ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 12

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.51K
      396
      22 พ.ค. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 12


    มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจชัดเจน พระอาทิตย์ขยับตัวขึ้นจากหุบเขาอย่างเกียจคร้านนานนับชั่วโมงนอนจากในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางรับรู้ได้เพียงแสงที่แยงเข้าร่องรูหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทเท่านั้น ไร้เสียงกรน ไม่มีคำพูด นกด้านนอกก็จงใจเลี่ยงที่จะบรรเลงทำนองขับขานเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เรานอนกอดกันแน่น บนเตียงกว้าง ในกองผ้านวมสีครีม ใต้มุ้งของเตียงสี่เสาที่ทำให้พื้นที่แคบลงจากห้องเข้ามาอีก

    ผมตื่นนานแล้ว เดิมทีไม่ใช่คนตื่นสาย เมื่อคืนก็นอนเร็วกว่าที่คิด เริ่มจากนอนลูบหลังคนในอ้อมแขนไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็ผล็อยหลับไปหลังจากหนึ่งตะวันดำดิ่งสู่ห้วงนิทราเพราะฤทธิ์ยาไม่นาน ผมไม่รู้ว่า ณ ขณะนี้เขาตื่นหรือยัง ใบหน้าขาวซีดซุกอยู่กับอก ท่าเดียวกับก่อนนอนที่เราโอบกอดกันอย่างนั้น

    อุณหภูมิลดต่ำลง ช่วงดึกมีเสียงกระแอมไอเล็กน้อยกับน้ำมูกใส แน่นอนว่าเสื้อยืดตัวที่ผมใส่ถูกใช้เป็นแหล่งถ่ายโอนเชื้อโรคเสร็จสรรพ แต่ไม่มีทางเลือก เขายังคงจมอยู่กับซากอารยธรรมที่ตัวเองทิ้งไว้โดยมีไออุ่นจากอ้อมแขนผมเป็นกำนัล

    ผมหลับตาลง ขยับใบหน้าใช้คางเกยศีรษะอีกฝ่าย ลูบแผ่นหลังกว้างราวกับอยากปลอบให้เขาหลับใหลไปชั่วนิรันดร์ ที่ตรงนี้ ในอ้อมแขนผม ในไออุ่นของเช้าวันใหม่ สิ้นฤทธิ์เดช ไม่แสนงอนหรือมองผมด้วยแววตาที่อ่านยากเหมือนก่อนหน้านี้อีก

    หนึ่งตะวันรู้สึกตัว ผมรู้เพราะเมื่อบรรจงวางริมฝีปากเหนือกระหม่อมลมหายใจเขาขาดช่วง แต่เราก็ยังสมมติว่าไม่มีใครรู้สึกตัวอย่างนั้น นอนกอดกันแนบแน่น เหมือนนาฬิกาไม่ขยับ สายลมไม่พลิ้วไหว แต่เสียงหัวใจไม่เคยนิ่ง ไม่รู้ว่าใจผมหรือเจ้าของไร่ที่เต้นถี่และดังจนสั่นไปทั้งอกทว่ายังคงปล่อยให้มันเป็นไปโดยปราศจากความคิดที่จะลุกขึ้นมาทำงานทำการเหมือนทุกวัน
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากเรานอนกอดกันเช่นนั้นพักใหญ่ ผมคลายอ้อมแขนออกก่อน ลืมตาขึ้นพร้อม ๆ กับนายน้อยที่ปรือตาเปิดช้า ๆ เหมือนกัน ผมหลบตา เขาเบือนหน้าหนี ที่หางตาเห็นแก้มขาวขึ้นริ้วสีอ่อน ขณะที่ผมก็รู้สึกร้อนผ่าวเมื่อเผลอสบตาเข้าวูบหนึ่ง

    “สงสัยแม่จะมาตาม”

    หนึ่งตะวันพยักหน้า พลิกตัวไปอีกฝั่ง ดึงผ้าห่มจนรั้นขึ้นมาปิดพวงแก้ม เหลือเพียงดวงตาที่แสร้งเหลียวมองปลอกหมอนสีสะอาดตัวเองเท่านั้น

    “อาการดีขึ้นไหมครับ”

    “อืม” เขาตอบรับ พยักหน้าหงึกหงักใต้ผ้าห่ม ผมทำอะไรไม่ถูก ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อกระทั่งเสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง

    “ผมออกไปนะครับ”

    “อืม”

    “นายน้อยควรจะพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย ให้หายขาด”

    “ฉัน...” เขาพูดเสียงแหบอย่างคนเพิ่งตื่นนอน เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเถียง “...หายแล้ว”

    “เดี๋ยวไข้กลับ”

    “ไม่เป็นไร ฉันหายแล้ว อยากออกไปข้างนอก” 

    ผมรับรู้ แต่ยังไม่วางใจ “รอดูช่วงบ่ายก่อนเถอะครับ ถ้าไม่มีอาการแล้วผมจะพาไปดูที่โรงบ่ม”

    เมื่อได้ข้อเสนอจนเป็นที่น่าพอใจแล้วหนึ่งตะวันก็ยอมพยักหน้าเป็นครั้งสุดท้ายอย่างว่าง่าย ผมตวัดมุ้งสีขาวขึ้น เมื่อออกมานอกห้องพบหญิงวัยกลางคนยืนกุมมือร้อนใจอยู่

    “ตากฤช นายน้อยเป็นยังไงบ้าง”

    ผมเอี้ยวตัวกลับไปมองด้านหลัง คนถูกถามถึงใช้ผ้าห่มคลุมโปง เมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพแบบนั้น อีกทั้งงอนง้อกันเมื่อคืนราวคนรักต่างประดักประเดิด เคอะเขินจนทำตัวไม่ถูก ผมยกมือขึ้นเกาหู ยิ้มเก้อ“ดีขึ้นมากแล้วครับ”

    “มีอะไรหรือเปล่า”

    “ไม่ครับ” ผมส่ายหัว “ก็ไม่เสียทีเดียว”

    “ไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะ โจ้มาตามแต่เช้า เห็นว่าเข้าไปกวาดคอกม้าไม่เจอกฤช แต่แม่บอกไปแล้วแหละว่าเมื่อคืนกฤชขึ้นมาดูนายน้อยทั้งคืนไม่ได้กลับเข้าบ้าน”

    ผมพยักหน้ารับคำ ไอ้โจ้คงไม่คิดอะไร มันเข้าใจเสร็จสรรพว่าหนึ่งตะวันมีคนรักเป็นคุณภูดิศอยู่แล้ว ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แม้ลึก ๆ แล้วยังคงคาใจอยู่เล็กน้อยก็ตาม 

    “แม่เตรียมอาหารให้นายน้อยแล้วหรือยังครับ”

    “เสร็จแล้วจ้ะ เขาตื่นหรือยัง”

    “เพิ่งตื่นครับ” ผมว่า “สักพักเดี๋ยวผมยกขึ้นมาให้ รอคุณเขาเสร็จธุระก่อน แม่ไปพักเถอะ”

    นางสายใจพยักหน้า แต่ยังชะเง้อคอเข้าไปในห้องด้วยความเป็นห่วงจนผมต้องโอบเอวมารดากลับลงมาในครัว




    ช่วงบ่ายคล้อยของวันเดียวกัน หนึ่งตะวันไม่มีอาการไม่สู้ดีของไข้หวัดแล้ว ผมอนุญาตให้นายน้อยของไร่ตะวันฉายออกมาเดินเล่นในโรงบ่ม ห้องโถงด้านหน้าพร้อมอธิบายลักษณะของไวน์ภายใต้การผลิตและส่งจำหน่ายของไร่

    “ทั้งหมดแล้วเราผลิตมี 3 ชนิดครับ ไวน์ขาว ไวน์แดง กับไวน์โรเซ่ ไวน์ขาวกับไวน์โรเซ่มีวิธีการผลิตเหมือน ๆ กัน ถ้าเป็นไวน์ขาวเราจะเริ่มจากเอาองุ่นขาวชนิน กับ โคลอมบาร์ดมาบีบ ผสมยีสต์แล้วหมัก ที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส พอได้ที่แล้วก็กรอง จากนั้นนำไปบ่มในถังไม้โอ๊คนานประมาณหนึ่งปีก่อนจำหน่าย” 

    เสียงของเครื่องจักรกำลังทำงานสลับกับเสียงของผม คลอไปด้วยเสียงฝีเท้าของคนสามคน หนึ่งในนั้นมีไอ้โจ้ลูกสมุนคอยถือแก้วใส่ไวน์ที่เป็นผลผลิตของไร่เดินตามห่าง ๆ ขณะที่นายน้อยก้มหน้าลงจดความรู้ใหม่ใส่สมุดยิก ๆ

    “ไวน์จะมีสีเหลืองใส แอลกอฮอล์ 12.5% ลองชิมนี่ครับ”

    ผมหยิบหนึ่งในสามของแก้วในถาดให้ชายหนุ่ม นายน้อยจับก้านแก้ว หมุนไวน์ในแก้วเพื่อรับกลิ่นก่อนจิบอย่างมืออาชีพ “หอมไม้โอ๊คกับกลิ่นผลไม้กับน้ำผึ้ง”

    “ครับ” ผมครางรับ ก่อนอธิบายต่อ “ส่วนไวน์โรเซ่ก็คล้ายกัน แต่ใช้องุ่นแดงชีราส”

    ไอ้โจ้รับแก้วเปล่าของไวน์ชนิดแรกคืนไปวางบนถาด ก่อนเสนอแก้วเครื่องดื่มสีส้มอมชมพูให้ใหม่ นายน้อยขอน้ำเปล่าก่อนจิบด้วยวิธีการเดียวกัน

    “หวานกว่าเมื่อกี้”

    “ถูกครับ สองชนิดนี้จะดื่มง่าย กลมกล่อม เสิร์ฟที่อุณหภูมิต่ำ ส่วนไวน์แดงจะต่างกันตรงที่ไม่ได้เอามาแต่น้ำหมักองุ่นพันธุ์ชีราส แต่ต้องสกัดสีจากเปลือกด้วย ตัวทำละลายสีคือแอลกอฮอล์จากการหมักยีสต์ หมักทั้งเปลือกทิ้งไว้สัปดาห์กว่า ๆ เมื่อได้สีและความฝาดแล้วก็เอาแต่น้ำหมักมาบ่มในถังไม้โอ๊คเหมือนกัน ไวน์นี้วิธีการทำซับซ้อนกว่าจะแพงกว่าไวน์ชนิดอื่น” 

    หนึ่งตะวันจิบไวน์ชนิดสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในถาดของไอ้โจ้ เขาไม่พูดอะไรขณะที่เดินไปเรื่อย ๆ ในห้องขนาดกว้าง “ไวน์ทั้งหมดมาจากองุ่นไร่เราเหรอ”

    “ไม่ครับ การทำไวน์แต่ละครั้งจะคัดองุ่นมาจากหลายพื้นที่ รสชาติจะแตกต่างกันออกไป บางตัวเราก็รับมาจากไร่อื่น โรงงานของเราค่อนข้างใหญ่ มีกำลังมากพอจะผลิตออกในหลายเกรด ส่วนถ้าพูดถึงระยะเวลาแล้ว เวลาในการบ่มไวน์แต่ละชนิดประมาณหนึ่งปีถึงปีครึ่งก่อนเอามาเบลน เดี๋ยวผมพาไปส่วนกลาง เป็นที่ตั้งของห้องบ่ม”

    หนึ่งตะวันพยักหน้า แก้มของเขาขึ้นสีนิด ๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อครู่ ช่วยให้ใบหน้าขาวสดใสเล็กน้อย เหมือนผิวเด็กอ่อน 

    “คุณเมาง่ายหรือเปล่า”

    ผมถามพลางยกมือขึ้นจับแก้มอีกฝ่ายโดยพลการ มันร้อนฉ่าและดูจะร้อนขึ้นกว่าเดิมเมื่อผมใช้ปลายนิ้วสัมผัส หนึ่งตะวันหลบตา ขณะที่ไอ้โจ้กระแอมไอในลำคอ

    “โจ้ เอาแก้วไปเก็บ”

    “แหม ไล่กันเป็นหมูเป็นหมา เห็นเราขวางหูขวางตาล่ะสิ” ไอ้เปี๊ยกจอมประชดประชันเอ่ยแซว ผมหันไปมองดุลูกสมุนก็รีบเดินลิ่วหนีให้พ้น กระทั่งลับสายตาแล้วถึงได้หันกลับมามองคนตรงหน้าใหม่

    “ถ้าเมาพักก่อนก็ได้นะ”

    “เปล่า” หนึ่งตะวันส่ายหน้าดิก “แค่หน้าแดงง่ายเฉย ๆ แต่ไม่ได้เมา”

    “แน่นะ”

    “อืม” เขาพยักหน้าลงอีกครั้ง ผมยกมือขึ้นยีหัวอีกฝ่ายก่อนวางมือบนบ่า หนึ่งตะวันยิ่งหน้าแดงขึ้นกว่าเมื่อครู่เป็นเท่าตัว “อย่ารุ่มร่ามน่า เดี๋ยวโจ้มาเห็น”

    “ผมกลัวคุณเดินไม่ไหว”

    “จะไม่ไหวก็เพราะนายเนี่ยแหละ” เสียงทุ้มบ่นงุบงิบในลำคอ ไหล่เล็กสะบัดนิด ๆ อย่างไม่จริงจังนัก ผมเผลอยิ้ม นึกอยากงับแก้มใสนั่นให้จมเขี้ยว

    “ถามจริงเถอะ เป็นคนเจ้าชู้หรือเปล่า”

    “ครับ? ผมน่ะเหรอ ทำไมคิดแบบนั้น”

    “ก็นาย...” เขาหยุดเสียงที่จะบริภาษไว้แค่นั้น ก่อนสะบัดหัวไปมา “ช่างเหอะ”

    “ถ้าเป็นช่วงมัธยมถึงมหาวิทยาลัยก่อนคบพี่นุ่นก็มีบ้าง ผมอยู่กับแม่มาแต่เด็ก ติดนิสัยชอบดูแลผู้หญิง รู้ตัวอีกทีก็มีแฟนทีเดียวพร้อมกันสอง-สามคน ตอนจีบพี่นุ่นนี่แหละถึงได้เลิกหมด ไม่อยากให้คนที่รักเสียใจ”

    “เฮอะ” หนึ่งตะวันพ่นลมผ่านลำคอให้เกิดเสียงชวนตี ผมอมยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

    “แต่หลังจากเลิกกับพี่นุ่นก็เลิกหยอดคนอื่นแล้วเหมือนกัน โตแล้วด้วยมั้ง ไม่อยากให้ใครมาเสียเวลาด้วย”

    “นี่ขนาดเลิกแล้วนะ” นายน้อยยังสบถกับตัวเอง แต่ในห้องกว้างที่มีเพียงแค่สองคนผมก็ยังได้ยินอยู่ดี หนึ่งตะวันยกมือกอดอก ผินหน้าหนีไม่ยอมสบตากันดื้อ ๆ “พาไปห้องอื่นได้หรือยัง”

    ผมครางรับในลำคอก่อนเดินนำมาอีกห้อง


    “ตรงนี้เป็นส่วนกลางครับ เป็นห้องบ่มไว้ควบคุมอุณหภูมิ ตรงหน้านี้เป็นถังไม้โอ๊คฝรั่งเศสขนาด 220 ลิตร ส่วนนั่น 310 ลิตร ถัดมาเป็นห้องบรรจุขวดกับบรรจุกึ่งอัตโนมัติ ส่วนตรงนี้เป็นห้องเก็บสต๊อกสินค้า ควบคุมอุณหภูมิและโกดังเก็บของ ส่วนที่ควบคุมอุณหภูมิทั้งหมดเป็นห้องหมัก และส่วนสุดท้ายเป็นพื้นที่รับองุ่นและแปลรูป เป็นที่ตั้งถังหมักสกัดสีไวน์แดง ห้องเย็น ห้องกลั่น ห้องเก็บของและห้องเก็บบ่มบรั่นดี ทั้งหมดนี้หัวหน้าที่ดูหลัก ๆ คือพี่ก้อยที่สวนกันเมื่อครู่ ส่วนไอ้โจ้เรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่อู้งานบ่อย ๆ โดยหลักแล้วคนงานเวลามีอะไรจะปรึกษาพี่ก้อย ถ้าเรื่องใหญ่โตพี่ก้อยจะแจ้งให้ผมคุยกับคุณชนินทร์อีกที”

    “ทำไมไม่ให้คุณก้อยโทรคุยกับพ่อเองเสียล่ะ”

    “เพราะบางปัญหาผมก็แก้ได้ก่อนถึงมือนายท่านครับ คุณก็รู้ คุณพ่อคุณงานน้อยเสียที่ไหนช่วงนี้ท่านกำลังพยายามกระจายสินค้าไปตามห้างโมเดิร์นเทรดกับโรงแรมใหญ่ ๆ ผมเองก็อยากเบาแรงท่านเหมือนกัน”

    หนึ่งตะวันพยักหน้า เดินไปตามถังไม้โอ๊ค สอดส่องสายตาอย่างคนตื่นถิ่น 

    “เราจะมีตารางตรวจเช็กการทำงาน นาน ๆ ทีผมจะเข้ามาดูว่าเป็นยังไงบ้าง คุณหนึ่งเองถ้าว่างจากงานบัญชีก็ลงมาดูได้นะครับ”

    “ไกลจากบ้านอยู่นะ” ผมพยักหน้า ก่อนเห็นรอยยิ้มปีศาจผุดขึ้นที่มุมปากสวย “ขี่ม้ามาได้ไหม”

    “คล่องแล้วหรือครับ”

    “ขี่บ่อย ๆ เดี๋ยวก็คล่อง”

    “ผมว่าถ้าช่วงนี้อยากมาให้ไอ้โจ้พานั่งรถกอล์ฟมาดีกว่า”

    คนถูกขัดถึงกับหน้าหงิกลงอีกครั้ง ผมสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ แก้มของเขาสีอ่อนลงแล้ว ช่างเป็นคนที่เลือดลมเดินดีเสียเหลือเกิน

    “อ๊ะ!” 

    ไม่ทันตั้งตัว หนึ่งตะวันพลิกตัวหันกลับเมื่อผมยืนในระยะประชิด เขาร้องก่อนจะก้าวถอยหลังจนขาพันกันโซซัดโซเซ ผมคว้าเอวอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ร่วงหล่น ดึงขึ้นมาชิดตัวจนกลายเป็นโอบกอดอีกฝ่ายกลาย ๆ กลิ่นของหนึ่งตะวันหอม หอมเหมือนเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น เมื่อผสมกับกลิ่นเครื่องดื่มหมักแอลกอฮอล์เมื่อครู่กลับเย้ายวนอย่างประหลาด ผมก้มหน้าลง แตะปลายจมูกลงบนต้นคอขาว สูดกลิ่นผิวกายของอีกฝ่ายราวโดนมนตร์สะกด นึกอยากประทับจุมพิตลงไปเพียงผะแผ่วหากแต่เสียงร้องตกใจของใครบางคนดังขึ้นเสียก่อนจึงผละออกด้วยความเสียดาย

    ไอ้โจ้ยืนเอามือปิดปากอยู่เบื้องหลัง เบนสายตากลับมายังนายน้อยของมันที่หน้าแดงก่ำลงไปถึงคอ เรียกให้ถูกคือแดงคล้ายกุ้งต้มไปทั่วทั้งตัวแล้วมากกว่า ราวกับเหลือเพียงผมคนเดียวที่นิ่งเฉยกับสถานการณ์เมื่อครู่ได้

    “นายน้อยจะล้ม ข้าเลยไปช่วยจับไว้” 

    ไหวไหล่เบา ๆ ก่อนเดินสวนออกไปด้านนอก ทิ้งให้หนึ่งตะวันยืนรับมือกับไอ้โจ้ต่อ ลูกสมุนมันไม่ถามนายน้อยหรอก แต่ขืนผมอยู่ได้โดนรีดหมดไส้หมดพุงแน่ ๆ





    ผมอยู่ที่ไร่องุ่นจนเย็นย่ำ เมื่อบ่ายแก่ ๆ หลังจากพาหนึ่งตะวันทัวร์รอบโรงบ่มแล้วก็ปล่อยให้ไอ้โจ้เป็นคนพากลับ เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้จะรอนเต็มทนก็ละมือจากค้างองุ่น เดินปาดเหงื่อกลับบ้านใหญ่อย่างเชื่องช้า กระทั่งเจอคนที่หลบยืนจังก้าเท้าเอวดักไว้ก่อน

    ไอ้โจ้หน้าบึ้งเป็นตูด เหงื่อกาฬไหลย้อยหอบหายใจแฮก เห็นได้ชัดว่าวิ่งมาจากที่ไหนสักแห่งเพื่อมารอเจอผมก่อนจะคลาดกัน

    “อะไรไอ้โจ้ เย็นแล้วข้าจะกลับบ้าน”

    “มันเรื่องอะไรกันคุณกฤช”

    “อะไร เรื่องอะไร” ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เดินเบี่ยงสมุนหลบไปอีกทางแต่เด็กหนุ่มเตี้ยล่ำกลับกระโดดมาขวางได้ทัน

    “ไม่ต้องมาหลบโจ้เลย คุณกฤชมีท่าทีกับนายน้อยชัดเกินไปแล้ว เมื่อก่อนโจ้ว่านายน้อยชอบคุณกฤชแน่ ๆ แต่ตอนนี้เหมือนคุณกฤชจะหาทางฉวยโอกาสคุณหนึ่งอยู่เนือง ๆ”

    “ข้าไม่คุยกับคนเพ้อเจ้อหรอกนะ”

    “นายน้อยเขามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอคุณกฤช”

    “เขาเป็นเพื่อนกัน” ผมตอบ แม้จะไม่แน่ใจอยู่ในที ไอ้โจ้ทำท่าฮึดฮัดขัดใจชั่วครู่แล้วถามต่อ

    “สรุปคือคุณกฤชชอบนายน้อยแบบนั้นจริง ๆ ใช่ไหม ตั้งแต่เมื่อไร ไหนบอกว่าไม่สนใจ”

    “ไม่รู้โว้ย” ผมบอกปัด “คิดว่าข้าอยากรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันหรือไง มันห้ามไม่ได้นี่หว่า รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว”

    "โจ้บอกนายน้อยแล้วว่าจ้างโจ้มากล่อมคุณกฤชไม่เสียตังค์ฟรีหรอก"

    เหมือนจะหูแว่ว พอหันกลับไปมองคนพูด อีกฝ่ายก็ทำหน้าเลิกลัก

    “เมื่อกี้โจ้บอกว่านายน้อยก็น่ารักจริงนั่นแหละ โจ้ก็ชอบ แต่ไม่คิดว่าคุณกฤชจะชอบ ตอนนั้นยังเถียงคอเป็นเอ็นว่าถ้าโจ้พูดอีกจะโกรธกัน”

    ผมถึงกับคอตกเมื่อถูกสมุนท้วงถึงอดีต ไอ้โจ้ถอนหายใจยาวพรวด ยอมหลีกทางให้ แต่ยังพันแข้งพันขาไม่ห่าง “ว่าแต่ถึงขั้นไหนกันแล้วเหรอ บอกโจ้ได้ไหม โจ้อยากรู้”

    “ไม่ถึงขั้นไหนทั้งนั้นแหละ”

    “อ้าว ป้าสายใจบอกว่าบางคืนไปนอนด้วยกัน”

    “ก็นอนเฉย ๆ” ผมพูดตามความจริง “กอดกันบ้างนิดหน่อย”

    “กอดแบบไหน”

    “กอดเฉย ๆ สิวะ”

    “โธ่ คุณกฤช ไหนว่าชอบเขา ทำไมไม่ทำอะไรมากกว่านั้นล่ะ นายน้อยเองก็ดูมีใจ ไอ้นั่นน่ะ ไม่ยอมงัดมาใช้งานเสียบ้างเดี๋ยวก็เป็นง่อยหรอก โอ๊ย!”

    ผมเขกกะโหลกไอ้ตัวปากดีไปหนึ่งครั้ง มันร้องเสียงหลงลูบหัวป้อย ๆ “นี่โจ้เตือนเพราะหวังดีหรอกนะ ไม่มีใครหวังดีกับคุณกฤชเท่าโจ้อีกแล้ว”

    “เก็บความหวังดีของเอ็งคืนไปเลย ทะลึ่งตึงตัง”

    “แหม อย่าบอกนะว่าไม่เคยอยากทำมากกว่านอนกอดกันแบบนั้นเลย นายน้อยก็ผิวขาว ตัวหอมเสียอย่างนั้น เนื้อตัวก็นุ่มนิ่ม ลื่นมือ ผู้หญิงบางคนในไร่ยังสู้ไม่ได้เลย”

    “เอ็งไปจับผิวคุณหนึ่งเมื่อไร”

    “แหม มันก็ต้องมีโอกาสโดนเนื้อโดนตัวกันบ้างแหละคุณกฤช นายน้อยไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกตัวผู้ชายนี่”

    ผมแยกเขี้ยวใส่มันแต่ก็ไม่ปฏิเสธ นึกอยากกอดหนึ่งตะวันให้แน่นกว่านี้แต่ก็ยังนึกภาพไม่ออก ที่จารึกอยู่ในสมองคือในฝันเรือนลางที่หนึ่งตะวันใช้ริมฝีปากให้กับตัวเองเท่านั้น

    “ถึงเวลาอะไร ๆ มันก็เป็นไปเองแหละน่า อย่าเร่งเร้านักเลย”

    “คุณกฤชไม่คิดก็ไม่ได้แปลว่านายน้อยไม่คิดนะ ผู้ชายเหมือนกัน เราก็รู้นี่คุณกฤชว่าเรื่องอย่างว่ามันสำคัญแค่ไหน ให้นายน้อยรอนานเข้าเดี๋ยวก็แห้วจริง ๆ เสียหรอก”

    “นายน้อยของเอ็งน่ะเรอะ” ผมหัวเราะหึในลำคอ แค่เข้าประชิดตัวก็แดงเถือกอายม้วนไปร้อยตลบ ถ้าถูกทำมากกว่านั้นจะเขินอายไปขนาดไหน นี่น่ะหรือคนที่ภูดิศบอกว่ามีแฟนมามากจนนับไม่ถ้วน

    “อย่างน้อยจูบก็ยังดี”

    “แล้วธุระอะไรของเอ็งวะไอ้โจ้ มายุข้าทำนั่นทำนี่ น้องนางของเอ็งที่จีบไว้น่ะถึงไหนแล้ว”

    “ก็ไม่ถึงไหนหรอก คุยกันเรื่อย ๆ ไม่เอา โจ้ไม่อยากพูดเรื่องตัวเอง คุณกฤชพูดเรื่องนายน้อยเถอะ รู้ไหม คุณกฤชกับนายน้อยน่ะเป็นคู่จิ้นในดวงใจของโจ้เชียวนะ”

    “คู่จิ้นบ้าบออะไรวะ”

    “อ้าว เห็นเล่นอินเตอร์เน็ตปร๋อ อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก คุณกฤชของโจ้เป็นคนทันสมัยสุดในไร่แล้วไม่ใช่หรือไงกัน ตกอันดับพ่อหนุ่มสมัยใหม่ไปแล้วหรือนี่”

    ผมเขกมะเหงกลงบนหัวไอ้โจ้อีกที คราวนี้มันหดคอทันแลบลิ้นเผล่ “ไม่ได้กินโจ้หรอก”

    “ทำทะเล้นไป จะไปไหนก็ไปเลย ข้าจะกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าแล้ว”

    “กลับไปอาบน้ำหรือกลับไปหาใครกันแน่”

    ผมหัวเราะ ร้อนวูบวาบขึ้นบนใบหน้า ไอ้โจ้ได้ทียิ่งล้อใหญ่ “คุณกฤชเวลาเขินก็น่ารักดีนะ”

    “เดี๋ยวข้าเตะกระเด็น”

    “โอ๊ย ออมแรงไว้ใช้กับนายน้อยเถอะครับ อย่ามาเสียเวลากับคนงานกระจอก ๆ อย่างโจ้เลย”

    คนว่ายิ้มตาปิด ผมชี้หน้ามันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินกลับไปยังบ้านของดวงตะวันอีกดวงที่ทำให้อุ่นซ่านในใจ




    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×