คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Perfume
02 Perfume
“เฮ้ย มาเปิดร้านเหรอมึงวันนี้”
เสียงทุ้มของพี่แจ็คอุทานขึ้นทันทีที่ก้าวเข้าประตูแล้วเห็นผมนั่งช่วยพี่ตุ้ยเช็ดแก้วอยู่ วันนี้ผมมาตั้งแต่หัววัน มาคนเดียวแบบเปรี้ยว ๆ ไม่ได้นัดใครล่วงหน้า
“หายไปตั้งหลายวัน เป็นไง แผลดีขึ้นแล้วนี่”
“จะหายแล้วพี่ คิดถึงพี่ตุ้ยเลยออกมาหา” พูดพลางยักคิ้วให้ คนถูกอ้างถึงแจกนิ้วกลางสะบัดแล้วเลื่อนลังแก้วมาให้ผมช่วยเช็ดทั้งลัง
“ไอ้เชี่ยยูพูดเหี้ยอะไร เสียวขนตูด เช็ดๆไปเลยสัดจะได้หายฟุ้งซ่าน"
"เออ หน้ามึงดูเครียดจริงว่ะ เป็นไรวะ” พี่แจ็คถาม ตบบ่าถามแล้วเดินเลยไปหยิบเบียร์ในตู้แช่มาสองขวดสำหรับเปิดงาน ส่วนผมก็ได้ยิ้มเจื่อนแต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่อยู่ในหัวให้ฟัง ที่จริงเรื่องนัทมีแค่ไอ้อั้มที่รู้ลึก พวกพี่ๆไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้หรอก เรื่องมันยาว
ส่วนที่ผมนอนกับนัทเมื่อคืนยังไม่กล้าบอกใคร อย่าว่าแต่พี่แจ็คพี่ตุ้ยเลย ไอ้อั้มผมก็กลัวมันด่าจะตายชักที่เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ
ผมรักนัท เป็นเรื่องจริงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่รู้ว่ารักมากแค่ไหนตอนที่เสียไป ผมพร้อมจะเอานัทคืนมาเพียงนัทบอกว่านัทต้องการผม
เซ็กส์เมื่อคืนเกิดขึ้นเพราะบรรยากาศ ความปรารถนาที่ลุกโชนราวกับโหยหากันและกันทำเอาผมยั้งตัวเองไม่ได้ นัทหลับคาอกผม นอนอยู่ในอ้อมแขนผมยันรุ่งสาง กระทั่งลืมตา ความจริงก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจจะหนีมันได้
“กลับมาหาพี่ไหมนัท”
ผมจ้องตากลม ๆ ของคนอันเป็นที่รัก ใช้นิ้วลูบแก้มอิ่มไปด้วย แฟนเก่าผมไม่ตอบอะไรแต่หลุบตาลงราวกับเด็กหนีความผิด “นัทอยากให้พี่เปลี่ยนอะไร นัทไม่ชอบใจอะ— ”
“อินนอกใจนัท พี่ยู”
ไม่ต้องมีคำพูดใดต่อจากนั้น ผมรู้ว่านัทมาหาผมทำไม อ้อนผมทำไม ไม่มีร่องรอยของคำว่าเยื่อใยหลงเหลือ นัทแค่อยากประชดอินเท่านั้น
ผมโง่ โง่ และก็ยอมโง่ รู้เต็มอกว่าเป็นแค่เครื่องมือให้นัทดึงความสนใจจากแฟนคนปัจจุบันคืนมาแต่ก็ยังบอกกับนัทว่าไม่เป็นไร ผมยังแปลกใจตัวเองจนถึงตอนนี้ที่ทำไมถึงต้องรักนัทเหมือนคนบ้า พอสาแก่ใจนัทก็ไป ไม่มีร่องรอยของความรู้สึกผิด สิ่งที่ทำกับผมเมื่อคืนเป็นเพียงการแก้แค้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างมันกับแฟนก็เท่านั้น ผมเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรไปเหนี่ยวรั้ง ได้แต่บอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพอ
ถ้าใจมันรู้จักจำบ้างก็คงดี
“อ้าว ไอ้อิน มายังไงวะนั่น”
เสียงพี่ตุ้ยปลุกผมให้หลุดจากภวังค์ เหลือบตามองนาฬิกาบนหัวเสาเห็นว่าเป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่ง ซัดเบียร์หมดไปหลายหลอดด้วยฝีมือผม พี่แจ็ค กับไอ้พีทที่ตามมาตอนเกือบเที่ยงคืน ส่วนคนที่มาใหม่ลากเก้าอี้มานั่งโต๊ะเดียวกันด้วยตอนร้านใกล้ปิดเป็นคนที่ผมไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด ติดก็แต่มันเป็นญาติพี่ตุ้ย จะไล่ไปก็คงไม่ได้
“ทะเลาะกับเมียน่ะพี่ ไม่รู้จะไปไหนเลยมานี่ดีกว่า ไม่อยากตามพวกไอ้ปอไป ป่านนี้เมากันหมดแล้วไปก็ไม่สนุก”
เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ยกมือไหว้ผมก่อนจ้องเขม็ง ถึงจะบอกพี่ ๆ มันแบบนั้นแต่ผมก็รู้ว่าที่จริงแล้วไอ้อินมันมาทำไม คงรู้แล้วว่าผมนอนกับเมียมันเมื่อคืน
“ไอ้อิน นี่ยู ถาปัตย์ปี 5 มึงจำได้หรือเปล่าว่าวันก่อนต่อยกันน่ะ”
“จำได้พี่ วันนั้นขอโทษว่ะ หงุดหงิดไปหน่อย” ประโยคแรกอินตอบเจ้าของร้าน ส่วนถัดมาหันมาพูดกับผม ริมฝีปากสีอ่อนยกยิ้มที่มุมปาก ไม่ได้พยายามแสดงออกว่ารู้สึกขอโทษจริง ๆ
“เออ วันนั้นไอ้ยูก็เมา ปกติใจเย็นจะตาย กูตกใจแทบแย่ที่รู้ว่ามันเริ่มก่อน”
“วันนั้นงานกำลังเครียดๆ ด้วยพี่” ตอบพี่ตุ้ยส่งๆ ไป โทษดินโทษฟ้า ที่จริงอยากต่อยมันด้วยความตั้งใจล้วนๆ
“ธีสิสน่ะเหรอ แล้วยังไงวะ เริ่มลงมือทำอะไรหรือยัง” พี่แจ็คถามตามประสารุ่นพี่ ต้องคอยรายงานตลอดครับเพราะธีสิสจบของสถาปัตย์เป็นงานทั้งยากทั้งใหญ่ ช่วงสุดท้ายก่อนส่งต้องเกณฑ์คนมาโหมโรงช่วยยำด้วยกันหมด ช่วงนี้อย่างมากก็แค่ถามความเห็นจากรุ่นพี่กับแอดไวเซอร์ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาThesis Preparation
“พรุ่งนี้จะไปเก็บข้อมูลสถานที่ก่อสร้างน่ะพี่ ว่าจะไปคลองเตย”
“ไปกับใครวะ”
“ไปคนเดียวดิ ไอ้อั้มก็ต้องเร่งมือเหมือนกัน ป่านนี้ยังไม่รู้ว่าได้หัวข้อแล้วหรือยัง” วันนี้ที่ไม่ชวนมันมาเพราะเห็นมันยุ่ง ๆ เพิ่งเข้าไปคุยกับแอดไวเซอร์ช่วงบ่ายแต่ไม่รู้ว่างานที่เสนอไปผ่านแล้วหรือยัง พวกเทพนี่ไปไกลเกินจะเข้าใจครับ สติสตังไม่เหลือแล้ว เสนอแต่ละหัวข้อฟังแล้วอีก 3 ปี ไม่รู้จะจบหรือเปล่า
“อันตรายนะโว้ย ปีที่แล้วไอ้ป่านไปเดินแถวคลองเตยก็โดนปล้นกล้อง พวกขี้ยาแถวนั้นนึกว่าเป็นตำรวจ โดนซ้อมซะน่วมไปหลายวัน มึงไม่ได้ข่าวเหรอ” พี่ตุ้ยเสนอความเห็น ผมเองก็คุ้นๆ ว่าเคยได้ยินว่ามีรุ่นพี่เจอเรื่องแบบนั้นแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
“แต่หัวข้อผมมันเป็นศูนย์เรียนรู้ที่สร้างให้เด็กรวยกับเด็กจนมาเล่นด้วยกันน่ะสิพี่ ต้องไปตามสลัม”
“ตรงบีทีเอสพญาไทมึงเคยไปเดินไหม แถวนั้นพอจะมีแหล่งอยู่ ลองไปดูดิ ปลอดภัยกว่าในคลองเตยเยอะ แต่เอาเพื่อนไปด้วยก็ดี กล้องตัวละหลายหมื่นโดนปล้นไปไม่คุ้ม” ผมรับปากแต่คิดไว้แล้วว่ายังไงก็คงไปเอง ตื่นเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น ไม่ต้องนัดใครให้วุ่นวาย แต่ลืมไปครับว่าที่โต๊ะไม่ได้มีแค่เด็กถาปัตย์แล้ว ญาติเจ้าของร้านเลยเสร่อถามพลางเติมน้ำแข็งไปด้วย
“ธีสิสอะไรน่ะ”
“ธีสิสจบ อย่าให้เล่าเลยยาว ขี้เกียจพูด” พี่ตุ้ยตัดบทเหลือบมองนาฬิกาไปด้วย “แล้วมึงกลับยังไงไอ้ยู วันนี้อั้มไม่มาด้วย”
“หออยู่แถวไหน” อินถามก่อนผมจะตอบ คนที่เหลือหันไปมองมันเป็นตาเดียว “ถ้าไม่ไกลเดี๋ยวผมแวะไปส่ง”
“อย่าเอามันไปฆ่านะอิน” ไม่คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายปล้นฆ่ามันบ้างเหรอครับ พี่ตุ้ยก็
“ไม่หรอกพี่ ลูกผู้ชาย ชกกันแล้วก็แล้วกัน หรือพี่ยูว่าไง”
ผมบอกแล้วผมพร้อมจะเคลียร์กับมัน ที่ไหนเมื่อไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ต่อหน้านัท ไอ้อินสบตาผม ยกยิ้มที่มุมปากยื่นแก้วมาชน ผมไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ขอแค่ว่าให้จบกันวันนี้ก็พอ...
ผมกับอินไม่ได้พูดอะไรกันตั้งแต่ออกจากร้านจนถึงหอ เจ้าของบีเอ็มสีดำสนิทถึงลดกระจกลง จุดบุหรี่นอกกลิ่นเดียวกับเมื่อวันก่อนขึ้นสูบ ดวงตาสีนิลดุทอดมองไปตามควันสีขาวที่ลอยขึ้นสูงก่อนจางไปเมื่อลมพัด รถยังติดเครื่องอยู่แต่ไม่ได้เปิดเพลงอะไรมาช่วยให้บรรยากาศคลายตัวลง ผมไม่พูด แต่รู้ดีว่าคืนนี้ผมกับมันต้องคุยกัน
“ทำไมถึงรักนัทนัก”
ประโยคแรกที่อินทรีเอ่ยออกมาทำให้ผมเบือนหน้าหนีไปอึกทาง อย่าว่าแต่มันอยากรู้เลย ผมก็อยากรู้แต่ตอบไม่ได้ ผมเจอนัทครั้งแรกที่ร้านหมูกระทะ พาสายรหัสไปเลี้ยงแล้วบังคับให้ปี 1 ไปขอเบอร์นัทมา คุยกันหลายเดือนกว่าจะได้เป็นแฟน นัทเป็นคนน่ารัก เอาใจเก่ง อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงรักขนาดนี้ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รักก็คือรัก ผมรู้แค่นั้นไม่เคยคิดจะถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไม
“แล้วทำไมมึงถึงรักนัท” ผมย้อนมันกลับในฐานะแฟนใหม่นัทและเนื่องในโอกาสที่มันเรียกผมว่าพี่บ้างเลยยอมคุยด้วยดีๆ แบบไม่ตั้งการ์ดใส่
ไอ้อินหัวเราะ ยื่นมือออกไปเคาะเถ้าบุหรี่นอกหน้าต่าง “ผมไม่เคยบอกว่ารักนัท ไม่เคยรัก ไม่ได้คิดว่าจะรักด้วยซ้ำ”
“แล้วมึงไม่รู้เหรอว่ากูกับนัทคบกันอยู่”
“รู้ดิ ติดกันเป็นหมาหวงเจ้านายขนาดนั้น ผมสงสัยว่ะว่านัทมีอะไรดีพี่ถึงตามมันแจเลยลองแหย่ไป เผอิญที่เมียพี่มันชอบผมมากกว่ามันเลยทิงพี่ก็แค่นั้น แต่ผมแปลกใจว่ะ มันก็ไม่ได้มีดีอะไร แถมยังทำเรื่องเชี่ย ๆ ขนาดนั้นทำไมพี่ถึงยังใจดีกับมันอยู่ได้” คนพูดกล่าวด้วยสีหน้าเรียบๆ เว้นจังหวะพูดไปก่อนถามเสียงนิ่งยิ่งกว่าเก่า “เมื่อคืนพี่ก็นอนกับมันใช่ไหม”
คราวนี้กลายเป็นผมที่เงียบแทนคำตอบ ไม่รู้ว่าควรจะพูดไหม ก็ดูมันรู้เรื่องดีอยู่แล้ว เวรกรรมกู แผลเพิ่งหายสงสัยวันนี้จะโดนซ้ำ
“ผมไม่เอามันหรอก ไม่แปลกใจด้วยที่นัททำแบบนี้ แต่แปลกใจที่พี่ขอให้มันกลับไป”
“ถ้ามึงเคยรักใครสักคนมึงคงเข้าใจ”
รักแบบยอมทิ้งศักดิ์ศรี ทิ้งความเป็นตัวเอง ช่วงที่คบกับนัทผมโคตรมีความสุข เหมือนกับว่าทั้งชีวิตไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว พอเลิกกันไปแล้วเห็นคนที่ตัวเองรักอยู่อย่างเจ็บปวดกับคนอื่นก็อยากให้กลับมา
ผมไม่โกรธสักนิดถ้านัทจะบอกว่า เรามาเริ่มกันใหม่นะ
จะไม่ระแวง ไม่หยิบเรื่องที่นัทเคยทิ้งผมไปหาอินทรีขึ้นมาพูดให้ทะเลาะกันด้วยซ้ำไป
“อยากได้มันมากเลยเหรอ ไอ้นัทน่ะ”
คู่สนทนาถามด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ มันปรายตามองผมแล้วยกยิ้มที่มุมปาก
“อยากให้มึงรักนัทมากกว่า” จบประโยครุ่นน้องก็หัวเราะในลำคอ อัดควันบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนดีดก้นกรองออกจากนิ้ว
“ผมรักมันไม่ได้ ก็บอกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใจดียกมันให้ชู้หรอกนะ”
“แล้วมาหากูทำไม” ถึงไม่ได้บอกผมก็ไม่ได้โง่จนดูไม่ออกนะว่ามันจงใจมาเคลียร์ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นว่าจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
“บอกตรงๆ ผมอยากรู้จักพี่ว่ะ แปลกดี” แปลกเหี้ยอะไร กูก็คนปกตินี่แหละ “กลับขึ้นห้องไปเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกไปหาข้อมูลทำงานไม่ใช่หรือไง”
ไอ้อินปลดล็อค แต่ผมยังไม่ขยับตัวไปไหน
“อิน กูจะไม่ยุ่งกับนัทอีก ฝากมึงดูแลนัทได้ไหม”
เทหมดหน้าตักเลย ไหน ๆ นัทก็หมดรักผมไปแล้วโดยสิ้นเชิง ยอมรับว่าเกลียดไอ้เชี่ยอินมาก ตอนนี้ก็ยังเหม็นขี้หน้าอยู่ แต่ทำไงได้วะ คนที่ทำให้นัทมีความสุขหรือเสียใจได้ตอนนี้ก็มีแค่มัน ไอ้อินไม่ตอบกดล็อคประตูและปลดล็อคอีกครั้งเร่งให้ผมกลับขึ้นห้อง
“จะกลับแล้วพี่ขึ้นห้องไปดิ”
ผมถอนหายใจ
ถ้ามีพรสักข้อ ให้ผมเปลี่ยนตัวกับมันได้ ก็คงดี
ผมยืนนิ่งอยู่ใต้หอตัวเองหลังจากลงมาตอนเกือบเที่ยงเพื่อหาอะไรกินก่อนออกไปดูเซอร์เวย์ไซต์งานสำหรับทำธีสิส แบกกล้องตัวใหญ่ไว้ในกระเป๋าสะพายข้าง ตาจ้องไปยังBMW ซีรีส์ 3 คันสีดำที่จอดติดเครื่องอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามหอไม่กะพริบ
อินทรีสวมเสื้อเชิร์ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำรัดรูป รองเท้าหนังหัวแหลมสีน้ำตาลกับนาฬิกาแชนแนลรุ่นท็อป เหน็บแว่นกันแดดสีดำไว้กับสาบเสื้อที่ปลดกระดุมลงมา 2 เม็ด
ถึงเมื่อคืนจะนอนแทบไม่หลับ แต่ตื่นสายตะวันโด่งขนาดนี้ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองนอนไม่พอจนตาฝาดไปแน่ๆ
“มาทำอะไร”
อินทรียักยิ้มที่มุมปาก มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้ตั้งใจจะออกไปทำงานเลยใส่แค่เสื้อยืดบางๆ สีขาวกับกางเกงขาสั้นคลุมเข่า ส่วนรองเท้ายังคงเป็นผ้าใบคู่โปรดเหมือนที่ใส่ไปเรียนคงเป็นภาพประหลาดตาสำหรับมันอยู่ไม่น้อย
“จะไปไหน”
“ไปทำงาน”
“ขึ้นรถสิ” จะมาไม้ไหนของมันวะ ผมขมวดคิ้วขณะที่อินทรีเคี้ยวหมากฝรั่งหยับ ๆ ในปากแต่ยังไม่ขยับตัวกระทั่งมันพูดเสริม “เคยได้ยินว่าธีสิสถาปัตย์มหากาพย์มาก อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า”
“มึงจะรู้ไปทำไม” อะไรของมึงเนี่ย แทนที่จะเอาเวลาไปดูแลนัท ดันมาสู่รู้เรื่องไม่เป็นเรื่อง
“พี่ตุ้ยบอกไปคนเดียวอันตรายไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน”
ผมกวาดตามองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “มึงไปด้วย กูว่าอันตรายหนักกว่าเดิมอีก” แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า กลัวคนจะไม่รู้หรือไงว่าบ้านรวย “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องก่อน”
ผมอยากรู้ว่ะว่ามันมาไม้ไหน เมื่อวานก็บอกไปแล้วว่าจะเลิกยุ่งกับนัทให้เรื่องก็ควรจะจบ แต่กลับมาเจอมันทำหน้าวอนตีนอยู่ใต้หอก็เดาใจไม่ออกจริง แกล้งเล่นเกมตามมันไปสักหน่อย ไอ้เด็กปี 2 มันจะแพรวพราวสักแค่ไหนกันเชียวเลยยอมให้มันตามไปด้วยโดยมีเงื่อนไขให้มันทิ้งของมีค่าเกือบทั้งหมดไว้ที่ห้องแล้วสวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงในตู้ที่ดูสถุนน้อยที่สุดแทน ผมเตี้ยกว่ามันประมาณ 3 – 5 เซน ส่วนรูปร่างอินจะแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อไม่เหมือนผมที่บวมหน่อย ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าบวมไขมันหรือบวมเบียร์ แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ต่างกันมากทำให้มันสวมทั้งเสื้อและกางเกงผมได้พอดี ส่วนรองเท้าก็ให้มันยืมแตะหนีบแทนรองเท้าหนังมันวับของมัน
“แต่งห้องน่าอยู่เนอะ แต่อยู่แบบนี้ไม่อึดอัดเหรอ”
พอแต่งตัวเสร็จก็เริ่มวิพากวิจารณ์ ห้องที่ผมอยู่เป็นหอพักมีราคา จะถูกแบ่งโซนห้องนอน ครัว และห้องนั่งเล่นแยกกันแต่ไม่กว้างมาก อยู่ได้ไม่เกิน 2 คน ข้างในตบแต่งเองทั้งหมด ผมเคยอยากเรียนเอกอินทีเรียครับ ตอน ม.6 กะเลือกไว้เป็นอันดับหนึ่งเหมือนกันแต่ติดโควต้าสถาปัตยกรรมหลักของที่นี่เสียก่อนเลยปล่อยเลยตามเลย พ่อผมเป็นสถาปนิกเหมือนกัน สายอินทีเรียตรงนั่นแหละ เลยกลายเป็นว่าผมถูกปลูกฝังด้วยงานลักษณะนี้มาตั้งแต่เล็ก ส่วนไอ้โย น้องชายผมมันไม่ชอบ ยังไม่รู้หรอกว่าชอบอะไรแต่ตั้งใจจะไม่เรียนแบบผมกับพ่อแน่ๆ
“เมื่อก่อนนัทก็อยู่ที่ห้องนี้เหรอ” อินถามพลางหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู เป็นกรอบรูปเรียบ ๆ ที่นัทซื้อมาเมื่อวันวาเลนไทน์ ตอนเลิกกันไม่ได้เอาไปด้วยเลยยังตั้งอยู่ตรงนั้น ผมตอบรับในลำคอ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องห้ามไม่ให้มันรู้ เผื่อได้ยินแล้วจะสำนึกขึ้นมาบ้างว่ามันแย่งเมียคนอื่นไป
“รักกันดีจัง หึ หิวว่ะ ไปกินข้าวเหอะ” อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องพูด แต่ไม่ยอมวางกรอบรูปลงที่เดิม มิหนำซ้ำยังยกขึ้นสูง “ส่วนนี่ผมขอ”
พูดจบก็เดินลิ่วออกนอกห้อง ยังเดินได้ไม่ถึงไหนก็โยนกรอบรูปของผมกับนัทลงถังขยะใกล้มือ ผมชักสีหน้าใส่มันอินทรีก็เลิกคิ้วขึ้นสูง
"ผมไม่ชอบเห็นรูปเมียตัวเองกับคนอื่น"
ไอ้เหี้ย!ไอ้เด็กเปรต!
ผมกับอินมากินข้าวกันร้านตามสั่งใกล้ๆ หอ ตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่าคุณหนูจ๋าอย่างมันจะกินเป็นหรือเปล่าแต่คงพอไหว อย่างน้อยก็กินเมนูสิ้นคิดอย่างกะเพราไก่ (ไม่เผ็ดและเขี่ยผักทุกชนิดออก) มากินได้ แต่เรื่องน้ำ มันไม่ยอมกินน้ำเหยือกจริงๆ ต้องสั่งแบบขวดมา ไม่ใส่น้ำแข็งเท่านั้น กระเพาะผู้ดี กินน้ำประปาตามร้านอาหารสังกะสีแล้วจะท้องเสีย ไม่เหมือนผมกินอาหารหมดอายุยังอยู่ได้สบาย ๆ
ผมกินไปมองหน้ามันไป ไอ้อินเป็นคนหน้าตาดีจริง ๆ ครับ ตาหูจมูกปาก ทุกอย่างได้รูปลงตัวกันอย่างน่าอิจฉา ไม่ใช่พวกหล่อบ้าน ๆ ที่หามองได้ตามท้องตลาด มันดูมีเสน่ห์ หล่อแบบมีระดับ ต่อให้ใส่ในฃุดกาก ๆ ของผมยังดูดี มีออร่าผู้ดีทอประกายระยับ แบบนี้ล่ะมั้งนัทถึงชอบ
“มองอะไร”
“เปล่า” ตอบไปอย่างนั้นแหละ ใจน่ะอยากถามว่ามึงหน้าตาดีขนาดนี้ทำไมต้องมาแย่งแฟนกูวะ แต่อีกใจก็ไม่อยากพูดถึง ถามว่ายังโกรธไหมก็โกรธ แค่คิดว่าขุดเรื่องนี้มาพูดก็เท่านั้น ผมตัดสินใจแล้วว่าจะวางมือแล้วนี่หว่า
“กูถามจริงๆ ว่ะ อิน มึงมาหากูมีเรื่องอะไร”
“ก็ไม่มีอะไร” พูดพลางยกขวดน้ำขึ้นดื่ม “เมื่อวานก็บอกแล้วว่าสนใจ อยากรู้จัก”
“ถ้าคนอื่นพูดกูคงคิดว่าจะจีบกู”
มีที่ไหนมาบอกว่าสนใจ อยากรู้จัก ไม่ใช่การ์ตูนนะเว้ยที่จะเดินมาบอกเธอ ๆ ต่อไปนี้เราจะเป็นเพื่อนเธอเอง ตลก แต่โพสิชั่นของผมกับมันก็ไม่ใช่ไง ฟ้าผ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยรุกชนรุก
“ถ้าผมบอกอย่างนั้นล่ะ?”
แค่ก
สำลักครับ พูดเหี้ยอะไรออกมาคนกำลังดื่มน้ำ ไอ้อินส่ายหัวยกยิ้มที่มุมปากข้างเดียวแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าสีเข้มให้ แต่ผมใช้ของมันไม่ลงว่ะ หันไปหยิบทิชชู่สีชมพูรีไซเคิลแทน แต่ก็ถูกยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือให้เสียก่อน
“เช็ด ๆ ไปเถอะน่า ทิชชู่มันสกปรก”
ผ้าเช็ดหน้า DKNY ส่วนน้ำหอมที่ติดกับผ้ามาเป็นกลิ่น Clinique Happy กลิ่นใสๆ เด็กๆ หน่อย ถึงผมจะใช้แค่บอดี้สเปรย์แต่ศึกษาเรื่องพวกนี้มาเหมือนกัน นัทเป็นพวกบ้าแบรนด์ เวลาจะซื้อของขวัญให้ทีผมต้องหาข้อมูลยิ่งกว่าเตรียมสอบ
“เดี๋ยวเอารถจอดไว้นี่ เดี่ยวไปแท็กซี่ แถวนั้นมันไม่มีที่จอดรถ”
อินทรีพยักหน้ารับรู้ เวลาก็ล่วงมาบ่ายกว่าแล้วผมเลยรีบจ่ายเงินรีบออกมาจากร้าน จากนี่กว่าจะไปถึงไซต์ก็บ่าย 2 ได้ ต้องรีบไปถ่ายรูปเก็บข้อมูลก่อนแสงหมด นี่ถ้าไม่เจอไอ้อินป่านนี้งานคงเดินไปโข สงสัยมันคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรเก่าผมน่ะครับ ตั้งแต่ได้ยินชื่อมันจนถึงตอนนี้เจอแต่เรื่องขัดอกขัดใจได้ตลอด
“ร้อนว่ะ เมื่อไรจะเสร็จ”
หลังจากมาถึงสถานที่ที่ถูกเล็งไว้ร่วมชั่วโมงกว่าผมก็เดินไปตามตรอกเล็ก ๆ ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปสลับกับจดพฤติกรรมของเด็กแถวนี้ไปเพื่อเป็นข้อมูลด้วย หัวข้อที่ผมเสนอแอดไวเซอร์ไปเป็นเรื่องที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนปี 4 แล้ว วางแผนไว้ในหัวหมดว่าจะต้องเริ่มยังไง แต่ไม่ได้ลงมือล่วงหน้าหรอกครับ ถาปัตย์ยุ่งจะตายห่า ผมรู้ซึ้งตั้งแต่ปี 1 ที่เรียน Fine Art กับพวกบ้านไม้ชั้นเดียวแล้ว แรกๆ ที่เคยบ่นสมัยติวเข้ากลายเป็นขี้ปะติ๋วไปเลย เมื่อก่อนผมอยู่บ้านกับพ่อกับน้องชายครับ เป็นคนกรุงเทพนี่แหละ แม่ตายไปหลายปีแล้ว พอเข้าคณะนี้งานเยอะเลยกลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง ไม่ไหวตอนปี 3 ที่ทั้งเรียนทั้งงาน เลยขอพ่ออยู่หอเสียเลย น้องที่อายุห่างผมเกือบ 10 ปีเริ่มโตแล้วไม่ต้องลำบากพ่อดูแลอะไรมาก ปิดเทอมผมถึงกลับไปอยู่ด้วยที แต่ปี 5 คงได้ไปหาบ่อยขึ้น เรียนไม่หนักแล้ว เน้นธีสิสล้วน ๆ
“ถ่ายเอาไปทำอะไร”
“ใส่เล่มธีสิส เอาไว้เป็นองค์ประกอบอื่นตอนร่างแปลนด้วย” วันนี้แดดดี ได้ภาพเจ๋ง ๆ ทั้งนั้น มันชวนผมคุยตั้งแต่ลงจากลงจากแท็กซี่ เรียกว่าชวนคุยก็คงไม่ถูก ส่วนใหญ่ผมปล่อยให้มันบ่นคนเดียวเสียมากกว่า
“ร้อน”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมา”
“ไม่คิดว่าจะร้อนขนาดนี้นี่หว่า จะเดินไปตามทางนี้เรื่อย ๆ ใช่ไหม งั้นเดี๋ยวตามไป”
ผมไม่ตอบแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไปเรื่อย ๆ มันคงหาที่หลบแดดสักพัก ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งมันครับแต่ผมมาทำงานจริง ๆ ระหว่างนั้นก็เดินตามถนนคอนกรีตแคบ ๆ ที่รายล้อมไปด้วยบ้านสังกะสี ผิดคอนเซปต์จากที่คิดว่าจะเป็นชุมชนแออัดแบบสุดโต่งมาเป็นชุมชนที่มีความปลอดภัยในระดับหนึ่งอย่างที่รุ่นพี่แนะนำ มีบ่อนไก่ โต๊ะสนุ้กบ้าง ยังถือว่าโอเคอยู่ไม่เพี้ยนไปมาก มีพื้นที่ว่างที่เล็งไว้ตั้งโครงการอยู่แต่ไม่แน่ใจว่าพอจะรองรับเด็ก ๆ ที่นี่หรือเปล่า ตั้งแต่เข้ามายังไม่ได้คุยกับใครเลย เห็นลุงๆ ป้าๆ ยุ่งกันหมด
“อะ”
สัมผัสเย็นเกิดขึ้นข้างแก้มขณะที่กำลังตั้งกล้องถ่ายอีกรอบ ผมสะดุ้งสุดตัวหันไปมองเด็กโข่งที่ยักคิ้วกวนก่อนยัดน้ำเปล่าใส่มือผม ในมือมันก็ถือเอาไว้เหมือนกัน แสดงว่าที่หายไปเมื่อกึ๊คงแว้บไปซื้อน้ำมา
“ไหวไหมมึง จะกลับหรือเปล่า กูค่อยมาเองวันหลังได้”
“ถ่าย ๆ ไปเถอะน่า ไม่ไหวผมก็กลับเอง” ถึงพูดแบบนั้นแต่ก็ยังทำหน้าตาหงุดหงิด
“แล้วอารมณ์เสียอะไร”
“ไอ้เด็กร้านขายน้ำแม่งกวนตีน” พูดพลางบุ้ยหน้ากลับไปร้านน้ำใกล้ๆ มีเด็กผู้ชายตัวผอมกร่องแคะขี้มูกอยู่ ผมยิ้มแล้วเดินกลับไปทางนั้น ได้ยินแต่เสียงไอ้อินเรียกอยู่ไกล ๆ ว่าอย่าไปยุ่งกับมัน
“ไงเรา พี่ให้ 5 บาท คุยด้วยหน่อยได้ไหม”
เด็กชายตัวเล็กมองผมหัวจรดเท้า เอาขี้มูกป้ายกางเกง “ยี่สิบ”
“มีต่อรอง ยี่สิบก็ยี่สิบ”
“ถามไร เรื่องไอ้โด่งเหรอ เรื่องนั้นผมไม่พูดหรอกนะเดี๋ยวโดนมันต่อย” โด่งเหี้ยไรเนี่ย “เปล่าโว้ย คุยเรื่องทั่วไปนี่แหละ แม่ไปไหน”
“ไม่รู้ ตีไก่มั้ง” ตอบห้วนได้อีก แบมือขอตังค์ยิก “ชื่ออะไรน่ะ อายุเท่าไหร่”
“กล้า 8 ขวบ” ประมาณ ป.1 – ป.2 ผมพยักหน้านั่งยองๆ ใกล้ๆ มัน คุยกับคนในพื้นที่เป็นส่วนหนึ่งของงานครับ เดิมทีวันนี้กะแค่มาเซอร์เวย์ไว้ก่อนไม่ได้ลงข้อมูลความเป็นอยู่ของคนในชุมชนแต่ไหน ๆ ก็เจอเหยื่อแล้วเลยถือโอกาสเก็บข้อมูลไปด้วย “มีเพื่อนไหมเนี่ย ทำไมมานั่งขายของคนเดียว”
“แม่ให้เฝ้าร้าน แม่มาค่อยไปเล่น”
“ปกติเล่นที่ไหน”
ไอ้กล้าชี้มือไปทั่ว แต่คงหมายถึงเล่นแถวๆ นี้ ไม่มีที่แน่นอน “เพื่อนเยอะไหม”
“เยอะ เป็นสิบ” มันทำท่านับ แต่นับไม่ถึงสิบสักทีผมเลยบอกให้พอ “เดี๋ยวกูให้อีก 10 บาท ไอ้กล้า พากูไปหาผู้นำชุมชนที่นี่หน่อย”
เด็กเกรียนทำท่าคิด มองผมสลับกับไอ้อินด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ “ลุงชมเหรอ ไปทำไมน่ะ”
“เออ นั่นแหละ ธุระของผู้ใหญ่ ถามมากไม่ให้นะโว้ย 30 บาท เลย”
ไอ้กล้ารีบพยักหน้าก่อนคว้ามือผมเดินนำออกมา อินทรีฟึดฟัดขัดใจแต่สุดท้ายก็ยอมตามมาด้วยห่าง ๆ เด็กน้อยหยุดกึก หันหน้ากลับมามองไอ้อินแล้วทำหน้ากวนประสาทใส่กัน
“พี่ไม่ต้องไป พี่ไม่ได้ให้ตังค์ผม เฝ้าร้านให้ก่อน เดี๋ยวพวกไอ้โด่งมาขโมยผมจะโดนแม่ตีอีก”
คนโตแต่ตัวพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมตบกะโหลกไอ้กล้า ผมต้องรีบห้ามทัพแล้วบอกให้อินช่วยเฝ้าร้านให้น้องก่อนแล้วผมจะรีบกลับมา ตอนแรกไอ้อินค้านหัวชนฝา แต่พอผมจ้องหน้านิ่งมันก็รับปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจเดินกลับไปเฝ้าร้านให้น้องมันเซ็ง ๆ
“นี่พี่คุยกับคนอื่นไปทั่วแบบนี้เลยเหรอ”
หลังจากฟ้าเริ่มมืด ผมก็ปลีกตัวกลับมาจากชุมชนมากินอาหารญี่ปุ่นในห้างตามใจอินที่หน้าหงิกตั้งแต่บ่าย ถึงตอนนี้ก็ยังทำหน้าหงุดหงิดไม่เลิก ผมยิ้มแต่ไม่ตอบ นั่งดูรูปจากกล้องที่ถ่ายมาเรื่อยๆ
“แล้วขอเบอร์ไอ้ลุงนั่นไว้ทำไม ยังต้องมาอีกเหรอ”
“อืม เผื่อได้รูปไม่ครบ”
“ไม่ครบอะไร ถ่ายไปตั้งเยอะ” บ่นเป็นตาแก่เลยเฮ้ย “ต้องให้อาจารย์ดู ถ้าเขาอยากเห็นอะไรเพิ่มก็ต้องไปถ่ายใหม่”
“งานโคตรน่าเบื่อ”
“กูสนุกกูแล้วกัน ทีหลังก็ไม่ต้องมา พูดน่ะไม่ฟังหรอกพอมาแล้วบ่น เดี๋ยวกูตบหัวให้” คนฟังเบะปาก คิดว่าตัวเองคิขุนักหรือไง ผมส่ายหัวพอดีกับอาหารมาเสิร์พเลยเก็บกล้องลงกระเป๋า ส่วนไอ้อินก็หักตะเกียบรอจานตัวเองที่กำลังตามมา
“ไม่คิดว่าจะเจ้าชู้นะ”
“กูน่ะเหรอ” ผมหัวเราะ รู้สึกยังไงดีวะถูกคนเจ้าชู้มาด่าว่าเจ้าชู้เนี่ย อินพยักหน้าพลางท้าวคางจ้อง “คุยง่าย ใจดี ยิ้มเก่ง ผิดจากที่คิดไว้ตอนแรก เห็นอยู่กับนัทแล้วเงียบ ๆ นึกว่าจะหยิ่ง”
“หึ... ไม่เท่ามึงหรอก” ผมคุยด้วยง่ายก็จริงแต่ไม่ใช่คนคารมดี ไม่ได้เป็นปลาไหลเคลือบน้ำมันใส่สเก็ตเหมือนมัน
“ผมทำไม”
ยังจะมีหน้ามาถาม ผมส่ายหน้าไม่ตอบ ขี้เกียจเถียง เรื่องแม่งไร้สาระมาก แต่ผมไม่ได้ลืมนะว่ามันแย่งนัทไป แถมยังนอกใจคนที่ผมรักอีก เออ ว่าแต่วันนี้ผมยังไม่ได้คำตอบเลยว่ามันมาทำเฮียอะไรกับผมทั้งวัน ไม่ไปจัดการกับแฟนมันให้รู้เรื่อง
“วันก่อนนัทบอกกูว่ามึงนอกใจนัท”
“เรื่องนัทอีกละ” ทำหน้าเซ็งแต่ยังไม่หยุดกิน ผมเองก็เซ็งพอกัน “ก็ที่มึงมาอยู่กับกูไม่ใช่เพราะเรื่องนัทเหรอวะ”
“เอาความจริงหรือโกหก” มันใช่เวลามากวนตีนมั้ย “จริงๆ ก็ใช่ แต่ผมไม่อยากพูดถึง”
“มึงต้องการอะไร อิน”
อินทรีไหวไหล่ มันเป็นคนที่ดูอ้อนมาก ผมหมายถึงอ้อนตีนนะครับ ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งเวลาลอยหน้าลอยตาไม่สนใจยิ่งน่ามันไส้ คิดว่าหล่อแล้วทำหน้าแบบไหนก็ไม่โดนตีนหรือไง ได้ข่าวว่าเคยลองชิมมาแล้วนะ
“กินไป อย่าพูดมาก”
ไหลไม่ไหลก็ดูเอาเถอะ จู่ๆ เปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย ขี้เกียจซักแล้ว ปล่อยเลยตามเลยก็แล้วกัน
“เสร็จแล้วรีบกลับป่าว ไปซื้อของเป็นเพื่อนก่อน”
ผมทำท่าเหมือนไม่อยากไป อยากกลับไปดูรูปในกล้องแต่พอเงยหน้าขึ้นมองคนชวนก็รู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แล้ว เดินเล่นในห้างสักพักก็ได้ ถึงเวลากลับห้องไปอาบน้ำแล้วจะได้ออกมากินเหล้าที่ร้านพี่ตุ้ยต่อเลย งานมี รูปอยากดูครับ แต่เหงาว่ะ ตกกลางคืนแล้วอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ ห้องนั้นเคยมีนัทอยู่ ภาพเก่า ๆ มันหวนกลับมาทุกครั้งที่ฝังตัวเองอยู่ตามลำพังกับความเงียบราวกับย้ำเตือนว่าผมไม่ได้ลืม
และไม่รู้ว่าต้องนานเท่าไรถึงจะลืมลงสักที
อินทรีลากผมออกมาที่เคาท์เตอร์น้ำหอม บ่นตลอดทางว่าน้ำหอมมันโดนพี่ชายขโมยใช้จนใกล้หมดไหน ๆ ก็ออกมาข้างนอกแล้วเลยกะซื้อกลับไปเลย กลิ่นเดียวกับบนผ้าเช็ดหน้านั่นแหละ ราคาไม่แพงมากแต่ผมก็ไม่เคยคิดจะซื้อใช้
“มึงใช้แต่กลิ่นนี้เหรอวะ?”
ผมถามดู ก็หอมดีแต่แค่สงสัย อินเงยหน้าจากกระปุกขึ้นมองผม “ไม่หอมเหรอ”
“เปล่า”
“เป็นกลิ่นที่แม่ซื้อให้น่ะ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าอันไหนหอมไม่หอม ใช้กันทั้งบ้าน ตั้งแต่ขึ้น ม.ปลาย ไอ้สิงห์ก็ใช้ แต่ไม่ค่อยซื้อ นี่เลยกะซื้อให้มัน”
“มึงมีพี่น้องกี่คน” ตอนแรกก็บอกว่าพี่ชายขโมยน้ำหอมมัน ไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกับที่ชื่อสิงห์หรือเปล่า อินทรีวางขวดลงบนเคาท์เตอร์หันไปสั่งซื้อกับพนักงานแล้วค่อยตอบ “สอง ผมเป็นคนเล็ก สิงห์เป็นพี่ชายห่างกัน 5 ปี แต่งงานแล้ว”
ห่างกัน 5 ปี แสดงว่าแก่กว่าผมแค่ปีเดียว “ทำไมรีบแต่งจังวะ”
“มีคู่หมั้นตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ก็เงี้ย เรียนจบก็แต่งเลย เขากลัวมันเป็นเกย์”
เฮ้ย ยังมีอีกเหรอวะคลุมถุงชนสมัยนี้ แล้วที่บอกว่ากลัวพี่ชายเป็นเกย์นี่เพราะที่บ้านรู้ว่าไอ้อินมันเป็นหรือเปล่า แต่สงสัยผมคงตั้งคำถามผ่านดวงตาชัดไปไอ้อินเลยแสยะยิ้มตอบคำถามคาใจให้หน้าตาเฉย “เขาปลงกับผมแล้วแหละ สมน้ำหน้ามัน เสือกปากดีไปฟ้องแม่ว่าผมเป็นเกย์เอง”
มันพูดชิวๆ ไม่ทุกข์ร้อนไปด้วย พอดีกับพนักงานกลับมาพร้อมถุงน้ำหอม ไอ้อินก็ยื่นเครดิตการ์ดไปให้แล้วหันมาถาม “ชอบกลิ่นน้ำหอมแบบไหน”
“BVLGARI AQVA”
เคยจะซื้อให้นัทอยู่แต่รายนั้นขอแบรนด์อื่นเสียก่อน อินเลิกคิ้วขึ้นก่อนพาผมไปอีกบูธ พนักงานต้อนรับขับสู้มันดีครับ เห็นอยู่ในชุดสถุล ๆ ของผมแต่ออร่าคุณชายของมันไม่ลดลงแม้แต่น้อย ขอน้ำหอมมาลองแต่แทนที่มันจะเทสโดยการฉีดลงข้อมือตัวเองเสือกดึงผมไปแล้วฉีดใส่ ก่อนพูดกับพนักงานว่าเดี๋ยวกลับมา ผมเคยอ่านเจอวิธีการเทสต์น้ำหอมแบบนี้ในเน็ตครับว่าให้ฉีดก่อนแล้วครึ่งชั่วโมงค่อยดมใหม่ แต่มันคือฉีดใส่ตัวเองโว้ย ไม่ใช่คนอื่น ผมมองมันตาชวางแต่ไอ้อินกลับยิ้มกวน ๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรด้วย
“ผมจะได้รู้ไงว่าคนอื่นจะได้กลิ่นยังไงเวลาผมฉีด”
“ไม่มั่นใจมึงก็ใช้แบบเดิมไปสิวะ ซื้อมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อันนี้ซื้อไปให้สิงห์ ส่วนกลิ่นอื่นเอาไปใช้เอง มันจะได้ไม่มาแย่ง”
ไอ้ถุย รวยเสียเปล่าเสือกงกน้ำหอมไม่ให้พี่ชาย ผมส่ายหน้าก่อนมันรุนหลังผมไปเดินเล่นแผนกอื่น “ไปดูกล้องกันไหมพี่”
“มึงเล่นกล้องด้วยเหรอ?”
“ไม่อะ แต่เห็นรูปที่พี่ถ่ายสวยดี กล้องเจ๋งหรือคนฝีมือดีวะ”
“ก็ต้องคนอยู่แล้ว”
ผมยักยิ้มที่มุมปากนิดๆ แต่ไอ้อินหัวเราะในลำคอ กล้องตัวนี้เก็บเงินซื้อนานอยู่ครับ ที่จริงมีตัวอื่นที่อยากได้แต่ราคาเกินตัว บ้านผมมีพ่อทำงานคนเดียว เป็นพนักงานบริษัทระดับสูงแต่ต้องส่งเสียทั้งผมทั้งโย น้องชายไปด้วยค่าใช้จ่ายอะไรที่เกินความจำเป็นเลยต้องเก็บหอมรอมริบไปซื้อเอง เรื่องทำงานพิเศษฝันไปเถอะครับ แค่เรียนก็ไม่มีเวลาหายใจแล้ว
"อยากได้รุ่นไหนหรือเปล่า เดี๋ยวซื้อให้"
"อย่ามาทำตัวเป็นป๋าแถวนี้ เก็บเงินไว้เลี้ยงเด็กมึงเถอะ"
อินทรีแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้เซ้าซี้ เปลี่ยนเป็นชวนไปนั่งร้่านจั๊งค์ฟูดชั้นใต้ดินระหว่างรอเวลาเทสน้ำหอมไปด้วย ครั้งนี้ผมเห็นด้วยเพราะอยากดูรูปที่ถ่ายมาเต็มแก่ พอถึงร้านอาหารก็เลือกที่นั่งมุมในสุด ไอ้อินไปซื้อเฟรนส์ฟรายกับน้ำอัดลมกลับมาแล้วเลื่อนเก้าอี้มาข้างผมเพื่อดูรูปจากกล้องตัวเดียวกัน
“ทำไมรูปที่ถ่ายมามันดูดีกว่าที่ไปจริงอีกวะ”
“ฝีมือ” ทำเป็นข่มไปงั้นแหละครับ ผมไม่ใช่โปรกล้องหรอก แค่ใช้เป็น “ชอบถ่ายรูปเหรอ?”
“เปล่า มันต้องใช้ทำงานเฉยๆ ”
“แล้วเวลาอยู่ว่างๆ ชอบทำอะไร” อินพูดไปกินไป เวลาอยู่ว่างๆ เหรอ ก็ไม่ทำอะไรนะ นอนอย่างเดียว ชดเชยกับช่วงที่งานหนักจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
“มึงล่ะ ทำอะไร”
“ขับรถเล่นมั้ง ส่วนใหญ่ไปหัวหิน ใกล้ ถนนดี หาที่พักง่าย”
ผมพยักหน้าฟังแต่ไม่ออกความเห็น จนเสียงทุ้มมากระซิบใกล้เลยผงะถอยออกมานิดหน่อย “ไว้ไปด้วยกันนะ”
“อะไรของมึง ไปชวนนัทสิ”
“พูดเรื่องนี้อีกแล้ว ถ้าผมอยากไปกับนัทจะชวนพี่ทำไม” คนพูดไม่พูดเปล่าส่งสายตาพราวระยับ ไม่รู้ว่ามันขยับมาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ผมก็ไวพอจะดันไหล่มันไว้ไม่ให้ชะโงกหน้าเข้ามาเกินความจำเป็น
“ใกล้ไปละ สัด”
“หอมดี” ถึงผมจะดันไหล่มันทันแต่ก็ไม่สามารถเอาแก้มหลบสันจมูกได้ ไอ้เวรนี่! ทำเหี้ยอะไรของมัน “น้ำหอมน่ะ”
พูดจบก็ยักคิ้วขึ้นพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมขึงตาจ้องดุแต่กลับใช้ไม่ได้ผลกับมัน ผมเคยเป็นพี่ว้ากตอนปี 4 ครับ เด็กๆ กลัวกันหัวหดเลย แต่เป็นปีเดียวเลิก กฏของพี่ว้ากคือห้ามจีบเฟรชชี่ ซึ่งผมโคตรรับไม่ได้เลย พี่ว้ากก็มีหัวใจนี่หว่า ประเด็นคือตอนนั้นนัทเป็นเฟรชชี่ครับ พอพวกไอ้อั้มจับได้ผมโดนจ่ายค่าปรับอาน มันบอกเฟรชชี่คณะอืนก็ถือเป็นเฟรชชี่ ผมเลยแอนตี้การเป็นพี่ว้ากตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาแม้จะอยู่ในข่ายรุ่นพี่ที่ถูกรุ่นน้องแบนอันดับต้น ๆ ในช่วงประชุมเชียร์ก็ตาม
แต่ไอ้อิน... มันไม่กลัวผมว่ะ
“ผมว่าซื้อกลิ่นนี้แหละ พี่ว่าไง”
อินทรียังอมยิ้มท่าทางไม่น่าไว้ใจ มองผมด้วยตาติดจะเจ้าชู้หน่อย ๆ ใบหน้าเราอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ ผมได้กลิ่นหอม เย็น ๆ จากตัวมันลอยผสานกับกลิ่นน้ำหอมที่เพิ่งฉีดลงบนผิวตัวเอง แต่แทนที่จะตีกัน น่าแปลกที่เวลานี้กลับผสานกันเป็นกลิ่นเย้ายวนอย่างไม่น่าเชื่อ
ไอ้อินท้าวแขนไปกับผนังด้านหลงผม ทำให้พื้นที่ระหว่างเราหดเล็กลงยิ่งกว่าเก่า ผมเอนตัวหนีจนสุด ก่อนออกแรงดันบนไหล่กว้างหนักขึ้นให้มันหยุดเล่นอะไรแผลง ๆ
“จะใช้กลิ่นอะไรก็เรื่องของมึง มาบอกกูทำไม”
"ก็ผมอยากให้พี่ชอบ... พี่ก็บอกผมมาสิว่าชอบแบบไหน จะได้เอาใจถูก ไปซื้อน้ำหอมกันเถอะ อยากกลับแล้ว"
รุ่นน้องผละตัวออกแล้วคว้ากล้องในมือผมเดินนำไปเพื่อบังคับให้รีบลุกตาม ไม่เชิงตีความประโยคนั้นไม่ออกแต่ไม่อยากจะคิดไปว่าหมายถึงอะไร ที่สงสัยตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้คือมันต้องการอะไรจากผมมากกว่า
มันคือเหตุผลง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผมไม่ชอบมันคือแฟนใหม่ของแฟนเก่า แฟนเก่าของแฟนใหม่
หรือมีอะไร ที่เจืออยู่ในการกระทำของมันจริง ๆ ????
TBC
ความคิดเห็น