ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #21 : ตอนที่ 20

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.99K
      368
      22 มิ.ย. 58









    โอบตะวัน
    Chapter 20


    เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก หนึ่งตะวันเดินกลับออกมา ผ้าเช็ดตัวพันไว้แค่ช่วงเอวเผยให้เห็นหยดน้ำเกาะพราวทั่วทั้งร่าง ผมเหลือบมองก่อนเบือนสายตาไปทางอื่น ตัวเขายังแดงอยู่ แดงเสียยิ่งกว่าตอนเข้าไปในห้องน้ำด้วยซ้ำ


    “อาบน้ำหน่อยไหม”

    ผมพยักหน้า หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปจัดการร่างกายที่ร้อนระอุของตัวเองบ้าง ใจผมไม่สงบ ไม่เคยสงบเลยสักวินาที แม้ยามปลดปล่อยตัวเองไปหนึ่งรอบเพื่อระบายความอึดอัดในใจก็ยังคงว้าวุ่นไม่หาย ภาพของผมที่สะท้อนในกระจก ไม่เหมือนคนเดิมที่อยู่ในไร่ตะวันฉาย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันพยายามปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในใจแต่ทำไม่ได้ ความอัดอั้นที่เกิดอยู่ในใจนั่นมันคืออะไร เพียงแค่เพราะกังวลว่าจะไม่สามารถรักษาดวงตะวันไว้กับตัวได้ตลอดไปเท่านั้นหรือ

    หลังจากวักน้ำล้างหน้าจนพอใจผมก็กลับออกมาภายในห้องนอนอีกครั้ง หนึ่งตะวันยังอยู่ในผ้าเช็ดตัวผืนเดิม นั่งมองมือที่กุมไว้บนหน้าตักตัวเอง เมื่อผมปิดประตูห้องน้ำ เสียงของบานประตูยามกระทบปิดลงกลับทำให้ร่างขาวสะดุ้งตัวโหยงได้ง่าย ๆ เมื่อสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ วางมือบนบ่าคนตัวเล็กกว่าก็สะดุ้งอีกที


    “เป็นอะไรครับ”

    “ปะ...เปล่า”

    “แล้วทำไมไม่แต่งตัว” 

    ผมเลิกคิ้วถาม ขณะที่คู่สนทนาทำหน้าเหรอหรา มาแต่งตัวโป๊แบบนี้เดี๋ยวได้ป่วยพอดี ผมเดินมาที่ตู้เสื้อผ้า เลือกชุดนอนใสสบาย เปิดไฟให้สว่างสำหรับห้องที่เริ่มมืดสลัว เย็นมากแล้ว แดดข้างนอกเป็นสีส้ม ตะวันใกล้จะรอนเต็มทน


    “ใส่ซะ จะได้ลงไปกินข้าว”

    “ดะ...เดี๋ยวสิ”

    ผมเลิกคิ้วอีกครั้ง หนึ่งตะวันดูฉุนเฉียว สบถคำหยาบงุบงิบในลำคอแต่ก็ดังพอที่จะได้ยิน

    “ไอ้เด็กเปรต”

    “อ้าว”

    “คนอุตส่าห์เข้าไปเตรียมตัว นั่งเตรียมใจอยู่ตั้งนาน อย่าบอกนะว่าไม่ทำแล้ว!”

    คราวนี้กลายเป็นผมเองที่ทำหน้าเหวอ นึกว่าไม่อยากให้แตะต้องมากไปกว่านี้เสียอีก..

     เราเบือนหน้าหนีกันคนละทาง ประดักประเดิดกับความคิดของตัวเองทั้งคู่ หนึ่งตะวันลุกมาดึงชุดนอนตัวเองออกจากมือ รู้ตัวอีกทีผมก็ยื้อกลับไม่ยอมส่งให้อีกฝ่าย ระล่ำระลักกลับคำหน้าตาย


    “ทำครับ...ทำสิ”

    “ไม่ให้ทำแล้วโว้ย”

    “เฮ้ย” ผมร้อง “คุณหนึ่ง เดี๋ยวสิ”

    “เดี๋ยวบ้าอะไร เอาคืนมานะ จะแต่งตัวลงไปกินข้าว”

    “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ผมคิดว่าคุณไม่พร้อม”

    “ไม่พร้อมแล้ว เอาเสื้อผ้ามา เอามา ฉันสั่ง”

    “ผมขัดคำสั่งได้หรือเปล่า”

    ทุกอย่างนิ่งเงียบ หนึ่งตะวันหยุดกระโดดยื้อชุดนอนที่ผมยกขึ้นสูง มือเล็กเกาะบ่าผมตั้งแต่แรกยิ่งทำให้เราอยู่ในท่าทางที่ล่อแหลม ผู้ชายสองคนในผ้าเช็ดตัวคนละผืน ท่อนบนเปลือยเปล่าสะท้อนแสงไฟ ผมโน้มตัวลงไปข้างหน้า กระซิบขอร้อง ซ้ำ ๆ แผ่วเบาข้างหู จงใจโยนเสื้อให้ไกลมือแล้ววาดวงแขนรวบกอดกระชับเอวเปลือย 

    “กฤช!”

    “...นะครับ” วอนอีกครั้งเสียงแผ่ว ทอดสายตามองอ้อนวอนไม่หลบลี้ ดวงตาของหนึ่งตะวันไหวระริก แม้ในทีแรกจะตวาดเสียงแข็งแต่เมื่อสบตากันแม่นมั่นก็โอนอ่อนง่ายดาย ผมไล่ปลายนิ้วมาตามท่อนแขนที่เกาะบ่าไว้ กระทั่งมาถึงหัวไหล่แล้วค่อยวางฝ่ามือกว้างเต็มมือ ลูบไล้ไปทั่วร่างกายขาวละเอียดของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม เมื่อหนึ่งตะวันไม่มีท่าทีขัดขืนหลงเหลือ ก็เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้กว่าเดิม ใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจของกันและกัน สบตาถลำลึกไปในวงกลมกว้างสีน้ำตาลเข้มลุ่มลึก

    เสียงเดียวที่ดังต่อจากนั้นคือเสียงชื้นแฉะ ริมฝีปากบดเบียดอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงหัวใจผมเต้นระส่ำไปด้วยความตื่นเต้น มันรุนแรงกว่าครั้งไหน จากนุ่มนวล เนิบช้า กลายเป็นร้อนแรงขึ้นเหมือนคนขาดออกซิเจน มือเล็กเกร็งบีบที่หัวไหล่ พักเดียวก็เลื่อนมาโอบคอผมให้เบียดกายแนบชิดยิ่งกว่าเก่า

    ร่างกายที่เพิ่งสงบลงเมื่อครู่เริ่มร้อนขึ้นอีก คล้ายรสจูบนั่นคือแอลกอฮอล์ที่เราต่างพากันหลงมัวเมา สดับเสียงเงียบสงัด การเคลื่อนไหวอย่างเนิบช้า พากันกอดเกี่ยวมาที่เตียงอย่างเป็นธรรมชาติ



    **เนื้อหาบางส่วนหายไปเพื่อรักษากฏของเว็บไซต์ สามารถอ่านได้ในเล้าเป็ดหรือในรูปเล่มค่ะ**



    เมื่อพายุแห่งแรงรักสงบลง เสียงเหนื่อยหอบของเราก็ดังแผ่ว หนึ่งตะวันก็ฝังหน้าซุกบนผ้าปูเตียง ภายหลังสงครามเหลือเพียงร่องรอยยับเยินยู่ยี่ หยิบเอาทิชชูข้างหัวเตียงมาเช็ดทำความสะอาดเศษซากปรักหักพังก่อนล้มตัวลงเคียงข้าง ยื่นมือไปลูบหัวคนที่ยังซุกหนีไม่ยอมสู้หน้า แทรกปลายนิ้วยังเส้นผมแล้วดึงให้มาซุกคลอเคลียที่ต้นคอตัวเองแทน


    “หนึ่ง”

    ผมเรียกอีกครั้ง เป็นเสียงที่ยังเหนื่อยล้า จูบที่เหนือศีรษะก่อนเจ้าของชื่อจะยอมเงยหน้าขึ้นสบตา

    แก้มของเขาแดงเหมือนมะเขือเทศสุก เหมือนเด็กน้อยเพิ่งคลอด น่ารักจนละสายตาออกไปไม่ได้ ผมจ้องมองเขา รู้สึกอบอุ่นในใจ คล้ายกับเป็นหนึ่งเดียวกัน ลึกซึ้งเกินกว่าคำไหนจะบรรยายออกมาได้ คุณหนึ่งยิ้มเล็กน้อย เมื่อถูกบังคับให้เงยหน้าก็หลับตาอย่างรู้งาน ผมจูบที่ปาก จูบเบา ๆ หลายครั้ง ท้ายที่สุดก็จูบลงบนหน้าผากขาว


    "ฉันชอบเวลานายเรียกว่าหนึ่ง"

    "ถ้าอย่างนั้นผมจะเรียกทั้งคืน"

    ดวงตะวันยิ้มจนตาปิด ซุกหน้าลงบ่าและขบที่หัวไหล่ผมแผ่วเบา รอยยิ้มของหนึ่งตะวันคล้ายพระอาทิตย์ในฤดูร้อน สุดสว่าง เจิดจ้า ค่อย ๆ แผดเผาหัวใจให้หลอมละลายไปกับแสงนวล 

    ผมไม่แน่ใจว่าหัวใจดวงนี้มันแหลกเหลวโดยไร้ซึ่งหนทางป้องปัด หรือแท้ที่จริงแล้ว มันสมยอมให้แสงตะวันแผดเผาสิ้นท่าด้วยความยินดีกันแน่





    คุณหนึ่งอาการไม่ดีนักในเช้าวันใหม่ มีพิษไข้อ่อน ๆ และโยเยปวดท้องทั้งวัน ผมเทียวลงไปตักข้าวต้มขึ้นมาให้ ทีละน้อยแต่ค่อนข้างบ่อย สลับกับเช็ดตัวที่พราวไปด้วยร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของทั่วทั้งร่างกาย

    ไม่แน่ใจนักว่าสาเหตุมาจากอะไร ผมโทรบอกข่าวคุณพอร์ชเพราะเดิมทีทั้งคู่มีนัดออกไปซื้อของช่วงบ่าย ประมาณเที่ยงวันภูดิศก็มาพร้อมซีดีหนังแผ่นใหม่ ทว่าคนไม่สบายกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ติดจะโกรธผมด้วยซ้ำไปที่โทรไปบอกให้เพื่อนสนิทมาเยี่ยมโดยไม่ขออนุญาต


    "ไง ไอ้ป่วย"

    เจ้าของสมญานามไอ้ป่วยมองตาขวาง ยกผ้าห่มขึ้นบังชิดถึงต้นคอ ผมเอาผ้าที่เช็ดตัวอีกฝ่ายส่งให้ป้าจิ๋วไปทำความสะอาด แล้วเดินกลับเข้ามานั่งข้างเตียงอีกครั้ง เฝ้าปัดปอยผมที่ปรกรกลงมาเกะกะบนหน้าผากให้กวาดไปด้านใดด้านหนึ่ง


    "ไปทำอีท่าไหนเข้าวะ เดินไม่ได้เลยเหรอ"

    "เสือก" คนป่วยพูดเสียงแหบแห้ง พลิกตัวหันหลังให้คนเยี่ยม ภูดิศเห็นท่านั้นยิ่งนึกสนุก ขยับตัวมานั่งอีกฝั่งของเตียง ตรงกันข้ามกับผม ยื้อผ้าห่มออกแต่หนึ่งตะวันจับไว้แม่นมั่น ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ


    "เฮ้ย มีแขกมารับแขกหน่อยดิ"

    "มึงมันเจ๊ก บ้านกูไม่ต้อยรับ" เจ้าบ้านตอบเสียงขรม "ไสหัวกลับบ้านไปได้แล้ว"

    "เฮ้ย รอบนี้ไม่อ้อนกูแล้วเหรอ"

    "ไปให้พ้น กูจะอยู่กับกฤช"

    ภูดิศเลิกคิ้ว สายตาสะดุดมาที่ต้นคอคนป่วย ใช้จังหวะเผลอดึงผ้าห่มออก หนึ่งตะวันยื้อไม่ทัน เมื่อลุกขึ้นนั่ง ชุดนอนกลัดกระดุมหลวมก็โชว์ร่องรอยที่ลำคอและต่ำลงกว่านั้นให้คนเยี่ยมเห็น

    คุณพอร์ชฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ หันกลับมองมาทางผม ขณะที่หนึ่งตะวันโกยผ้าห่มกลับเข้าหาตัวทันที


    “เจ๋งว่ะกฤช ซูฮก ๆ”

    “ครับ?”

    “แต่ลำบากหน่อยแหละ ครั้งแรกส่วนใหญ่จะไม่สบาย โดยเฉพาะท้อง มันจะปวดเหมือนคนโดนต่อยแรง ๆ เมียเก่ากูบ่นทุกคน”

    “ครั้งแรก?”  ผมหันหน้ามองหนึ่งตะวันที่ซุกหายไปในผ้าห่มทั้งตัว 

    “ผมนึกว่าเพราะคุณหนึ่งห่างหายจากเรื่องนั้นมานานแล้วถึงดูเจ็บขนาดนั้น ทำไมคุณหนึ่งไม่บอกผม”

    “ไอ้ห่าพอร์ช ผีเจาะปากมาพูดหรือไง ไปตายที่ไหนก็ไป”

    “อย่าบอกนะว่ามันโม้ว่าเคยแล้ว?”

    ผมเงียบ และให้ความเงียบเป็นคำตอบโดยปริยาย ภูดิศหัวเราะร่า ยกขาขึ้นถีบก้อนกลม ๆ ใต้ผ้าห่มด้วยความหมั่นไส้ “ตอแหลนะมึง ไอ้ตะวัน ไหนเอาหน้าคนเชี่ยวมาให้กูดูหน่อยซิ ใครมันโยเยกับกูว่าคบกับใครเขาก็จ้องแต่จะเอามึงวะ ไงล่ะรอบนี้ จ้องแต่จะให้ไอ้กฤชเอาล่ะสิ ถึงขั้นหลอกให้เขาเข้าใจว่าตัวเองเคย ฮาว่ะ ไงล่ะ กฤชจัดเต็มไม้เลยสิ ซมเลย โถ ๆ”

    “หุบปากแล้วออกไปจากบ้านกูเลยภูดิศ!”

    “โอ้โห คราวนี้ขึ้นชื่อจริงด้วย โอเค ๆ ไม่กวนแล้วก็ได้ พักผ่อนเยอะ ๆ นะมึง แล้วอย่าหักโหมมาก ช่วงนี้ก็กินอาหารอ่อน ๆ”

    “กูรู้ ไอ้เหี้ย ทฤษฎีกูแน่น”

    หนึ่งตะวันตะโกนออกมาจากผ้าห่ม ผมหลุดหัวเราะแต่ต้องหุบปากฉับทันทีเมื่อคนป่วยสะบัดผ้ามาจ้องหน้า แก้มนายน้อยแดงก่ำ น่ารักน่าชังแต่ตายังดุเหมือนเคย 

    “หัวเราะอะไร”

    “เปล่าครับ”

    “ออกไปส่งไอ้พอร์ชแล้วไม่ต้องเข้ามาเลย จะนอน”

    ผมสบตากับภูดิศยิ้ม ๆ เห็นทีคราวนี้พิษความเขินของคนไข้จะเล่นงานเข้าให้เสียแล้ว


    TBC



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×