ปานฝันเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า
และไร้ญาติขาดมิตรตั้งแต่ปานวาดผู้เป็นแม่จากไปเมื่อหลายปีก่อน กระทั่งได้รับโทรศัพท์จากสายนิรนามซึ่งติดต่อมาจากทางภาคเหนือโดยชายผู้อ้างตัวว่าเป็นพ่อเลี้ยง
ที่เขามีเพียงภาพความทรงจำอันเลือนรางเหลือเกินอยู่ในหัว
ภาพวันที่แม่ร่ำร้องแทบขาดใจตอนที่พ่อเดินจากไป
แม้วัยนั้นเขายังเล็กเหลือเกินก็ยังพออ่านออกถึงความรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกันในแววตาของบุรุษผู้ทิ้งเขากับแม่ไว้เบื้องหลังได้เป็นอย่างดี
ฝันไม่โกรธพ่อหรอกที่เลือกทำเช่นนั้น เมื่อคนเรามาถึงทางแยก
สิ่งที่ต้องทำคือตัดสินใจ
ในเมื่อแม่เป็นคนมาที่หลังดังนั้นพ่อจึงต้องหันกลับไปดูแลภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายซึ่งกำลังจะให้กำเนิดลูกชายในสายเลือด
ไม่ใช่เขา ที่เป็นแค่ลูกติดเมียน้อย
มันถูกต้องโดยไม่ต้องคิดทบทวนให้เสียเวลา เพราะถ้าเป็นฝัน
เขาก็จะทำเช่นเดียวกันกับชายแก่
แต่ปานฝันก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีพ่ออาจเคยลืมไปแล้วว่ายังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของสตรีอันเป็นที่รักอยู่
กระทั่งที่เจอกันอีกหนในงานศพของแม่เมื่อวันเวลาผ่านมาร่วม 20 ปี
ถึงคราเดือดร้อน ต้องพึ่งพาใครสักคนให้ไว้ใจในมหานครใหญ่
ภาพของชายหนุ่มวัย 24 ผู้มีแววตาโศกกับกระจับปากได้รูปละม้ายว่าถอดแบบจากมารดา
จึงปรากฏสะท้อนขึ้นมาในตาพร่างของชายวัยกลางคน
ปานฝันก้มหน้าลงมองนาฬิกาคาสิโอที่เขาซื้อตอนลดราคา 30%อีกครั้ง หลังจากเลยเวลานัดหมายมาราว 20 นาที
วันนี้ฝนตกหนักดังนั้นฝันจึงไม่แปลกใจสักนิดถ้าเครื่องจากเชียงใหม่จะลงจอดที่สนามบินดีเลย์
กระนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องยืนขาแข็งถอนหายใจรอน้องชายต่างสายเลือดอีกนานแค่ไหน
กระทั่งผู้ชายผิวขาวเหลืองค่อนไปทางซีดจัด
สวมเสื้อยืดสีชมพูบานเย็นและแว่นกันแดดสีเดียวกับเส้นผมตลอดจนกางเกงยีนส์ขาเดฟซึ่งเป็นลักษณะคร่าวๆที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของคิมหันต์
ลูกชายในไส้เพียงคนเดียวของพ่อปรากฎตัวและอย่างที่ชายแก่บอกไว้
ว่าแม้การแต่งกายของคิมหันต์จะดูเหมือนคนปกติทั่วไปแต่ปานฝันจะสังเกตน้องและจดจำได้เองราวถูกมนต์สะกด
และมันก็เป็นเช่นนั้นจนชายหนุ่มนึกว่ามันประหลาด
“พี่ฝัน?”
เด็กชายที่ได้รับการฝากฝังเอ่ยทักให้เจ้าของชื่อรู้สึกตัว
ปานฝันรับคำในลำคอก่อนยื้อกระเป๋าลากใบเล็กมาถือนำน้องชายเดินออกจากสนามบิน
ข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่ปานฝันได้จากบิดาคือคิมหันต์ถูกเลี้ยงดูอย่างค่อนข้างเข้มงวดและเป็นระเบียบ
ฟูมฟักทะนุถนอมราวไข่ในหินตั้งแต่ลืมตาดูโลกจวบจนปัจจุบันที่ได้งานพลัดมาต่างถิ่นแถมยังเป็นนครแห่งแสงสีที่มีอันตรายล้อมรอบทุกลมหายใจเสียด้วย
ดังนั้นพ่อและแม่ของเด็กหนุ่มจึงกังวลจนแทบจะให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่รับงานในบริษัทยักษ์ใหญ่แล้วนอนตีพุงกินสมบัติเก่าอยู่บ้าน
จนเจ้าตัวต้องรั้นเอ่ยถามกับบุพการีว่าถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีพ่อแม่คอยหนุนหลังแล้ว
คิมหันต์จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกอันแสนโหดร้ายนี่ได้อย่างไร
ดังนั้นคุณหญิงยศวดีจึงยอมปล่อยให้ลูกชายย้ายมาทำงานที่กรุงเทพภายใต้ความดูแลของอดีตหนามยอกอกหล่อน
เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานเหลือเกิน
อีกทั้งปานวาดก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาร่วม4ปีแล้ว
คุณหญิงจึงขออโหสิกรรมให้ครอบครัวของปานฝันที่ตอนนี้เหลือเพียงเขา ตัวคนเดียว
นิวบีทเทิลสีฟ้าเป็นสมบัติชั้นล่าสุดที่ปานวาดซื้อก่อนสิ้นใจซึ่งงวดสุดท้ายยังทิ้งภาระเอาไว้ให้ลูกชายผ่อน
จวบจนบัดนี้มันกลายเป็นสมบัติของบุรุษหนุ่มเต็มตัว เพื่อนฝูงมักแซวกันสนุกสนานว่ารถดูน่ารักผิดกับคนใช้ซึ่งมีออร่าสีทมึนแผ่กระจายรอบกายตลอดเวลา
ทว่าฝันก็ยังคงใช้อย่างทะนุถนอมจนแม้มันตกรุ่นแล้วเขาก็ยังรักษาไม่ให้เกิดร่องรอยขีดข่วนสักนิดเหมือนสมัยที่แม่ยังมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับสมบัติชั้นอื่นๆที่เป็นตัวแทนของมารดา
ปานฝันกับแม่
เป็นครอบครัวน่ารักๆที่อยู่ด้วยกันเพียงสองคนและสัญญาว่าจะดูแลซึ่งกันและกันจนกว่าจะสิ้นใจ
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทั้งคู่โอบกอดกันด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด
ตั้งแต่พ่อแท้ๆกับปานวาดเลิกรากันไป
กระทั่งชายผู้มาจากทิศเหนือสร้างรอยยิ้มให้แม่และเขาอีกครั้ง ก่อนจะกรีดลงบนแผลเดิมของหญิงสาวให้เผชิญกับความโดดเดี่ยวแทบขาดใจ
ถึงตอนนี้ ฝันกลับรู้สึกดีใจที่ปานวาดด่วนจากไป
เพราะถ้าเขาต้องเป็นฝ่ายทิ้งปานวาดไปก่อน
ฝันไม่รู้เลยว่าเขาจะให้อภัยตัวเองที่ทำร้ายแม่เป็นคนที่ 3 ได้อย่างไร
“พ่อบอกว่าบ้านพี่ฝันอยู่ใกล้ bts "
ทันทีที่นิวบีทเทิลเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน
เด็กหนุ่มชาวเหนือก็หันมาถามทำลายความเงียบซึ่งกำลังทำให้ทั้งคู่เริ่มอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเสียก่อน
ปานฝันยังคงตอบรับในลำคอเท่านั้นไม่สานต่อเรื่องราวให้มากความ
“ที่ทำงานของพี่ฝันก็อยู่ใกล้บริษัทเหนือใช่ไหมครับ”
ปานฝันเหลือบตามองเด็กหนุ่ม
อันที่จริงคิมหันต์ดูเหมือนจะพอรู้เรื่องราวโดยคร่าวของเขามาก่อนเช่นกันถึงได้ชวนคุยในเรื่องส่วนตัว
ทว่าชายหนุ่มยังคงให้ความเงียบเป็นเครื่องมือสื่อสาร
เขาไม่ใช่คนถนัดที่จะพูดพร่ำอะไรให้มากความซึ่งเป็นนิสัยเดิมตั้งแต่ยังเล็ก
ปานฝันจองจำตัวเองอยู่ในความเงียบสงัดเพราะคิดว่าการสานสัมพันธ์มันเจ็บปวดและน่ารำคาญ
เจอ พบ จบ จาก...
เขาไม่เคยเป็นที่จดจำของใคร และไม่ได้อยากเป็น
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยหากปานฝันจะไม่มีคนที่คบหากันในรูปแบบของคนรักแม้วัยจะใกล้เลขสามเข้ามาทุกที
ผิดกับอีกคน ที่ถึงแม้เขาจะนิ่งเฉยใส่เท่าไร
แต่กลับดูเหมือนคิมหันต์ไม่ได้สะทกสะท้านหรือเหน็บหนาวในปฎิกิริยาที่ไม่ได้เป็นมิตรนักของพี่ชายเลยสักนิด
เขายังชวนปานฝันคุยต่อแบบไม่รู้สึกประหม่า
“วันนี้พี่ฝันพาเหนือเที่ยวกรุงเทพหน่อยได้ไหมครับ”
เหนืออ้อนขอ สายตาสกราวจ้องออกไปนอกตัวกระจกที่มีหยดฝนเกาะพราว
เม็ดของน้ำฝนเริ่มตกหนัก ถี่ และใหญ่ขึ้นกว่าช่วงที่ออกจากสนามบินในตอนแรก
มันบดบังทัศนียภาพของตัวเมือง
หนำซ้ำยังเร่งให้แอร์ในรถเย็นจัดจนไหล่บางของคิมหันต์ต้องห่อตัวลง
“ไว้วันหลังแล้วกัน ฝนตกไปเที่ยวไหนก็ไม่สนุก”
ปานฝันตอบ เขาเลื่อนมือไปปรับแอร์ให้อุณหภูมิในรถสูงขึ้นตาคมเหลือบมองน้องชายที่สะท้อนภาพอยู่ในกระจกมองหลังนิ่ง
“ครับ”
เหนือรับคำอย่างว่าง่าย
พลันหลุบสายตาลงต่ำเมื่อสบตากับพี่ชายในเรือนกระจกด้วยความบังเอิญ
บ้านหลังที่นิวบีทเทิลสีฟ้าอ่อนเลี้ยวเข้ามาจอดเป็นบ้านเดี่ยวขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับบ้านที่เชียงใหม่ของคิมหันต์
หากแต่ทำเลใจกลางเมืองหลวงขณะที่ผู้คนยังต้องเบียดเสียดหาที่อยู่กันบนอากาศก็ทำให้เหนือรู้ว่าคุณวาดกับลูกชายมีฐานะที่มั่นคงพอตัว
ปานวาดทำงานในโรงเรียนสอนดนตรี
ขณะที่ปานฝันลูกชายคนเดียวของหล่อนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เรียกได้ว่าเป็นลูกไม้ที่งอกออกจากต้นเลยก็ว่าได้
ในเมื่อปัจจุบันปานฝันเป็นบุคลากรวัยหนุ่มของมหาวิทยาลัยชื่อดังในคณะดุริยางคศิลป์
อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษางานเพลงของค่ายดนตรียักษ์ใหญ่ด้วยวัยเพียง 28
ตอนที่เหนือได้ยินเรื่องราวของพี่ชายจากปากพ่อ เขายังอดร้อง "ว้าว..." ในความมหัศจรรย์ของปานวาดที่เลี้ยงดูพี่ฝันมาเพียงคนเดียวให้เป็นดั่งฝัน
สมชื่อมาได้ขนาดนี้
คิมหันต์ถอดรองเท้าผ้าใบไว้ตรงประตูทางเข้า
เดินตามพี่ชายเข้าบ้านพลางกวาดสายตาไปโดยรอบห้องโถง
มีแกรนด์เปียโนขนาดใหญ่กับเชลโล่วางอยู่ในมุมที่สะดุดตาถ้ามองจากประตูบ้าน ไม่ไกลกันนักเป็นตู้หนังสือที่จุไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีเกือบทั้งหมดซึ่งถูกจัดวางเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
โซฟาหนังแบบปรับเอนได้ถูกตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือของตู้หนังสือ
มีโต๊ะเล็กซึ่งวางขวดโหลใส่ปลาทอง 2 ตัวไว้ภายใน
นอกจากนั้นยังมีชุดเครื่องเสียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมประตูฝั่งที่เป็นทางเชื่อมจากห้องโถงไปยังส่วนอื่นของบ้าน
น่าแปลก ที่บ้านหลังนี้ไม่มีโทรทัศน์? เห็นทีปานฝันและปานวาดคงเป็นคนสุนทรีย์ประเภทที่ไม่ชอบเสียงจอแจเสียกระมัง
"ห้องทางซ้ายเดิมเป็นของฉัน
แต่เมื่อวานฉันย้ายสัมภาระทั้งหมดไปอยู่ห้องแม่แล้ว เหลือเตียง ตู้เสื้อผ้า
กับโต๊ะเขียนหนังสือเอาไว้ ของขาดเหลือหรือจะตบแต่งอะไรก็หาซื้อเพิ่มเอาเองเลย
ห้องนั้นฉันยกให้"
ปานฝันยื่นดอกกุญแจสีเงินที่สะท้อนกับแสงไฟวาวให้น้องชาย
คิมหันต์รับไว้ในมือขณะที่เจ้าบ้านเริ่มพูดต่อ
"ห้องครัวอยู่ด้านหลัง ตั้งแต่แม่ไม่อยู่ฉันก็ไม่ค่อยได้ทำอาหาร
มีโจ๊กซอง มาม่า พวกของแห้งอยู่ในชั้นกับข้าว
ส่วนตู้เย็นจะเก็บน้ำดื่มกับเบียร์กระป๋องเป็นส่วนใหญ่ อยากจะกินก็แกะได้
ตามสบาย"
"เหนือไม่ดื่มแอลกอฮอลล์"
ปานฝันกดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
ไม่แปลกใจสักนิดที่คิมหันต์จะไม่เคยดื่มเบียร์ เพียงแค่พูดเผื่อไว้ว่าหากเจ้าเด็กที่อยู่ในกรอบจริยธรรมดีงามจะอยากรู้อยากลองเสียบ้างเขาก็ไม่ห้าม
ปานฝันไม่ได้ตั้งใจจะดูแลคิมหันต์อย่างเข้มงวดตั้งแต่แรกอยู่แล้วเหมือนแม่
ที่ไม่เคยกำหนดกฎเกณฑ์อะไรในชีวิตชายหนุ่มสักครั้ง
ซึ่งปานฝันคิดว่ามันทำให้เขารู้สึกเข้มแข็งเวลาที่ปานวาดจากไป
"ส่วนบุหรี่ ถ้าอยากสูบก็ไปหลังบ้าน
ฉันไม่อยากให้ควันติดผ้าม่านมันกำจัดกลิ่นยาก"
"ผมไม่สูบบุหรี่" เหนือแย้งอีกครั้ง
หากแต่พี่ชายหันกลับมาบอกเขาเสียงนิ่ง
"ฉันพูดว่า ถ้า"
คราวนี้คิมหันต์พยักหน้าลงหงึกหงัก
ปานฝันเดินไปเปิดไฟตรงทางเดินเชื่อมระหว่างห้องนอน 2 ห้องและห้องครัว
อย่างที่เจ้าบ้านเกริ่นแต่แรกว่าห้องนอนทางซ้ายเป็นของเหนือ
ดังนั้นห้องนอนทางขวาก็จะเป็นของฝัน ตรงไปจากห้องโถงเป็นครัวและห้องน้ำ
ทว่าสิ่งที่สะดุดตาคิมหันต์กลับเป็นภาพไวนิลใส่กรอบหลุยส์บนผนังสีขาวสะอาดต่างหากขาเล็กเผลอเดินก้าวผ่านหน้าเจ้าบ้าน
และยกมือขึ้นวางบนรูปถ่ายขนาดใหญ่ราวถูกสะกด
ภาพของชายหนุ่มซึ่งกำลังเปาแซ็กโซโฟนกับสตรีที่ยังดูสวยสง่ายามบรรเลงเปียโนทำให้ตาของเหนือเป็นประกายวาววับ
"คุณวาดสวยมากครับ พ่อบอกว่าดวงตาของคุณวาดดึงดูด
ถ้าได้สบแม้เพียงครั้งเดียวจะรู้สึกราวต้องมนต์"
"เพราะแบบนั้นถึงได้ชื่อปานวาดยังไงล่ะ"
คิมหันต์พยักหน้าเห็นด้วยกับชายหนุ่ม จริงอย่างที่พี่ฝันว่า
คุณวาดงดงามราวกับเป็นภาพวาดจากสรวงสวรรค์
และสิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดคือดวงตาสีดำขลับซึ่งสะท้อนแววเศร้าซึมเอาไว้
ช่างเหมือนกันกับ...
คิมหันต์เหลือบตามองเสี้ยวหน้าพี่ชายที่ยังคงมองภาพถ่ายของตนกับแม่ในงานแสดงดนตรีเมื่อ
5 ปีก่อนด้วยความคิดถึง มันเป็นงานแรก
และสุดท้ายที่ฝันกับคุณวาดได้ขึ้นเวทีร่วมกันก่อนโรคมะเร็งจะรุมเร้าพรากสังขารไปจากผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในความคิดของฝันไปอย่างไม่มีวันกลับ
"พี่ฝันรักคุณวาดมากเลยนะครับ"
"ใครบ้างไม่รักแม่.."
ปานฝันเอ่ย
นัยน์ตาชายหนุ่มยังเปี่ยมไปด้วยความทรงจำมากมายระหว่างเขากับมารดาในบ้านหลังนี้
ที่เปียโนตัวนี้
และเชลโล่ซึ่งแม่มักเล่นก่อนนอนเป็นประจำซึ่งเขายังหยิบขึ้นมาสีบรรเลงเพลงของแม่บ้างเป็นครั้งคราว
"เหนือไม่เคยเห็นคนที่รักแม่กระทั่งไม่ยอมมีแฟนเพราะกลัวมีเวลาให้แม่น้อยลงแบบพี่ฝันนี่ครับ"
คิมหันต์พูดกลั้วหัวเราะเชิงหยอกล้อ
แต่มันกลับเป็นความจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ปานฝันไม่เคยชายตามองใคร
เขาฝักใฝ่ที่จะเรียนในงานดนตรีที่แม่รักส่วนเวลาที่เหลือทั้งหมดเขายกให้ปานวาด สตรีผู้โดดเดี่ยวของเขาราวกับจะเป็นคนเติมเต็มความอ้างว้างในใจมารดาได้จวบจนบัดนี้เพื่อนหลายคนลั่นระฆังวิวาห์ไปแล้ว
ทว่าปานฝันกลับไม่เคยรู้สึกอิจฉามิตรสหายที่มีแม่บ้านเป็นของตัวเองกันแล้วเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มแค่นยิ้มพลันหลุบสายตาลงต่ำ
"พื้นฐานครอบครัวแต่ละคนมันต่างกัน เหนือ ฉันกับแม่
เรามีกันแค่ 2 คน"
ปานฝันคิดว่าน้องชายที่มีทุกอย่างเพรียบพร้อมอย่างคิมหันต์คงไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมความรักและใส่ใจจากคนรอบข้างคงมีความรักมากพอที่จะแจกจ่ายให้ใครต่อใครโดยไม่ต้องลังเล
แต่สำหรับฝัน มันไม่ใช่แบบนั้น..
ชายหนุ่มแตะมือวางลงบนรูปถ่ายของปานวาด
ซึ่งแม้แต่ยามยิ้มยังดูเศร้าจนเขาอยากจะร้องไห้ไปด้วย แม่มีแค่เขา
และเขาก็มีแค่แม่
ถึงตอนนี้ เขาจะต้องใช้ชีวิตตามลำพัง
แต่ปานฝันก็คิดว่าเขาคงไม่เจอผู้หญิงที่ประเสริฐขนาดปานวาดอีกแล้ว
นั่นเป็นอีกเหตุผลที่เขายังปิดหัวใจให้ตายอย่างสงบบนอกด้านซ้ายของตัวเอง
"เพราะแบบนั้นผมถึงมาที่นี่..."
ปานฝันสะดุดในแววตาเมื่อประโยคนั้นของน้องชายจบลง
เขายังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง กระทั่งมือหยาบถูกคิมหันต์ดึงมาแนบแก้มใส
"ต่อไปนี้ไม่ต้องเหงาแล้วนะ"
--------------------------------
ปลายเดือนมิถุนายน
พายุหอบเอาเม็ดฝนหยดรินตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันจวบจนพระอาทิตย์ตก
กระทั่งบัดนี้แม้เข็มนาฬิกาจะบ่งบอกว่าควรแก่เวลานอนของเหนือแล้ว
เสียงของน้ำฝนดังคงดังเปาะแปะยังสะท้อนมาในห้องนอนซึ่งถูกปิดไฟมืดสนิทให้เจ้าของห้องนอนลืมตาโพลง
แค่ลำพังเสียงฝนตกตอนกลางคืนสำหรับคนต่างถิ่นก็ทำให้รู้สึกเคว้งคว้างอยู่แล้ว
ยิ่งยามมันเคล้ามากับเสียงเชลโล่ในห้องโถง ยิ่งทำให้หัวใจเล็กบีบตัวลงอย่างประหลาด
เหนือไม่แน่ใจว่าเขาเหงา กำลังคิดถึงบ้าน ตื่นเต้นกับงานวันพรุ่งนี้ แปลกที่
หรือเป็นเพราะประโยคบ้าๆที่ตัวเองพูดเมื่อสบเข้ากับดวงตาไร้แววคู่นั้นของพี่ชายเป็นครั้งที่
2 ของวันกันแน่
บางทีทั้งหมดอาจเป็นเหตุผลทำให้เหนือนอนไม่หลับ
ร่างกายบอบบางขยับพลิก แล้วถอนหายใจออกมาเสียงแผ่ว
เขาเฝ้าจินตนาการถึงการมีพี่ชายสักคนไว้ปรึกษา ชวนทำเรื่องพิเรนทร์ๆนอกกรอบคุณแม่
มีชีวิตอิสระเป็นของตนเองมาตั้งแต่เล็ก
หากแต่เพราะตัวเป็นลูกชายคนเดียวที่ผ่านการทำกิ๊ฟท์มาครั้งแล้วครั้งเล่าของคุณหญิงยศวดี
ดังนั้นถึงถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก
คิมหันต์เกิดในฤดูร้อน
และคุณหญิงอยากให้สามีของหล่อนพึงระลึกไว้ว่ามีลูกชายอยู่เมืองเหนือหล่อนจึงตั้งชื่อให้เขาเช่นนี้
การถือกำเนิดของบุตรชายเป็นเรื่องที่ดีเพราะมันทำให้สามีของหล่อนกลับบ้านและเลิกรากับภรรยาลับจากเมืองกรุงได้ในที่สุด
กระนั้นเหนือก็รู้ดีว่าพ่อรักคุณปานวาดมากเพียงใด
เขารับฟังเรื่องราวต่างๆของญาติที่ไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือดผ่านปากของชายวัยกลางคนตั้งแต่เล็ก
รูปภาพของคุณปานวาดกับพี่ปานฝันถูกเก็บไว้อย่างดีลับตาคุณหญิง
กระนั้นวันที่โทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลในกรุงเทพดังขึ้น
บิดาก็เร่งเก็บเสื้อผ้าจองตั๋วเครื่องบินหอบเขาซึ่งยังอยู่ในเครื่องแบบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มางานศพของหญิงในตำนานกันตามลำพังโดยไม่ให้มารดารู้
คิมหันต์มองพี่ชายอยู่ห่างๆ
เขาไม่รู้จะไปแนะนำตัวกับผู้ชายที่นั่งเรียบร้อยหน้าโลงศพนั้นว่าอะไร
ตาคู่นั้นของปานฝันไร้แวว
ไม่มีหยดน้ำตาแต่กลับทำให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดและโดดเดี่ยวได้อย่างชัดแจ้ง
“ถ้าเหนือเรียนจบ เหนือจะมาอยู่กับพี่ฝันได้ไหม?”
คิมหันต์ถามบิดาขณะที่นั่งเครื่องกลับเชียงใหม่
สายตาของพ่อเหม่อลอยออกไปด้านนอกซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆสีขาวตัดกับพื้นสีฟ้า
ไม่มีคำตอบจากบิดาจนเหนือคิดว่ามันคงเป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆของเขาอีกครั้ง
เหมือนกับฝันว่าจะได้เรียนโรงเรียนสหศึกษา เหมือนกับฝันว่าจะมีเพื่อนในรูปแบบที่ต่างไป
เหมือนกับฝันที่เขาจะได้นั่ง2แถวกลับบ้านเหมือนคนอื่นบ้าง
เหมือนกับฝันว่าเขาจะมีแฟนสาวน่ารักๆสักคน
คิมหันต์เป็นลูกคุณหนูโดยสมบูรณ์แบบกระทั่งบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นติดต่อมาหลังจากเรียนจบ
มันเป็นโอกาสอันดีของเขาทั้งในเรื่องหน้าที่การงาน จวบจนไปถึงชีวิตประจำวัน
แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตกับปานฝันกลับไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการไว้
เขาไม่ได้รับการเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายของตน
แต่กำลังถมบ่อเหวแห่งความเคว้งคว้างให้อีกฝ่ายต่างหาก
พี่ฝันไม่ใช่พี่ชายที่จะพาเขาเตะบอลและเล่นโคลนสนุกๆ แต่กลับเป็นชายหนุ่มที่เขาอยากจะเอื้อมมือไปจับเอาไว้ไม่ให้มันสั่นไหวพร้อมกับบอกว่า
“ไม่ว่าจะต่อไปจะเป็นยังไง พี่ฝันก็ยังมีเหนือนะ...”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขาพลิกตัวมากอดหมอนข้างใบสีขาว
เสียงเชลโล่สงบลงแล้วเหลือเพียงเสียง แต่ก แต่ก ของเข็มนาฬิกาสลับกับเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาดังเปาะแปะเท่านั้น
ประตูห้องสีขาวถูกเปิดออก คิมหันต์ปิดตาหลับแทบไม่ทัน
เขาไม่เข้าใจตัวเองสักนิดเดียวว่าทำไมต้องแกล้งทำเป็นนอนแล้วทั้งๆที่พี่ฝันไม่ได้จะเข้ามาดุที่เขาพลิกตัวไปมาไม่รู้จักหลับจากนอนทั้งๆที่พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าสักหน่อย
เปลือกตาอ่อนสงบนิ่งอยู่นาน
เขารอให้แสงไฟที่ลอดมาจากด้านนอกมืดลงทว่าเวลาผ่านไปนานนับนาทีประตูก็ยังคงเปิดทิ้งไว้อยู่
คิมหันต์ลังเลว่าเขาควรลืมตาขึ้นหรือไม่
ทว่าสัมผัสอ่อนโยนจากมืออุ่นที่แตะลงบนเส้นผมทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจแกล้งหลับต่อ
ไม่มีเสียงพูดใดๆหลุดออกมาจากปาก
ปานฝันเดินออกจากห้องน้องชายต่างสายเลือดไปอย่างเงียบเชียบ
ทิ้งไว้เพียงแววตาสับสนของคนบนเตียงที่ปรือเปิดมองบานประตูค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้าเท่านั้น
คิมหันต์ค่อนข้างเป็นที่ถูกใจของเพื่อนร่วมงานหลังจากเริ่มงานวันแรก
รูปร่างหน้าตาอินเทรนด์ราวหนุ่มเกาหลีจวบกับผิวขาวของชาวเหนือทำให้ป้าแก่ๆตลอดจนเสือสิงห์กระทิงแรดครึกครื้นกันใหญ่
หลังเลิกงานพนักงานและหัวหน้าถึงกับกระตือรือล้นเหลือเกินที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณหนูในร้านอาหารที่เป็นผับแอนด์เรสเตอรองค์ใกล้สำนักงาน
คิมหันต์กดโทรศัพท์บอกพี่ชายที่ตกลงว่าจะมารับในช่วงสัปดาห์แรก
เป็นระยะเวลานานกว่าอีกฝ่ายจะรับสาย
“ว่าไง”
“พี่ฝันรับสายช้า”
“สอนอยู่ เพิ่งเลิก อีก 20 นาทีรอแถวออฟฟิศไปก่อน”
ปานฝันคิดว่าคิมหันต์โทรเร่ง
เขารีบเก็บเอกสารการสอนลงกระเป๋าโดยใช้คอเอียงหนีบโทรศัพท์เอาไว้
“เปล่าๆ เหนือไม่ได้เร่ง จะบอกว่าวันนี้ที่ออฟฟิศมีเลี้ยงที่ร้าน the
cafe สัก3ทุ่มค่อยมารับเหนือได้ไหม?”
ปานฝันยกแขนขึ้นมาดูเวลา
เขาเกือบจะตอบรับคำในลำคอแล้วแต่ดูเหมือนน้องชายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน
“หรือพี่ฝันจะมาทานด้วยกัน?”
“ไม่ล่ะ นายอยู่กับเพื่อนดีกว่า”
“แล้วพี่ฝันจะทานมื้อเย็นกับใคร?”
กับใคร? อย่างนั้นหรือ? คิ้วหนาของปานฝันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
โดยปกติแล้วเขามักเจียวไข่กินง่ายๆที่บ้านต่อด้วยเบียร์ซักกระป๋องแล้วนั่งอ่านหนังสือหรือเล่นดนตรีจนกว่าจะเข้านอน
ลืมนึกไปแล้วว่าบางทีคนเราก็ควรมีเพื่อนกินข้าวในบางมื้อบ้าง
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันกลับไปกินที่บ้านเอง”
“ถ้าพี่ฝันจะกลับบ้านแล้วเดี๋ยวเหนือให้พี่ที่ออฟฟิศไปส่งก็ได้
จะได้ไม่ต้องวนรถกลับไปกลับมา”
“จำทางกลับได้แล้วหรือไง?” ปานฝันถาม
คราวนี้ปลายสายเงียบไปซึ่งเป็นคำตอบให้พี่ชายอย่างดีว่าเหนือยังไม่คุ้นทาง
คิมหันต์ถอนใจหนักด้วยความเกรงใจพลางกระชับโทรศัพท์ในมือแน่น
“ถ้าอย่างนั้นพี่ฝันมาด้วยกันเถอะ จะได้รู้จักเพื่อนๆเหนือด้วย
คนอื่นไม่ว่าอะไรหรอก”
คิมหันต์ลองอ้อนอีกครั้ง ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ให้คนขอใจเต้น
สุดท้ายแววตาสับสนของปานฝันก็สงบลงพร้อมกับคำตอบซึ่งเป็นที่พอใจของน้องชาย
“อีก20นาทีเจอกันที่ร้านก็แล้วกัน...”
ฤดูฝนยังคงทำหน้าที่ของมันไม่ขาดตก
แม้เวลาล่วงมาดึกดื่นจนเริ่มเข้าวันใหม่แล้ว เม็ดฝนก็ยังโปรยปรายไม่รู้จักหลับนอน
นิวบีทเทิลคันสีฟ้าแล่นผ่าละอองฝน
ไฟหน้าสีส้มเหลืองสาดกระทบหยดน้ำให้เห็นท่ามกลางความมืด ล้อยางคุณภาพดีค่อยๆบรรจงหยุดอย่างนิ่มนวลเมื่อเข้าสู่โรงรถชายคาบ้านหลังที่เขาใช้พำนักพักพิงเป็นประจำ
“....เหนือ”
สารถีหันไปเรียกน้องชายต่างสายเลือดเบาๆ
เขาสะกิดที่เสื้อแขนยาวสีขาวแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ยอมลืมตาเปิด
กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคละคลุ้งตลบภายในรถนั่นไม่ใช่ของปานฝัน เขาไม่ดื่มโดยให้เหตุผลกับเพื่อนพนักงานของคิมหันต์ว่าต้องขับรถ
อีกทั้งยังต้องดูแลเหนือซึ่งคงไม่แคล้วถูกรับน้องจากเพื่อนร่วมงานด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรกในชีวิต
สุดท้ายก็ไม่ต่างจากที่เขาคาดการณ์
คิมหันต์เมามายไร้สติตั้งแต่เดินออกจากร้านจนบัดนี้ก็ยังไม่สร่าง
ชายหนุ่มถอนหายใจ
สัดท้ายก็ต้องหิ้วปีกพยุงคิมหันต์ให้ลุกเดินอย่างทุลักทุเลเข้ามาในห้องนอน
วางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มเบามือแล้วเลื่อนไปปัดเกลี่ยผมเส้นเล็กที่ร่วงลงปาปกใบหน้าค่อนไปทางหวานซึ่งกำลังเห่อแดงไปจนถึงใบหู
“เป็นยังไงบ้าง?”
ตากลมโตเหมือนลูกหมาของคิมหันต์ปรือเปิด
เขาส่ายหัวเมื่อพี่ชายเอ่ยถามด้วยความไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี
ทั้งชาและร้อนไปทั้งหน้า ลำคอ หัวใจก็เต้นถี่จนสมองปวดมึนไปหมด
“เดี๋ยวฉันเอาผ้ามาเช็ดหน้าให้ อยากอ้วกไหม?”
คิมหันต์ส่ายหน้าอีกครั้ง
ปานฝันจึงลุกไปเตรียมผ้าเช็ดตัวชุบน้ำพอหมาดในห้องน้ำ
นานมากแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้ดูแลใครสักคน เป็นเวลาร่วม 4 ปีที่เขาหายใจตามลำพัง
ทว่าพอกลับเข้ามาในห้องที่เปิดเพียงไฟโคมเอาไว้
เจ้าบ้านกลับไม่พบร่องรอยของน้องชายอย่างทีแรก
ติ๊ง - - -
เสียงเปียโนดีดกังวาฬจากห้องโถง
ปานฝันถือผ้าเช็ดตัวกับกะละมังเล็กเดินตามเสียงไป
อย่างที่คิดคือคิมหันต์นั่งตาปรือปรอยโงนเงนอยู่หน้าแกรนเปียโนสีดำซึ่งเป็นที่รักยิ่งของมารดา
“เหนืออยากฟังพี่ฝันเล่นเปียโน”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพูด
ปานฝันวางกะละมังพลาสติกไว้บนโต๊ะเล็กข้างโหลปลาทองแต่หยิบผ้าเช็ดตัวยื่นให้คนเมา
คิมหันต์รับมาเช็ดหน้าตัวเองแรงๆไล่ลงมายังลำคอที่ปานฝันไม่สังเกตในทีแรกว่ามันแดงเถือกไม่ต่างกัน
“เพลงที่พี่ฝันเล่นกับคุณวาด เหนืออยากฟัง”
ปานฝันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับคิมหันต์เพียงแต่คนละทิศกัน
ปานฝันหันหน้าเข้าหาเปียโนตัวใหญ่ขณะที่น้องชายหันหลังให้
“เสียดายที่นายไม่มีโอกาสได้ฟังเสียงของแม่...”
“เป็นเพลงที่แม่ชอบที่สุด”
ปานฝันยิ้มเมื่อความทรงจำที่ว่าเพลงนี้เขาได้ยินมันเกือบทุกคืนจากปากกระจับของแม่นับตั้งแต่วันที่พ่อของคิมหันต์จากไป
บางทีแม่ก็ร้องเพลงจนจบ บางทีก็ร้องไห้ก่อนมันจะจบ
และบางที ก็ไม่มีเสียงร้องไห้หรือร้องเพลงหลุดออกมาจากปากของแม่เลยสักนิด
กระนั้น เขาก็ยังจำความหมายของเพลงได้อย่างขึ้นใจ
ในวันนี้มีเพียงเสียงเปียโนเท่านั้นที่ตอบรับฉัน
และเชลโล่เก่าๆตัวนั้นช่างเงียบเหลือเกิน
มันทำให้ฉันเดาได้อย่างแน่นอนเลยว่า
เธอตัดสินใจที่จะจากฉันไป
ฉันไม่เชื่อเธอที่บอกกับฉันว่าเสียใจเหลือเกินที่ต้องจากกัน
แต่แม้อยากจะอยู่ด้วยกัน
จูงมือเธอและกอดเอาไว้เหมือนในวันวาน ฉันก็ทำไม่ได้แล้ว...
ได้เพียงแต่หวัง ว่าใครคนนั้นจะรักเธอได้มากกว่า
และสิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้คือจากเธอไป
เธออยากจะให้ฉันพูดอะไรล่ะตอนนี้?
ฉันแค่ไม่อยากที่จะต้องเดินต่อไปคนเดียว
ทำไมเธอมักจะทำให้ฉันต้องยิ้มในเวลาที่ฉันไม่ต้องการ
ฉันทนมองเธอตอบรับความรักเขาไม่ได้
แต่อย่ากังวลไปเลย
ฉันจะอยู่ต่อไปโดยไม่มีเธอ
ในเมื่อเธอจากไปไกล
ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่
แต่กับแค่เธอจากไป
ทำไม่ฉันถึงไม่สามารถลืมความเจ็บปวดนี้ได้นะ
ฉันไม่สามารถทำได้สักครั้ง
ได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไปอย่างเงียบๆ
ฉันต้องเรียนรู้ที่จะหักห้ามใจไม่ให้รักเธอ
นั่นเพราะฉันรักเธอ...
คิมหันต์หลับตาลง เขารู้สึกเจ็บปวดและเคว้งคว้างกับความรู้สึกว่างเปล่าของปานฝัน
ทุกห้วงทำนองเมโลดี้กัดกินใจจนแม้พี่ชายจะใช้เพียงเสียงดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารยังทำให้เหนือรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ขอบตา
ดนตรีจบลงแล้ว เหลือไว้ซึ่งเสียงฟ้าร้องครืนอยู่บนท้องนภา
ปานฝันหันเอียงหน้ามาหาน้องชาย ขณะเดียวกัน คิมหันต์ก็เอี้ยวตัวไปหาอาจารย์หนุ่ม
ตาของเหนือปรือปรอยด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสานกับดนตรีซึ้งกินใจทำให้มันดูหวานหยดเป็นพิเศษ
ขนตาเป็นแพของน้องชายตัวเล็กงอนงามเหลือเกินเมื่อได้จ้องเข้าไปใกล้เช่นกัน
นี่เป็นครั้งที่สามที่คิมหันต์ได้สบตากับปานฝัน
และเหนือก็ถูกสะกดดังคำพ่อกล่าว..
ระยะห่างระหว่างใบหน้าของชายหนุ่มทั้ง 2 ลดน้อยถอยลงราวกับกำลังดึงดูดซึ่งกันและกัน
เปลือกตากลมโตของคิมหันต์ค่อยๆปรับระดับลดลงกระทั้งปิดสนิทอย่างรู้งาน
ปานฝันจรดริมฝีปากลงบนกลีบปากแดงฉ่ำอย่างเชื่องช้าราวต้องมนตร์
บัดนี้โลกอันเปล่าเปลี่ยวของพี่ชายค่อยๆเปิดออกให้คนตรงหน้าก้าวเข้ามาช้าๆด้วยรสจูบ
“..................”
แม้แรกสัมผัสยามกลีบปากประกบลงไปจะแผ่วเบาทว่ากลับวาบหวามขึ้นมาในหัวใจแห้งผาก
รสชาดหวานฉ่ำชุ่มลิ้นค่อยๆมัวเมาให้ปานฝันไม่อาจหยุดแค่แตะเพียงแผ่วเบา
กลิ่นลมหายใจผสานกับแอลกอฮอล์ที่ผ่อนออกมาของน้องชายยั่วเย้าให้ปานฝันติดกับ
การเคลื่อนไหวของริมฝีปากค่อยๆขยับไปอย่างนุ่มนวลราวกับกลัวว่าปากสีสดของอีกฝ่ายจะเจ็บช้ำ
ปานฝันไม่เคยใช้ริมฝีปากนี้จูบใคร
แต่น่าแปลกที่เขากลับจุมพิตคนตรงหน้าได้อย่างช่ำชอง
ช่วงชิมรสหวานที่ขยับรับเก้ๆกังๆได้อย่างไม่มีเบื่อ เขาสั่งให้คิมหันต์ค่อยๆเผยอกลีบปากออกจากกันด้วยลมหายใจอุ่น
ใช้มือข้างหนึ่งนวดคลายอาการเกร็งตัวลงบนท้ายทอยเหนือแล้วเอียงคอให้ปลายลิ้นค่อยๆสอดเข้าไปตามหารสหวานเหมือนภุมรีย์เฝ้าฝักใฝ่น้ำหวานจากมวลดอกไม้
“อืม.....”
เหนือเผลอร้องครางออกมาอย่างลืมตัว ตอนนี้เขาเหมือนเป็นแมวเชื่องๆที่ถูกเจ้าของลูบคางให้เคลิบเคลิ้ม
ปลายลิ้นของปานฝันตวัดเลียและดึงดูดช่วงชิงเอาลมหายใจของคิมหันต์ไป
ยิ่งเมื่อถูกจูบลึกเข้ามาแค่ไหน
เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงขึ้นสูงมากเท่านั้น
“ฮื้อ....อื้ม....”
ทั้งอึดอัดและผ่อนคลาย ยิ่งเมื่อปลายนิ้วของปานฝันสอดสางเข้าไปในไรผมเล่นยิ่งทำให้สมองว่างเปล่า
หัวใจเต้นถี่แรงจนไม่กล้าปรือตาเปิด กระทั่งอีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไป
เหนือมองตามปากที่แดงจัดของพี่ชายแล้วยกมือขึ้นมาจับตรงอกด้านซ้ายของตัวเอง
มันเต้นตุบ ตุบ ราวกับจะหลุดออกมาอยู่รอมร่อ ขณะที่ปานฝันยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแล้วเบือนหนีไปอีกทาง
“เข้านอนซะ”
เจ้าบ้านเอ่ยกับน้องชายเสียงนิ่ง
คิมหันต์พยักหน้าลงหงึกหงักผุดลุกเข้าไปในห้องนอนของตัวเองลงกลอนอย่างดิบดี
ขณะที่ปานฝันกลับมีแววตาสับสนอยู่หน่อยๆตามลำพัง
--------------------------------
“ถ้ามันจะยุ่งยากขนาดนี้ออกไปหาอะไรกินข้างนอกก็ได้มั้ง”
ปานฝันกับคิมหันต์ใช้เวลาวันเสาร์อยู่ด้วยกันที่บ้าน
ซึ่งเหมือนว่าชีวิตถูกตั้งนาฬิกาปลุกด้วยความเคยชินไปแล้วว่าทั้งคู่จะต้องตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่
น้องชายอาสาลุกออกไปตลาดหน้าปากซอย ซื้ออาหารสดกลับมาพะรุงพะรังเต็มสองมือด้วยความตั้งใจว่าจะทำกับข้าวกินเองที่บ้านเสียบ้าง
ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่
เหนือก็กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปที่ตื่นมาดื่มกาแฟเป็นมื้อเช้า
เที่ยงวันลงมากินก๋วยเตี๋ยวน้ำตกใต้สำนักงาน
ส่วนตอนเย็นก็เป็นป้าในตลาดที่คอยทำกับข้าวใส่ถุงให้เขาซื้อกลับมากินกับพี่ชาย
ปานฝันกลับบ้านไม่เป็นเวลานัก แต่ไม่เคยกลับดึก
บางวันเลิกสอนตั้งแต่เที่ยงก็เข้าบริษัทเพลง
บางทีก็ไม่ไปสอนแต่หิ้วเอกสารมาตรวจเช็คที่บ้าน
ดังนั้นนอกจากอาหารมื้อเย็นที่เหนือต้องคอยซื้อกลับมาแล้วเด็กหนุ่มยังอดไม่ได้ที่จะเหมาขนมปังรวมไปถึงผลไม้มาติดบ้านเผื่อว่าพี่ชายหิวจะได้ไม่ต้องฝากท้องไว้กับอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรือเมนูไข่ที่กินมาตลอด
4 ปี
“ทำเป็นจริงๆหรือ?”
ปานฝันเกยคางกับไม้ถูพื้น เขาทำความสะอาดบ้านทุกวันเสาร์เป็นกิจวัตร
ปัดกวาดเช็ดถูฝุ่น ล้างขวดโหลใส่ปลาและซักผ้า ชายหนุ่มไม่แปลกใจสักนิดถ้าเหนือจะทำความสะอาดบ้านไม่เป็น
คุณหนูคงมีคนงานคอยเก็บกวาดเช็ดถูให้จนเคยตัว
แต่ที่จู่ๆเจ้าตัวกลับรั้นบอกว่าจะทำข้าวซอยให้เขาทานเป็นมื้อเที่ยงนี่
เป็นสิ่งที่ปานฝันไม่อยากจะเชื่อ
“ตอนอยู่เชียงใหม่เหนือเป็นลูกมืออันดับหนึ่งของพี่เตยเลยนะ พี่ฝันไปทำอย่างอื่นเถอะเดี๋ยวเสร็จแล้วเหนือเรียก”
“อย่าเผาครัวฉันเชียว เตะโด่งออกจากบ้านจริงๆด้วย”
คิมหันต์ยิ้มกว้างให้พี่ชายให้วางใจแล้วหันไปเทขิงปลอกเปลือกแล้วซึ่งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงครก
โขลกละเอียดจากนั้นก็ตักน้ำพริกแกงเผ็ดใส่ตามลงไป
“ไม่ต้องห่วงจริงๆ เครื่องซักผ้าร้องแล้วเอาผ้าไปตากเถอะ”
ปานฝันเหลือบมองน้องชายด้วยหางตา
เห็นท่าทางโขลกพริกแกงคล่องแคล่วใช้ได้คงเป็นลูกมืออันดับ 1 ในครัวอย่างที่เจ้าตัวโม้ไว้จริงเขาจึงยอมเดินออกมา
เครื่องซักผ้าหน้าห้องน้ำยังร้องส่งสัญญาณเสร็จสิ้นการทำงานไม่หยุดกระทั่งฝันเดินไปเปิดฝาออก
เสื้อผ้าที่ซักเขาไม่ได้แยกระหว่างของตัวเองกับน้องชายแต่แยกเป็นผ้าขาวและผ้าสีเท่านั้น
ชายหนุ่มยกตะกร้าผ้าผ่านพ่อครัวหัวป่า
ด้านหลังที่ต่อจากครัวมีราวตากผ้าวางอยู่
มือใหญ่สะบัดเสื้อเชิร์ตแล้วแขวนเข้ากับไม้ เสื้อผ้าของปานฝันกับคิมหันต์แค่หยิบมาก็รู้แล้วว่าชุดไหนเป็นของใคร
ไม่ใช่แค่เพราะความชินตา แต่ขนาดตัวที่ต่างกันอย่างชัดเจนต่างหาก
ฝันแขวนเสื้อตัวสุดท้ายยกขึ้นเกี่ยวกับราว
พาลนึกถึงตอนสมัยที่แม่ยังอยู่ งานทำความสะอาดบ้านจะตกเป็นของปานวาด
ฝันอาสากับแม่หลายครั้งแต่สุดท้ายก็ได้แต่จับโน่นนิดจับนี่หน่อย
เขาถามปานวาดว่าไม่เหนื่อยบ้างเหรอ? นอกจากงานที่โรงเรียนแล้วเสาร์อาทิตย์ยังต้องมาทำความสะอาดบ้านอีก
คำตอบที่เขาได้ตอนนั้นคือมันก็เพลินดีที่เราจะได้ทำอะไรดีๆให้กับตัวเองและคนที่เรารัก
เวลาที่เดินเข้ามาในบ้านที่เรียบร้อยเวลาได้เห็นปานฝันสวมเสื้อผ้าสะอาดรีดกลีบคมกริบ
เวลาที่ปานวาดกับลูกชายได้อยู่ร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่ดีทำให้หล่อนสบายใจ
เวลาที่ได้ทำกับข้าวแล้วปานฝันทานจนหมดก็เช่นกัน
มันทำให้ปานวาดรู้สึกดีจนหายเหน็ดเหนื่อย
ปานฝันเผลอยิ้ม บางทีเขาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของปานวาดก็ตอนนี้
“ข้าวซอยเสร็จแล้วนะครับพี่ฝัน”
คิมหันต์สวมผ้าคลุมกันเปื้อนสีฟ้าลายจุดออกมาชะเง้อเรียก
พี่ชายยกตะกร้าผ้าเข้าบ้านตามเหนือเข้าไปติดๆ
บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาวางถ้วยใส่ข้าวซอยไก่ไว้2ชาม
กับผักดองอีก 1 จาน
เหนือนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นฝั่งตรงข้ามฝันพลางยิ้มกว้างขวางเมื่ออีกฝ่ายจับช้อนขึ้นมาตักชิมรสชาดน้ำข้าวซอยจากฝีมือคนท้องถิ่น
ปานฝันนิ่งอยู่พักใหญ่หลังจากแตะลิ้นลงชิมแล้วพยักหน้าหงึกหงักถือว่าเป็นข้าวซอยรสชาดเยี่ยมเลยทีเดียว
ไม่มีคำพูดเอ่ยชม
แต่พี่ชายกลับตั้งหน้าตั้งตากินข้าวซอยฝีมือคิมหันต์ให้พ่อครัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เย็นนี้เหนือจะทำไก่น้ำแดงกับต้มจืดตำลึง
พี่ฝันอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?”
“หืม? ไม่หรอก
แต่จะทำกับข้าวกินเองทุกมื้อเลยหรือ?”
“แค่เสาร์อาทิตย์น่ะครับ กินข้าวนอกบ้านทุกวันน่าเบื่อออก
ยิ่งฝนตกแบบนี้กินข้าวที่บ้านอิ่มๆจะได้นอนหลับต่อเสียเลย สบายดี”
ปานฝันเห็นด้วยกับน้องชาย
ทั้งคู่ทานมื้อเที่ยงกันเงียบๆไม่มีบทสนทนาต่อจากนั้นกระทั่งข้าวซอยในจานหมดเกลี้ยง
คิมหันต์ยกจานเข้าไปเก็บในครัว
ฝนเริ่มลงเม็ดอีกแล้วโชคดีที่บริเวณราวตากผ้ามีหลังคาคลุม
แต่ผ้าที่ซักในช่วงนี้คงมีกลิ่นอับหน่อยๆ เหนือส่ายหัวเขาไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือเกลียดฤดูฝนมากกว่ากัน
เสียงเชลโล่ดังแว่วมาจากห้องโถงอีกครั้ง
เหนือไม่สงสัยสักนิดที่พี่ฝันจะเป็นคนดนตรีมือฉมัง
เพราะการดำเนินชีวิตปัจจุบันของปานฝันมันคือเสียงดนตรีมากกว่าการพบเจอผู้คนเสียอีก
คิมหันต์เคยใช้เวลาส่วนใหญ่ทุ่มเทไปกับการเรียนและทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อและแม่
ขณะเดียวกันเขาเห็นคนส่วนมากใช้ชีวิตเกินครึ่งไปกับสื่อบันเทิงชนิดต่างๆโดยเฉพาะโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ปัจจุบันคนเราต้องการเป็นที่มองเห็นของใครหลายๆคนที่เราไม่รู้จักเพียงเพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าเรายังมีตัวตนอยู่
อันที่จริงในเคสของเขาและคนอื่นๆจัดอยู่ในประเภทเดียวกันคือต้องการเป็นที่รักและสนใจ
ขณะที่พี่ฝันต่าง เขาชอบใช้ชีวิตแบบไม่ให้ใครมองเห็น
ตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้ใครมารัก
และไม่ได้ต้องการคนมาสนใจ
เขาเลือกที่จะสละเวลามากกว่าค่อนชีวิตไปกับเครื่องดนตรีให้เป็นเพื่อนคอยขับกล่อมและปลอบประโลม
พี่ฝันไม่ได้เข้มแข็งหรอก เขาอ่อนแอ
คิมหันต์ยิ้มละมุนเดินเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยม
เสียงของเชลโล่กับเสียงหยดน้ำเปาะแปะด้านนอกช่างทำให้บรรยากาศดูเย็นยะเยือกอย่างประหลาด
เขามองภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นัยน์ตาเศร้าสีเครื่องดนตรีเงียบๆ
กระทั่งเพลงที่ปานฝันเล่นจบลง
มันไม่ใช่เพลงนั้นที่พี่ฝันเล่นวันที่เขาเข้ามาที่นี่ครั้งแรก
และไม่ใช่เพลงที่พี่ฝันบรรเลงก่อนที่จะจูบกัน..
คิมหันต์ยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากอย่างลืมตัว
ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงมันอีกราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กระนั้น
เหนือก็ไม่ได้คิดจะทวงหาเอาความรับผิดชอบจากชายผู้ช่วงชิงจุมพิตแรกของเขาไปหรอก
แค่ให้มีเก็บไว้ในความทรงจำ ก็เกินพอแล้วสำหรับเหนือ
เขาเผลอยิ้ม เมื่อปานฝันเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“มีอะไร?”
“ผมอยากลองเล่นเชลโล่ พี่ฝันสอนผมได้หรือเปล่า?”
ปานฝันมีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึง
เชลโล่ตัวนี้เป็นเชลโล่ที่ปานวาดรักมาก
ช่วงที่แม่ยังมีชีวิตอยู่เขาเองยังมีโอกาสได้แตะมันค่อนข้างน้อย ปานวาดไม่ได้ดุว่า
แต่เพราะฝันรู้ว่ามารดาค่อนข้างหวงเครื่องดนตรีชิ้นนี้เขาจึงไม่ค่อยเข้ามายุ่มย่ามสักเท่าไร
ถึงปานวาดไม่อยู่แล้ว เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะสอนคิมหันต์ดีหรือไม่
“ได้ไหมครับ?”
เหนือถามซ้ำ เมื่อปานฝันสบตากลมโตที่กำลังร้องขอ
สุดท้ายเขาก็พยักหน้าลงรับคำ
“มานั่งนี่สิ”
คิมหันต์กระพริบตาปริบ 'นี่' ที่ฝันพูดถึงหมายถึงที่ว่างตรงหว่างขาซึ่งเดิมเป็นที่วางเชลโล่ที่จริงเหนือก็รู้อยู่หรอกว่าท่าทางเวลาเล่นเครื่องสีดังกล่าวมันค่อนข้างดูไม่เรียบร้อยสักเท่าไร
แต่เขาก็ไม่ได้นึกว่าต้องมานั่งซ้อนหน้าผู้สอนซึ่งมันละม้ายกับเขาขึ้นไปนั่งบนตักปานฝันอยู่รอมร่อ
หากเหนือเป็นแค่ลูกศิษย์ คงไม่ยืนหน้าแดงก่ำเขินครูของตัวเองเป็นแน่
แต่เขาให้ฝันสอนเพราะคิดว่าถ้าดนตรีเป็นชีวิตของพี่ชาย
เขาก็อยากทำความรู้จักปานฝันมากกว่านี้
"มาสิ.."
ชายหนุ่มเร่งเร้า คิมหันต์ขบริมฝีปากตัวเองเข้าหากัน
เดินไปนั่งตรงตำแหน่งว่าง ให้แผ่นหลังตัวเองชนกับอกหนาของอาจารย์ผะแผ่ว
"กางขาออก เอาเชลโล่วางตรงนี้ ถนัดขวาใช่ไหม งั้นเอียงพาดมาขยับตัวให้ถนัดจะได้ไม่ต้องเกร็ง..."
ปานฝันอธิบายพร้อมวางเครื่องดนตรีอันเป็นที่รักของแม่วางทำมุมอย่างเบามือ
เขาคว้ามือนุ่มของน้องชายขึ้นมาจับคันชัก
ส่วนอีกข้างสอนให้เหนือไล่คอร์ดลงบนเส้นสาย
คิมหันต์มองฝ่ามืออุ่นที่ซ้อนเขาไว้ทั้งมือ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองตัวเล็กกระทั่งได้นั่งเทียบตัวแนบชิดกับปานฝันตอนนี้นี่แหละเหนือแทบจะจมไปกับอ้อมอกกว้างของพี่ชายไปทั้งตัวแล้วด้วยซ้ำ
ปานฝันก้มหน้าลงมองมือที่บังคับปลายนิ้วน้องชายจับคอร์ด
จมูกเป็นสันได้กลิ่นอ่อนๆเฉพาะตัวของคิมหันต์กลิ่นที่หวานถูกจมูกเหมือนวันที่เขาจูบเหนือ
เพียงแต่วันนี้มันไม่เจือกลิ่นละมุดหมักมาด้วย
ปานฝันตั้งใจเหลือบตาขึ้นมองหน้าคิมหันต์
แต่เมื่อช้อนตาขึ้นกลับพบว่าตัวเองถูกมองก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
"...ตั้งใจหน่อย"
ฝันพูดแก้เก้อ เหนือรับคำในลำคอแล้วหลุบสายตาลงแก้มขาวแดงปลั่ง
น่ารักจนพี่ชายต้องลอบยิ้ม
"ท่าทางนายไม่เหมือนคนที่จะสนใจดนตรีสักเท่าไร"
ชายหนุ่มพูดตามที่คิด ผลก็คือน้องชายรับสารภาพพยักหน้าหงึกหงัก
"ทำไมถึงอยากให้สอนล่ะ"
"ก็ดนตรีคือพี่ฝัน..."
ตากลมช้อนขึ้นมองพี่ชายผ่านม่านขนตา
"แล้วเหนือก็ชอบพี่ฝัน"
ปานฝันชะงัก ตาดำนิ่งสนิทเมื่อน้องชายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงโทนอ่อน
ปลายตาคมของชายหนุ่มเห็นภาพคิมหันต์คลี่ยิ้มบางเบาแล้วหลุบตาลงอีกครั้ง
“เหนือเลยชอบดนตรี...”
มันเป็นตรรกะง่ายๆตามแบบฉบับคิมหันต์
เสียงเม็ดฝนหล่นเปาะแปะช่างดูไพเราะเหลือเกินเมื่อผสานรวมกับอ้อมกอดอบอุ่น
ใช่.. เมื่อประโยคนั้นจบลง
มือของปานฝันก็ละสัมผัสจากหลังมือของน้องชายเลื่อนมาโอบรัดรอบเอวคอดช้าๆ
สันคางของอาจารย์หนุ่มวางเกยลงบนไหล่เล็ก ตาคมกริบปิดลงเงี่ยหูฟังเสียงเม็ดฝนโปรย
พัดลมแขวนพัดเป่าให้ปลายผมของเหนือปลิวว่อนแผ่วเบาระมาโดนใบหน้าหล่อเหลาของปานฝัน
เหมือนเป็นจุมพิตจากสายลมผ่านเส้นผมเพียงชั่วครู่ให้ชุ่มฉ่ำในหัวใจ
อ้อมแขนของปานฝันโอบรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้น
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กอด..
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น..
หากคิมหันต์โตมาพร้อมความรักที่ถูกเติมเต็ม
เขาคงเก็บความรักที่ถูกมอบให้ไว้จนล้นปรี่
หากปานฝันโตมาพร้อมความอ้างว้าง เขาคงอยากที่จะแชร์ความรู้สึกรัก
ได้รับและถ่ายทอดให้ใครสักคนอย่างเชื่องช้าและค่อยเป็นค่อยไป
พ่อของคิมหันต์เป็นคนที่ทำให้เหนือชื่นชมพี่ชายต่างสายเลือดตั้งแต่ที่ยังไม่พบเจอ
ขณะเดียวกัน ปานฝันก็อดคิดไม่ได้ว่า ปานวาดเป็นคนที่ทำให้คิมหันต์มาอยู่ที่ตรงนี้
อยู่ในอ้อมกอดของเขา
“เหนือมีความสุขมากที่ได้อยู่กับพี่ฝัน”
อาจเป็นเพราะชายหนุ่มปิดตา
เขาจึงได้ยินเสียงคิมหันต์พูดชัดเจนดังก้องกังวาล
“ฉันก็มีความสุข...”
ฝันตอบ..
--------------------------------
ค่อนข้างเป็นเรื่องเหนือจินตนาการสำหรับปานฝันว่าวันหนึ่งกิจวัตรประจำวันของเขาจะเปลี่ยนไป
อาจารย์หนุ่มนั่งตรวจข้อสอบจากกระดาษคำตอบของลูกศิษย์ในห้องพักครูของมหาวิทยาลัยในช่วงเย็น
ทั้งที่ตัวเองสอนเสร็จตั้งแต่บ่ายเพราะรอเวลาเลิกงานของใครบางคนที่มักจะอ้อนให้เขารับส่งมากกว่ายอมนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านเอง
กระนั้นปานฝันก็ยอมตามใจน้องชายอยู่เป็นนิจ
“อ้าว ครูฝัน ยังไม่กลับไปจำศีลอีกหรือคะ?”
คนที่กระเซ้าเป็นอาจารย์สอนดนตรีเช่นเดียวกัน
หล่อนจบจากโรงเรียนดนตรีเดียวกับปานฝัน กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย
ตั้งแต่ปริญญาตรีตลอดจนไปถึงระปริญญาเอกยังเรียนคณะเดียวกันมาตลอดหากแต่ต่างสาขาทำให้
เมธาวีรู้จักนิสัยของ ครูฝัน ดีเป็นพิเศษ
“รอรับน้องชายเลิกงานน่ะ”
“เอ๊ะ เท่าที่เมจำได้ฝันเป็นลูกโทนของครูวาดนี่”
“เรื่องมันยาวน่ะ เอาเป็นว่าเป็นญาติห่างๆที่มาอยู่ด้วยแล้วกัน”
ปานฝันเป็นชายในอุดมคติของใครหลายคนตั้งแต่สมัยเรียน
หนึ่งในนั้นก็หมายรวมไปกับเมธาวีด้วย หากแต่โลกที่ปิดสนิทของชายหนุ่มไม่เคยนำพาซึ่งความหวังมาให้สาวน้อยจนน่าเหนื่อยใจ
“จริงรึ? อย่างพี่ฝันนี่จะรับใครมาอยู่ด้วย
เป็นไปได้ด้วยเหรอ? เมนึกว่าอยากจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตเสียอีก”
“ที่จริงก็ตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน”
เมธาวีท้าวแขนกับโต๊ะทำงานของปานฝัน อดใจไม่ได้ที่จะไล่สายตามองรูปหน้าได้สัดส่วนของชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม
เขาดูจริงจังกับทุกอย่างแบบไม่มีช่องว่างให้ได้รีแลกซ์เลยสักนิด แต่ก็นั่นแหละ
ปานฝันยังเป็นปุถุชนทั่วไป เขายังยิ้มและหัวเราะ
หรือนานๆทีจะมีมุกหน้าตายให้คนรอบข้างพอผ่อนคลายบ้าง
“วันนี้วันเกิดมิน แวะไปอวยพรน้องที่คอนโดหน่อยไหม?”
ภูมินทร์เป็นน้องชายคนเดียวของเมธาวีที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวแต่คนละเอกกับปานฝัน
ทางนั้นจบนิเทศการแสดงและตอนนี้เป็นพระเอกหนุ่มเต็มตัวแล้วด้วย กระนั้น
สมัยเรียนที่ปานฝันค่อนข้างสนิทสนมกับเมธาวี ภูมินทร์ก็ติดพี่ฝันแจอยู่เหมือนกัน
“จัดงานกันกี่โมงล่ะ? เดี๋ยวลองถามเหนือดูเผื่ออยากเจอดารา”
เมธาวีคลี่ยิ้ม “ 2 ทุ่มเป่าเทียน
ถ้าไม่ได้มีธุระที่ไหนไปก่อนก็ได้ สั่งอาหารมาหนำเลย”
สุดท้ายคิมหันต์กับปานฝันก็มาอยู่ในคอนโดขนาด 143 ตารางเมตรย่านสุขุมวิทกับแขกเหรืออีกราวๆยี่สิบชีวิต มีกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม4
-5 คน เพื่อนมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นรุ่นน้องปานฝันอีกเกือบ 10 ซึ่งต่างยกมือไหว้เขาตามมารยาทด้วยความคุ้นหน้า
ส่วนที่เหลือเป็นเพื่อนนักแสดงที่สนิทๆกันของพระเอกหนุ่ม
เสียงดนตรีเร่งเร้าภายในห้องสี่เหลี่ยมราคาสิบล้านกว่า
เมธาวีคอยจัดเตรียมเสบียงอยู่ในครัว เพื่อนบางคนตั้งวงไพ่
บางกลุ่มดื่มเหล้าแลกเปลี่ยนความคิดสนุกสนาน
พื้นที่หน้าโทรทัศน์ถูกแปรสภาพเป็นฟลอร์เต้นรำสำหรับแขกผู้ร่วมงานบางส่วน
แต่เจ้าของงานกลับนั่งตาแป๋วจิบวิสกี้มองคนไม่คุ้นหน้าตาไม่กระพริบ
“เหนือมีแฟนหรือยังครับ?”
ไอ้มินเป็นเกย์ ปานฝันก็พอจะรู้อยู่
หมอนี่ควงเด็กหนุ่มไม่ซ้ำหน้าแต่ก็ดูไม่ได้จริงจังกับใครเป็นพิเศษตั้งแต่สมัยเรียนตามแบบฉบับผู้ชายหน้าตาดีนั่นแหละ
แต่พอมันให้ความสนใจคิมหันต์ ปานฝันก็รู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ
“ยังครับ
คุณมินมีอะไรหรือเปล่าเนี่ยนั่งจ้องเหนือตั้งแต่เข้ามาแล้ว”
โอ๊ย ที่ถามนี่โง่จริงหรือแอ๊บแบ๊วกันแน่
ตาเป็นประกายวาววับขนาดนั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าภูมินทร์มันจ้องจะเขมือบเด็กหนุ่มเนื้อขาวอยู่
ปานฝันหันหน้าหนีแล้วยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นดื่มด้วยความหงุดหงิด
หงุดหงิดทั้งรุ่นน้องเจ้าของวันเกิด
หงุดหงิดทั้งไอ้เด็กเมื่อวันซืนที่นั่งทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อไม่รู้เรื่องราวนั่นแหละ
รู้อย่างงี้ไม่พามาก็น่าจะดี
“ก็เหนือน่ารัก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังไม่มีแฟน
นี่โสดรอผมหรือเปล่า?”
ภูมินทร์ยังรุกหนัก
ยิ่งเป็นรุ่นเดียวกันแล้วมันยิ่งไม่เกรงใจอีกฝ่าย จ้องแก้มขาวๆของเด็กหนุ่มหน้าอ่อนส่งแววเจ้าชู้ทางสายตาไปให้ไม่ปิดบัง
“ฮะๆ มินตลกอะ เลิกมองเถอะน่า เหนือชักจะเขินแล้ว”
คิมหันต์ยิ้มกลบเกลื่อน
ยกมือขึ้นโบกเพราะเริ่มอึดอัดกับท่าทีของอีกฝ่าย
ภูมินทร์ที่เขาเห็นในโทรทัศน์หล่อน้อยกว่านี้แต่ก็กระชากลมหายใจแม่บ้านติดละครมานักต่อนัก
กระนั้น ถ้าจะให้มานั่งจีบกันตรงๆแบบนี้เห็นทีเหนือจะไม่ได้รู้สึกดีสักเท่าไร
“กูไปเติมเหล้านะ”
ปานฝันไม่ได้ตั้งใจจะสะบัดเสียงห้วนหรอก แต่มันเป็นไปเอง
ภูมินทร์หันมาฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนพี่สาวเหมือนดีใจนักหนาที่ปานฝันลุกออกไปเขาจะได้ทำอะไรสะดวก
ภูมินทร์ลุกมานั่งโซฟาตัวเดียวกับคิมหันต์ที่เดียวกับที่ฝันลุกไปเมื่อครู่
“แล้วมาอยู่กรุงเทพนี่ได้ไปไหนบ้างยัง ว่างๆไปเที่ยวกับผมนะ
เดี๋ยวพาตะลอน”
มือเล็กที่วางอยู่บนหน้าตักถูกดาราหนุ่มฉวยไปรวดเร็ว
คิมหันต์ตกใจพยายามรั้งออกแล้วเหลือบมองผู้ชายที่เดินลุกจากไปอย่างไม่ใยดีจากนั้นสีหน้าก็สลดลงเล็กน้อย
ตากลมเหลือบมองไปหลังครัวที่ปานฝันหายไปกับเมธาวีแล้วถอนหายใจ
ตั้งแต่ตอนที่ไปรับแล้วมีหญิงสาวหน้าตาดีนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถแล้ว
คิมหันต์ต้องระเห็จตัวเองไปเบาะหลังมองเมธาวีกับปานฝันคุยกันสนิทสนมด้วยความรู้สึกปวดมวนในช่องท้องประหลาดๆ
เขาเอนตัวพิงเบาะโซฟากำมะหยี่
ยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดื่มเพราะเริ่มปั้นหน้ายิ้มใส่ภูมินทร์ไม่ไหว
“ไม่สนุกเหรอ?”
“อ้อ เปล่า เหนื่อยๆกับงานน่ะ”
ถึงพูดแบบนั้น แต่ตาดำสีนิลก็มองไปทางห้องครัวไม่กระพริบ
ภูมินทร์มองตามจุดปลายทางของสายตาหวานแล้วเหมือนพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
เขาเอื้อมมือไปวางบนพนักพิงโซฟาให้ดูเหมือนกำลังโอบเด็กหนุ่มอยู่กลายๆ
“เป็นแฟนกับพี่ฝันเหรอ?”
“เอ๊ะ? เปล่าหรอก พี่น้องกันเฉยๆ”
“ฮะๆ โทษทีนะ ผมก็ถามอะไรแปลกๆ
รู้อยู่แท้ๆว่าพี่เมกับพี่ฝันน่ะเป็นแฟนกัน”
คิมหันต์ยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาดื่ม
“งั้นเหรอ....?”
เสียงกระซิบจากปากแดงจัดเบา แต่ภูมินทร์ก็ได้ยินมันชัดเจน
รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นที่มุมปาก
เขาใช้ปลายนิ้วไล้ลอนผมที่ประอยู่บนปกเสื้อบนของน้องชายรุ่นพี่แล้วเอื้อมตัวเข้าไปกระซิบใกล้
“เดี๋ยวเหนือถือเค้กให้ผมเป่าเทียนหน่อยนะ”
คิมหันต์รับคำในลำคอ
เขาเบี่ยงหลบปลายจมูกของคนเจ้าชู้ไม่ทันเลยถูกฉวยหอมแก้มเข้าไปเต็มแรง
หัวคิ้วบางติดจะขมวดเข้าหากันเหลือบไปมองในครัวเป็นระยะ
และนั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าท่าทางที่ภูมินทร์ทำเขาอึดอัดเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับดวงตาโศกของพี่ชายที่จับจ้องมาเขม็งไม่กระพริบ
******
เสียงที่ดังจากแกรนเปียโนตัวใหญ่กลางบ้านดุดันและแข็งกระด้าง
คิมหันต์วางแปรงสีฟันลงบนแก้วแล้วก้มลงบ้วนปากสองถึงสามครั้งก่อนเดินออกมาจากห้องน้ำ
นักดนตรีที่บรรเลงเสียงเกรี้ยวกราดยังคงนั่งขยับปลายนิ้วพริ้วไหวอยู่ในที่ๆสมควรจะอยู่
ตาคมไม่ได้มองโนตเพลงที่กางอยู่หากแต่มันเลื่อนลอยแบบจับจุดไม่ได้
เคลื่อนปลายนิ้วไปตามแรงขับดันของจิตใจที่ทำให้เหนือรู้สึกว่าวันนี้เพลงของพี่ฝันไม่ได้ไพเราะเอาเสียเลย
“ห้องน้ำว่างแล้วนะครับ”
คิมหันต์ตะเบ็งเสียงผ่านดนตรีแต่ก็ไม่ได้ทำให้ปลายนิ้วของพี่ชายสะดุดทำให้เหนือไม่แน่ใจว่าพี่ฝันจะได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า
เท้าเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มเคลื่อนไปใกล้คู่สนทนา
แต่อาการหมางเมินตั้งแต่ที่งานปาร์ตี้ทั้งๆที่พี่ฝันเป็นคนพาเขาไปแท้ๆนั่นทำให้คิมหันต์รู้สึกโมโห
แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้พี่ชายเล่นดนตรีที่ฟังดูดุดันนั้นจนจบ
ปานฝันนั่งหอบอยู่บนเก้าอี้เปียโนตัวเดิม
ตัวที่แม่เคยนั่งข้างๆสอนเขากดไล่โน้ต ตัวที่เขานั่งบรรเลงมันด้วยตัวเอง
ตัวที่เขามอบ ‘จูบแรก’ ให้อีกคนที่ไม่ประสาเหมือนๆกัน
จากนี้ไปชีวิตเขาจะมีเหนือ วูบหนึ่งที่ฝันเคยคิดแบบนั้น
แต่วันนี้ภูมินทร์กลับสอนเขาว่า ‘อย่าลำพองใจไป’
‘มินขอพรแล้วเป่าเค้กสิ’
เมธาวีเร่งเร้าท่ามกลางแสงเทียนที่ถูกปักบนเค้กปอนด์
ดวงตาของเจ้าของงานวันเกิดมองคนถือแวววับ ยกมือมาประสานกันไว้บนอก
‘พรข้อนี้ผมควรขอจากใครดี
จากเทวดา จากเหนือ หรือจากพี่ฝัน...’
ทั้งห้องคงไว้ซึ่งเสียงเงียบงัน
มีเพียงรอยยิ้มหยอกล้ออย่างรู้ทันจากกลุ่มเพื่อนเท่านั้นที่ทอดส่งต่อกันและกันจนปานฝันรู้สึกว่างเปล่าในช่องท้องแต่กลับจุกขึ้นมาถึงอก
‘ของขวัญวันเกิดปีนี้
ผมขอ’เหนือ’ได้เหรือเปล่า?’
‘เหนือไม่ได้เตรียมอะไรมาให้หรอกนะครับ’
คนถือเค้กรีบปฏิเสธพัลวัน แต่ภูมินทร์ไม่ได้มีทีท่าเสียดายเลยสักนิด
‘ผมหมายถึง ขอตัว
ขอใจของเหนือ ได้หรือเปล่า’
เสียงหวีดหวิวผิวปากดังเซ็งเซ่
แต่สำหรับปานฝันแล้วมันกำลังเป็นเสียงที่กรีดลงไปในใจเขาต่างหาก คิมหันต์ยิ้มน้อยๆหลบตาพลางส่ายหน้า
‘แบบนั้นคงต้องถามพี่ฝันแล้วแหละว่าจะยกเหนือให้หรือเปล่า’
ภูมินทร์หันมองรุ่นพี่ยิ้มๆ
เขาก้มลงเป่าเค้กเมื่อเห็นว่าปานฝันสาดเหล้าลงคอแบบไม่คิดจะตอบหรือหยอกล้ออะไรเขามากไปกว่านั้น
อยากไปก็ไปสิ.. เขาจะมีสิทธิ์ไปหวงห้ามหรือไงกัน
“พี่ฝันเป็นอะไร”
เสียงของน้องชายปลุกให้ปานฝันหลุดออกจากภวังค์
ชายหนุ่มนิ่งไม่ให้คำตอบน้องชาย หนำซ้ำยังลุกหนีให้อีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้เสียอีก
“พี่ฝัน.. ทะเลาะกับพี่เมหรือ?”
คิมหันต์กัดริมฝีปากล่างแน่น รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่กระบอกตา
ท่าทีปั้นปึ่งแถมยังเปิดโอกาสให้เขาอยู่กับภูมินทร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่จะให้เขาคิดยังไงนอกเสียจากพี่เมให้พี่ฝันช่วยเป็นพ่อสื่อให้เขากับพระเอกหนุ่ม
และพอเห็นว่าเขาไม่เล่นด้วยคงเอาไปทะเลาะไม่พอใจ
ทั้งๆที่เป็นแฟนกันแท้ๆแต่กลับช่วยเหลือน้องชายของแฟนตัวเองไม่ได้เลย
“ฉันจะไปทะเลาะกับเมทำไม”
“จะไปรู้เหรอครับ เหนือเห็นพี่ฝันอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ในงานแล้ว
นึกว่าทะเลาะกับแฟนเสียอีก”
“ฉันกับเมไม่ได้เป็นแฟนกัน ไม่ได้ทะเลาะกันด้วย
อย่ายัดเยียดฉันให้คนโน้นคนนี้”
“คนที่ทำแบบนั้นน่ะพี่ฝันต่างหาก!”
คิมหันต์เผลอตวาดเสียงลั่น ปานฝันสะบัดหน้ามองขณะที่อีกฝ่ายกลับก้มหน้า
ปล่อยให้น้ำตาหยดลงพื้นแหมะ แหมะ ทั้งๆที่ไม่อยากจะร้องแท้ๆ
ดังนั้นพอรู้ตัวว่ากลั้นไม่ได้แล้วเหนือจึงเลือกที่จะก้มหน้าให้ปอยผมหน้าร่วงลงมาปิดสภาพน่าเวทนาของเขาสักเสี้ยวก็ยังดี
ปานฝันเม้มปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ในใจวูบไหวเมื่อเห็นว่าแด็กผู้ชายตรงหน้ากำลังสั่นไปทั้งร่าง
มือที่รั้งเขาไว้เมื่อครู่ลู่อยู่ข้างลำตัวกำหมัดเข้าหากันจนมือขาวๆสามารถเห็นเส้นเลือดปูดโปนออกมาได้ชัด
“พี่ฝันต่างหากที่ยัดเยียดเหนือให้มินอยู่ได้”
“คนรักกันชอบกันจะให้ฉันขวางหรืออย่างไร?”
“เหนือบอกไปแล้วนี่ว่าเหนือชอบพี่...”
“นั่นมันความรู้สึกของพี่น้อง” ฝันว่า
“ถ้าจะคิดว่าเป็นพี่น้องก็คิดไปคนเดียวสิ
อย่ายัดเยียดให้ผมคิดเหมือนพี่ อย่ายกผมให้คนโน้นคนนี้...มันเจ็บนะ..”
ปานฝันกระพริบตาถี่ เจ็บ ใช่ สำหรับเขามันก็เจ็บ
แต่ที่เจ็บจนน่ารำคาญที่สุดคือฝันไม่รู้ว่าเขาเจ็บเพราะอะไร
เห็นสองคนมองตากัน เห็นมินสนใจเหนือ
เห็นน้องชายตัวเองในอ้อมแขนของรุ่นน้องอีกคน มันเจ็บ..
ทั้งๆที่ เหนือก็ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งเขาไปเหมือนที่แม่ทำเลยสักนิดเหนือยังอยู่กับเขา
เวลานี้ ตอนนี้ แต่เขาก็ ยังเจ็บ
ความรู้สึกของพี่น้องอะไรนั่น ปานฝันไม่คิดหรอกว่ามันจะเกิดขึ้นได้
เลือดคนละสาย โตมาคนละสังคม
มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่จู่ๆก็โผล่มาให้เขารับผิดชอบทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเคยมีตัวตนอยู่ด้วยอีกต่างหาก
แค่รับมาอยู่ด้วยตามหน้าที่ที่สมควร
แต่ที่ไม่สมควรคือความรู้สึกบ้าบอที่เกิดขึ้นนี่ต่างหาก
โง่แค่ไหน ปานฝันก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่สายสัมพันธ์ของพี่น้อง
“ก็แค่สับสน.. ก็แค่สงสารเท่านั้นแหละ”
สิ่งที่คิมหันต์รู้สึก มันเกิดจากความคิดนั้นเท่านั้น ส่วนสำหรับเขา
มันก็เกิดจากความเหงาก็เท่านั้น
“ไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่นายเข้าใจหรอก
เหนือ”
“เหนือไม่เข้าใจอะไรหรอก
พี่ฝันรู้ไหมเหนือดำเนินชีวิตมาได้ยี่สิบกว่าปีนี่ด้วยความไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียนโรงเรียนชายล้วน ไม่เข้าใจว่าทำไมคบเพื่อนต่างฐานะไม่ได้
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงห้ามเล่นกลางแดด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนคอยรับคอยส่ง
รู้อย่างเดียวว่านั่นมันคือความพอใจของแม่เพราะตอนนั้นเหนืออยู่กับแม่
แต่ตอนนี้ชีวิตเป็นของเหนือ
เหนืออยู่ด้วยตัวเองแล้วดังนั้นเหนือจะทำอะไรตามความพอใจของตัวเองบ้าง”
“เหนือแค่อยากชอบพี่ฝัน เหนืออยากอยู่กับพี่ฝัน
เหนือไม่อยากให้พี่ฝันไล่เหนือไปไหน ให้เหนือทำได้ไหมเล่า! หรือมันลำบากเกินไป
พูดมาสิว่าพี่ฝันไม่ได้คิดแบบเดียวกับเหนือ
พูดมาว่าพี่ฝันไม่ได้ต้องการเหนือเลย!!”
ปานฝันนิ่ง เขาเป็นคนที่คิดอะไรมากเกินไปเสมอๆ
และนี่อาจเป็นอีกครั้งที่ฝันรู้สึกว่าเขากำลังทำนิสัยแบบนั้นอีกแล้ว
คิมหันต์ตัวสั่นเทิ้ม
ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตาชายที่เอาแต่เงียบหลังจากไม่พอใจอยู่นาน
เหนือไม่อยากเข้าข้างตัวเองนักหรอกว่าพี่ชายโกรธเพราะความหึงหวง
แต่ถ้าตัดเรื่องเมธาวีไม่ได้ทะเลาะกับพี่ชาย
มิหนำซ้ำยังไมได้เป็นแฟนกันตามคำลวงของภูมินทร์ด้วยซ้ำ
เหนือก็คิดไม่ออกแล้วว่าปานฝันกำลังโกรธเรื่องอะไร
“หยุดใช้สมองสักทีได้ไหม
พี่ฝันตอบเหนือตามที่หัวใจของพี่ฝันบอกได้หรือเปล่า”
บางทีมันอาจเหมือนการเล่นดนตรี
ไม่ต้องท่องจำตัวโน๊ตให้มันเมื่อยตุ้มนักก็ได้
ปานฝันมองหน้าของน้องชายที่น้ำตาอาบแก้มขาวเอาไว้นิ่ง
ไม่ชอบเลยที่หน้าหวานของคิมหันต์ไม่ได้ประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย
ยิ่งน้ำตาที่เกิดจากความเสียใจนั่น กำลังทำให้ปานฝันรู้สึกระบมในหัวใจ
ไม่ชอบเลยจริงๆ..
“เหนือ...”
“ครับ”
คิมหันต์รับคำอย่างว่าง่าย
สบตากับพี่ชายนิ่งและบางทีเขาก็ได้รับคำตอบแล้วว่าปานฝันคิดกับเขาเช่นไร
หมับ!
แขนเพียงข้างเดียวเท่านั้นที่ทำให้ทั้งตัวคิมหันต์ลอยเข้ามาปะทะอก
ปานฝันซุกจมูกลงไปดมดอมบนเรือนผมเส้นเล็กของน้องชายแล้วยกมืออีกข้างขึ้นกอดคนตัวเล็กกว่าไว้ทั้งตัว
ขณะที่คิมหันต์ค่อยๆยกมือขึ้นกอดเอวอีกฝ่ายไว้เช่นกัน
“นอกจากแม่แล้ว... ความรักทั้งหมดที่ฉันมี จะฝากไว้ที่นายได้ไหม”
ปากสีอ่อนของคนในอ้อมแขนคลี่ยิ้ม
คิมหันต์กระชับอ้อมแขนอีกฝ่ายให้แน่นขึ้นแล้วสะอื้นฮักแทนคำตอบ
“นี่.. ไม่ได้บอกให้ร้องไห้หนักกว่าเดิมนะ หยุดได้แล้ว”
“ก็เหนือดีใจนี่...”
“อืม.. รู้แล้ว”
ปานฝันตอบ
เขาเองก็อดคลี่ยิ้มออกมาในความน่ารักของน้องชายไม่ได้เหมือนกัน
พูดว่าดีใจทั้งๆที่เสียงอู้อี้ สูดน้ำมูกฟื้ดฟ้าดในกอดของเขา
แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน
“ต่อไปนี้เวลาใครถามห้ามบอกว่าญาติแล้วนะ ต้องบอกว่าแฟน เข้าใจไหม”
พอได้ตำแหน่งปุ๊บ คิมหันต์ก็รีบสำแดงเดชออกคำสั่งชายหนุ่มเสียงเข้ม
ปานฝันรับคำแล้วหัวเราะในลำคอ
ทั้งๆที่คิดมาตลอดว่าอนาคตมีหวังตัวเองจะได้เป็นครูเพลงแก่ๆนั่งเล่นดนตรีเงียบๆตามลำพังในบ้านเดี่ยวในกลางเมืองเสียแล้ว
แต่จากนี้มันคงเปลี่ยนไป
ออกจะเหนือฝันสักหน่อย
กับการที่เขาจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน แต่กระนั้น ฝันรู้ดีว่าเขาทำได้ดีแน่ๆปานฝันเคยรักแม่และดูแลอีกฝ่ายได้สมบูรณ์แบบแค่ไหน
ทำไมเขาจะไม่รู้
ต่อจากนี้เช่นกัน
เขาจะดูแลคนในอ้อมแขนให้มั่นใจได้เลยว่าครั้งนี้
คิมหันต์จะมีโอกาสร้องไห้เพราะเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“พี่รักเหนือนะ..”
คิมหันต์ยิ้ม “เหนือรู้เหนือก็รักพี่เหมือนกัน”
เสียงกระซิบบอกแว่วรำพัน ขณะที่เม็ดฝนค่อยๆโปรยปรายกระทบหลังคา
บรรเลงให้ทั้งสองฝ่ายค่อยๆโน้มตัวเข้าหากันช้าๆ
ให้แม้แต่อากาศก็ไม่มีโอกาสได้คั่นกลางระหว่างริมฝีปากของทั้ง 2
ฝ่าย
ทั้งๆที่อุณหภูมิภายนอกกำลังลดต่ำลงเรื่อยๆ
แต่ใจของปานฝันและคิมหันต์แล้ว กลับรู้สึกอุ่นวาบในอกอย่างบอกไม่ถูก
♥♥♥♥♥
HAPPY ENDING ♥♥♥♥♥
บางเรื่องก็หาไม่ได้แล้ว อยากเก็บเล่ม ไม่ค่อยชอบอ่านในเว็บเท่าไหร่ ชอบหนังสือมากกว่า
อ่หวานละมุนท่ามกลางสายฝนเเละเสียงดนตรี
อ่
หวามละมุนอบอุ่นในหัวใจ
มันละมุนละไมอบอุ่นมาก ^_^