ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #22 : ตอนที่ 21

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.46K
      353
      10 ม.ค. 60









    โอบตะวัน
    Chapter 21


    นายน้อยคนเก่งอาการดีขึ้นในวันถัดมา เราต่างจงใจที่จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วราวกับมันเป็นเพียงแค่ความฝันครั้งหนึ่ง มีเพียงรอยเล็บที่แสบเนื้อตอนอาบน้ำกับรอยจูบจาง ๆ บนผิวขาวเท่านั้นที่เป็นสักขีพยานว่าเรื่องคืนนั้นเกิดขึ้นจริง

    ผมนั่งเท้าคาง ฝุ่นที่ขะมุกขมัวในใจสูญสลาย มันไม่ใช่เพียงความรู้สึกปรารถนาที่จะครอบครองอีกฝ่าย แต่คล้ายกับได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ผมกับหนึ่งตะวัน คนรักที่เอาแต่เขินอายอยู่ในอ้อมแขน
    ทั้ง ๆ ที่อายุมากกว่าแท้ ๆ แต่กลับเหมือนเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น

    เจ้าของคนที่อยู่ในความคิดบรรเลงเพลงของบีโธเฟ่น สัมผัสลงบนคีย์เนิบช้า ละมุนละม่อม บรรจงกดสัมผัสลงบนคีย์บอร์ดแต่ละตัวอย่างระมัดระวัง คล้ายปลายนิ้วกำลังเริงระบำอยู่บนแป้นเสียง หนึ่งตะวันตอนนี้เหมือนเทพบุตร เขาสวมแค่เสื้อยืดมีราคากับกางเกงขาสั้นประมาณเข่า แต่กลับดูหรูหราเมื่อเล่นเพลงด้วยอารมณ์ที่สุนทรีย์กว่าครั้งไหน ๆ

    ดวงตะวันของผมกำลังยิ้มอยู่

    แม้เพียงมุมปากเล็กน้อยแต่ก็สังเกตเห็นได้ ความสุขในแววตาคงระบายมันออกมาชัดเกินไป เพลงที่เล่นแม้จะดูเศร้าสร้อยแต่กลับทำให้อิ่มเอม บ้านหลังใหญ่ เหมือนมีเพียงแค่เรา คล้ายกับหยุดความเคลื่อนไหวของภายนอกไว้แน่นิ่ง

    “นายชอบเพลงอะไร”

    “ครับ?”

    “เพลงที่ชอบฟังมากที่สุด” หนึ่งตะวันถาม พักเดียวก็หยุดปลายนิ้วเมื่อมาถึงทำนองห้องสุดท้าย แช่กดอยู่พักใหญ่จนถ้าเป็นเสียงร้องคงหมดลมแล้วจึงผละออก หนึ่งตะวันเดินมานั่งเบียดบนโซฟาเหมือนที่เคยทำ เอาแก้มแนบหัวไหล่ก่อนร่วงลงเล็กน้อยเมื่อผมเบี่ยงตัวดึงเข้ามากอด

    “เพลงที่คุณหนึ่งบรรเลง”

    “ไหนตอนนั้นคุณนุ่นบอกนายไม่ค่อยปากหวาน”

    “ไปฟังคนอื่น” ผมว่า “อยากรู้ให้ชิมเองครับ”

    หนึ่งตะวันหัวเราะแต่ก็ยืดตัวมาจูบที่ปาก ดวงตาสุกสกาววาววับ เบียดตัวเข้าหาอีกกระทั่งนั่งบนตักผมทั้งตัว

    เจ้าลูกแมวขี้อ้อนคนนี้ น่าฟัดไม่ให้เหลือชิ้นดีจริง ๆ

    “นี่คุณหนึ่ง” ผมเรียกชื่อซุกจมูกลงไปตามลำคอ คนบนตักเอียงให้จูบง่ายดาย 

    “ไม่ได้กอดมาหลายวันแล้วครับ”

    “เหรอ แล้วไง”

    “วันนั้นผมทำไม่ดีเหรอครับ”

    “อะไรของนาย”

    “ก็คุณหนึ่งไม่เห็นอยากทำอีก”

    หนึ่งตะวันเงียบไป ซบหน้าผากลงบนบ่า คลอเคลียอย่างที่เจ้าตัวถนัด “มันเจ็บ”

    “แต่คุณก็เสร็จไปตั้งสองรอบ”

    “เพราะนายแกล้งฉันต่างหาก”

    “ผมอยากให้คุณหนึ่งมีความสุขต่างหาก”

    “โกหก” คู่สนทนาเถียงเสียงขรม “อยากมีความสุขเองหรอก คิดว่าไม่รู้หรือไง”

    ผมหัวเราะลงคอ ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ “เวลากอดคุณหนึ่งแล้วผมมีความสุขจริง ๆ นี่ครับ” 

    ว่าพลางช้อนคางสวยขึ้นเงย ก้มหน้าลงจุมพิตบนกลีบปากสวยได้รูป ดวงตามองอีกฝ่ายหวานฉ่ำ อยากจะกลืนกินซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

    “หนึ่ง” ผมมักจะเรียกด้วยชื่ออย่างเดียวทุกครั้งที่ออดอ้อน ไล่ฝ่ามือลงต่ำมาโอบรอบสะโพก ลูบเบา ๆ ให้พอรู้สึก

    “ไอ้เด็กทะลึ่ง มือจับที่ไหนน่ะ”

    “ที่ไหนล่ะครับ”

    ยังไม่ทันตอบเสียงโทรศัพท์ของหนึ่งตะวันก็ดังขึ้นมาขัด เป็นแบบนี้เสียทุกครั้ง งานที่คุณชนินทร์ฝากฝังไว้ยังไม่จบง่าย ๆ และผมก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนทุกอย่างจะลงตัว ผมไม่เข้าใจระบบ ช่วยเหลืออะไรหนึ่งตะวันไม่ได้ และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งด้วยซ้ำ

    “วันนี้วันอาทิตย์” ผมพูด กระชับแขนให้แน่นกว่าเก่า ไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมแขนไปรับโทรศัพท์ง่าย ๆ “เวลาพักผ่อน ไม่ต้องรับสายไม่ได้เหรอครับ”

    “ถ้าเป็นเรื่องงานก็แย่น่ะสิ”

    “เรื่องงานผมให้เวลาตั้งหกวันแล้ว แค่วันอาทิตย์วันเดียวเอง นี่มันวันครอบครัวนะคุณหนึ่ง”

    “นี่ กฤช ธุรกิจส่วนตัวไม่มีวันหยุดหรอกนะ” หนึ่งตะวันพูดด้วยเสียงระอา ผมไม่ชอบเวลาที่เขาเป็นผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่มีเรื่องงานมาเกี่ยวเจ้าแมวตัวเดิมจะไม่ใช่แมวเหมียวขี้อ้อนของผมอีกต่อไป 

    “ไม่เอาน่า อย่าทำตัวเป็นเด็กนักเลย ปล่อยก่อน ฉันจะไปคุยงาน”

    “ถ้าไม่ใช่เรื่องงานล่ะ”

    “กฤช อย่างี่เง่า” 

    พอถูกดุด้วยน้ำเสียงจริงจังผมก็คลายอ้อมแขนลง หนึ่งตะวันลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะ รับสายโดยที่หันหลังให้

    “ครับ พี่ตุลย์”

    ผมเพิ่งรู้ในนาทีนั้นว่าความขุ่นในใจไม่ได้จางหายไปเพียงเพราะได้ครอบครองหนึ่งตะวัน หากแต่เจ้าของชื่อนั้นห่างหายไปพักใหญ่จนเหมือนไม่มีตัวตนเลยต่างหากที่ทำให้ผมสบายใจอย่างแท้จริง ผมมองแผ่นหลังลาด หนึ่งตะวันเอี้ยวตัวกลับมามองเพียงเล็กน้อยแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง ผมนั่งอยู่ที่เดิม กำมือเข้าหากันแน่น อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออก แต่สิ่งที่ทำได้ก็เพียงทอดสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
     
    ‘กฤช อย่างี่เง่า’

    เสียงนั่นสะท้อนดังมาไกล คล้ายกับเป็นประโยคที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว ไม่ใช่ผมยังรักฝังใจถึงเพียรนึกถึงครั้งคราวคบกับพี่นุ่นอยู่บ่อย ๆ แต่ความเจ็บปวดตอนนั้น ความผิดหวังที่ทำให้ผมแทบจะไม่อยากเริ่มใหม่กับใครเด่นชัดราวกับเป็นแผลเป็นนูนพองให้เฝ้าระลึกถึง

    ประโยคนั้นดังขึ้นชัดเจนข้างใบหูเมื่อไม่นานมานี้
    สุดท้ายผู้ชายที่ดีกว่าผมทุกอย่างก็พาความรักผมไป
    สุดท้าย...ประวัติศาสตร์จะเวียนมมาอีกครั้งหรือไม่
    เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย





    “เดี๋ยวพี่ตุลย์จะมาที่บ้าน”

    ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอนของหนึ่งตะวันเงียบเชียบ เป็นหนังสือที่คุณพอร์ชเอามาให้เมื่อหลายวันก่อน คล้ายหนังสือฮาวทู หนทางนำไปสู่การประสบความสำเร็จที่ผมไม่ค่อยใส่ใจนัก ภูดิศบอกว่าเป็นเรืองที่น่าสนใจ สำหรับนักธุรกิจมือใหม่ควรจะหาอ่านไว้เป็นแนวคิด ผมทิ้งไว้หลายวันแล้วเพิ่งมีโอกาสได้หยิบมาดูจริง ๆ จัง ๆ ก็วันนี้

    “ฟังอยู่หรือเปล่า” 

    ผมได้ยิน แต่ไม่เรียกว่าฟัง ตายังกวาดมองตัวอักษรบนกระดาษสีขาวเชื่องช้า ราวกับอยากให้มันช่วยทำให้ผมหลุดออกไปสู่อีกมิติ มิติที่ไม่มีความหงุดหงิดลอยฟุ้งอยู่ในใจและพาลพาโลทำทุกอย่างพังง่าย ๆ ด้วยมือตัวเอง ทว่าไม่นานนักหนังสือที่ถืออยู่ก็ถูกยื้อออก หนึ่งตะวันโยนมันลงบนเตียง กอดอกอยู่ตรงหน้า

    “นายไม่มีสิทธิ์มาเมินฉันนะ”

    “ผมได้ยิน”

    “พี่ตุลย์ไปคุยกับญาติให้ มีข้อเสนอบางอย่างที่อยากให้ฟังก่อนฉันจะไปเจอครอบครัวเขา”

    “ครับ” ผมตอบรับเสียงเนือย มองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศระหว่างเราแย่ลงอีกแล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด คล้ายกับว่าชื่อตุลย์ก่อพายุก้อนใหญ่ ตั้งเค้าของเมฆฝนสีทะมึนมาแม้ไม่ปรากฏตัว

    ทำไมผมถึงหงุดหงิดผู้ชายคนนั้นได้มากขนาดนั้น กับภูดิศยังไม่รุนแรงได้ถึงเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

    “จะให้ฉันทำยังไง มันเป็นงาน”

    “ผมไม่ได้ว่าอะไร”

    เหมือนกับหนึ่งตะวันกำลังย้ำความจริงที่ว่าผมไม่มีสิทธิ์หึง ต่อให้ลูกค้าคนนั้นเป็นแฟนเก่าที่มีดวงตาพราวระยับ จับจ้องคนรักของผมไม่วางตาก็ไม่มีสิทธิ์รู้สึก ผมกำลังทำความเข้าใจ พยายามทำตัวให้ไม่เป็นปัญหามากที่สุด

    “กฤช”

    “จะทำอะไรก็ทำเถอะครับ” 

    ผมได้แต่พูดแบบนี้ เพราะสิ่งที่มากกว่านั้นรู้ดีว่าไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา ผมห้ามเขาไม่ได้ ไม่เหมือนหนึ่งตะวันที่จะมาร้องไห้ขอร้องให้ผมเลิกยุ่งกับพี่นุ่นสักที

    ทั้ง ๆ ที่คนรักเก่าของผมไม่ได้มีเยื่อใยกันแล้ว แตกต่างกับคุณตุลย์โดยสิ้นเชิง

    “เดินหนีอีกแล้ว”

    หนึ่งตะวันพูด ครั้งนี้เสียงอ่อนลง พักเดียวก็มีมือมาโอบกอดรอบเอวจากทางด้านหลัง แก้มนิ่มแนบลงผ่านผ้า กระชับแขนเข้ากอดผมไว้แนบแน่น

    “ทำกันไหม”

    “คุณหนึ่ง”

    “ยังพอมีเวลา ทำกันเถอะ”

    “เลิกง้อผมด้วยวิธีนี้เถอะครับ เซ็กซ์ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง”

    “ฉันแค่อยากทำให้นายสบายใจ”

    “ผมไม่มีวันสบายใจหรอกครับ ตราบใดที่ยังมีคนจ้องจะคาบคนรักของผมไปตลอดเวลาแบบนี้” เว้นระยะช่วงหนึ่งเพื่อถอนหายใจ ผมเองก็ไม่อยากให้หนึ่งตะวันรู้สึกไม่ดี “ทำอะไรก็ทำเถอะครับ ผมไม่ว่าหรอก แค่ไม่อยากรับรู้เท่านั้นเอง”

    “ฉันรักกฤชนะ” คนที่กอดอยู่พูดเสียงแผ่ว อ้อมกอดนั้นสั่นไหวเล็กน้อย “รักมากเลยรู้หรือเปล่า”

    “ผมทราบ”

    เงยหน้ามองเพดาน บางทีอาจเป็นผมเองที่คิดมากไป “ผมก็รักคุณหนึ่งไม่แพ้กันหรอกถึงได้หึงขนาดนี้”

    ผมสารภาพ...จากใจจริง




    วันนี้รถที่เข้ามารับหนึ่งตะวันไปเป็นเมอร์เซเดส สองที่นั่ง ผมยืนอยู่ที่ระเบียงเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่คุณตุลย์มาหา สบตากับเจ้าของรถยามเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มอย่างคนชนะ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้แม้แต่เคยครอบครองหนึ่งตะวันสักครั้งส่งมาให้ บีบเค้นให้ผมรู้สึกต่ำต้อยและวิ่งตามไม่ทัน

    โดยส่วนตัวแล้วผมชอบโลกใบนั้น ไร่ตะวันฉายที่มีเพียงความสงบเงียบ ผมกับหนึ่งตะวันแตกต่างกันเพียงฐานะที่เพียงคนในไร่เท่านั้นจะเข้าใจ เมื่อเดินออกมาข้างนอก ผมกับเขาก็กลายเป็นเพียงมิตรสหายสองคนที่ทัดเทียมกันไปทุกอย่าง

    แม้หนึ่งตะวันจะพูดว่าผมเป็นผู้ช่วย แต่สายตาของคนที่นี่ไม่มีใครมองมาอย่างเป็นมิตร แต่ละคนมีกิจการที่ตัวเองดูแล ได้รับการนอบน้อมจากผู้ช่วยคนอื่นเหมือนพระเจ้า ดังนั้นผมจึงถูกกดเหยียดจากการกระทำของมิตรสหายในแวววงธุรกิจของคนรักไปโดยปริยาย

    ผมไม่โกรธหนึ่งตะวันที่บอกใคร ๆ แบบนั้น มันควรจะเป็นเช่นนั้นตราบใดที่ยังไม่ขออนุญาตคบหากันเปิดเผยจากคุณชนินทร์ ผมไม่รู้ว่าที่นี่เป็นอิสระเรื่องเพศสภาพส่วนบุคคลมากแค่ไหน ผมยินดี ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นถ้าเรื่องระหว่างเราจะเกิดขึ้นอย่างลับ ๆ 

    ขอเพียงอย่างเดียว คือการกระทำนั้นเป็นไปโดยบริสุทธิ์ใจ

    เมื่อรถคันหรูแล่นหายไปจากสายตาก็ทอดถอนหายใจ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง รู้สึกพ่ายแพ้ยับเยิน

    “คุณกฤชคะ”

    เสียงเรียกนั่นดังก่อนป้าจิ๋วจะเคาะประตู หนึ่งตะวันขอให้ทุกคนเรียกผมอย่างนั้น และจากความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเอ่ยปากพูดผมก็กลายเป็นคุณกฤชของบ้านนี้อีกครั้งเมื่อเปิดประตูรับโทรศัพท์บ้านไร้สายในมือของแม่บ้านก็ส่งมาให้ ผมไม่มีเพื่อนที่กรุงเทพฯ ดังนั้นจึงอดแปลกใจไม่ได้ เมื่อรับสายแล้วเป็นภูดิศที่โทรเข้ามา

    “คุณหนึ่งไม่อยู่ครับ”

    “อ้อ รู้แล้วแหละ นายทำอะไรอยู่หรือเปล่า จะชวนออกไปซื้อของน่ะ”

    “ชวนผม?”

    “อืม วันนี้วันเกิดไอ้หนึ่งมัน ไม่ได้บอกล่ะสิ”

    “ขอโทษครับ ผมไม่ทราบจริง ๆ”

    “จะออกไปหรือเปล่า เดี๋ยวไปรับ”

    ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา “สักสิบนาทีได้ไหมครับ ขอแต่งตัวก่อน”




    หนึ่งตะวันมีเพื่อนสนิทอีกสองคนนอกเหนือจากภูดิศ ชื่อดินกับโน่ หนึ่งในสองคนนี้เป็นลูกชายรัฐมนตรีที่ไปเจอกันที่อังกฤษ ผมมีโอกาสเจอครั้งแรกเพราะภูดิศนัดทั้งสองไว้ที่ห้างสรรพสินค้าของคุณตุลย์ด้วย

    “นี่กฤช ผัวไอ้ตะวัน”

    “ผัวเลยเหรอวะ”

    “เออ” ภูดิศพูดกลั้วหัวเราะ “ไอ้ตะวันอยากได้จะลงแดงตาย”

    “คุณพอร์ช”

    “เฮ้ย เลิกเรียกคุณได้แล้ว เป็นเพื่อนกันหมดนี่แหละ” เจ้าของชื่อตบบ่าผมเบา ๆ 

    “กฤชเด็กกว่าเราสามปี ทำงานให้พ่อไอ้ตะวัน”

    “หุ่นโคตรดี” คุณโน่พูดพลางชกที่อกผม “ไอ้หนึ่งมันชอบแบบนี้อยู่แล้วนี่”

    “แต่คนนี้ท่าทางจะชอบมาก ถึงขั้นยอมเสียซิง”

    “อย่าให้กูเมาท์เพื่อนเลยว่ะ” ภูดิศเป็นคนที่พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ร่ำ ๆ งอแงทุกวันว่าไอ้กฤชแม่งไม่ยอมทำอะไรสักที”

    เสียงตบมือดังฉาดเมื่อเพื่อน ๆ ได้ยินประโยคนั้น ผมมองหน้าคนนั้นนคนนี้ ไม่มีบทที่จะพูดขึ้นมา “ไอ้โน่กับไอ้ดินไม่ใช่เกย์ ไม่ต้องห่วง ถึงเนื้อถึงตัวกับมันได้”

    “ส่วนไอ้พอร์ชก็เป็นรุก” ข้อนั้นผมทราบดี “แล้วนี่ไอ้หนึ่งไปไหน”

    “พี่ตุลย์มารับ”

    “พี่ตุลย์ แฟนเก่ามันน่ะนะ” บดินทร์พูดพลางทำหน้าแหยง คนนี้เป็นเพื่อนของหนึ่งตะวันกับภูดิศตั้งแต่มหาวิทยาลัย เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง “ไหนว่าจะหมั้นกับคุณเอื้องแล้ว”

    “หมั้นก็ส่วนหมั้น เสียดายก็ส่วนเสียดาย ไอ้หนึ่งมันน่ารัก ใคร ๆ ก็ชอบ”

    ผมเห็นด้วยโดยปราศจากข้อโต้แย้ง

    “ว่าแต่จะเซอร์ไพรส์อะไรมันดี”

    “ถุงยางลายคุมะ” บดินทร์เป็นคนเสนอ หัวเราะร่วนลงคอ “แล้วให้ไอ้กฤขเป็นคนใส่ ตอนเอาคงมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้ง”

    “ตะวันได้มาด่าพ่อมึงถึงบ้าน”

    “เอ้า กูหวังดีนะ”

    “เขาอาจจะสดกันก็ได้” ลูกชายรัฐมนตรีกล่าวยิ้ม ๆ ยักคิ้วแซวกระทั่งตัวตั้งตัวตีของงานต้องดึงกลับมาเรื่องเดิม

    “เอาดี ๆ หน่อย ไม่ค่อยว่างมารวมกันแบบนี้แล้ว ไปทำเค้กบ้านมันกันไหม แล้วก็ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าอยากโดนด่าพ่อมึงก็ซื้อถุงยางที่ว่านั่นก็ได้”

    “ไอ้หนึ่งยังใส่นาฬิกาที่พี่ตุลย์ให้อยู่หรือเปล่าวะ”

    “โยนทิ้งไปตั้งแต่เลิกกันแล้ว แทบปาใส่หัวพี่เขาด้วยซ้ำ แต่มันเป็นพวกโกรธง่าย หายเร็ว ตอนนี้ให้กลับมาคุยแบบพี่น้องใหม่ก็ไม่มีปัญหา ต่อให้พี่ตุลย์อยากเขมือบมันแค่ไหนก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก จะถูกมันหลอกขายของให้เปล่า ๆ"

    “นึกถึงมันแล้วฮาว่ะ แฟนเก่ากลับมาง้อ นอกจากไม่โกรธแล้วยังฮาร์ดเซลล์กลับไปอีก แม่งเหี้ยจริง” บดินทร์พูดกลั้วหัวเราะ “แล้วนี่มึงไปจีบมันยังไงวะ” 

    โยนกลับมาที่ผมแต่ผมไม่ได้เป็นคนตอบเหมือนเคย
    “ไอ้กฤชจีบที่ไหนล่ะ เพื่อนเราแม่งอ่อยแล้วอ่อยอีก จ้างเด็กที่ไร่มาช่วยพูดให้คิดด้วย ถึงขั้นถามกูว่าถ้าตกม้าจะเจ็บไหม อยากเรียกร้องความสนใจจากน้องมัน พอตกจริงแล้วเจ็บ เสือกมาด่ากู”

    นึกถึงช่วงนั้นที่หนึ่งตะวันคุยกับภูดิศบ่อย ๆ

    “โคตรทุ่มทุนสร้าง”

    “มึงก็รู้ว่ามันเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ทำยังไงให้ได้มาก็ทำทั้งนั้น” ภูดิศหันมายิ้มให้ผม “ชะตาขาดแล้วว่ะกฤช ได้ไอ้ตะวันมาเป็นเมีย”

    หลังจากฟังมานาน สุดท้ายผมก็หลุดหัวเราะ
    ขอให้ชะตาขาดตลอดไปก็แล้วกัน





    เพื่อน ๆ ของหนึ่งตะวันเป็นคนน่ารักกว่าที่ผมคิดไว้ บ่ายวันนั้น ผู้ชายสี่คนในห้องครัวลงมือทำเค้กอย่างทุลักทุเลโดยมีป้าจิ๋วเป็นคนคอยกำกับห่าง ๆ ผมทราบในเวลาถัดมาว่าถ้ามีเวลาทั้งสามคนชอบมาขลุกตัวอยู่ที่นี่ ดูทีวีจอใหญ่ กินเบียร์และสูบบุหรี่โดยที่ไม่มีใครห้าม

    การเติบโตโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยควบคุม เป็นอิสระ สนุกสนาน แต่ขณะเดียวกันก็น่าเศร้า

    “ไอ้หนึ่งเกลียดหอมใหญ่ มึงใส่ลงไปเยอะ ๆ”

    ผมกำลังผัดผักสำหรับอาหารคาวหลังจากคุณโน่เอาเค้กไปอบ คุณพอร์ชตีครีมจนกล้ามขึ้น ฟูฟ่องเป็นโฟมสีขาว

    “วันนี้วันเกิดคุณหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ”

    “เออ วันเกิดแปลว่าเกิดมาโดนแกล้ง”  บดินทร์ยุหนัก ท่าทางเป็นพวกชอบแหย่คนอื่น สุดท้ายเขาก็เป็นคนเดียวที่ซื้อของขวัญวันเกิดที่เป็นถุงยางอนามัยลายหมีคุมะให้หนึ่งตะวันจนได้

    “ป้าจิ๋วช่วยชิมให้ผมหน่อย”

    ด้วยความที่ไม่ถนัดเรื่องลงครัวผมต้องขอคำแนะนำเป็นระยะ ส่วนคนอื่น ๆ คงฝึกมือมาดีช่วงที่ไปเรียนนอกด้วยกัน อาหารหน้าตาประหลาด มีอะไรก็จับโยนลงไปไม่มีสูตรเฉพาะ รสชาติดีบ้างแย่บ้าง แต่ผมอยากจะทำอะไรสักอย่างที่มันกินได้จริง ๆ

    “เค้กได้แล้ว” ภูดิศร้อง ใส่ถุงมือดึงถาดอบออกจากเตา ควันลอยหอมฟุ้ง เค้กนั่นดูจะเป็นอย่างเดียวที่ทุกคนตั้งใจให้ออกมาดี “นิ่มไปปะวะ”

    “เดี๋ยวมันก็แข็ง ครีมมึงได้ยัง”

    “ได้แล้ว”

    “กูแต่งหน้า ๆ”

    “เฮ้ย กูอุตส่าห์ตีครีม”

    “มึงเมื่อยแล้วไปนั่งเถอะไอ้พอร์ช”

    “กูบอกเหรอ” เสียงทุ้มเถียงกันล้งเล้ง คราวนี้คุณโน่ขัด “มัวแต่ทะเลาะ เดี๋ยวไอ้หนึ่งก็กลับมาก่อน”

    “พี่ตุลย์พามันไปดูหนัง คงอีกนาน ไอ้ตะวันไลน์มาบ่นกับกูอยู่”

    “รุกหนักจริง”

    “มึงก็รู้ว่าพี่เขาเอาใจเก่งขนาดไหน” บดินทร์พูดพลางถือไม้พายรอไว้ เมื่อนภดล หรือคุณโน่ควักครีมขาวลงแปะก็กระวีกระวาดปาดลงบนเนื้อเค้กสนุกสนาน 

    “อีกคนก็เอาแต่ใจเสียด้วย”

    ผมชะงักมือที่กำลังผัดผักอยู่ เงยหน้าขึ้นเห็นป้าจิ๋วมองด้วยแววตาสงสารก็ก้มหน้าลงต่อ นิ่งเงียบ แต่ไม่สงบนิ่ง ผมยังคงพูดน้อยที่สุดเมื่ออยู่กับจอมทโมนทั้งสาม

    ไม่แปลกใจเลยที่หนึ่งตะวันจะซนเหมือนเด็ก ๆ ดื้อรั้น เอาแต่ใจ มองเพื่อน ๆ ที่โตมาด้วยกันแล้วผมก็เข้าใจดี

    “พวกคุณโน่ก็พูดไปอย่างนั้นแหละจ้ะ” เสียงหวานของหญิงวัยกลางคนกล่าวแผ่วเบาให้พอได้ยินกันสองคน “อย่าเก็บไปคิดมากเลย”

    ผมครางรับคำ แต่ไม่อาจทำตามคำแนะนำของป้าจิ๋วได้เลย





    ประมาณสองทุ่ม ป้าจิ๋วก็เดินมาบอกเพื่อน ๆ คุณหนึ่งที่นอนเล่นเกมอยู่หน้าทีวีว่าหนึ่งตะวันกลับมาแล้ว เสียงรถของคุณตุลย์เบาจนแทบไม่ได้ยิน กระทั่งหนึ่งตะวันโทรเรียกให้ป้าจิ๋วเปิดประตูให้ถึงรู้ ผมเดินออกไปรอที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นกันเกราสูงใหญ่ใกล้รั้วแต่ไม่เปิดประตูให้ ป้าจิ๋วเป็นคนไขกุญแจ เลื่อนประตูรั้วสูงใหญ่ยินยอมให้รถยุโรปราคาแพงแล่นปราดมาจอดในบ้าน

    นายน้อยลงจากรถคนแรก เวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าของรถก็ตามลงมา ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่จับมือคนรักของผมไว้ จากมุมนี้ทำให้ผมไม่เห็นแววตาคู่นั้นของหนึ่งตะวันตอบกลับความวาววับหวานเชื่อมของอีกฝ่ายเช่นไร ผมไม่รู้ ไม่ได้ยินว่าบทสนทนาของคนรักเก่าเป็นแบบไหน ได้แต่มองห่าง ๆ ด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

    หนึ่งตะวันยืนแน่นิ่ง พักเดียวก็ยกมือไหว้แล้วเดินเข้าไปในบ้าน กลุ่มคุณเพื่อน ๆ เจ้าของบ้านพร้อมใจหลบกันในครัว รองเท้าถูกซ่อนอย่างมิดชิดเช่นเดียวกับรถหรูที่พากันไปจอดทิ้งไว้ที่บ้านของภูดิศ ตกลงใจว่ารอเวลาให้รุ่นพี่คนสำคัญกลับไปก่อนค่อยปรากฏตัว ผมซาบซึ้งในความมีน้ำใจที่เพื่อน ๆ ของหนึ่งตะวันที่นึกถึงงานวันเกิดที่ไม่ต้องมีหนามยอกอกมาร่วมแสดงความยินดี 

    แค่เวลาทั้งวันกับหนึ่งตะวัน คุณตุลย์ก็ได้ไปมากเกินพอแล้ว

    ผมลุกขึ้นยืนในความมืด ทว่ากลับไปสบตาเจ้าของเมอร์เซเดสคันนั้นโดยบังเอิญ

    “มานั่งแอบมองเครื่องบินอยู่ตรงนี้นี่เอง”

    ผมนิ่งเงียบเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ เขาสวมเสื้อเชิ้ตมียี่ห้อ กางเกงขาเดฟยาวกับรองเท้าหนัง

     “มองแล้วยังไงล่ะ รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้ทำไมถึงไม่เลิกมองเสียที”

    “ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่รู้จักคุณ”

    “งั้นเหรอ” ตุลย์กล่าวยิ้ม ๆ “ฉันเป็นคนที่เคยทำปลากระป๋องหล่นไว้แล้วกำลังจะมาทวงคืนน่ะสิ”

    ผมเผลอกำมือเข้าหากัน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายผุดขึ้นที่มุมปาก 

    “ปลากระป๋องไม่ใช่ของนายหรอกนะ หมาน้อย ต่อให้พยายามกัดแทะเปิดมันเท่าไรก็คงทำไม่ได้ อย่าเสียเวลาเลย”

    “คนที่ตอบคำถามนี้ได้มีแค่คุณหนึ่งครับว่าเขาอยากเป็นของใคร”

    “ถึงได้พยายามหลอกล่อน้องหนึ่งอย่างนั้นเรอะ” ตุลย์เลิกคิ้วขึ้นเยาะ 

    “นายเป็นคนฉลาดมากกฤช ไม่ต้องใช้ความรู้ ไม่ต้องมีความสามารถ คิดจะชูคอขึ้นมาเหนือน้ำด้วยวิธีง่าย ๆ แค่เอาใจคนมีฐานะ นี่...ฉันยื่นข้อเสนอให้ไหม ฉันมีพวกป้าแก่ ๆ ที่อยากได้แมงดาอย่างนายมาดูแลเยอะเชียวล่ะ เอาใจง่ายกว่าหนึ่งตั้งเยอะ” 
    เขาเดาะลิ้น โน้มตัวลงมาพูดเสียงกระซิบ “คนนี้ยกให้ฉันเถอะ” 

    “คุณควรกลับไปได้แล้ว”

    “เพิ่งรู้ว่าคนงานของบ้านนี้ไล่แขกได้ด้วย”

    “คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่แค่คนงาน” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราด ผมจ้องหน้าคู่สนทนา ไม่ลดละ “ผมคิดว่าคุณคงตาไวมากพอที่จะสังเกตเห็นรอยช้ำบนต้นคอด้านหลังของหนึ่งตะวัน”

    “แค่หมาเลีย”
    เขายิ้มมุมปากข้างเดียว “จะบอกให้นะ ฉันไม่ถือหรอก”

    แผ่นหลังกว้างนั่นห่างออกไป ตุลย์สอดตัวเองขึ้นไปบนรถ เมื่อขับผ่านผมก็ลดกระจกลงมาส่งนิ้วกลางให้ ป้าจิ๋วเห็นเหตุการณ์ ถอนหายใจแผ่วพลางเดินมาแตะแขนเป็นการปลอบประโลม



    TBC


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×