน้าบึ้งของอีกฝ่าย “หุบปากไปเลย กูจะไปอาบน้ำแล้ว”

    “ขอกูคุยกับกฤชหน่อย”

    “ไม่ให้คุย”

    “ไม่เอาน่า อย่าหึงดิ คุยแบบเพื่อนผู้ชายเขาคุยกัน ไม่มีอะไรหรอก”

    “กู ไ ม่ ใ ห้ คุ ย” หนึ่งตะวันยังคงใช้น้ำเสียงแบบเดิมโต้ตอบบุคคลในสไกป์ ผมเห็นรอยยิ้มยวนคลี่ออกมาจากใบหน้าของภูดิศ เขาเท้าคางกับโต๊ะคอมพิวเตอร์ ยักคิ้วส่งมาซ้ำ ๆ “มึงจะไปกินเหล้าไม่ใช่เหรอไอ้พอร์ช ไปเด่ะ”

    “ทีงี้มาไล่ เมื่อกี้ใครอ้อนวอนให้กูอยู่ด้วย หืม?”

    “ไม่มี” หนึ่งตะวันเถียง เขาเม้มปากเข้าหากันแล้วปิดโปรแกรม 

    สนทนาลงอย่างไม่ใยดี ผมไม่มีโอกาสทักภูดิศกลับไปด้วยซ้ำ “ไอ้เพื่อนเวร กวนประสาท”

    “ทะเลาะอะไรกันครับ”

    “ไม่ได้ทะเลาะ” หนึ่งตะวันบอกปัด แก้มแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าสะบัดอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกแบบนั้นของผมกลับมาอีก ไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายสนทนากับภูดิศบ่อย ๆ มิหนำซ้ำยังมีปฏิกิริยาคล้ายเขินอายคั่งค้างในความรู้สึกแบบนี้

    “คุณหนึ่งคุยกับคุณพอร์ชทุกวันเลยเหรอครับ”

    “ก็เกือบ ทำไม”

    “เปล่าครับ” 

    ถึงแม้จะติดต่อกับฝ่ายนั้นบ่อย ๆ ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปออกคำสั่งให้หยุด หนึ่งตะวันสนิทกับภูดิศ แถมทางนั้นยังมีอิทธิพลมากกว่าผมเยอะ เหมือนนายน้อยจะยอมอยู่ในโอวาทอีกฝ่ายโดยดีแม้จะมีเถียงกันบ้างตามนิสัยก็ตาม

    “คุณหนึ่งไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวยิ่งดึกจะยิ่งหนาว”

    คู่สนทนาผ่อนลมหายใจยาว เมื่อคลายจากอารมณ์ฉุนเฉียวแล้วก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ผมมองจอคอมพิวเตอร์ที่ดับลง เผลอกำมือเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว


    หนึ่งตะวันเดินออกจากห้องน้ำโดยผูกผ้าเช็ดตัวไว้กับช่วงเอวคอด เผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่ตึงไปด้วยกล้ามเนื้อไม่มากไม่น้อย ทั่วเรือนร่างพราวไปด้วยหยดน้ำ มีผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ๆ พาดบ่า เจ้าตัวยกขึ้นมาซับใบหน้าเมื่อเดินมายังตู้เสื้อผ้าของตนเอง
    ผมมองแผ่นหลังโค้งตามรูปกระดูกเมื่อเจ้าของห้องก้มลงหยิบเสื้อกับกางเกงนอนออกมา ผิวหนังที่หยดน้ำระเหยออกไปบ้าง บางส่วนไหลกลิ้งลงต่ำยังเอวคอดและสะโพกผายที่ถูกบดบังไปด้วยผืนผ้าสีขาวชวนให้ลอบกลืนน้ำลาย เห็นหนึ่งตะวันในสภาพกึ่งเปลือยแบบนี้หลายครั้งแต่กลับไม่รู้สึกว่าครั้งไหนดึงดูดสายตาได้มากเท่านี้ เมื่อหันหน้ากลับมา ยอดอกสีชมพูปลั่งกลายเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจละสายตาออกไปได้

    “มองอะไรของนาย”

    ทันทีที่ถูกทักผมก็หลบสายตาโดยอัตโนมัติ หางตาวูบไหวเห็นเงาของหนึ่งตะวันเดินไปมา เขาไม่ถามต่อ ไม่ซักไซ้ หันหลังให้ หาที่นั่งเหมาะ ๆ ตรงหน้ากระจกได้ก็หยิบครีมบำรุงหน้ามาประทินผิว

    ผมค่อย ๆ เหลือบมองเจ้าของร่างขาวอีกครั้ง คราวนี้หนึ่งตะวันสวมชุดนอนหลวมโพรก ต้นคอยังคงชั้นจากน้ำที่อาบ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวลงมาถึงปกเสื้อด้านล่าง

    “พออาบน้ำแล้วไม่ง่วงเลย ลงไปเล่นเปียโนต่อได้ไหม”

    “ดึกแล้วครับ” ผมสบตากับเขาในกระจก หนึ่งตะวันลากปลายนิ้วบนแก้มเนียนของตัวเองไปมา นึกอยากไล่กดริมฝีปากไปตามแก้มนิ่ม ๆ ดูสักครั้ง

    "แต่ไม่ง่วงแล้วนี่"

    "พรุ่งนี้ผมจะชวนไปขี่ม้า คุณหนึ่งไม่คิดถึงแสงเพชรบ้างเหรอ”

    “นอนก็ได้หรอก” 

    เขาว่าพลางปิดกระปุกครีม เดินนำมาที่เตียงสี่เสา ตลบมุ้งเข้ารอด้านใน เห็นอีกฝ่ายฝังตัวลงในผ้าห่มแล้วผมถึงลุกขึ้นปิดไฟ อาศัยความเคยชินนำทางตัวเองกลับมายังที่นอน เมื่อล้มตัวลงก็พลิกตัวตะแคงข้างโดยอัตโนมัติ เกี่ยวเอวบางที่นอนหันหลังให้เข้ามาประชิด

    “อ๊ะ”

    คนในอ้อมกอดร้องเสียงหลง พักเดียวก็เงียบไป ผมก้มลง ใช้จมูกซุกลงบนเรือนผม “ไม่ให้ผมกอดเดี๋ยวก็นอนไม่หลับหรอก หันมาสิครับ”

    คนในอ้อมแขนแน่นิ่ง พักเดียวหนึ่งตะวันก็พลิกตัวกลับ ใช้แขนผมหนุนแทนหมอน ซุกหน้าเข้าหาอ้อมอก

    “กฤช นายไม่รู้สึกแปลก ๆ บ้างเหรอ”

    “แปลกอะไรครับ”

    “นายรังเกียจเกย์” ผมครางรับในลำคอ ยอมรับว่าเคยแสดงปฏิกิริยาแบบนั้นออกไป

    “คุณหนึ่งเกลียดแม่ผม”

    “กำลังพยายามทำความรู้จักใหม่อยู่นี่ไง”

    “ผมก็เหมือนกัน” เสียงหรีดหริ่งเรไรเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สะท้อนก้อง หนึ่งตะวันยกมือขึ้นกอดผมบ้าง ใช้หน้าผากโขกเข้ากับแผ่นอกเบา ๆ หลายครั้ง

    “นายไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ กฤช...” นายน้อยเงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนที่จะวางหน้าผากลงนิ่ง ๆ เพื่อพูดต่อ “นายไม่จำเป็นต้องใจเต้นแรงเวลาที่ฉันกอดนายคืน”

    ผมหัวเราะ ก้มลงซุกจมูกกับเรือนผมนั่นอีกครั้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูไม่น่าดึงดูดมากเท่าคนในอ้อมแขนของผมเป็นใครในขณะนี้ 

    "ได้ยินเหรอครับ"

    หนึ่งตะวันพยักหน้า กำเสื้อด้านหลังของผมแน่น

    “บางทีผมอาจต้องทำมากกว่าใจเต้นกับคุณหนึ่งก็ได้ครับ”

    “หมายความว่าไง” 

    ผมยิ้มในความมืด มีไออุ่นโอบกอดรอบตัว คนเราสามารถรักใครได้ง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ ยังย้ำถามคำนั้นซ้ำ ๆ หากแต่ก็ยากที่จะปฏิเสธว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ

    ความรู้สึกฟูฟ่องเมื่อหนึ่งตะวันอยู่ในอ้อมแขน ซุกหน้าเข้าแนบสนิทกับผมเหมือนลูกแมวเชื่อง ๆ เฝ้าเคล้าคลอเคลีย บางทีแสบซนไปบ้างแต่ก็ยังไม่เกินจะให้อภัย

    ผมไม่รู้ว่าในสายตาของพี่นุ่นคุณหนึ่งจะเจ้าแผนการแค่ไหน หรือสำหรับภูดิศแล้วนายน้อยจะเกเรหรือไม่ ขอเพียงแค่อยู่กับผม เรียกร้องและโหยหาเพียงแค่ผมเท่านั้นทุกอย่างก็ไม่สำคัญอีกเลย

    “คุณหนึ่ง” ถึงทีผมร้องขอบ้าง หนึ่งตะวันก็ครางรับคำในลำคอ ผมลูบแผ่นหลังเขา ไล้ลงเรื่อย ๆ จนวางมืออยู่เหนือสะโพก “ถ้าผมมานอนด้วยทุกคืน คุณไม่สไกป์คุยคุณกับคุณพอร์ชได้ไหม”

    “ทำไม”

    “ผมไม่เข้าใจ คุณชอบผมแล้วทำไมถึงอยากใช้เวลากับคนอื่น”
    หนึ่งตะวันตอบอ้อมแอ้ม “พอร์ชไม่ใช่คนอื่น”

    “แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะกอดคุณหนึ่งได้แบบนี้ในเวลานี้” 

    แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ภายในใจกลับลุกโชนด้วยความรู้สึกบางอย่าง คล้ายกับหัวใจถูกบีบรัดเมื่อคนในอ้อมแขนเอ่ยประโยคนั้น ผมรู้ว่าเขาสำคัญ เผลอ ๆ อาจสำคัญกับหนึ่งตะวันมากกว่าผมด้วยซ้ำ
    นั่นทำให้ไม่อาจเอ่ยคำขาดออกมาได้ว่าหากต้องเลือก นายน้อยจะเลือกใคร

    “คุณหนึ่ง”

    “จะคุยให้น้อยลง” 

    ชายหนุ่มรับปาก และผมก็กอดเขาแน่นขึ้นแทนคำขอบคุณทั้งหมดทั้งมวล ดวงตะวันของผมครางในลำคอแล้วไล่ปลายนิ้วจากเอวผมขึ้นมายังแผ่นอกที่ตัวเองซบอยู่เมื่อครู่ สัมผัสกล้า ๆ กลัว ๆ ของหนึ่งตะวันอ่อนโยนแต่กลับทำให้ผมอึดอัด ราวกับเรียกร้องให้อีกฝ่ายแตะต้องร่างกายให้มากกว่านี้

    “.........”

    เราสบตากัน ปราศจากคำพูดใด ๆ เมื่อปลายนิ้วชี้แตะลงบนริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกายวาววับในยามราตรีหลุบลงมาจ้องมองที่กลีบปากผม คนในอ้อมแขนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนก้มหน้าลง ซ่อนแก้มขาวในความมืดไม่ให้เห็นว่ามันขึ้นสีขึ้นมาหรือไม่

    “ฝันดี”

    เจ้าของเตียงกว้างพึมพำแนบอก ขณะที่ผมครางรับคำในลำคอ ก้มลงจูบที่ขมับของอีกฝ่าย “ฝันดีเช่นกันครับ หนึ่งตะวัน”




    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×