คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : อุดมภักดี
14 อุดมภักดี
“แหงล่ะ ครั้งที่แล้วบอกผมว่ามดกัด
โคตรเด็กเลย มดบ้าอะไรจะกัดเป็นจ้ำแบบนั้นวะ”
“เฮ้ย มึงเคยเห็นครั้งที่แล้วด้วยเหรอ? ทำไมกูไม่เห็นวะ”
“เห็นดิพ่อ แถว ๆ ไหปาร้า รอบนี้มาซอกคอ มดบ้าอะไร นกจิกล่ะสิไม่ว่า
ยังมีหน้ามาเนียนแถไปโน่น ลื่นไปยังกับปลาไหลใส่สเก็ตซ์
คนอื่นเขารู้กันหมดแหละว่านั่นมันรอยอะไร”
ผมได้ยินนะครับ
ไม่ใช่ไม่ได้ยิน คลุกข้าวกับตับไก่ให้บับเบิ้ลอยู่บนโซฟา
ส่วนพ่อลูกขี้นินทานั่งเล่นฟีฟ่ากันอยู่ที่พื้น
จะเมาท์กันมันปากขนาดนี้ไปเปิดสำนักพิมพ์กอสซิบกันเลยเถอะ ไม่ได้เรียกว่าเผาขนนะ
แบบนี้เรียกนั่งยางเผาโชว์กันเลยดีกว่า
“แต่แฟนมันก็ดูแมน ๆ นะ
ถ้าเจอที่อื่นคงไม่รู้เลยว่าเป็นเกย์ หรือพี่มึงจะเป็นเมียมันวะ”
“ผมจะไปรู้ไหมพ่อ ไม่ได้อยู่ใต้เตียงตอนแม่งเอากันนี่หว่า เชี่ย
พ่อยิงผมได้ไง! ผมเป็นลูกพ่อนะ”
ถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อลูก
หรือพี่น้องกันป่านนี้กะละมังข้าวหมาได้คว่ำใส่ใครสักคนไปแล้วแน่ ๆ แต่ไม่ใช่ไง
คนที่แม่งพูดจาน่าโมโหอยู่เป็นคนในครอบครัวที่เหลือกันอยู่แค่นี้เลยได้แต่ฮึดฮัดเดินออกจากบ้านไปให้ข้าวบับเบิ้ล
โกลเด้นริทิเวอร์ตัวอ้วนใหญ่ถูกล่ามไว้ข้างนอกเพราะไอ้โยเพิ่งอาบน้ำเช็ดตัวให้มันเสร็จเมื่อช่วงเย็น
หมาตอนที่ตัวเปียกมันจะคึก
กลัวไปเกลือกกลิ้งกับดินใต้ต้นชมพูพันทิพย์เลยต้องกักบริเวณเอาไว้บนพื้นปูนของลานจอดรถก่อน
สัตว์หน้าขนส่งเสียงครางหงิง เกยคางหมอบกับพื้นปูน
แต่ตามองอย่างขอความเมตตาว่าเมื่อไรจะปลดโซ่มันได้สักที
“ไง หิวยังไอ้เบิ้ล” ผมถาม ใช้ตีนเขี่ยถาดอาหารมาใกล้ ๆ
ก่อนถ่ายข้าวใส่ภาชนะ สุนัขพันธุ์ดีทำคิ้วหลุกหลิกมองเฉไฉไปทางอื่นเหมือนไม่ใส่ใจ
กระทั่งเอาถาดอาหารไปวางตรงหน้าถึงลุกขึ้นยืนกินอย่างตะกละมูมมาม
“หมดพลังไปเยอะสิมึง ค่อย ๆ กิน อดอยากมาจากไหนอ้วนเอ๊ย”
ผมใช้กะละมังเคาะหัวมันไปหนึ่งทีก่อนกลับเข้ามาในบ้าน
สองพ่อลูกเปิดฉากเกมใหม่แล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ เดินไปเดินมาจัดการกับจานในซิงค์เสร็จก็ไปรื้อหนังสือในห้องนอนของพ่อมาอ่าน
โชคดีของการมีพ่อทำงานสายเดียวกันครับ อยากได้อะไร
อยากรู้อะไรเหมือนเรามีอาจารย์ส่วนตัว ถามไปเถอะ ถามอะไรโง่ ๆ
สงสัยอะไรที่มันบ้องตื้นก็ไม่โดนด่า
“กลับมารอบนี้จะอยู่บ้านถึงเปิดเทอมเลยหรือเปล่า”
ผมไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือมาหาคนถามแต่ก็รู้ว่าประโยคลอย
ๆ นั่นหมายถึงใคร ปิดเทอมเล็กของนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ยาวครับ
จะอยู่นานเลยก็ต้องปิดเมษา ก่อนหน้านี้ผมกลับบ้านมาแล้วรอบนึง
อยู่ไม่กี่วันแล้วก็ไปม.ต่อ
นี่กลับมาอีกครั้งเพราะอยากได้หนังสือไปศึกษาเพิ่มเรื่องโปรเจ็กต์จบนี่แหละ
“เดี๋ยวก็กลับแล้วพ่อ อยู่แค่วันสองวัน ไปทำงาน”
“พักบ้างแล้วกัน อย่าหักโหม”
พ่อหันมาพูดกับผมโดยมีคำสบถเมื่อถูกไอ้โยยิงประตูทำแต้มนำไปก่อนคั่นกลางก่อนกลับมาคุยกับผมใหม่
“ทะเลาะกับแฟนบ้างหรือเปล่าเรื่องเวลา”
“จะให้พูดกี่ครั้งเนี่ย ตอนนี้ผมโสดครับ โสด”
“หราาา” ไอ้ห่าโย เงียบปากไปก็ได้
“ไม่เห็นพามาบ้านอีก” พ่อเปรย ผมได้แต่เบะปาก
เจอแค่รอบเดียวถูกใจอะไรมันนักหนาก็ไม่รู้ ถามหาจัง
รับมันเป็นลูกบุญธรรมเลยไหมครับไอ้อินเนี่ย
“ปิดเทอมมันก็อยู่บ้านกับพ่อกับแม่มันบ้างดิ”
พ่อไหวไหล่
ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนผมก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ
หลังจากวันที่ไปเจเจ
เช้าวันถัดมาอินก็กลับบ้านครับ ผมกับมันไม่ได้คุยอะไรกันอีก
ถึงคืนนั้นเหมือนทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแต่เช้าวันถัดมายังกระดากที่จะมองหน้ากันอยู่
ผมไม่ได้โทรหามัน มันเองก็ไม่ได้ติดต่อมาเหมือนกันเลยกลายเป็นว่าเราห่าง ๆ กันไป
หลักฐานที่ทิ้งไว้ว่าคืนนั้นเกิดเรื่องจริงก็เป็นรอยช้ำจาง ๆ
ที่ไม่สามารถปกปิดให้รอดพ้นจากสายตาพ่อกับโยได้แม้จะเลือนรางเต็มที
“เปิดเทอมก็ชวนมาเที่ยวที่บ้านบ้างแล้วกัน”
พ่อพูดลอย
ๆ แต่ผมกลับหวั่นใจว่าหลังจากนี้อาจไม่มีอะไรเหมือนเดิม คืนนั้นมันเป็นฝ่ายขอโทษผมแต่ผมไม่รู้เลยว่าอินเองจะโกรธผมไหม
มันเป็นคนเอาแต่ใจ และการที่ถูกปฏิเสธแบบนั้นบอกตรง ๆ ว่าถ้าเป็นผม
ผมเองก็คงเสียหน้า
ผมถอนหายใจออกมาเบา
ๆ เผลอตัวลอบมองโทรศัพท์ใกล้มือที่เงียบเหงาเกินไปแล้วแหงนหน้ามองเพดาน
ใจผมมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้เฉย ๆ หรือรำคาญเวลาที่อินทรีมาวอแวแต่กลับรู้สึกดี
บ่อยครั้งการถูกเอาใจก็ทำให้ผมผยอง หัวใจอิ่มเอมราวกับยอดอ่อนใบไม้แรกผลิยามต้องฝน
ผมอยากรู้จักมันมากกว่านี้ ชอบที่มีอินอยู่ข้าง ๆ
แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากครอบครองหรือเรียกว่ารัก
ขนาดตัวมันเองยังไม่เคยบอกผมว่ารู้สึกแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
ผมถอนหายใจยาวอีกครั้ง
พ่อกับโยเริ่มเกมใหม่ซ้ำ ๆ หลังจากสลับกันแพ้ชนะหลายรอบ
ท่าทางคืนนี้คงเล่นกันยาวยันบอลมาตอนตีสอง
“ผมขึ้นนอนก่อนนะพ่อ”
“บอลมาให้ไปเรียกเปล่า”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ถ้าไม่ลงแปลว่าไม่ตื่น”
ผมว่าอย่างนั้นแล้วหิ้วหนังสือขึ้นห้องไป
ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วที่ผมจะไม่ตื่น
ถึงจะเข้านอนแต่หัวค่ำแค่ไหนแต่ร่างกายที่พักผ่อนน้อยสองสามวันมานี้ทำให้ผมหลับยาวอย่างไม่น่าเชื่อ
ลุกขึ้นอีกทีก็ตอนสาย ๆ ของวันใหม่
ทั้งบ้านเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงร้องครางของบับเบิลจากหน้าบ้าน
เมื่อคืนพ่อกับโยไม่ได้ออกมาปลดสายโซ่ให้มันก่อนเข้านอนแหงเลยงอแงเสียงดังขึ้นมาข้างบนขนาดนี้
ผมเดินสโลสเลออกจากห้องนอน
เจ้าสัตว์หน้าขนสีทองอร่ามนอนหมอบแต่กระดิกหางฟาดกับพื้นระริก เดินเข้าไปใกล้หน่อยก็ทำท่าจะกระโจนหาอย่างเดียวผมเลยรีบแกะโซ่ออกจากปลอกคอสีน้ำเงินของมัน
บับเบิลกระโจนใส่ผมทั้งตัว ใช้ลิ้นหยาบ ๆ
เลียทั้งแก้มทั้งหน้าจนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลาย
พอสาแก่ใจก็วิ่งวนรอบผมก่อนตะกุยเท้าไปรอบตัวบ้าน
ผมยืนมองอย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนกลับไปเตรียมอาหารเช้า
เมื่อคืนเหลือข้าวอยู่เยอะกะว่าจะทำข้าวผัดไข่
ส่วนกลางวันค่อยหุงข้าวเพิ่มแล้วทำผัดผักอย่างง่ายแทน
แต่กว่าพ่อกับโยจะตื่นก็ปากันไปเที่ยง ข้าวผัดของผมเลยถูกร่นมาเป็นมื้อกลางวัน
ส่วนผัดผักก็ร่นต่อไปเรื่อย วันหยุดแบบนี้ทั้งบ้านไม่มีใครทำอะไร ผมกับพ่อนอนดูหนังดังที่ถูกช่องพิเศษนำมาฉายวนหน้าโซฟา
ส่วนโยก็นอนกอดหมาของมันจ่อพัดลม เสียงโทรศัพท์บ้านดังสองสามครั้ง
ส่วนใหญ่เป็นของโยมากกว่าพ่อ
“แฟนโทรตามเหรอ”
“แฟนบ้าอะไร ไอ้โอ๊ตมันฃวนไปเตะบอล”
“ไม่ไปล่ะ” ผมถาม โอ๊ตเป็นเพื่อนโย บ้านอยู่ละแวกนี้ เด็กที่เกิดรุ่นเดียวกับโยมีหลายคนพอโตเข้าหน่อยเลยรวมกันเป็นกลุ่มก้อนไม่เหมือนผมที่เกิดคนละรุ่นกับลูกครอบครัวอื่น
โยส่ายหน้าทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเอาหัวหนุนพุงกะทิของหมายักษ์สบายใจ
“วันนี้อยู่บ้านนี่แหละ นาน ๆ พี่ยูกลับมาสักที”
ผมยิ้มในความเป็นลูกแหง่ของมัน
สักพักบับเบิลเริ่มหนักมันขยับตัวลุกทำให้โยต้องเปลี่ยนท่านอนจากที่หนุนหมามาเป็นตักผมแทน
“เย็นนี้ทำอะไรกินพี่ยู”
“ผัดผัก”
โยพยักหน้ารับรู้
นอนดูโทรทัศน์ได้สักพักเสียงบับเบิลก็เห่าระงม
วิ่งออกไปรอที่ประตูรั้วหน้าบ้านก่อนเสียงออดจะดังขึ้น
“ใครมาไปดูซิ”
ผมขยับขาไล่ให้น้องชายลุก
ไอ้โยทำท่าขี้เกียจแต่สุดท้ายก็ยอมเดินออกไปรับแขก
สักพักก็เดินยิ้มกรุ้มกริ่มกลับมาพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ของใครบางคน
“....มาได้ไง?”
ผมถาม
อินทรีพุ่มมือขึ้นไหว้พ่อผมแล้วหันมายิ้มให้ “อดใจไม่ไหว คิดถึง”
จบประโยค
เจ้าบ้านอีกสองคนที่เหลือหันไปนินทาผมด้วยสายตา
“คิดถึงเชี่ยไรล่ะ เลอะเทอะ” ถึงแม้จะพูดแบบนั้น
แต่ผมกลับรู้ดีว่าหัวใจของตัวเองมันกำลังพองโต
ร่วมสัปดาห์ได้ครับที่ผมไม่ได้เจอหน้าอินเลย
ถามว่าอยู่ได้ไหมก็ได้ สบายมาก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายครั้งยังนึกถึงตอนที่มีมันมาเกาะแกะข้างตัวตลอดเวลา ความรู้สึกแบบนั้นคงเหมือนที่มันบอกว่ามาหาผมถึงบ้านเพราะอะไร
“คืนนี้ผมค้างนี่ไม่ได้นะ”
อินทรีพูดเสียงอ้อแอ้
นั่งกอดผมจากด้านหลัง
มื้อเย็นอย่างง่ายวันนี้เพิ่มเมนูไข่เจียวสำหรับคนไม่กินผักมาอีกจาน
จากนั้นพ่อก็ขนเบียร์จากตู้เย็นมาเปิดยกใหญ่ แรก ๆ ก็กินกันพอหอมปากหอมคออยู่หรอก
แต่บอลมาก็ติดลมกันยาว เบียร์หมดถึงขั้นใช้ไอ้โยไปซื้อเพิ่ม สภาพตอนนี้เหรอครับ
สิ้นสติกันโดยสิ้นเชิง
“แต่มันตีสองกว่าแล้วนะ นอนนี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“ไม่ได้ นี่ขโมยรถสิงห์มา ต้องกลับก่อนเครื่องมันลง
พรุ่งนี้พี่รินต้องออกไปรับตอนตีห้า มันเพิ่งกลับมาจากเยอรมัน”
ผมเหลือบตามองเจ้าของคางแหลมที่เกยบ่าแบบไม่อายพ่ออายน้องแล้วเบี่ยงตัวหลบเมื่ออินยื่นจมูกมาใกล้
เรื้อนตลอดเลยไอ้เวรนี่
“แล้วมึงใช้รถคันเดียวกับพี่ชายหรือไง”
“อือ... รถผมเข้าอู่ วันก่อนเอาไปจูบเสาไฟฟ้ามา”
“แล้วรู้ว่าต้องกลับเสือกแดกอะไรเยอะแบบนี้” สภาพมันอย่าว่าแต่ขับรถเลยครับ
นั่งตรง ๆ ยังไม่ได้ เบียร์หมดเป็นลังทั้งที่กินกันแค่สองคนกับพ่อเท่านั้น
“ยูไปส่งผมหน่อยสิ”
“พ่อมึง ตอนนี้เนี่ยนะ แล้วกูจะกลับยังไง”
“ก็นอนที่บ้านผมไง” อินตอบ ผมยื้อแก้วเบียร์ออกจากมือมันแต่สักพักก็ถูกแย่งกลับไปใหม่
คนเมาเลื้อยไปชนแก้วกับพ่อผมแล้วพากันยกรวด พ่อเองก็เมาหนักเหมือนกัน
นั่งตาปรอยพิงโซฟาจนเกือบจะกลายเป็นนอนเต็มแก่
“พ่อขึ้นไปนอนเหอะ ผมพาลุก”
“เฮ้ย หมดขวดนี้ก่อน”
คนเมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่พูดยากเหี้ยๆเลยครับ
ไอ้หมดขวดนี้ที่ว่าของพ่อน่ะเพิ่งเปิดสด ๆ ร้อน ๆ ที่เปิดขวดยังถือคามืออยู่เลย
กูจะบ้า ผมแย่งขวดนั้นมากรอกอึก ๆ ลงคอจนหมด แล้ววางลงแบบไม่สบอารมณ์เท่าไร
“ทีนี้ไปนอนได้หรือยัง”
พ่อกับอินหันไปหัวเราะให้กัน
มิหนำซ้ำยังนินทาระยะเผาขน “ยังกับมีแม่”
เมอร์เซเดสครับ
เมอร์เซเดสซีคลาส 2,200 ซีซีเป็นรถของพี่ชายมันที่ชื่อสิงห์
รถแบบนักธุรกิจสีบลอนซ์เงิน หมดคำถามโดยสิ้นเชิงว่าทำไมแค่เด็กปี 2 อย่างมันถึงได้ขับบีเอ็มซีรีส์ 3
อินทรีนอนหลับสนิทอยู่เบาะข้างคนขับ
หลังจากพาพ่อไปนอนบนห้อง ผมก็กระเตงมันกลับขึ้นรถ นั่งเฉย ๆ
ไม่ถึงห้านาทีก็หลับสนิท
โชคดีที่ผมจำทางไปบ้านของมันได้เลยไม่ต้องหงุดหงิดเพราะต้องปลุกมันมาบอกทาง
เพิ่งเคยเห็นมันเมาก็วันนี้แหละครับ หลับสนิทแบบไม่มีพิษมีภัย
เดิมทีเคยจินตนาการว่าคงอาละวาดตามนิสัยเดิมแท้ ๆ แต่ที่ไหนได้
กลายเป็นเด็กน้อยไร้พิษสงกันไปเลยทีเดียว
รถหรูเลี้ยวเข้าซอยที่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก
ทันทีที่เห็นรั้วบ้านสีขาวยาวสุดลูกหูลูกตาก็มั่นใจว่ามาถูกทาง
ไฟโคมประดับสีเหลืองนวลตบแต่งเป็นระยะกระทั่งถึงส่วนของประตูเลื่อน
ผมเพิ่งสังเกตว่ามีคนยืนอยู่แม้เวลาจะล่วงเข้ามาตีสามกว่าแล้วก็ตาม เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีเขียวขี้ม้าเหมือนเสื้อทหารเกณฑ์กับกางเกงขายาว
เมื่อเห็นแสงไฟจากรถสาดเข้ารั้วก็กุลีกุจอเคลื่อนเปิดประตูให้
“ขอโทษนะครับลุง ผมมาส่งอินทรี เอารถไปจอดไว้ไหนได้”
“เพื่อนคุณอินเหรอครับ?”
ผมพยักหน้า
ลุงที่ว่ารีบพุ่มมือไหว้ให้ผมยกมือห้ามแทบไม่ทัน
“เดี๋ยวคุณไปส่งคุณอินที่ประตูใหญ่ได้เลยครับผมล็อครั้วแล้วจะรีบตามเอารถไปเก็บให้”
นี่กูหลุดมาอยู่ในยุคนางทาสหรือเปล่าวะ
บ้านอินทรีแม่งท่านเจ้าคุณเหี้ย ๆ ลุงที่ว่าเหมือนเป็นกึ่ง ๆ ยาม กึ่ง ๆ
คนดูแลบ้านทั้งที่มีรั้วรอบขอบชิดดี จากส่วนของกำแพงยาวไปจนถึงตัวบ้านเป็นระยะที่ถ้าให้เดินตอนเที่ยง
ๆ นี่อาจเป็นลมได้ ต้นไม้ที่ปลูกรายล้อมส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับตัดแต่งพุ่มสวย
ปูพื้นด้วยหญ้าญี่ปุ่นและหินแกรนิต
เป็นบ้านสามชั้นที่ผสมผสานกลิ่นอายของจีนกับยุโรปไว้ด้วยกัน
“หลับสนิทเลยสินะครับนั่น” ลุงคนเดิมวิ่งตามมาหลังจากผมจอดรถดับเครื่องหน้าประตูบ้านเรียบร้อย
ผมสะกิดอินทรีสองสามครั้งแต่มันก็แค่พลิกตัวหนีไม่ยอมลุกสุดท้ายเลยต้องช่วยกันกับลุงพยุงขึ้นห้องนอนไป
ตัวมันไม่ใช่เล็ก ๆ นี่ครับ สองคนหามก็ยังลำบาก
กว่าจะถูลู่ถูกังมาถึงได้ก็เล่นเอาหอบไปตาม ๆ กัน
“คุณอินไม่ได้เมาอย่างนี้มานานมากเลยนะครับ ไม่รู้เครียดอะไรอยู่”
“มันเครียดเป็นด้วยเหรอครับ ไอ้บ้านี่”
ผมเบะปาก
เครียดห่าอะไรล่ะลุง จะเข้าทางพ่อผมเหอะถึงได้เมาเละแบบนี้
“คุณอินเป็นคนคิดเยอะน่ะครับ ชอบเก็บอะไรมาคิดอยู่เรื่อย
ผมเห็นแกมาตั้งแต่เด็ก ๆ ช่วงสองสามวันนี้ก็เงียบผิดปกติจนตอนเย็นไปตื๊อเอารถจากคุณรินออกไปข้างนอกจนได้
วันก่อนก็เมาครับ ไปดื่มกับคุณหมอปอแล้วขับรถชนเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน
คุณหญิงท่านเลยไม่อนุญาตให้ใช้รถไปหนึ่งสัปดาห์
นี่ถ้ารู้ว่าคุณรินยอมให้เอารถไปใช้ล่ะก็เรื่องถึงนายพลยุ่งแน่ ๆ”
เช้ดดด
นายพลเลยเหรอวะ “คุณหญิงกับนายพลนี่ดุมากเลยเหรอครับลุง”
ลุงแกหัวเราะ
“ไม่ครับ ไม่เลย ท่านใจดีมาก แต่คุณอินน่ะสิดื้อ
ลูกชายคนเล็กท่านตามใจของท่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยเกเรเสียขนาดนี้
แล้วนี่คุณกลับยังไงครับ คืนนี้ผมว่าค้างดีกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็สว่างแล้ว
ยังไงพรุ่งนี้เช้าผมจะเรียนนายพลกับคุณหญิงให้ว่าเพื่อนคุณอินมาหา”
“อ้อ...ครับ” ผมรับคำ ถึงอยากกลับก็กลับไม่ได้ครับลุง
จะให้ผมเดินออกไปเรียกแท็กซี่หน้าปากซอยตอนตีสามก็ไม่ไหว
ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ผมก็มีเงินสดติดตัวนะครับ ไอโฟนเครื่องนึงเอาไปขายได้เป็นหมื่น
โดนจี้โดนปล้นไปไม่คุ้ม
“เอ้อ ลุง ผมชื่อยูนะครับ เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยอินทรี”
ผมบอกไว้ก่อนเผื่อคุณหญิงคุณนายบ้านนี้ซักขึ้นมา ลุงแกยิ้มรับ ท่าทางยินดี
“ผมทราบแล้วล่ะครับ ได้ยินชื่อบ่อย ๆ”
หะ...
ไปได้ยินจากไหนวะ...??
ไอ้เชี่ยอิน!
ผมลืมตาตื่นขึ้นในช่วงสายของวันถัดไปแม้ว่าทั้งห้องจะยังมืดสนิท
อุณหภูมิของแอร์ต่ำและเสียงภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยังคงเงียบเชียบราวกับเชื้อเชิญให้นอนต่อ
เมื่อคืนผมไม่มีเวลาสำรวจห้องนอนของมันแต่ปราดตาเดียวก็จำได้ว่าได้รับการตบแต่งอย่างเรียบง่าย
เป็นห้องที่สะอาด ประดับด้วยชุดเครื่องเสียงและเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงพอสมควรแต่นึกไม่ถึงว่าผ้าม่านสีอ่อนนั่นจะกั้นแสงไม่ให้ลอดผ่านได้ดีขนาดนี้
ผมฝังตัวอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่และอ้อมแขนกว้าง
คนที่นอนกอดจากด้านหลังไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร
ผมหนุนแขนมันอยู่แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับลุกแม้จะตื่นก่อนนานแล้ว
ที่รู้ว่านานเพราะแสงจากโทรศัพท์ที่ไอ้ห่าอินยื่นมาเล่นคุ้กกี้รันหน้าผมกับคะแนนสองล้านกว่า
ๆของมันนี่แหละ
“ติดเกมเหรอมึง”
ผมถาม
อินทรีสะดุ้งตัวนิด ๆ แต่ยังไม่ตอบ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมปัญญาอ่อนต่อไป
คุ้กกี้รันเชี่ยอะไร ผมไม่เล่นหรอกแต่รู้จักเพราะได้รับคำเชิญวันนึงไม่ต่ำกว่าสิบรอบ
เล่นห่าอะไรกันนักหนา งานการไม่ทำ
“อย่าเพิ่งขยับดิ เดี๋ยวตาย เมื่อคืนไอ้ปอแม่งทำคะแนนนำผมไปแล้วเอาคืนก่อน”
“เกรียนสัตว์”
ผมด่ามันแต่ก็ยอมนอนมองมันเล่นเกมนิ่ง
ๆ จนมันแพ้ของมันไปเอง ยินดีด้วยไอ้อิน ได้สามล้านชนะหมอปอไปเรียบร้อยแล้ว
“เออ ยูมานอนห้องผมได้ไงวะ เมื่อคืนมาส่งเหรอ”
“เอออออ” ผมลากเสียงยาว
แม่งเมาแล้วจำอะไรไม่ได้เลยสินะว่าทำคนอื่นเขาลำบากขนาดไหน
ไอ้อินถอนหายใจยาววางมือถือแล้วเปลี่ยนเป็นเอาแขนมากอดผมไว้ทั้งตัว
“แล้วทำไมเปลี่ยนแค่ชุดตัวเอง ผมนอนไม่สบายเลย ยูน่าจะเปลี่ยนให้ผมด้วย”
“ทะลึ่งละ เสือกเมาเอง ช่วยไม่ได้”
“ทีหลังเปลี่ยนให้หน่อยนะ เช็ดตัวให้ผมด้วย จะได้หอมเหมือนยู”
พูดจบก็ฝังจมูกมาบนซอกคอผมก่อนงับเบา ๆ เผลอไม่ได้เลยไอ้เปรตนี่
ไวตลอดเรื่องพรรค์นี้ ผมดิ้นอยู่ในแขนมันไม่จริงจังนักกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นอินถึงยอมปล่อย
มันยันตัวเองขึ้นจากที่นอน เสยผมไปด้านหลังลวก ๆ ด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้เสือแหงเลย” ผมเลิกคิ้ว หยัดตัวขึ้นนั่งตาม “หลานชายผม ลูกสิงห์อะ”
“เฮ้ย พี่ชายมึงมีลูกแล้วเหรอ?”
ผมจำได้ครับที่มันเคยบอกว่าอายุห่างจากผมแค่ปีเดียว
เรียนจบมาก็แต่งเลยแต่ไม่คิดว่าจะมีลูกไวขนาดนี้ อินทรีไม่ได้ตอบอะไร
ลุกมาเปิดประตูห้องก็เห็นเด็กน้อยอายุขวบกว่ายืนสวมเสื้อตัวเดียวกับแพมเพิสยกมือยกไม้เตรียมทุบประตูอีกรอบอยู่
“เฮะ”
ไอ้เสือยิ้มตาหยีให้อาแท้
ๆ ก่อนชี้นิ้วมาทางผม จากนั้นก็วิ่งหลบอินทรีมายังเตียง
ชูมือให้คนแปลกหน้าอุ้มท่าทางดีใจ
“คิดว่าเพื่อนใหม่ล่ะสิ ไอ้เสือเอ๊ย”
“ชื่อเสือเหรอ?”
“อืม สิงห์เป็นคนตั้ง” ผมยิ้มให้ก่อนปีนลงมาอุ้ม
เด็กเสือไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลัวเลยสักนิดเดียวปรบมือหัวเราะชอบใจใหญ่
“ป๊ามึงอยู่ไหน ไอ้เสือ กลับมาแล้วไม่ใช่ไง”
“เออ กลับมาแล้ว”
คำตอบนั้นดังมาจากด้านหลัง
ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล
สวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบคนทั่วไปไม่ได้มีมาดนักธุรกิจหนุ่มสืบทอดกิจการครอบครัวอย่างที่ผมเคยจินตนาการไว้แต่ก็ยังถือว่าดูดี
หน้าตาเครื่องเคราทุกอย่างเหมือนอินทรีแทบทุกกระบิ
เพียงแต่ไม่ได้ทะลึ่งทะเล้นกวนประสาทเหมือนน้องชายที่อายุต่างกันถึง 5 ปี ผมยกมือไหว้ทั้ง ๆ
ที่ยังอุ้มลูกเขาอยู่บนตัก ตาคมปราดมองมาทางผมแล้วหันไปจ้องน้องชายตัวเองใหม่
“ได้ข่าวว่าเอารถฉันไปเปรี้ยวเมื่อวาน”
“หยวน ๆ น่า ผมขอพี่รินแล้ว ถือเสียว่าเป็นค่าน้ำหอมที่พี่ชอบขโมยผมแล้วกัน”
พี่สิงห์ยักยิ้มที่มุมปาก
ผลักหัวอินทรีจนผมกระเซิง น้องชายตัวดีทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่แต่กลับถูกดุซ้ำ
“สายแล้ว ไปล้างหน้าล้างตา พ่อกับแม่รอคุยอยู่ข้างล่าง เด็กแกด้วย”
พี่สิงห์ปรายตามาทางผมอีกครั้ง
ก่อนเรียกลูกชายตัวเองไปหา เสือน้อยโบกมือให้ผมแล้วปีนลงจากเตียงไปหาคุณพ่อ
พอถึงระยะที่คว้าได้ก็กระโดดเกาะคอชายหนุ่มจนตัวลอยตามด้วยเสียงหัวเราะร่วนเมื่อถูกยกขึ้นสูง
“พี่มึงพูดอะไรเนี่ย”
ผมทำหน้าแหยง
แค่มาส่งมันคืนเดียวทำไมเรื่องราวมันถูกโยงไปร้อยแปดพันเก้าได้ขนาดนี้วะ อินทรีหัวเราะไม่ตอบคำถาม
โยนผ้าเช็ดตัวที่พาดไม้แขวนไว้ให้ผมแล้วไล่ไปอาบน้ำ
“เร็ว ๆ เลย”
ผมแม่ง
ไม่เคยใช้เวลาอาบน้ำนานเท่านีมาก่อนในชีวิตเลยครับ
ให้ผู้ใหญ่รอมันไม่ดี
ผมรู้ แต่ร้อน ๆ หนาว ๆ ยังไงชอบกลว่ะ มันรู้สึกเหมือนผิดแผน
ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาบ้านมันในสถานะแบบที่พี่สิงห์เข้าใจ นึกออกไหมครับ
ก็แค่มันไปเมาบ้านผมแล้วจำเป็นต้องขับรถมาส่ง
เรื่องน่าจะจบตรงที่เช้าวันถัดมาผมไหว้คุณหญิงกับนายพลแล้วขอตัวกลับ
ไม่ต้องไปส่งก็ได้ เรียกแท็กซี่ให้ผมคันหรือเอาไปปล่อยหน้าปากซอยก็พอแล้ว
แต่นี่อะไร พ่อแม่รอคุยอยู่หมายถึงยังไง ไอ้ห่าอินไม่อธิบายอะไรสักอย่าง
ยัดผมเข้าห้องน้ำได้ก็บอกแค่ว่าตัวเองจะไปอาบน้ำที่ห้องอื่น
บ้านของอินทรีมีประมาณ
7 ห้องนอน อยู่กัน 8
คน ท่านนายพล คุณหญิง พี่สิงห์ พี่ริน น้องเสือ อินทรี
กับแม่บ้านและคนสวนที่ควบตำแหน่งยามตอนกลางคืนด้วย เมื่อก่อนมีคุณย่าอีกคนแต่เสียไปเมื่อกลางปีก่อนตอนนี้เลยเหลือกันแค่นี้
ไม่อย่างนั้นเทียบกับบ้านผมก็เป็นครอบครัวใหญ่กว่าถึง 3 เท่า
ขนาดบ้านเลยกว้างกว่าตามเท่าของจำนวนคนไปด้วย ไม่รู้ร่ำรวยมาจากไหน
แต่มีจะกินจนถึงขั้นที่ผมไม่แปลกใจเลยด้วยซ้ำที่มันจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายขนาดนั้นแล้วไม่โดนที่บ้านด่า
เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นหลังจากผมจมจ่อมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นาน
สวมเสื้อกับกางเกงของมันเรียบร้อยแล้วแต่ทำใจออกไปไม่ได้สักที
“ยู... เสร็จยัง”
“เออๆ กำลังจะออกไป”
ผมถอนหายใจยาว
ท่องพุธโธ ธัมโม สังโฆในอก ไม่ได้เป็นคนธรรมมะธรรมโมอะไรกับเขาหรอกแต่ในสถานการณ์ที่แม่งเหมือนปีนขึ้นบ้านลูกสาวเขาแต่โดนพ่อตาจับได้ก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว
อินทรีสวมเสื้อยืดสบาย ๆ กับกางเกงขาสั้นคลุมเข่าเผยให้เห็นขนหน้าแข้งหรอมแหรม
หน้าตาสะอาดสะอ้านกว่าตอนตื่นเยอะ ท่าทางจะโกนหนวดใหม่เสียด้วย
คางนี่เรียบกริบไม่มีตอหนวดให้เห็นรกหูรกตา
“พ่อกับแม่ผมใจดี ไม่ต้องกลัวหรอก”
“ใครกลัว ประสาท”
จริงๆ ก็กูนี่แหละ...
อินทรีหัวเราะพลางโยกหัวผมเล่น
พอเดินออกนอกห้องก็เว้นระยะห่างไว้พอสมควร
ผมกวาดตามองบริเวณบ้านโดยรอบที่ส่วนใหญ่ตบแต่งด้วยวัสดุของไม้แต่ดูทันสมัยแล้วอดคิดไม่ได้ว่าราคาบ้านทั้งหลังนี้มันเท่าไร
กระทั่งมาที่ห้องนั่งเล่น มีโซฟาหนังตัวยาวกับตุ๊กตาเด็กอ่อนเต็มไปหมด
น้องเสือนอนเกลือกกลิ้งบนเบาะลายหมีคุมะข้างล่างโดยมีหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมนั่งเช็ดน้ำลายให้อยู่
ทุกสายตามองกลับมาทันทีเมื่อผมยกมือไหว้ไล่เรียงทีละคน
“นั่นแม่ผม นี่พ่อ นี่พี่ชายชื่อพี่สิงห์ ส่วนนี่พี่รินเป็นพี่สะใภ้
ไอ้เปี๊ยกนี่ชื่อเสือ”
ผมยิ้ม
จริง ๆ เกร็งจนหน้าจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ควรจะยิ้มใช่ไหมครับ
สายตาแปดคู่กำลังจับจ้องมา
เหลือแต่ไอ้เจ้าเสือเท่านั้นที่ยังสาละวนกับดินน้ำมันบนหน้าตักอยู่
“หิวไหมลูก ทานอะไรก่อนไหม อินไปหาอะไรมาให้พี่เขาสิ มานั่งนี่เลยค่ะ
ไม่ต้องเกรงใจ”
อื้อฮืออ
ประโยคแรกของคุณแม่ก็ทำผมเกรงใจอยากปลีกตัวกลับจะแย่แล้วครับ แต่ทำไงได้
พอถูกเรียกเข้าไปหาก็ได้แต่ค้อมตัวไปนั่งใกล้ ๆ
อยากจะนั่งพับเพียบกับพื้นฉิบหายแต่เดี๋ยวท่านจะหาว่าประชดประชัน
ลองนึกถึงหญิงวัยกลางคนตีกระบังสูงในชุดผ้าไหมสีม่วงเหลือบทองสิครับ ใครอยากจะนั่งเสมอตนกับท่าน
สาบานนะครับคุณหญิงแม่ว่านี่มันชุดอยู่บ้าน
“พอดีวันนี้จะมีหนังสือมาสัมภาษณ์ เมื่อเช้าแม่เลยไปแต่งหน้าทำผมมา
พวกผู้ชายนี่ดีนะคะ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก
เปลี่ยนชุดปะแป้งนิดหน่อยก็พร้อมออกงานแล้ว แล้วนี่ยังไงคะ
มาตั้งแต่เมื่อคืนเลยเหรอ แม่นอนไปตั้งแต่หัวค่ำไม่ได้อยู่รับเลย
อย่าถือสาคนแก่เลยนะลูก”
“เอ่อ...คือ ครับ ผมก็เสียมารยาทเหมือนกันมาดึก ๆ ดื่น ๆ”
“โอ๊ย เสียมารยาทอะไรกันคะ อย่าพูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลกันเลย ทำตัวสบาย ๆ
ค่ะลูก ไม่อัดอัดใช่ไหม” ไม่อึดอัดยังไงไหวครับคุณหญิง ผมกำลังถูกคนแปลกหน้าเชือดเฉือนทางสายตาถึงสี่คนเลยนะ
โอเคมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
แต่มันก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่อยู่แล้วผ่อนคลายสบายอุรานี่หว่า
“รู้จักไอ้แสบมันมานานหรือยัง”
เสียงทุ้มถัดมานี่แหละทำให้ผมเกร็งตัวยิ่งขึ้น
ท่านนายพลนั่งสวมชุดสบาย ๆ ไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตามตำราผู้ดีเป๊ะ
ตอนแรกยังจ้องผมเอา ๆ ไหงพอคุยด้วยกลับหลบสายตาเสียอย่างนั้นล่ะท่าน
แต่คิดไปคิดมาก็ดีแล้วแหละครับ
ผมจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นผู้ต้องหาคดีกำลังถูกซักประวัติมากเกินไป
มีไฟฉายส่องหน้าอีกอย่างแม่งใช่เลยเหอะสถานการณ์แบบนี้
“ก็...ยังไม่นานเท่าไรครับ เพิ่งสนิทกันเมื่อตอนประมาณต้นเทอม”
“เรียนสถาปัตย์ใช่ไหม? ห่างจากเจ้าอินกี่ปีล่ะ”
ถ้ารู้ขนาดนี้ท่านไม่รู้จริง
ๆเหรอครับว่าผมอายุเท่าไรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เผลอ ๆ
แม่งรู้พิกัดบ้านผมพร้อมบอมบ์ใส่ถ้าโยกโย้แล้วด้วยซ้ำ ผมตอบเบา ๆ
แต่ให้ชัดเจนที่สุด ทหารนี่เอาใจไม่ยากครับ อยากงุบงิบ ๆ ก็พอ มันน่ารำคาญ
อาศัยสกิลการเอาตัวรอดตอนเรียนรด.มาใช้พอได้อยู่
อินทรีเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกครั้งพร้อมแก้วนมเย็น
ๆ สำหรับรองท้อง มันยิ้มแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะเล่นกับหลาน
ก่อนคุณหญิงจะไล่พี่สะใภ้กับพี่สิงห์ไปแต่งตัว
ทันทีเหลือกันสี่คนพ่อแม่ลูกหลานอินทรีก็ถูกยิงทิ้งเป็นคนถัดไป
“พาหลานไปว่ายน้ำสิอิน เดี๋ยวอยู่ตรงนี้ก็งอแงหาพี่เขาอีก”
พูดตรง
ๆ ผมเครียดครับ
อินทรีทำหน้าเหรอหราแต่พอถูกหม่อมแม่ย้ำก็อุ้มหลานไปหลังบ้านแต่โดยดี
ผมยังไม่เห็นโซนที่เป็นสระน้ำหรอกครับแต่ไม่แปลกใจถ้าบ้านมันจะมีของพรรค์นี้อยู่
พอเหลือกันสามคนสุดท้ายกับเสียงสารคดีช่องจีโอกราฟฟิกผมก็หายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง
คุณหญิงแม่จิบชาคาโมมายด์ที่วางอยู่ใกล้มือ
ก่อนวางลงอย่างทะนุถนอมให้ผมได้ยินแค่เสียงกระเบื้องกระทบกันดังกริ๊กเบา ๆ
เจ้าของรอยยิ้มต้นฉบับของอินทรีหันหน้ามาทางผม
ฉีกยิ้มหวานจนขนลุกขนชันไปทั่วทั้งร่าง
TBC
ความคิดเห็น