คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : The Major and the Automatic Assassin Doll (part two.) (rewrite)
/
The Major
and the Automatic Assassin Doll
ในช่วงเย็นสองวันหลังจากนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่พวกเขาได้ใช้เวลาด้วยกัน พวกเขาสองคนออกไปข้างนอกเพื่อทำอะไรบางอย่างโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานของพวกเขา
กิลเบิร์ตพยายามจัดการกับงานเพื่อหาเวลาว่างด้วยการเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
จากนั้นจึงไปรับเธอที่ห้องของเธอ
เขาได้แจ้งเพื่อนร่วมงานของเขาว่าเขาจะออกไปนอกสำนักงานใหญ่
แต่แทนที่จะได้รับท่าทีที่ดูเฉยชา
สมาชิกในหน่วยของเขากลับมองว่าเขาและไวโอเล็ตด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
สำหรับไวโอเล็ตนั้นก็น้อยครั้งเหลือเกินที่พวกเขาจะได้เห็นเธอออกมาข้างนอก
และสำหรับกิลเบิร์ต
เนื่องจากเขามักจะยุ่งกับเอกสารและการประชุมเขาจึงไม่มีเวลาได้ออกไปข้างนอกเลย
ส่วนเหตุผลที่เขาขอออกไปข้างนอกนั้นก็คือ ‘การประนีประนอม’
เพราะแบบนั้นทุกคนเลยเชื่อว่าเขาไม่ได้ออกไปเพราะเรื่องงาน
และการไม่ถูกสอบสวนในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา
พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในเมืองด้วยการเดินเท้า
การที่พวกเขาอยู่ข้าง ๆ กันเสมอนั้นเป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว แต่การที่เดินไปรอบเมืองข้าง ๆ ไวโอเล็ตที่กำลังสวมกระโปรงนั้นทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกแปลก ๆ และเขาก็พบว่าตัวเขานั้นกำลังมองเธออยู่ตลอดเวลา
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเล็กน้อย
โคมไฟในย่านช็อปปิ้งนั้นส่องสว่าง และมีสายที่เชื่อมระหว่างโคมไฟกับอาคารคั่นกลางระหว่างแต่ละด้านของถนนใหญ่เลียนแบบดวงดาว
อากาศช่างอบอุ่น และเหมาะสำหรับการนั่งดื่มและฟังเพลงเบา ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งกิลเบิร์ตและไวโอเล็ตก็ไม่มีใครยิ้มให้กับบรรยากาศเหล่านั้นเลย
พวกเขาเพียงแค่เดินอย่างไร้อารมณ์เท่านั้น
พวกเขาเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อขนาดใหญ่ที่ยังเปิดอยู่
มันเป็นร้านที่แปลก มีเสื้อห้อยลงมาจากเพดานจนถึงพื้น
บางทีอาจเป็นเพราะว่ามันเป็นเมืองที่สำนักใหญ่ของกองทัพอยู่
เมื่อทหารสองคนเข้ามาพวกเขาจึงได้รับการต้อนรับโดยที่ไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด
“นี่ก็ดี นี่ก็ดีเหมือนกัน”
เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบ
เธอพูดกับไวโอเล็ตราวกับกำลังเลือกชุดให้ลูกสาวของเธอเอง
ไวโอเล็ตยังคงยืนนิ่งด้วยท่าทางเหมือนกำลังมีปัญหา
กิลเบิร์ตจึงเป็นฝ่ายพูดแทนเธอ “สีมันฉูดฉาดเกินไป
จริง ๆ สีไหนก็ดูดีบนตัวเธอทั้งนั้น....แต่อย่าลืมว่าเธอเป็นทหารด้วยนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นตัวนี้ล่ะคะ คุณเจ้าหน้าที่?”
“มันดูดีนะ ผมจะรออยู่ที่นี่แล้วกัน
เพราะงั้นเลือกชุดตามที่คุณเห็นว่าสมควรเถอะ”
เจ้าของร้านแตะลงบนหน้าอกของไวโอเล็ตอย่างนุ่มนวล
ใบหน้าของเธอเริ่มบูดบึ้ง “พูดตามตรงนะคะ ฉันว่าสิ่งที่เธอใส่อยู่มันไม่พอดีกับตัวเธอเลยค่ะ”
เมื่อผู้หญิงสองคนหายเข้าไปในห้องลองเสื้อ
กิลเบิร์ตก็รู้สึกเหมือนหายใจออกมาได้เสียที
เขายกมือขึ้นปิดปากของเขาและหันไปยังอีกด้านหนึ่ง และรู้สึกดีใจที่พวกเธอไม่ได้สังเกตว่าแก้มของเขากำลังแดง
“ขอบคุณที่ซื้อเสื้อผ้าของเราเยอะมากเลยนะคะ! อย่าลืมแวะมาอีกล่ะ”
เมื่อพวกเขาซื้อเสื้อผ้าเสร็จและเจ้าของร้านเห็นพวกเขาเดินจากไปแล้ว
พวกเขาก็สามารถกลับหอพักได้เลยในตอนนั้น
แต่กิลเบิร์ตเปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าไวโอเล็ตหยุดมองโคมไฟที่กำลังส่องประกาย
“เหมือนกับว่าดาวได้ตกลงมาบนโลกเลยค่ะ”
เนื่องจากพวกเขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว
เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินไปรอบ ๆ บริเวณตัวเมืองในยามเย็น
สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือเดินไปยังร้านขายเครื่องดื่มที่มีทั้งแอลกอฮอล์ที่ได้รับมาจากหลายที่และรถเข็นขายอาหารที่มีทั้งเนื้อย่างและมันฝรั่งทอด
ดึงดูดลูกค้าจากทุกแห่งด้วยกลิ่นหอมน่าอร่อยของมัน
บางคนก็ดูเหมือนจะเมาแล้วเรียบร้อยและกำลังร้องรำทำเพลงด้วยความสนุกสนาน
และวงดนตรีชั่วคราวก็กำลังเล่นเพลงให้เข้ากับจังหวะของพวกเขา
ผู้คนมากมายมารวมตัวกันเพราะบรรยากาศที่ดูสนุกสนาน และเหล่านักเต้นก็ใช้ประโยชน์จากมันเพื่อหาเงิน
ขณะที่พวกเขาสองคนเดินต่อไปเรื่อย ๆ
ร้านอาหารก็เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ
ทำให้เหลือพื้นที่ให้กับคนขายอัญมณีที่แสนล้ำค่าและเครื่องประดับจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ
กิลเบิร์ตเคยได้ยินจากเพื่อนร่วมงานของเขาคนหนึ่งที่ออกมาข้างนอกตั้งแต่วันแรกว่าร้านค้าแถวนี้ในตอนกลางคืนนั้นไม่เหมือนกับตอนกลางวันเลย
แต่พวกเขาสองคนก็ไม่รู้ว่าร้านค้าในตอนกลางวันนั้นเป็นยังไงอยู่ดี อย่างไรก็ตาม
จำนวนของผู้คนก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
และไม่มีชีวิตชีวาเท่าก่อนหน้านี้
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ดึงความสนใจของไวโอเล็ตได้
แต่เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น เธอก็หยุดเดินไปชั่วขณะ
“มีอะไรที่เธออยากได้หรือ?”
“เปล่าค่ะ...” เธอปฏิเสธ
แต่สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปทางเดิม
กิลเบิร์ตจับแขนของเธอและพาเธอเข้าไปดูใกล้ ๆ
“ยินดีต้อนรับ” เจ้าของร้านที่เป็นผู้สูงอายุต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพ
กล่องแก้วที่บรรจุด้วยอัญมณีวางเรียงกันอยู่บนพรมกำมะหยี่สีดำที่วางอยู่บนพื้น
กิลเบิร์ตไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันเป็นของแท้หรือไม่
แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันมีความประณีตและสวยงามกว่าร้านอื่น ๆ
ไวโอเล็ตกำลังตรวจสอบสินค้าอย่างถี่ถ้วนและกิลเบิร์ตก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอมองตรงมาที่เขาราวกับว่าตั้งใจจะยิงเขา
“อะไรเหรอ...?”
“ดวงตาของผู้พันอยู่ที่นี่ค่ะ” ไวโอเล็ตชี้นิ้วไปยังอัญมณี
นิ้วขาว ๆ ที่เรียวยาวของเธอเหยียดตรงไปข้างหน้า และชี้ที่เข็มกลัดมรกต
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
มันช่างดูคล้ายกับดวงตาที่น่าพิศวงของกิลเบิร์ตจริง ๆ มันเป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ ส่องประกายอยู่ภายในกล่องและงดงามกว่าอัญมณีชิ้นอื่น ๆ
“คุณ...เรียกมันว่าอะไรคะ?”
ในขณะที่ไวโอเล็ตเอ่ยถาม
และขมวดคิ้วราวกับว่าเธอไม่สามารถหาคำที่เข้ากับมันได้
เจ้าของร้านจึงให้ความช่วยเหลือ “มรกตครับ”
“ไม่ใช่...ชื่อค่ะ...”
“ถ้าไม่ใช่ชื่อ แล้วหนูหมายความว่าอะไรหรือ?”
“ตอนที่ฉัน...เห็นสิ่งนี้...ฉันสงสัยว่าคำประเภทไหนที่เข้ากับมัน...”
“อย่างนี้นี่เอง” เจ้าของร้านหัวเราะเธอ “มัน ‘สวย’ ยังไงล่ะ สาวน้อย”
จากมุมมองของเจ้าของร้าน การหัวเราะนั่นเป็นปฏิกิริยาที่ชัดเจนอยู่แล้ว
เขาเป็นพ่อค้าเครื่องประดับ แน่นอนว่ามันเป็นคำที่เขาได้ยินมันทุก ๆ วัน
แต่ถึงอย่างนั้น ไวโอเล็ตผู้ที่ซึ่งเห็นค่าของมันมากกว่าใคร ๆ
ปากของเธอกำลังขยับอย่างเชื่องช้าในขณะที่เธอกำลังออกเสียงคำที่เธอเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“’สวย’…”
“อะไร...กัน? เธอไม่รู้จักคำนั้นหรอกเหรอ?”
“ฉันไม่รู้จักคำว่า ‘สวย’ ค่ะ
มันมีความหมายเดียวกันกับ...’น่ารัก’
หรือเปล่าคะ?”
“จริงเหรอเนี่ย? พระเจ้า ฉันตกใจเลยนะ เธอดูเหมือนคนที่ฉลาดมากจะตาย...”
––อ่า
นี่มันสถานการณ์อะไรกันเนี่ย
กิลเบิร์ตยืนมองพวกเขาสองคนด้วยความงุนงง
เขารู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังร้อน เขารู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดไป
เหงื่อเย็น ๆ เริ่มไหล หัวใจของเขาเต้นตึกตัก
และความรู้สึกอับอายกำลังเผาไหม้อยู่ในตัวของเขา
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สอนให้เธอพูด
ในช่วงสี่ปีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เขาได้สอนให้เธอได้เรียนรู้คำที่จำเป็นสำหรับการสนทนาในชีวิตประจำวัน
และรวมถึงคำศัพท์ของทหารด้วย
––แต่ถึงอย่างนั้น
เขาก็...
เขาไม่ได้สอนศัพท์ง่าย ๆ ให้เธอเลย
เมื่อเธอเรียนรู้การพูดได้ในระดับหนึ่ง
เขาก็คิดว่าเธอน่าจะรู้คำอื่น ๆ ได้ด้วยตัวเอง เขาคิดว่าเธอจะทำได้
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่พูดอะไรไม่ได้เลยนอกจากคำว่า ‘ผู้พัน’
“เธอเป็นเด็กกำพร้าจากสงครามหรอ?”
“เปล่าค่ะ แต่ฉันไม่มีพ่อกับแม่ค่ะ”
เธอไม่รู้ศัพท์อะไรเลยนอกจากคำว่า
‘ฆ่า’ หลังจากที่เขาพาเธอมาและกลายเป็นผู้คุ้มครองของเธอนั้น
เขาก็พาเธอไปที่สนามรบทันที
และนั่นอาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกมาซื้อของด้วยกัน
––อ่า...แล้วเขาก็พูดเรื่องที่พยายามจะทำตัวเป็นเหมือนผู้ปกครองเธอเนี่ยนะ
แล้วยังจะ...
เขายังไม่ได้สอนคำพูดที่ถูกต้องให้เธอเลย
มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง
––พอคิดว่าเขาไม่เคยพูดคำว่า
‘สวย’ แล้ว แม้แต่คำว่า ‘ฆ่า’
เขายังพูดได้เลย แม้ว่าคำที่เหมาะกับเธอจริง ๆ นั้น...
ในขณะที่กิลเบิร์ตกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง
การพูดคุยก็ยังดำเนินต่อไป
“แล้วเขียนล่ะ? เธอเขียนได้ไหม?”
“ได้แค่ชื่อของฉันค่ะ...”
“ไม่ว่าใครก็ตามที่ให้กำเนิดเธอช่างไร้ความสามารถเสียจริง
ขนาดฉันยังเขียนได้เลยนะ”
“การที่รู้วิธีการเขียนนั้นเป็นเรื่องที่ดีหรือคะ?”
“เธอก็จะสามารถเขียนจดหมายได้น่ะสิ”
“’จดหมาย’…?”
“ถ้าเธออยู่ไกลจากบ้านเกิดของเธอ อย่างน้อยเธอก็ควรจะเขียนนะ”
“อย่างนั้นหรือคะ...?”
กิลเบิร์ตกระแทกกระเป๋าเงินของเขาลงบนกล่องแก้วเพื่อหยุดการสนทนานั่น
“เดี๋ยวสิ คุณ...ทำแบบนั้นไม่ได้นะ สินค้ามันจะ...”
“ผมซื้อชิ้นหนึ่ง...ไวโอเล็ต เลือกสิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับว่ากำลังโกรธ
ไวโอเล็ตกะพริบตา
“นั่นเป็นคำสั่งหรือคะ?”
“ใช่...เลือกสักชิ้นเถอะ ชิ้นไหนก็ได้ทั้งนั้น”
ความจริงคือเขาไม่ได้อยากเรียกมันว่าเป็นคำสั่งเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเธอจะเชื่อฟังหรอกหากเขาพูดว่าเป็นอย่างอื่นแทน
ไวโอเล็ตมองที่กล่องแก้วอีกครั้ง
และตามที่คาดไว้ เธอชี้ไปยังเข็มกลัดมรกตนั่น “ถ้าอย่างนั้น
ชิ้นนี้ค่ะ”
ในขณะที่กิลเบิร์ตกดดันเจ้าของร้านด้วยแววตาที่แข็งกร้าว
เจ้าของร้านก็ยิ้ม ๆ และส่งเข็มกลัดให้พร้อมกับเอ่ยว่า “มาอีกครั้งก็ได้นะ”
เนื่องจากว่าเข็มกลัดนั้นมีราคาแพง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านนั้นมีความพอใจอย่างมากถึงมากที่สุด
เมื่อได้รับเข็มกลัดแล้ว
กิลเบิร์ตก็ดึงแขนของไวโอเล็ตอีกครั้งและพาออกมาจากจุดนั้น
ถนนคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาร่วมสนุกกับยามเย็นของเมือง ภายในฝูงชนที่หนาแน่นนั่น
พวกเขาสองคน
ที่ส่วนใหญ่มักจะถูกถามเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม
แต่ในตอนนี้คำถามนั่นกลับกลายเป็นความอึดอัด
เพราะไวโอเล็ตไม่คุ้นชินกับฝูงชน
ดวงตาของเธอจึงล่อกแล่กไปมาและขาของเธอก็เริ่มล้า และในตอนนั้นเอง
มือของพวกเขาก็ปล่อยออกจากกัน และแยกกันในที่สุด
และเมื่อกิลเบิร์ตรู้สึกตัวเขาก็หันมามองไวโอเล็ต ผมสีทองของเธอถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย
“ผู้พัน”
เขาได้ยินเสียงเรียกของเธอท่ามกลางเสียงของผู้คน
ถึงแม้ว่ามีคนมากขนาดไหนหรือเขาจะไม่เห็นเธอก็ตาม
แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะพลาดเสียงเธอไปได้ ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
นับตั้งแต่ที่เธอพูดคำว่า ‘ผู้พัน’ เป็นครั้งแรก เสียงที่เบาหวิวของเธอนั้นดังก้องอยู่ในหูของเขา
เขาจึงรีบเร่งเดินกลับไปยังเส้นทางที่พวกเขาเดินมา
“ไวโอเล็ต...”
ไวโอเล็ตมองมาที่เขาด้วยความเงียบสงบในขณะที่เขากำลังหอบหายใจอย่างหนัก
ดูเหมือนว่าการที่เธอหลงทางนั้นจะไม่ทำให้เธอเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
“ผู้พัน ฉันควรทำยังไงกับมันดีคะ?” เธอแสดงเข็มกลัดที่เธอจับมันไว้แน่นตลอดทางให้เขาดู
“กลัดไว้สักที่ที่เธออยากกลัดสิ”
“ฉันจะทำมันหายค่ะ”
กิลเบิร์ตถอนหายใจ
“ในสนามรบน่ะใช่ แต่เธอใส่แค่วันที่เธอหยุดพักก็เท่านั้น
แต่เพราะตาของเธอเป็นสีฟ้า บางทีมันคงจะดีกว่านะถ้าเธอจะซื้ออะไรสักอย่างที่เป็นสีฟ้าด้วย”
ไวโอเล็ตส่ายหัวของเธอทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้าย “ไม่ค่ะ
มันเป็นชิ้นที่ ‘สวย’ ที่สุด” เธอพูดขณะพยายามกลัดลงบนเสื้อของเธอ “มันเป็นสีเดียวกับดวงตาของผู้พัน”
เธอยืนยันอย่างชัดเจน
กิลเบิร์ตหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงหวานเสนาะหูของเธอ
––ทำไม...เธอ...ถึงพูดว่าตาของเขาสวย...ในเวลาแบบนี้กันนะ?
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ทำตัวราวกับว่าไม่มีหัวใจ
แต่เธอก็เคารพชายที่เลี้ยงเธอมาโดยที่ไม่ได้สอนให้เธอแสดงความรู้สึกเลยด้วยซ้ำ
––เขา...ไม่มีสิทธิ์...ที่จะได้รับคำพูดแบบนั้น
โดยที่ไม่ได้สงสัยเลยว่ากิลเบิร์ตกำลังคิดอะไร
ไวโอเล็ตก็ยังคงพูดต่อ “ฉันคิดว่า...มัน ‘สวย’ มาตลอดเลยค่ะ แต่ฉันไม่รู้จักคำนั้น
ฉันก็เลยไม่เคยพูด” ราวกับว่าเธอไม่สามารถแทงเข็มของเข็มกลัดได้อย่างแม่นยำ
เธอจึงแทงเข้าไปเรื่อย ๆ “แต่ตั้งแต่วันที่เราได้พบกัน ดวงตาของผู้พันสวยมากเลยค่ะ”
ภาพตรงหน้าของกิลเบิร์ตพร่าเลือนเมื่อเขาได้ยินเสียงกระซิบนั่น
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น
ไม่นานเขาก็กลับมามองเห็นชัดเจนอีกครั้งในขณะที่เขากำลังผลักดันความรู้สึกที่กำลังเผาไหม้อยู่ในตัวเขา
––ต้องกำจัดความรู้สึกนี้ออกไปซะ
เขาจะปล่อยให้เธอเห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ไม่ได้
เขาพยายามระงับความอ่อนไหวและความสุขของเขาที่กำลังเอ่อล้น
และการเป็นทหาร การระงับอารมณ์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก
“ให้ฉันใส่ให้สิ…” เขาเอาเข็มกลัดมาจากมือเธอและใส่ให้เธอแทน
ไวโอเล็ตก้มลงมองอัญมณีที่กำลังส่องประกายแวววาวอยู่บนปกเสื้อของเธอ
“ผู้พัน ขอบคุณมากค่ะ” เสียงของเธอเบาลงเล็กน้อย “ขอบคุณมากค่ะ”
เมื่อเขาได้ยินเธอพูดแบบนั้นซ้ำ ๆ
เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจและเหมือนกับว่าอกของเขากำลังเดือดพล่าน
––เขา...พูดอะไรไม่ได้เลย
เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้น
เขาคิดว่าเขาจะรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไรในเมื่อเขายังเอาความคิดมาเปลี่ยนเป็นคำพูดเช่นนี้
ความรู้สึกผิด ความเสียใจ ความขมขื่น ความโกรธ ความเศร้า
ความรู้สึกของเขาผสมปนเปกันในหัวของเขาและกำลังจะเอ่อล้นออกมา
ไม่กี่วันหลังจากนั้นสนามรบก็เปลี่ยนไปทันที
สงครามทวีปเริ่มขึ้นเพราะความขัดแย้งเรื่องการเงินระหว่างทางตอนเหนือและตอนใต้
และความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างตะวันตกและตะวันออกซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันและทำให้สถานการณ์ยิ่งมีความซับซ้อนมากกว่าเดิม
กิลเบิร์ตและกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชไม่ได้ถูกส่งเข้าไปร่วมต่อสู้ในสนามรบใหญ่
แต่ต่อสู้ในสนามรบที่เล็กกว่าที่อยู่ตรงจุดอื่น
บทบาทในการทำให้สงครามในครั้งนี้จบเร็วขึ้นกว่าเดิมนั้นขึ้นอยู่กับหน่วยจู่โจมและการรบที่หลากหลาย
– หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเป็นการต่อสู้เพื่อเคลียร์ปัญหาในจุดต่าง ๆ ทั่วทวีปนั่นเอง
มันไม่ใช่แค่การปะทะกันที่จุดๆเดียวและก็จบศึกตรงนั้นอย่างง่ายดาย
สนามรบถูกแบ่งแยกโดยเส้นที่ใช้ป้องกันการบุกรุกจากทางเหนือที่มีชื่อว่าอินเทนซ์
มันตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของทวีป
ทั้งภูมิภาคประกอบไปด้วยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทั้งตะวันตกและตะวันออกใช้ร่วมกัน
มันเป็นเมืองที่ทำจากหินและเป็นศูนย์กลางการจัดส่งที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนของตอนใต้และตะวันตก
ตะวันออกต้องการจะครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่น
จึงได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับทางตอนเหนือ และตะวันตกก็ร่วมมือกับทางใต้
สามนาฬิกาในตอนเช้า
มีรายงานเข้ามาว่าแนวป้องกันของอินเทนซ์ได้ถูกทำลายลงแล้ว
และบอกด้วยว่าแนวป้องกันนั้นซึ่งปกติจะเต็มไปด้วยค่ายของทหาร
ในตอนนี้ได้ถูกทำลายโดยทางตอนเหนือเรียบร้อย และในตอนนี้กำลังเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่ง
ในเวลาเดียวกัน ความขัดแย้งที่เล็กกว่าในหลาย ๆ พื้นที่ก็กำลังอยู่ตัว
แสดงให้เห็นว่าตอนเหนือที่ขาดทรัพยากรธรรมชาติมาตั้งแต่ต้น
และตะวันออกที่ให้การสนับสนุนนั้นไม่สามารถเอาเสบียงไปได้
จึงเปลี่ยนมาใช้กำลังทางทหารและเดิมพันกับทุกอย่างทั้งหมด
ส่วนค่ายของตอนใต้และตะวันตกนั้นที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวสำหรับการโจมตีที่แสนเซอร์ไพรซ์เช่นนี้ก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ
คำสั่งจากที่ประชุมได้ถูกส่งไปให้กิลเบิร์ตและหน่วยของเขาที่ได้ยินเรื่องการบุกเข้ามาแล้วทันที
สารที่ส่งมานั้นบอกว่าทหารทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้
และทุกหน่วยจะต้องบุกพร้อมกัน
ดูเหมือนว่ากองกำลังทหารของพันธมิตรของตอนเหนือและตะวันออกนั้นจะสามารถบุกเข้ามาถึงดินแดนศักดิ์และเข้าไปควบคุมแล้วเรียบร้อย
ในความเป็นจริง
ศึกครั้งต่อไปนั้นไม่ได้ต่อสู้เพื่อเสริมกำลังหรือทวงคืนดินแดนศักดิ์แต่อย่างใด –
แต่จะเป็นศึกครั้งสุดท้ายที่ต่อสู้อย่างเต็มเปี่ยมต่างหาก
และถ้าหากทำไม่สำเร็จก็จะทำให้ดินแดนและประเทศถูกขโมยไปได้อย่างแน่นอน
กองทหารที่ถูกส่งไปยังที่ต่าง ๆ ถูกเรียกมารวมตัวกันยังฐานที่มั่นในเขตชานเมืองอันศักดิ์ของอินเทนซ์
กว่ากิลเบิร์ตกับทหารในหน่วยจะมาถึงสำนักงานใหญ่ก็ดึกมากแล้ว
และที่ค่ายนั้น
กิลเบิร์ตก็ได้เจอกับฮอดกินส์อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน
“นายยังมีชีวิตอยู่” ครั้งนี้เป็นกิลเบิร์ตที่เจอฮอดกินส์และตบไหล่ของเขาก่อน
ชายผมแดงยิ้มกว้างเมื่อเขาหันมา “กิลเบิร์ต...ไง นายก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนกันหนิ นายเป็นห่วงฉันเหรอ? ลูกน้องของฉันก็ตายไปหลายคนเหมือนกัน
แต่...ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ล่ะนะ”
เขารับผิดชอบในส่วนของทหารที่ประจำการอยู่อินเทนซ์
รอยยิ้มของเขาไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าและการมองโลกในแง่ร้ายหลังจากที่สูญเสียลูกน้องของเขาได้เลย
เขายังหัวเราะกับมุกตลกของตัวเอง แต่ถุงใต้ตาของเขานั้นลึกโหลกและใบหน้าของเขาก็สกปรกซะเหลือเกิน
ระหว่างที่ย้ายสถานที่
กิลเบิร์ตและหน่วยของเขาก็ได้สำรวจไปรอบ ๆ แนวป้องกันในสนามรบของอินเทนซ์
แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากศพที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดบนพื้น
พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะสวดมนต์ภาวนาให้กับศพเหล่านั้น – เพราะทุกคนต้องไปเตรียมพร้อมกับสำหรับการรบครั้งสุดท้าย
ฮอดกินส์แทบทนไม่ได้กับเรื่องนั้น
เพราะพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นสหายที่เขาให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจด้วยชีวิตของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ไวโอเล็ตเดินเข้ามาหาเขานั้น เขาก็แสดงความร่าเริงออกมา “ผู้หญิงคนนี้คือ...เด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้นน่ะเหรอ?”
“ไวโอเล็ต ฉันตั้งชื่อให้เธอว่าไวโอเล็ต...”
“นายนี่...ตั้งชื่อได้เหมาะดีนะ ไวโอเล็ตตัวน้อยอย่างนั้นหรอกเหรอ? ก็นะ
นี่ไม่ใช่ครั้งที่เธอเจอฉันหรอกนะ แต่เธอคงจำฉันไม่ได้หรอกใช่ไหม? เรียกฉันว่า ‘ผู้พันฮอดกินส์’ สิ”
ไวโอเล็ตโค้งคำนับให้เขา
พร้อมกับถือซุปที่ถูกแจกจ่ายให้กับทหารทุกคนไว้ในมือ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในความมืด
แต่หน้าตาที่น่าดึงดูดของเธอที่โดนแสงไฟกระทบเล็กน้อยก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสะกดจิตไปชั่วอึดใจ
กิลเบิร์ตกระแอมในลำคอเล็กน้อย เสียงกระแอมนั่นทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์
“เธอโตเป็นสาวสวยเชียวนะ...” ฮอดกินส์พาดแขนลงบนไหล่ของกิลเบิร์ตและพูดเสียงเบาในขณะที่พวกเขาหันหลังให้ไวโอเล็ต
“นายนี่...นี่มัน...แย่จริง ๆ นะ รู้ใช่ไหม?
มีหญิงสาวอยู่ท่ามกลางสนามรบแบบนี้เนี่ย...คือ
ฉันหมายถึง...ดูเหมือนว่าเราก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพร่างกายของเธอหรอก...ขนาดหน่วยของฉันยังรู้เรื่องของเธอเลย”
“ฉันจะจับตาดูไวโอเล็ตเอง เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอก”
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น แต่...ฉันจะแนะนำยังไงดีล่ะ? มันเสียเปล่านะรู้ไหม
มันไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งอย่างเดียวเสียหน่อยที่เธอได้มันมาตั้งแต่เกิดน่ะ มันคงจะดีนะ...ถ้ามีงานที่ทำให้เธอได้ใช้คุณสมบัติอื่น ๆ ในตัวเธอบ้าง”
คำพูดนั้นแทงใจกิลเบิร์ต
มันค่อนข้างเจ็บปวดที่เขาได้ยินความคิดของตัวเองจากการชี้แนะของผู้อื่น
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างก็เป็นเพราะตัวกิลเบิร์ตทั้งนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว
ในขณะที่เขาเป็นผู้คุ้มครองเธอนั้น
เขาก็เป็นเพียงคนเดียวและเต็มใจอยากให้เธอต่อสู้มากที่สุด
––เขารู้เรื่องนั้น...ดีกว่าใครเลยล่ะ
ไม่ว่าเธอจะมีหน้าตาที่สวยจนน่าตะลึงหรือว่าจะเปี่ยมล้มไปด้วยความสามารถมากขนาดไหน แต่ตราบใดที่เธอยังถูกล่ามโซ่ติดไว้กับทหารอย่างกิลเบิร์ตแล้ว เธอก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตุ๊กตานักฆ่าหรอก
“รู้ไหม ฉันน่ะ...คิดว่าเมื่อสงครามนี้จบลงเมื่อไหร่ ฉันจะลาออกจากการเป็นทหารและเปิดธุรกิจของตัวเองล่ะ
ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ...ฉันกำลังคิดว่าถ้าฉันชวน...ไวโอเล็ตตัวน้อยมาทำงานด้วยจะดีไหมนะ”
ฮอดกินส์ดึงบุหรี่ออกจากกล่องที่บุบบู้บี้และคาบไว้ในปากของเขา
เนื่องจากเหลือบุหรี่เหลือแค่มวนเดียวในกล่อง
กิลเบิร์ตจึงรับมันมา เขาไม่โง่พอที่จะไม่รับบุหรี่จากเพื่อนของเขาหรอก
ยิ่งเฉพาะในคืนก่อนออกรบเช่นนี้ และเขาก็ไม่ได้สูบบุหรี่มาหลายอาทิตย์แล้วด้วย
พวกเขาขยับหน้าเข้ามาใกล้ ๆ และจุดไฟให้กัน
“เวลาที่ทหารพูดอะไรทำนองนี้ก่อนออกรบครั้งสุดท้าย ปกติแล้วมันจะหมายถึง ‘แบบนั้น’ นี้” กิลเบิร์ตพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่ปล่อยควันออกจากปาก
“ไม่ ฉันจะไม่ตายหรอกนะ! แน่นอนด้วย
ฉันน่ะคิดเรื่องที่จะซื้อบริษัทสักแห่งมาทำสักพักแล้วล่ะ”
“นายจะไปหาเงินมาจากไหนล่ะ?”
“จากการเดิมพันด้วยโชคชะตาของเราว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะน่ะสิ”
“ทำไม...นายถึงอยากใช้ชีวิตที่ไม่มั่นคงแบบนั้นล่ะ...?”
“นายก็เห็น ฉันไม่ได้มาจากครอบครัวที่คนในบ้านส่วนใหญ่เป็นทหารหรอกนะ ครอบครัวของฉันทำธุรกิจทั่วไป
และฉันก็เป็นลูกคนที่สองด้วย ฉันเข้าเกณฑ์ทหารก็เพราะว่าคนที่ต้องรับช่วงต่อธุรกิจของบ้านฉันก็คือพี่ชายของฉัน
ถ้าหากมีอะไรที่ลูกคนที่สองที่ตกงานอย่างฉันมีส่วนร่วมกับครอบครัวได้ก็คงจะเป็นการปกป้องมันด้วยการปกป้องประเทศใช่ไหมล่ะ?
เพราะงั้นถ้าตอนใต้ชนะแล้วไลเดนชาฟต์ลิชไม่ต้องสู้อีกต่อไปแล้ว
ถึงจะน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงก็เถอะ ฉันก็จะเปิดอยู่ดี
นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนที่จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าฉันตั้งใจจะทำจริง ๆ
ถึงฉันจะเป็นทหารต่อไปแล้วอาจจะได้เลื่อนยศสักขั้นสองขั้นก็เถอะ...ฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อยู่ดี
ฉันก็เพิ่งจะเข้าใจมันก็ตอนนี้ล่ะนะ”
กิลเบิร์ตรู้สึกอิจฉาฮอดกินส์จากใจจริงที่เขาพูดถึงความฝันของเขาด้วยความอายนิด ๆ
พวกเขาอาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้ก็ได้
แต่เพื่อนของเขากลับพูดถึงสิ่งที่อยากจะทำและวางแผนอนาคตไว้เรียบร้อย
มันอาจจะมีคนที่หัวเราะให้กับความคิดโง่ ๆ เช่นนี้
แต่กิลเบิร์ตกลับรู้สึกว่ามันน่าประทับใจ
––เขาไม่มีอะไรที่อยากทำเลย
และก็คิดไม่ออกด้วยว่าจะมีที่ไหนที่เขาไปได้
ที่เขามาได้ไกลขนาดนี้ก็เพราะว่าแกล้งทำตัวให้สมกับความคาดหวังที่เป็นเด็กที่เกิดในตระกูลทหารชั้นสูงอย่างโบเกนวิลเลียต่างหาก
––แล้วไวโอเล็ตล่ะ?
เธอนั่งอยู่บนพื้นห่างจากพวกเขาเล็กน้อย
และกำลังจับจ้องไปที่กองไฟ ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ข้างกายกิลเบิร์ตอยู่เสมอ
และไม่มีใครที่คิดจะคุยกับเธอด้วย
แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีสายตามากมายจากเหล่าทหารที่จับจ้องมาที่เธอ
เธอไม่เหมาะที่จะมีระยะห่างกับใครแบบนั้นเลย
––เธอควรจะ...ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอด้วยการใส่ชุดสวย ๆ
สวมเสื้อผ้าที่เหมือนกับวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป...ไม่สิ
ถึงชีวิตของเธอจะไม่ได้สวยงามก็ไม่เป็นไร
แค่เธอ...อยู่ในที่ที่เธอสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่เธอต้องการ
โดยที่ไม่ต้องรับคำสั่งจากเขา....เขารู้สึก...ว่าเธอจะสามารถ...ได้รับบางสิ่งที่พิเศษจากชีวิตแบบนั้นแน่นอน
“โอเค ถ้าธุรกิจของนายปลอดภัย ฉันอาจจะให้นายเป็นคนดูแลเธอก็ได้”
กิลเบิร์ตมีความสามารถในการเป็นทหาร
เขาไม่เคยรู้สึกกังวลหรือหวาดกลัวแต่อย่างใดในตอนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง
พระเจ้าได้มอบโชคชะตาที่เหมาะสมกับตัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
เนื่องจากฮอดกินส์ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะได้รับความยินยอมเช่นนั้น
เขาจึงเผลอทำบุหรี่ตกในขณะที่พูดว่า “หา?”
ราวกับอยากจะขอความแน่ใจอีกครั้ง
ไวโอเล็ตผู้ที่ซึ่งเงียบมาตลอดนานค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองมาที่พวกเขา
“อย่างที่ฉันพูด ถ้านายคิดว่ามันเหมาะกับไวโอเล็ต ฉันอาจจะให้นายเป็นคนดูแลเธอ…”
“จริงเหรอ!? ฉันถือว่านายรับปากแล้วนะ! ทุกคนต้องเป็นพยานให้เรื่องนี้!”
กิลเบิร์ตสำลักเมื่อเขาถูกดึงคอเสื้อและเขย่าไปมา “ฉันบอกว่า
‘อาจจะ’ เฉย ๆ
ไม่ได้บอกว่าจะให้จริง ๆ เสียหน่อย!”
“ธ-ธุรกิจของฉันน่ะจะต้องมีผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถเดินทางไปที่ที่อันตรายได้โดยไม่มีความลังเลใด ๆ...”
“ถ้านายจะให้เธอไปทำเรื่องอันตรายล่ะก็ ฉันขอปฏิเสธ”
“แหม
ถึงฉันจะบอกว่ามันอันตราย...แต่...ฉันก็ไม่ได้จะเป็นผู้อุปถัมภ์เสียหน่อย”
“ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังแล้วกัน ไว้เจอกันนะฮอดกินส์”
“นี่ กิลเบิร์ต! อย่าลืมสิ่งที่นายพูดล่ะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!
เข้าใจไหม!? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามน่ะ”
กิลเบิร์ตไม่สนใจสิ่งที่กิลเบิร์ตกำลังพูดและพาไวโอเล็ตกลับไปที่เต็นท์ของพวกเขา
พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันทั้งคืนเพราะว่ามีทหารหลายหมู่มารวมตัวกัน
ทำให้ไม่มีที่พักเพียงพอสำหรับทุกคน
และไวโอเล็ตก็ไม่สามารถมีเต็นท์เดี่ยวของตัวเองได้ นอกจากนี้
หากเธอได้อยู่เต็นท์ใหญ่คนเดียว
อาจจะมีคนพยายามเข้าไปทำมิดีมิร้ายเธอและอาจทำให้จำนวนทหารน้อยลงก่อนที่จะได้ต่อสู้ด้วย
เนื่องจากเต็นท์ของพวกเขาทั้งคู่นั้นต้องใช้ในการเก็บกระเป๋าด้วย
จึงเหลือพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้นที่สามารถนอนได้
เพราะงั้นถ้าหากพวกเขาเผลอพลิกตัวเมื่อไหร่คงจะโดนตัวกันอย่างแน่นอน
กิลเบิร์ตเพิ่งตระหนักได้ว่าเขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
––ไม่หรอก
แต่...
ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันนั้น
เขาก็กลับบ้านของเขาด้วยการอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ตอนนั้นตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด
และก็ยังไม่รู้วิธีการพูดด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าเขาจะกลัวเธอแต่เขาก็ยังกอดเธอไว้
ในตอนนั้น เธอจ้องมองมาที่เขาราวกับว่าเขาเป็นสิ่งลึกลับ
ส่วนตอนนี้
เป็นเขาที่กำลังมองเธอเสียแทนในตอนที่เธอปล่อยผมของเธอ
ถึงแม้ว่ารูปร่างของเธอจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างผอมเพรียวแล้ว
แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงวัยแรกรุ่นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม
รูปร่างหน้าตาของเธอก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี
และยังมีจิตวิญญาณของนักรบหญิงที่ดุร้ายเสียด้วย
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ากิลเบิร์ตจ้องเธอนานเกินไป
ไวโอเล็ตจึงหันมามองเขา และสายตาของพวกเขาก็ประสานกัน
“ผู้พัน” เธอเรียกเขาเสียงเบา
ราวกับกำลังจะบอกความลับกับเขา
“อะไรหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงที่เบาเหมือนกัน
“หลังจากนี้...ฉัน...ควรจะทำยังไงดีคะ?”
“เธอพูดเรื่องอะไร...? พรุ่งนี้ก็เป็นศึกสุดท้ายไง แล้วเราก็จะทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ในฐานะหน่วยจู่โจม”
“เปล่าค่ะ ฉันหมายถึงหลังจากวันพรุ่งนี้
ถ้าพรุ่งนี้จบแล้วฉันควรจะทำอะไรคะ? ผู้พัน คุณ...พูดเรื่องนั้นกับผู้พันฮอดกินส์
ว่าคุณจะมอบหมายให้เขาดูแลฉัน”
“เธอได้ยินเหรอ?”
ไวโอเล็ตยังคงมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเช่นเคย
หากแต่น้ำเสียงของเธอกำลังกังวลแปลก ๆ
“นั่นน่ะ...ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกนะ”
กิลเบิร์ตพูดราวกับมีโคลนอยู่ในปาก ไวโอเล็ตจึงเอ่ยถาม “ฉัน...ไม่จำเป็นแล้วหรือคะ?”
“ไวโอเล็ต?”
“ฉันต้องไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้พันฮอดกินส์...เพราะว่าฉันถูกปลดประจำการหรือคะ?
ฉันจะไม่ได้รับคำสั่งจากผู้พันแล้วหรือคะ?”
คำถามนั่นราวกับกำลังประณามว่าเธอคิดว่าตัวเธอเป็นแค่
‘สิ่งของ’ จริง ๆ
“ฉัน...เป็นไปได้ว่า...อาจจะไม่สามารถรับคำสั่งจากผู้พันฮอดกินส์ได้ค่ะ ฉัน...ไม่ค่อยเข้าใจ...มันนัก...แต่ฉันไม่สามารถทำได้ค่ะถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากคนที่ฉันยอมรับ
นั่นเป็นเหตุผล...ที่ฉันจะมีประโยชน์มากที่สุด...ถ้าฉันได้อยู่ข้าง ๆ ผู้พันค่ะ”
หน้าของกิลเบิร์ตฟุ้งซ่านไปด้วยประโยคของเธอที่ราวกับเครื่องจักรกำลังพูด
“เธอ...อยากได้คำสั่งของฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เขาผู้ที่ซึ่งเป็นหัวหน้าของเธอนั้นไม่เคยพูดคำไหนเลยนอกจากคำว่า
‘ฆ่า’ นั่นล่ะคือแบบอย่างของผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเธอมา
แบบอย่างที่ผู้ชายอย่างเขาเป็น
“คำสั่งเป็นทุกอย่างสำหรับฉันค่ะ และ...ถ้าผู้พันไม่ได้เป็นคนสั่ง...ฉัน...”
––ทำไม...เขาถึงรู้สึกเศร้าอีกแล้วล่ะ...?
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
ไวโอเล็ตจะย้ำเตือนเขาในขณะที่คิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เครื่องมือ
เธอจะทำแบบนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยากให้เธอทำก็ตาม มันเป็นธรรมชาติของเธอ
เป็นวิถีชีวิตของเธอ และเป็นสิ่งที่เธอเป็น
––แต่แบบนี้มัน...
มันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเหลือเกินที่ยังต้องเห็นเธอเป็นแบบนั้นต่อไป
––ทำไม...ต้องเป็นเขา...
“ทำไมถึงต้องเป็นฉัน...เธอ...ทำไมมันถึงต้องเป็นฉันล่ะ?”
“คะ?”
เสียงพึมพำของเขาคงจะเบาเกินไปถึงแม้ว่าเราจะอยู่ใกล้กันมากแค่ไหนก็ตาม
กิลเบิร์ตเอ่ยคำพูดออกมาด้วยความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยแสดงให้ไวโอเล็ตเห็นมาก่อน
“หลังจากศึกนี้...เธอไม่ต้องรับคำสั่งจากฉันอีกแล้ว
ฉัน...วางแผนจะปล่อยเธอไป เธอควรทำในสิ่งที่เธออยากทำเหมือนกัน
เธอไม่ต้องรับคำสั่งจากใครอีกแล้ว ทำสิ่งที่เธออยากจะทำ ตอนนี้...เธอคงจะอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วใช่ไหม?”
“แต่...ถ้าฉันทำแบบนั้น ฉันจะต้องรับคำสั่งจากใคร...”
“อย่าฟังคำสั่งจากใครทั้งนั้น”
ด้วยใบหน้าของเธอนั้น
ไวโอเล็ตก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงที่ยังเยาว์วัยเท่านั้น
มันทำให้เขาอยากถามว่าทำไมเธอถึงต้องเข้าไปสนามรบ ทำไมร่างกายของเธอถึงต้องการสงครามด้วย?
ทำไมเธอถึงไว้วางใจคนอื่นและยอมเป็นเครื่องมือของพวกเขา?
––ทำไมเธอ...ถึงเลือกเขาให้เป็นเจ้านายของเธอล่ะ?
“นั่นเป็น...คำสั่งหรือคะ?” สีหน้าของไวโอเล็ตที่เปลี่ยนไปนั้นราวกับกำลังขอร้องอย่างหมดท่าด้วยความปรารถนาในสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นนั้น
"นั่นเป็นคำสั่งของผู้พันหรือคะ?"
––อ่า...ทำไมกันนะ? มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?
“นั่น...ไม่ใช่...หรอกนะ”
“แต่คุณพูดว่า ‘อย่าฟัง’ นี่คะ...”
––อ่า มันไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย
ความข้องใจที่ทุกสิ่งไม่เป็นไปตามที่เขาหวังนั้นเดือดพล่านอยู่ในหัวของเขาและระเบิดออกมา
“ทำไม...เธอถึงคิดว่าทุกสิ่งที่ฉันพูดถึงเป็นคำสั่งหมดเลยล่ะ?! เธอคิดว่า...ฉันเห็นเธอเป็นเครื่องมือจริง ๆ เหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น
ฉันก็คงไม่อุ้มเธอหรือทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับเธอในตอนที่เธอโตเป็นสาวแบบนี้หรอก!
ไม่ว่ายังไง...เธอก็ไม่เข้าใจ...ความรู้สึกของฉัน...ที่มีต่อเธอเลย
ปกติ...คนอื่น ๆ คงจะ...เข้าใจมันแล้วแท้ ๆ แม้แต่ตอนที่ฉันโกรธ
แม้แต่ตอนที่ทุกอย่างมันยากไปหมด ฉัน...!” เขาเห็นใบหน้าที่น่าสมเพชของเขาสะท้อนอยู่ในแววตาของไวโอเล็ต
“ฉัน...ไวโอเล็ต...”
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นมองมาที่กิลเบิร์ตเสมอ
เหมือนกับที่ดวงตาสีเขียวของเขาที่มองไปที่เธอเช่นกัน และกว่าที่เขาจะรู้สึกตัว
ว่าเขาได้มองเธอแบบนั้นมาตลอด ไม่ว่าจะกี่เดือนหรือสี่ปีที่ผ่านมาก็ตาม
พวกเขาจะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ
“ผู้...พัน...”
นับตั้งแต่ที่ริมฝีปากสีกุหลาบของเธอได้เอื้อนเอ่ยออกมาคำแรก
กิลเบิร์ตก็ได้ทำทุกอย่างที่เขาทำได้เพื่อปกป้องเธอไปแล้ว
เขาเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งด้วยซ้ำในตอนที่พวกเขาพบกัน
“เธอไม่ได้ไม่มีความรู้สึกใช่ไหม? ไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม?
ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม?
ถ้าเธอไม่มีความรู้สึกจริง ๆ แล้วสีหน้าแบบนั้นคืออะไรล่ะ? เธอทำหน้าแบบนั้นได้ด้วยใช่ไหม?
เธอมีความรู้สึก เธอมี...หัวใจเหมือนกับฉันใช่ไหม!?”
เสียงตะโกนของเขาอาจจะดังไปถึงเต็นท์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ได้
ในเสี้ยววินาทีนั้น พอคิดว่าคนอื่นจะได้ยินเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะสอนเธออย่างอวดดีแบบนั้น
“ฉัน...ไม่เข้าใจ...ความรู้สึกค่ะ” ไวโอเล็ตพูดด้วยเสียงสั่นเทา
ราวกับว่าเธอไม่รู้ว่าการแสดงออกของเธอนั้นเป็นการแสดงออกถึงความหวาดหวั่น
“เธอ...คิดว่าตอนนี้ฉันน่ากลัว...ใช่ไหม? เธอไม่ชอบ...ที่อยู่ดี ๆ ฉันก็ตะโกนใส่เธอใช่ไหม?”
“ฉันไม่รู้ค่ะ”
“เธอไม่ชอบที่จะโดนดุในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจใช่ไหม?”
“ฉันไม่...รู้ค่ะ ฉันไม่รู้”
“โกหก...”
“ฉันไม่รู้ค่ะ” ไวโอเล็ตส่ายหัว
และแก้ตัวอย่างจริงจัง “ผู้พัน ฉัน...ไม่รู้จริง ๆ ค่ะ”
เธอขาดบางสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับความเป็นมนุษย์ไป
และถึงแม้ว่าเธอจะมีความรู้สึก เธอก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้
เธอถูกเลี้ยงดูมาแบบนั้น
––เรื่องแบบนี้...จะต้องโทษใครกัน?
กิลเบิร์ตยกมือขึ้นปิดเปลือกตาของเขาและหลับตา
ด้วยการทำแบบนั้นเขาจะได้ไม่เห็นหน้าเธออีก
ทั้งหมดที่เขาได้ยินมีแต่เสียงลมหายใจของเธอเท่านั้น เขาไม่เห็นอะไรอีกเลย
“ผู้พันคะ” ราวกับว่าเขากำลังวิ่งหนีความเป็นจริง
เสียงของไวโอเล็ตก้องอยู่ในหูของเขา “ฉัน...ไม่เข้าใจตัวเองค่ะว่าทำไมฉันถึงต่างจากคนอื่น ทำไมฉันถึงไม่สามารถ...รับคำสั่งจากใครได้นอกจากผู้พัน...?” เสียงของเธอราวกับหมดหวังเต็มที
“ตอนที่...ฉันเจอผู้พันครั้งแรก ฉันคิดแต่ว่าฉันจะต้อง ‘ตามคนคนนี้ไป’ ค่ะ”
แค่ฟังเธอ
เขาก็บอกได้เลยว่าเธอนั้นเด็กมากขนาดไหนถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากก็ตาม
“ในตอนที่ฉันติดอยู่ในวังวนของคำพูดเหล่านั้น ฉันไม่สามารถแยกแยะมันได้ค่ะ
และในตอนที่ผู้พันกอดฉันไว้...นั่นอาจจะเป็นสิ่งแรก...ที่ฉันแยกแยะมันได้ค่ะ
ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นกับฉันมาก่อน...ด้วยความตั้งใจที่จะปกป้องฉัน...แม้กระทั่งตอนนี้
นั่นคงเป็นเหตุผล...ที่ฉันอยาก...รับคำสั่งจากผู้พัน
ถ้าฉัน...ได้รับคำสั่งจากผู้พันแล้ว ฉันไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นค่ะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เด็ก
แต่เธอก็แสวงหามันจากกิลเบิร์ตเท่านั้น
––เรื่องนี้...จะต้องโทษใครกัน?
หลังจากเงียบไปสักพัก
กิลเบิร์ตก็กระซิบเสียงเบา “ไวโอเล็ต ฉันขอโทษ”
เขาลืมตาขึ้นและยื่นมือเข้าไปหาเธอเพื่อห่มผ้าห่มให้เธอจนถึงปากของเธอ
“ฉันพูดเหมือนกำลังกล่าวหาเธอทั้ง ๆ ที่เธอไม่ผิดเลย...ฉันอยากให้เธอยกโทษให้ฉัน
พรุ่งนี้...จะเป็นการต่อสู้ชี้ขาด หลาย ๆ คนคาดหวังในความแข็งแกร่งของเธอนะ
เพราะงั้น หลับเถอะ ค่อยคุยกันทีหลัง...ว่าเราจะทำอะไรหลังจากนั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
“ค่ะ” ไวโอเล็ตถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ฉันจะทำตัวให้มีประโยชน์ที่สุดค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ผู้พัน”
“อ่า...ราตรีสวัสดิ์ ไวโอเล็ต”
มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นครู่หนึ่ง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน กิลเบิร์ตก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
เขาหันหลังให้ไวโอเล็ต พยายามจะข่มตานอนให้หลับ แต่เมื่อเขาหลับตา
น้ำตาก็ไหลลงมาในทันที
––ใต้เปลือกตาของเขาร้อนเหลือเกิน
เหมือนกับลูกกะตาของเขากำลังลุกไหม้อยู่เลย
น้ำตาของเขาเอ่อล้นจนเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
มันไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามไม่ปล่อยให้เสียงของเขาหลุดออกไป
เขายกมือขึ้นปิดหน้าของเขาไว้ และอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอกของเขา
––เรื่องนี้...จะต้องโทษใครกัน?
นั่นคือทั้งหมดที่เขาคิดตลอดคืนนั้น
กำแพงหินขนาดมหึมาที่ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์อินเทนซ์นั้น
รูปลักษณ์ภายนอกของมันให้ความรู้สึกที่น่ากลัว
หากแต่ภายในนั้นมีโครงสร้างที่คล้ายกับสวนกล่อง มีทางน้ำที่ซับซ้อน กังหันลม
และทุ่งเปิดโล่ง มีทางเข้าและทางออกแค่ทางเดียวเท่านั้น
มีถนนที่กว้างขวางโดดเดี่ยวที่ถูกเรียกว่าถนนแสวงบุญที่ทอดยาวไปจนถึงใจกลางเมืองและมีความลาดชันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงสิ้นสุดวิหาร
มหาวิหารที่ปกป้องพระคัมภีร์ที่มีภาพที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการกำเนิดทวีป
และเทพเจ้าหลายองค์ที่ได้รับการบูชาทั้งทวีป
เช่นเดียวกับการต่อสู้แบบโบราณและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่เกิดวันโลกาวินาศขึ้น
สถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเป็นที่ซึ่งคัมภีร์ดั้งเดิมที่ถูกเก็บไว้ในมหาวิหารได้ถูกสร้างขึ้น
การกำเนิดทวีปได้อธิบายถึงลักษณะและการกระทำของเทพเจ้า และท้ายที่สุดก็พูดถึงว่าพระคีมภีร์ดั้งเดิมเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากที่สุด
ไม่ว่าเทพองค์ใดจะเชื่อสิ่งไหนก็ตาม
มันเป็นดินแดนแห่งสันติภาพที่ทุกนิกายจะมาพบกันโดยบังเอิญโดยผ่านการเผยแพร่ของคัมภีร์
กิลเบิร์ตและทหารของตอนใต้และตะวันตกนั้นจะต้องบุกเข้าไปยังดินแดนแห่งสันติภาพนั่นและทวงคืนมันมา
“ปัญหาคือเราจะหาวิธีแทรกแซงเข้าไปยังไงต่างหาก”
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
ในขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่ผู้บังคับบัญชาต้องการยืนยันแผนของพวกเขาอีกครั้งในการประชุม
ในฐานะผู้นำที่รอดตายมาได้ ฮอดกินส์ได้รับการไว้วางใจให้วางแผนกลยุทธ์หลัก
เขาวาดไดอะแกรมขนาดเล็กขึ้นและเขียนข้อความโน้ตไว้เหนือรูปกล่อง “มีทางเข้าและออกเพียงทางเดียวเท่านั้น” “เมือง ๆ นี้เหมือนกับสวน” “การจับกุมอาจจะเป็นเรื่องที่ลำบาก” และตามความเห็นของฮอดกินส์ ผู้ที่ต่อสู้มาอย่างต่อเนื่องในแนวป้องกัน
เขาบอกว่ามีคำสั่งที่สั่งให้อัศวินปกป้องพระคัมภีร์ที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
และทางน้ำของน้ำบาดาลนั้นมีไว้เพื่อขัดขวางใครก็ตามที่พยายามจะเข้ามาขโมยมัน
“กองกำลังหลักจะต้องเข้าไปทางประตู เพราะเราคิดว่าถึงการปีนกำแพงเข้าไปนั้นจะเป็นการโจมตีที่สร้างความตกใจได้จริง
แต่กำแพงนั่นมันใหญ่เกินไป มันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่จะปีนมัน
และเราก็ต้องสร้างบันไดเพื่อปีนข้ามมันอีก ผมว่ามันจะทำให้พวกทหารหมดกำลังใจสู้
และพวกศัตรูเองก็อาจจะสร้างป้อมปราการไว้แล้วด้วย เพราะงั้นผมถึงไม่อยากให้กองกำลังหลักที่มีคนจำนวนเยอะกว่าโจมตีด้วยวิธีนั้น
คนแรก พันตรีกิลเบิร์ตของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลนเดนชาฟต์ลิช”
เมื่อได้ยินฮอดกินส์ขานชื่อ
กิลเบิร์ตก็ยกมือ นอกเหนือจากเขาก็มีผู้บัญชาการจากหน่วยจู่โจมอีกสี่คนที่ถูกเรียก
หน่วยของพวกเขาถูกแยกไปยังประเทศต่าง ๆ
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นหน้ากันตัวเป็น ๆ
“ความจริงแล้ว คัมภีร์ที่ถูกเก็บไว้ในวิหารนั่นเป็นของปลอม
ของจริงถูกย้ายไปไว้ที่อื่นตั้งแต่ที่กองทัพของตอนเหนือและตะวันออกบุกเข้ามาแล้ว
ผมไม่รู้ว่าพวกศัตรูได้สังเกตเห็นหรือเปล่า…แต่ท่อระบายน้ำใต้ดินยังใช้งานได้อยู่
ดังนั้นเราจึงให้หน่วยจู่โจมบุกเข้าไปทางนั้น หน่วยที่ 1
จะควบคุมมหาวิหารไว้และจุดเพลิงเพื่อส่งสัญญาณทันทีเพื่อประกาศชัยชนะ
ฟังดูแล้วมันอาจจะดูน่าตลก แต่การก่อกวนก็อาจก่อให้เกิดระเบิดที่มีประสิทธิภาพได้
ส่วนหน่วยที่ 2 และ 3
จะมุ่งไปยังใจกลางเมือง การต่อสู้จะถูกควบคุมไว้ที่ทางเข้าเท่านั้น แน่นอนล่ะว่าต้องมีพวกทหารคอยเฝ้าระวังรอบ ๆ เมือง
แต่ถ้าเราไม่กระจายกำลังออกไป ภารกิจของเราก็จะไม่มีวันสำเร็จ
พวกศัตรูต้องแปลกใจแน่ถ้าได้เห็นพลุไฟนั่น และก็ต้องตามมาจัดการอย่างแน่นอน
และก็หน่วยที่ 4 จะโจมตีแนวหน้าเพื่อบุกเข้าไปทางประตูให้ได้”
หน่วยแรกเป็นหน่วยของกิลเบิร์ต
ไม่ว่าหน้าที่ที่พวกเขาได้รับจะอันตรายสักแค่ไหน แต่พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อภารกิจนั้นอย่างดีที่สุด
“คือผมหมายถึง แผนนี้เป็นแค่แผนในอุดมคติเท่านั้น
แน่นอนว่าความเป็นจริงมันคงจะไม่เรียบง่ายแบบนั้น ถ้าหากหน่วยจู่โจมทำงานล้มเหลว
ให้ถอนกำลังและเผาข้างนอกแทน ทุ่งมันกว้างใหญ่มาก ดังนั้นไฟมันจะลามได้เร็วขึ้น หลังจากนั้นแผนก็จะดำเนินต่อไป…แต่การจุดไฟในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่คนอื่นคงยอมไม่ได้
เพราะงั้นได้โปรดอย่าเกลียดพวกเราเลย
พวกเราเหล่าทหารแห่งกองทัพตอนใต้ไม่ใช่พวกที่ไม่เชื่อใจพระเจ้า
ผมเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พูดจริง ๆ นะ นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้ว
มันเป็นโอกาสเดียวของเราเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
พวกศัตรูก็จะยิ่งสร้างป้อมปราการบนพื้นที่แสวงบุญของอินเทนซ์มากขึ้นเท่านั้น
และคงยากที่จะทวงคืนมันมา
คนที่อยู่ในนั้นก็จะยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้นเท่านั้น
ผมต้องการที่จะยุติสงครามนี่สักที ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะต้องโดนใส่ร้ายป้ายสีก็ตาม
กุญแจหลักของภารกิจครั้งนี้…จะเป็นของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลนเดนชาฟต์ลิช
พวกเราหวังพึ่งนายนะ”
เมื่อได้รับการฝากความหวังที่หนักแน่นเช่นนั้น
กิลเบิร์ตก็ตอบเสียงเบา “ฉันรู้
ว่าการป้องกันมหาวิหารคงจะแข็งแกร่งน่าดู แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ‘อาวุธ’ ของไลเดนชาฟต์ลิชจะไม่ทำให้ผิดหวัง
ฉันอยากให้แต่ละหน่วยสบายใจในเรื่องนั้นและมีสมาธิกับภารกิจก็พอ”
คำพูดของกิลเบิร์ตดูเหมือนกำลังอนุมานถึงพลังของลูกน้องของเขา
ในขณะที่เขากำลังจะออกไปทำสงคราม ทุกคนต่างก็อวยพรให้เขาโชคดีในตอนที่จับมือเขา
นอกจากนั้น คำสาบานนั่นก็รวมไปถึงคำอวยพรของกิลเบิร์ตด้วย
“ฉันอยาก…ให้ศึกครั้งนี้เป็นศึกครั้งสุดท้ายจริง ๆ”
รั้วหินที่ล้อมรอบพื้นที่ศักด์สิทธิ์ของอินเทนซ์นั้นเป็นช่องทางสำหรับการชลประธาน
ทางน้ำนั่นลึกมากพอที่จะแตะถึงเอวของผู้ใหญ่ได้เลย ตามเส้นทางของมันนั้น มีน้ำตกที่เหมือนกับเหวและสามารถไหลลงไปยังใต้ดินได้
ภายในของระบบระบายน้ำแบ่งออกเป็นหลายเส้นทาง และถ้าหากมีน้ำที่ไหลเข้าไปในเมืองได้
มันก็ต้องไหลผ่านมหาวิหารด้วย
หน่วยทั้งหมดเริ่มการแผนการแทรกซึมในขณะที่กำลังติดตั้งบันไดอย่างระมัดระวัง
หน่วยที่
2, 3 และ 4 แยกไปตามเส้นทางของพวกเขา
เหลือเพียงแค่กิลเบิร์ตและหน่วยที่ 1 เท่านั้นที่ยังคงวิ่งไปตามท่อระบายน้ำใต้ดินที่แสนยาวเหยียด
พวกเขาเชื่อว่าจะต้องมีการซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน
แต่พวกเขากลับผิดหวังเมื่อไม่พบสัญญาณอะไรเลย
คนในหน่วยบางคนเริ่มคิดว่าแผนของพวกกำลังไปได้สวยและเริ่มที่จะพูดคุยกันเบา ๆ
แต่เมื่อกิลเบิร์ตชำเลืองมองไปยังไวโอเล็ตนั้น
เขาก็สรุปได้ทันทีว่าเธอไม่คิดเช่นนั้น
ใบหน้าของเธอยังคงไร้อารมณ์ถึงแม้ว่าชีวิตของเธอจะน่าหวาดหวั่นแค่ไหนก็ตาม
แต่ก็แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
––ไวโอเล็ต…รู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่าง
หลังจากวิ่งไปสักพัก
พวกเขาก็เห็นปลายทางของช่องทางที่แสนซับซ้อนของระบบชลประธาน มีบันได
และอะไรบางอย่างที่คล้ายกับฝาเหล็ก ถัดไปจากนั้นก็เป็นโลกภายนอก
ไวโอเล็ตหยุดเคลื่อนไหวทันที
และคนอื่น ๆ ก็หยุดตามเช่นกัน
“ผู้พัน ศัตรูน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่อยู่เหนือเราแล้วค่ะ”
“เธอได้ยินอะไรงั้นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ฉันคิดว่าเป็นแบบนั้นเพราะฉันไม่ได้ยินอะไรเลย
ถ้าฉันเป็นผู้บัญชาการของพวกเขา
ฉันก็คงจะกำจัดหน่วยจู่โจมที่นี่ในขณะที่พวกเราพยายามจะบุกเข้าไป
ถ้าเราปีนบันไดขึ้นไปและออกไปข้างนอก เราจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอนค่ะ ผู้พันคะ ฉันจะเป็นคนนำไปก่อนเองค่ะ”
ไวโอเล็ตเอ่ยแบบนั้นพร้อมกับเอาขวานที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อเธอจากผู้ถือที่อยู่ด้านหลังของเธอมา
“ไม่ได้ เรายังไม่รู้ว่าพวกมันมีจำนวนเท่าไหร่”
“ถ้าพวกเขามีจำนวนมาก
นั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันต้องเอาชนะศัตรูทั้งหมดให้ได้เพื่อให้ทุกคนได้ขึ้นไปอย่างปลอดภัยค่ะ
ขอคำสั่งด้วยค่ะ ผู้พัน”
ในใจของกิลเบิร์ตอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า
‘คำสั่ง’
“ผู้พันคะ คำสั่งค่ะ”
มันเหมือนเขากำลังบอกให้เธอไปตาย
“ผู้พันคะ!”เธอขอร้องให้เขาเอ่ยคำนั้นออกมา
ไม่เพียงแต่ไวโอเล็ตเท่านั้น
แต่ทุกคนก็กำลังมองมาที่กิลเบิร์ต
“สัญญาณไฟพร้อมจุดแล้วหรือยัง?”
หลังจากที่วานแผนเรียบร้อย
ทุกคนก็ยืนชิดกับกำแพงในขณะที่ไวโอเล็ตยืนอยู่ใต้ฝาเหล็กคนเดียวพร้อมกับถือเวทย์มนตร์ไว้ในมือ
เธอบังคับโซ่ถ่วงน้ำหนักของเธอ และบิดร่างกายของเธอไว้เท่าที่เธอจะทำไหว
จากนั้นจึงปลายโซ่ไปทางฝาเหล็ก
พวกเขาสามารถมองเห็นสีหน้าที่ประหลาดใจจากศัตรูของพวกเขา อย่างไรก็ตาม
ก่อนที่พวกเขาจะกระหน่ำกระสุนใส่ไวโอเล็ตได้
ปลายของโซ่ก็ได้บีบแคปซูลจนแตกและปล่อยสัญญาณไฟ แสงจ้านั่นทำให้พวกศัตรูมองไม่เห็น
“ฉันจะไปแล้วค่ะ!”
ไวโอเล็ตปีนบันไดอย่างรวดเร็วและหายตัวไปทันที ไม่นานหลังจากนั้น
เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น
“โอเค เราก็จะปีนขึ้นไปเหมือนกัน!
ไปหาที่ซ่อนซะในตอนที่ไวโอเล็ตยังหนุนหลังพวกเราอยู่!” กิลเบิร์ตปีนบันได
และนำทุก ๆ คนไป ในขณะที่ไวโอเล็ตกำลังกำจัดคนหลายสิบคนทิ้ง
สิ่งที่ทางน้ำใต้ดินนำไปนั้นไม่ใช่วิหาร
แต่เป็นทางลัดไปหาพวกมันต่างหาก ในขณะที่สายตาของพวกมันกำลังจับจ้องไปที่เธอ
สมาชิกในหน่วยก็รีบวิ่งไปยังตึกที่จะใช้เป็นเกราะกำบังและซ่อนตัวพวกเขาได้
“สไนเปอร์! เตรียมพร้อม!”
ทหารทุกคนที่อยู่รอบตัวไวโอเล็ตเล็งเป้าไปที่เธอ
เธอผลักเวทย์มนตร์ลงไปกับพื้น และกระโดดสูง
ในขณะที่เธอแตะเท้าลงบนพื้นด้วยแรงถีบสุดพลังนั่น
ก็ราวกับว่าเธอกำลังเต้นรำอยู่กลางอากาศในขณะที่ขยับตัวออกจากห่างเป้าของไรเฟิล
“ยิง!!”
กระสุนทั้งหมดลอยผ่านไวโอเล็ตและยิงเข้าไปที่พวกทหารที่กำลังเข้ามาหาเธอแทน
ในเวลาเดียวกัน เธอหมุนตัวกลางอากาศและหยิบปืนจากซองหนังที่อยู่ในเครื่องแบบทหารของเธอ
และก่อนที่เธอจะถึงพื้น
เธอก็ยิงทหารสองคนที่พยายามจะทำร้ายกิลเบิร์ตและคนอื่น ๆ จากมุมอับ
และเมื่อเท้าของเธอสัมผัสกับพื้นดิน เธอก็จับโซ่ของเวทย์มนตร์และหมุนตัวไปรอบ ๆ
หัวของทหารจำนวนสองสามคนที่พยายามจะหนีจากการโจมตีของเธอหลุด
เส้นทางบางแห่งที่ก่อนหน้านี้ถูกปิดล้อมด้วยศัตรูถูกเปิดออก
และไวโอเล็ตก็บุกเข้าไปหลังจากสังหารแนวหน้าทั้งหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ทหารทุกนาย เดินหน้าาา!!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของกิลเบิร์ต
ทุกคนก็ดึงดาบออกมาและตามเธอไป ไม่มีใครที่สงสัยเจ้าของแผ่นหลังเล็ก ๆ นั่นอีกต่อไปแล้ว
ในวันนั้น มือสังหารที่เยี่ยมยอดที่สุดก็คือตัวเธอเอง
“โอ้ววววววววววววววววววววววววววววววว!!”
กองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่มหาวิหาร
ในขณะเดียวกัน การต่อสู้อันสิ้นหวังได้แพร่กระจายไปยังบริเวณประตูหลักระหว่างทิศใต้และทิศเหนือ หน่วยปราบปรามที่นำโดยฮอดกินส์ประสบความสำเร็จในการบุกทะลวงประตูถึงแม้ว่าจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายที่เข้ามามีส่วนร่วมในบริเวณใกล้เคียงเป็นจำนวนมากก็ตาม
“เป็นการต่อสู้ที่สง่างามมากซะทีเดียวเลยนะ” ฮอดกินส์ที่มีหน้าที่กำกับทิศทางเลียริมฝีปาก “ง่ายมาก ง่ายมากสำหรับพ่อค้าอย่างฉัน ง่ายเกินไป ฉันเห็นผลกำไรจากทั้งฝั่งผู้แพ้และผู้ชนะของสงครามครั้งนี้ได้อย่างชัดเจนเลย พวกเขากลัวเมืองถูกทำลายจริง ๆ เหรอ? ถึงมันจะเป็นซัพพลายเออร์ของพวกเขาก็เถอะ พื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเห็นแม้กระทั่งในความฝันใช่มั้ย? ใช่มั้ยล่ะ?” เขาขึ้นเสียงพร้อมกับรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกลัว “หน่วยสนับสนุน เอาเครื่องเหวี่ยงกระสุนออกมา! มาทำลายกังหันลมที่ศัตรูใช้เป็นที่กำบังกันเถอะ! เราจะพังมันลงมาและบดขยี้กองหลังของพวกมัน! ทหารของพวกมันจะเริ่มทยอยออกมาเรื่อย ๆ แต่อย่ายอมแพ้! ใครก็ตามที่ใช้ป้อมปราการนี้ได้ดีกว่าจะเป็นผู้ชนะ! สั่งสอนให้พวกมันรู้ว่าฝั่งไหนทำได้ดีที่สุด!”
“ครับผม!” เสียงตะโกนตอบกลับข้อตกลงนั่นพร้อมกับที่นักรบแต่ละคนลงมือในทันที
ผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ก็จริง แต่กระนั้นก็หมายความว่าพวกเขามีโอกาสชนะด้วยเช่นกัน
ณ ด้านหลังของทางลาดที่ทอดยาวไปทางเบื้องหลังของศัตรูนั้นสามารถเห็นอาสนวิหารอันโออ่าตระการตา ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณแจ้งเตือนใด ๆ จากที่นั่น
––กิลเบิร์ต ฉันฝากนายด้วยนะ ฉันล่ะหน่ายกับทุกสิ่งเต็มทีแล้ว
“ฉันโกรธมาตั้งแต่เมื่อวาน… ไม่สิ โกรธมาตั้งนานนมแล้ว! มาจบสงครามงี่เง่านี่สักทีเถอะ!” ฮอดกินส์ยกปืนขึ้น และเข้าไปในกลุ่มก้อนขมุกขมัวของฝุ่นเพื่อต่อสู้เคียงข้างกับสหายของเขา
“กองกำลังหลักเริ่มบุกเข้าไปทางประตูแล้ว กองกำลังทหารของตอนเหนือและตะวันออกที่ควบคุมพื้นที่นั้นแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนคือทางประตูและในวิหาร
และเราเชื่อว่านายพลของพวกมันก็น่าจะอยู่ในสองกลุ่มนั้น เพื่อที่เราจะชนะ
เราต้องตัดหัวของมันและเข้าไปควบคุมวิหารให้ได้ ถ้าขวัญกำลังใจของพวกมันหายไปล่ะก็
เราชนะ”
กองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชซ่อนตัวอยู่ในตึกใกล้ ๆ และหันหน้าไปทางวิหาร
พวกเขาพยายามแยกแยะสถานการณ์ตรงหน้าหลังจากได้ข่าวจากทหารสื่อสารจากหน้าประตูใหญ่
มหาวิหารที่สามารถมองได้จากหน้าต่างในตัวอาคารถูกป้องกันโดยกำแพงเหล็กอย่างแน่นหนา
ทหารติดอาวุธมากมายยืนล้อมรอบนอกหอคอยทรงกระบอกของมหาวิหาร
แต่ตรงกันข้ามกับทหารที่อยู่ในกองรุกที่เหลือจำนวนนิดเดียว
ถึงแม้ว่าจะมีผู้บาดเจ็บที่ถูกแบกไปตัวอาคาร แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีจำนวนเท่าไหร่ และยอดของวิหารก็อยู่สูงจากพื้นมากที่จะปีนขึ้นไปได้
เพียงแค่ประตูเท่านั้นที่เป็นได้ทั้งทางเข้าและทางออกเดียว
ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความหวัง แต่อย่างไรก็ตาม
การบุกเข้าไปทางประตูหน้าเลยก็คงจะไม่ได้อะไรนอกจากได้ทิ้งชีวิตของตนไปเปล่า ๆ
ทุกคนกำลังหมดแรง พวกเขาอาจจะหนีไปที่นั่นเพื่อรอเวลาได้
แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป
คนอื่นนั่งอยู่ที่พื้น
มีเพียงแค่ไวโอเล็ตที่ยังยืนอยู่ข้างหน้าต่างตลอดเวลา
กิลเบิร์ตคิดว่าเธอกำลังเฝ้ามองศัตรู และดูเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
“ผู้พัน ดูตึกนั่นสิคะ”
เขามองออกไปข้างนอก
มันเป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ไม่มีลักษณะโดดเด่นใด ๆ เลย
“หลังคาของมันเปิดอยู่ค่ะ และระยะห่างจากวิหารก็ไม่ไกลเกินไปด้วย
ถ้าฉันวิ่งไป ฉันจะสามารถกระโดดขึ้นไปบนนั้นจากตรงนี้ได้ค่ะ”
“ก็จริง แต่แบบนั้นมัน…”
เขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้
ถึงแม้ว่าระยะห่างระหว่างตึกกับวิหารจะใกล้กันมากก็จริง
แต่ก็ไม่มีที่เหยียบให้กระโดดได้เลย และถ้าเธอตกลงไปล่ะก็ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้เลย
“มีกระจกสีอยู่ตรงด้านข้างค่ะ ถ้าฉันทำลายมันและกระโดดเข้าไปข้างใน
มันก็อาจจะไกลจากด้านบนเล็กน้อย แต่เข้าไปได้ง่ายกว่า แน่นอนว่าถ้าฉันทำลายมันด้วยปืน
ตำแหน่งของเราก็จะถูกเจอในไม่ช้า ผู้พันกับคนอื่น ๆ ต้องล่าถอยออกไปหาหน่วย 2
กับหน่วย 3 เพื่อขอความช่วยเหลือ
ด้วยจำนวนทหารที่มีอยู่ของเราคงเป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะยึดวิหารได้
เมื่อฉันไปถึงยอดหอคอยแล้ว ฉันจะจุดไฟค่ะ และมันก็จะทำให้พวกศัตรูคิดว่าเรายึดวิหารได้แล้วถึงจริง ๆ จะยังก็ตามค่ะ”
“ถึงมันจะได้ผล แต่ก็หมายความว่าเธอจะต้องสู้คนเดียวน่ะสิ”
“ฉันเชื่อว่าผู้พันจะพาทุกคนมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัยค่ะ
ฉันคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว
มันจำเป็นอย่างยิ่งค่ะที่จะต้องยับยั้งศัตรูไว้เพื่อชัยชนะของเรา”
“เธอคิดที่จะไปตายอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันไม่รู้ค่ะ…ว่าฉันพร้อมที่จะตายแล้ว…หรือยัง”
มันเหมือนกับเธอกำลังบอกว่าเธอไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย
“ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้น
คุณต้องการที่จะอยู่ที่นี่แล้วรอจนกว่าหน่วยปราบปรามจะมาหรือคะ?”
“เธอเป็น…คนเดียว…ที่ฉันไม่อยากให้เสียสละ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ หน่วยของเราหลายคนตายเพื่อให้เรามาถึงตรงนี้ได้
และมันไม่ใช่การเสียสละหรอกค่ะ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ
ผู้พันควรตัดสินใจให้ดีเหมือนเคย และโปรดไว้วางใจฉันเถอะค่ะ
ออกคำสั่งกับฉันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม…และจากนั้น
แน่นอนว่า…ฉันจะ…”
น้ำเสียงของไวโอเล็ตแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน “…กลายเป็น ‘โล่’ และ ‘อาวุธ’ ของคุณ”
เธอจ้องมองเข้ามาในดวงตาสีเขียวของกิลเบิร์ตราวกับว่ากำลังมองสิ่งที่แพรวพราว “ฉันจะปกป้องคุณ” เธอไม่ได้โกหกเลยสักนิด “ได้โปรดอย่าสงสัยในเรื่องนี้เลยค่ะ เพราะฉันเป็น ‘ทรัพย์สิน’
ของคุณ” มุมปากของไวโอเล็ตยกขึ้น
และมันช่างดูน่าประหลาด
กิลเบิร์ตไม่เคยรอยยิ้มของเธอมาก่อน
และจากทุกสิ่งที่เธอทำเช่นนั้นหลังจากที่พูดออกมาแบบนั้น
มันทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง เศร้า
และรู้สึกคลั่งอย่างหาที่สุดไม่
กิลเบิร์ตจึงเอ่ยออกมา
“ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว”
“เข้าใจเรื่องอะไรหรือคะ?”
“ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด…และแย่ที่สุด”
––เขาเอาเธอไปเทียบกับใครไม่ได้เลย
ถึงแม้ว่าลูกน้องของเขาจะตาย แต่เขาก็อยากให้เธอมีชีวิตอยู่ เขา…
“ฉันคิดมาตลอด…ว่าการที่ฉันคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ
จะทำให้โชคชะตาพาฉันไปอยู่ตรงไหน”
––ถ้าเป็นไปได้
เขาก็อยากจะให้เธอหนีไปคนเดียว และให้เธอสัญญากับเขาว่าจะไม่กลับมาหาเขาอีก เขา…เข้าใจมันทุกอย่างแล้วในตอนนี้
“เธอพูดถูก การคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองมันเป็นเรื่องที่ผิด มีอย่างอื่น…ที่ควรจะให้ความสำคัญกับมันมากกว่า”
––เขาเป็น…ยาพิษที่ร้ายแรงสำหรับเธอ
“ฉันเข้าใจแล้วไวโอเล็ต มาทำตามแผนนั่นกันเถอะ แต่ว่า” กิลเบิร์ตเสริม “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอไปคนเดียว
เราจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เข้าไปโจมตีกับกลุ่มที่ไปขอกำลังเสริมจากหน่วย
2 และ 3 เราจะยิงสายเหล็กเข้าไปตรงระเบียงและให้เธอลงมา
เมื่อทำสำเร็จแล้ว ทุกคนจะเข้าไปที่นั่น ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวเท่านั้น”
ไวโอเล็ตกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าเธอไม่คิดว่านั่นจะเป็นไปได้
“ทหารทุกนาย ฉันจะเล่ากลยุทธ์ให้ฟัง ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”
การแทรกซึมเริ่มขึ้นในที่สุด
การย้ายไปยังอาคารที่ไวโอเล็ตตั้งใจจะไปนั้นช่างแสนง่ายดาย
บางทีอาจเป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นเลวร้ายกว่าที่อื่น ๆ ในวิหาร
ทหารทุกนายที่อยู่รอบเมืองจึงมุ่งหน้าไปที่ประตู
เมื่อพวกเขามาถึงหลังคา
ท้องฟ้าก็สามารถมองเห็นได้ใกล้ ๆ โดยมีเพียงแค่ตาข่ายเหล็กที่ขึ้นเป็นสนิมกั้นไว้
พวกเขากำจัดส่วนที่ขวางทางออกไปเท่านั้นเพื่อที่ไวโอเล็ตจะได้วิ่งไปได้ง่ายขึ้น
จากนั้นพวกเขาจึงยึดสายเหล็กกับจุดที่ต้องวิ่ง
สิ่งที่ต้องทำก็เหลือเพียงแค่ต้องหาทางให้เธอเท่านั้น
“ฉันจะ…เป็นคนแรกที่ไปก่อน พวกคุณสามารถตามฉันลงมาได้ทันทีที่ได้รับคำสั่ง”
ทุกคนนำตาข่ายเหล็กมาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้มันโหนตัวลงไปได้
“ไปกันเลย!” ไวโอเล็ตออกตัววิ่งพร้อมกับตะโกน
หน่วยของทหารที่อยู่ด้านหลังยิงปืนไปที่กระจกสีต่อหน้าต่อตาของพวกเขา
เสียงกระจกที่แตกเป็นชิ้น ๆ ดังสะท้อนไปทั่วและตกลงสู่พื้น
ไวโอเล็ตกระโดด
สวยงามราวกับนก และราวกับกวางตัวน้อย
เสียงของศัตรูดังขึ้นตรงบันได
ดูเหมือนว่าพวกมันจะสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว
เพื่อทำให้แน่ใจว่าสายเหล็กที่ยึดไว้กับตัวของไวโอเล็ตนั้นแน่นพอ
กิลเบิร์ตจึงโหนตัวลงไปอย่างแรงและตามลงไปทันที เมื่อเขามาถึงกำแพงและพยายามปีนขึ้นไป
ไวโอเล็ตก็ยื่นมือออกมาทันที
เธอยืนอยู่ด้วยความมั่นคงและช่วยรับน้ำหนักของทหารในทีมคนอื่น ๆ ที่ลงมาด้วย
“ไวโอเล็ต เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นเธอก็ล้มลงไปทันที
สายเหล็กถูกยิงโดนปืนของศัตรู ทำให้พวกทหารที่อยู่บนนั้นตกลงไปที่พื้นและตาย
กิลเบิร์ตส่งสัญญาณไปยังคนที่เหลืออยู่บนหลังคา “เรียกกำลังเสริม” ด้วยมือของเขา
สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ทำการแทรกซึมสำเร็จ
แต่กิลเบิร์ตก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้คงจะเกิดขึ้น
“ไวโอเล็ต เธอฟังอยู่หรือเปล่า?”
“ค่ะ ผู้พัน”
สภาพของเธอดูแย่มาก
แก้มขาวซีดของเธอมีรอยขีดข่วนจากเศษกระจก เครื่องแบบของเธอฉีกขาด
ตัวเธอเต็มไปด้วยกลิ่นควัน และเลือดของศัตรู และลมหายใจของเธอก็กำลังติดขัด ราวกับว่าร่างกายของเธอมาถึงขีดจำกัดแล้ว
“เหลือแค่เราสองคนแล้วตอนนี้ เราอาจจะถูกฆ่าก็ได้”
“ค่ะ”
ไหล่ของกิลเบิร์ตกระเพื่อมด้วยความเหนื่อยล้า
“แต่นี่เป็นคำสั่ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้น อย่าตายเด็ดขาด”
“ค่ะ ฉันจะมีชีวิตอยู่และปกป้องคุณแน่นอนค่ะ ผู้พัน”
“เก่งมาก เด็กดี”
––เธอ…พูดได้คล่องแล้วจริง ๆ เธอโตขึ้นมากแล้ว เธอ…ไม่ใช่แค่
‘สิ่งของ’ อีกแล้ว
“แต่นั่นน่ะเป็นคำพูดของฉันต่างหาก”
ห้องที่พวกเขาแอบเข้าไปนั้นน่าจะอยู่ประมาณชั้นที่ห้าจากใต้ดาดฟ้า
เครื่องดนตรีและรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ถูกเก็บไว้ในห้องนั้น มันช่างดูเป็นของที่น่าขันซะเหลือเกิน
ด้านนอกของห้องเป็นบันไดเวียนที่นำไปสู่ระเบียง
พวกเขาสองคนมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างที่กำลังเดินขึ้นไป
และเห็นว่าพื้นนั้นอยู่ต่ำลงไปมากเหลือเกิน กลุ่มควันลอยสูงขึ้นมาจนถึงประตู
จนกิลเบิร์ตสงสัยด้วยความกังวลว่าฮอดกินส์จะยังมีชีวิตอยู่ไหม
“ผู้พันคะ เราจะไปถึงยอดหอคอยแล้วค่ะ” ไวโอเล็ตจับขวานของเธออีกครั้ง
ทหารที่เฝ้ารออยู่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขา
จึงชักดาบออกมาและลงมาโจมตีพวกเขา
ในเวลาเดียวกันก็มีทหารคนอื่นที่ส่งเสียงคำรามในขณะที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดมา
“ผู้พัน!” ไวโอเล็ตหันหลังมาทันทีที่เชือดทหารคนหนึ่งที่พยายามจะพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยมีด
กิลเบิร์ตดึงดาบออกมาและขวางบันไดไว้
“ไปซะไวโอเล็ต ระหว่างที่ฉันถ่วงเวลาพวกมันไว้
เธอก็ฆ่าคนที่อยู่ด้านบนซะและยิงพลุไฟ…แค่นั้นก็เหมือนกับเราประกาศชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว
ถึงแม้ว่าเราจะมีคนน้อยกว่า แต่โชคก็อยู่ข้างเราแล้วล่ะนะ”
แม้จะไม่เคยลังเลเมื่อได้รับทางเลือกที่โหดร้าย แต่ไวโอเล็ตก็หวั่นใจ
เพราะถ้าหากพวกทหารจากข้างล่างขึ้นมาเมือไหร่
เธอก็แทบนึกไม่ออกเลยว่ากิลเบิร์ตจะสู้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร
“ให้ฉันสู้ด้วยเถอะค่ะผู้พัน!”
“นั่นเป็นคำสั่ง! ไปได้แล้ว!”
“แต่ ฉัน––”
“ฉันบอกว่าเป็นคำสั่งยังไงล่ะ! ไปซะ ไวโอเล็ต!”
เมื่อเธอถูกดุ
ไวโอเล็ตก็เคลื่อนไหวทันที แต่ก็ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น เธอขึ้นบันไดไปและเหลียวหลังกลับมาทุกช่วงขณะ
เธอเตะประตูที่มีรูปวาดของเทพเจ้าและออกไปข้างนอก
ถึงแม้ว่าเธอจะมองว่าฉากตรงหน้าสวยงามแค่ไหนก็ตาม
แต่อาจจะมีคนที่ต้องเสียใจที่ได้เห็นมันเป็นเช่นนี้
ข้างบนนั่นมีน้ำพุขนาดเล็กและแปลงดอกไม้ที่เขียวขจีและบานสะพรั่ง
กลิ่นอันหอมหวานบริสุทธิ์ผสมกับกลิ่นเหม็นของควัน
ระเบียงของมหาวิหารนั้นตกแต่งด้วยสวนที่เหมือนล่องลอยอยู่ในท้องฟ้า
ชั่วขณะหนึ่งที่ไวโอเล็ตตกตะลึงกับความงามนั่นจนเกือบลืมความเป็นจริงไป
“ศัตรูนี่นา! ฆ่าเธอ!”
มีทหารสี่นายอยู่บนนั้น
พวกเขาเป็นนักยิงระยะไกลและคอยสังเกตการณ์สถานการณ์
มีเพื่อนของเธอกี่คนกันนะที่ถูกพวกเขาฆ่าตายในตอนที่พยายามจะบุกเข้ามาในวิหาร?
พวกเขาเป็นมือปืนที่เยี่ยมยอดจริง ๆ
เสียงกรีดร้องและเสียงปืนดังก้องขึ้นมาจากชั้นล่าง
เสียงหัวใจของไวโอเล็ตเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว
“ไป…” เธอแกว่งขวานในมือ
เลือดที่อยู่บนขวานสาดกระเซ็นลงบนพื้นในตอนที่เธอจ้องมองศัตรูที่อยู่ด้านหน้าเธอด้วยสีหน้าดุร้าย
“ไป ไป ไป ไป!”
เธอคิดถึงแต่เสียงที่อยู่ด้านหลังของเธอเท่านั้น
“ไป ไป ไป ไป ไป ไป ไป ไป ไปปปปปปปปปป!”
ไวโอเล็ตกระโดดไปข้างหน้าของพวกทหาร
และเฉือนแขนและขาของพวกเขาทั้งสามคนเพื่อทำให้พวกเขาถึงตาย
“ไป ไป ไป ไป ไป ไป!”
ความกระวนกระวายใจทำให้ความสามารถในการใช้อาวุธของไวโอเล็ตลดลง กระสุนซัดท้องของเธอและทำให้เนื้อตรงแขนของเธอเว้าแหว่ง
มันเป็นความผิดพลาดที่ส่วนใหญ่เธอไม่เคยโดนมันเลย
ภาพของเธอพร่าเลือนไปด้วยความเจ็บปวด
กิลเบิร์ตกำลังต่อสู้อยู่ข้างล่าง
เธอต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยเขา
“ไปปปปปปปปปปปปปป!”
เธอเชือดคอของชายคนสุดท้าย
ขาของเธออ่อนแรงและล้มลงไปทันทีเนื่องจากความเจ็บปวดจากการถูกยิง
จากนั้นจึงยืนขึ้นอีกครั้งและยิงพลุไฟที่อยู่ในปืนของเธอขึ้นฟ้า
แสงสว่างจุดวาบขึ้นกลางอากาศ ราวกับดอกไม้แห่งแสง
เธอจะไม่ปล่อยให้มันจบลงในนัดเดียว
แต่เธอจะทำลายมันให้สิ้นซากทั้งหมด
สัญญาณไฟสุดท้ายเกิดเสียงแวบขึ้นมาเล็กน้อย
และไวโอเล็ตก็ทรุดตัวลงทันที
“อ๊า…อ๊าก…อั่ก…” เสียงที่เธอได้ยินต่อมานั้นไม่ใช่เสียงจากพลุที่เธอเพิ่งจุด
เสียงร้องครวญครางดังขึ้นสั้น ๆ ไหล่ของเธอถูกยิงในระยะประชิด ทำให้เกิดรูบนไหล่นั่น
และใบหน้าของเธอก็ท่วมไปด้วยเลือดของเธอเอง
ไวโอเล็ตได้ยินเสียงปืนที่กำลังถูกบรรจุใหม่อยู่ด้านหลังของเธอ
เธอหยิบปืนของเธอขึ้นมาทันทีด้วยมือข้างซ้ายของเธอและยิงออกไปในขณะที่หันหลังกลับ
เธอฆ่าทหารถือปืนไรเฟิลที่ยิงพลาดหัวของเธอไปทันที
เธอหายใจได้ไม่ถนัดนัก
ไหล่ข้างขวาของเธอโงนเงน และประสาทสัมผัสที่มือขวาของเธอกำลังเลือนลาง
“อ๊าก…อั่ก…”
เธอไม่ควรจะยืนขึ้นอีกแล้ว
ยิ่งเธอขยับมากเท่าไหร่ เลือดก็ไหลออกมามากเท่านั้น
“ผู้พัน!”
ถึงอย่างนั้น
ไวโอเล็ตก็ยังกลับไปยังที่ที่เธอมา เหตุผลเดียวที่เธอยังขยับได้อยู่นั้นถึงแม้ว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คือความว้าวุ่นใจที่มีต่อเจ้านายของเธอ
เธอทิ้งรอยเลือดไว้เต็มไปหมดในขณะที่กำลังเดินไป
“ผู้พัน ผู้พัน! ผู้พันคะ!” เธอเรียกเขาหลายครั้ง
และพยายามมองหากิลเบิร์ต เดินหลบซากของทหารที่เธอฆ่าไว้ที่ชั้นสุดท้าย
เธอมองไปทั่วเพื่อหาว่าเขาอยู่ที่ไหน “ผู้พัน!” ไวโอเล็ตกรีดร้อง เสียงราวกับแก้วที่แตกละเอียด
กิลเบิร์ตนอนอยู่ตรงกลางของบันได
กำลังจะถูกแทงตายด้วยดาบปลายปืนของศัตรู
มือของศัตรูที่กำลังจะแทงนั้นตกทันทีที่ได้ยินเสียงของไวโอเล็ต
แต่ปลายของดาบนั่นทะลุเข้าไปในหน้าของกิลเบิร์ตแล้ว
“แก…แก ไอ้นรกกกกกกกกกกกกกกกกก!” เธอขว้างขวานของเธอด้วยมือข้างเดียวและตัดเข้าที่ลำตัวของศัตรู
เขาล้มตัวลงไปทันที ความแรงนั่นก็ลดลงไปด้วยเพราะแรงที่ขว้างขวานออกไปนั้นน้อยลง
จากนั้นเธอจึงคลานเข้าไปหากิลเบิร์ต “ผู้พัน ผู้พัน ผู้พันคะ!”
ตาข้างหนึ่งของกิลเบิร์ตกลายเป็นรูและบาดแผลสาหัส
เขาจะไม่มีวันได้เห็นแสงหรือสีด้วยตาข้างนั้นอีกแล้ว
เขาดูราวกับศพที่พูดไม่ได้อีกแล้วแต่ยังหายใจอยู่ อย่างไรก็ตาม
ลมหายใจของเขากระท่อนกระแท่น มือและขาของเขาเต็มไปด้วยเลือดจากกระสุนและรอยฟันของดาบ
แบบไหนจะเร็วกว่ากันระหว่างตายเพราะเลือดไหลออกมามากเกินไปหรือถูกฆ่าโดยทหารที่กำลังขึ้นมาจากข้างล่างนั่น?
ก็คงจะเร็วเหมือนกันทั้งคู่
สำหรับเขาความหมายของการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นมันหายไปแล้ว
“ผู้พัน ผู้พัน!” ไวโอเล็ตพูดเสียงสูงขึ้น
และพยายามให้หัวหน้าของเธอพิงลงบนไหล่ของเธอ แต่เขาไม่ตอบ
เธอบังคับให้แขนที่ห้อยต่องแต่งของเธอแบกเขาขึ้นมาบนหลังของเธอ “อ๊าก…อ๊า…อ๊ะ…”
แขนข้างที่ถนัดของเธอนั่นไม่สามารถทนรับน้ำหนักไว้ได้และในที่สุดเธอก็ยอมจำนน
เธอกลิ้งลงไปสองสามขั้นก่อนจะยืนขึ้นอีกครั้งและยื่นมือออกไปหากิลเบิร์ต
พอเธอใช้แรงมากเกินไป แขนของเธอก็หย่อนลงมาจากไหล่
ดูเหมือนว่าแขนข้างที่ถนัดของเธอนั้นจะไม่สามารถใช้อาวุธได้อีกแล้ว
ถ้ามีทางเลือก
ไวโอเล็ตก็ไม่คิดจะทิ้งทั้งกิลเบิร์ตและขวานของเธอเสียด้วยซ้ำ
แต่เธอก็เลือกที่จะทิ้งขวานของเธอและพยายามแบกกิลเบิร์ตขึ้นอีกครั้งด้วยแขนข้างที่ยังใช้ได้
และระหว่างที่ทำอย่างนั้น กลุ่มทหารติดอาวุธก็วิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!”
ไวโอเล็ตหยิบขวานขึ้นมาอีกครั้งและสังหารพวกเขาด้วยมือข้างเดียว
เธอใช้โซ่ถ่วงน้ำหนักของเธอโจมตีใส่ทุกคนที่พยายามขวางทางเธอและทุบกะโหลกของพวกเขาด้วยปลายโซ่
เธอทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ
และยังคงแบกกิลเบิร์ตไว้ พวกศัตรูยังคงขึ้นมาจากชั้นล่าง แต่เธอก็จะฆ่าพวกเขา
เมื่อพวกมันมาเยอะขึ้นเรื่อยๆเธอก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้
มันเป็นความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส
มันช่างเป็นการต่อสู้ที่สิ้นเปลืองพลังงานเหลือเกิน
“ตะ…ตายยยยยยยยย!”
ท้ายที่สุด
ไวโอเล็ตก็ปล่อยให้ทหารหนุ่มที่ตะโกนใส่เธอคนนั้นวิ่งเข้ามา
เขาไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอเลย ในขณะที่พยายามตัดแขนของเธออีกข้าง
เขาเป็นศัตรูที่ไม่มีพื้นฐานการต่อสู้เลย
ถ้าหากไม่มีสงคราม เขาคงจะเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามเลย และคงไม่จำเป็นต้องถือดาบเสียด้วยซ้ำ
เขาทิ้งอาวุธลงและลุกขึ้นยืนพร้อมกับตะโกน
เขามองเธอใกล้ ๆ ด้วยความหดหู่เมื่อเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังกำจัดคนที่เป็นเพียงแค่เด็กสาวเท่านั้น
“คุณ…” เลือดหยดลงมาจากปากของเธอ “ฆ่าฉันได้…เพราะงั้นได้โปรด…อย่าฆ่า…ผู้พันเลย” ไวโอเล็ตขอร้องเพื่อชีวิตของกิลเบิร์ต
ความสับสนของทหารสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่สวยของเธอ แต่เธอไม่เห็นเขา
อาจเป็นเพราะว่าเลือดและเหงื่อที่ไหลลงมาจากหัวขอเธอ
เธอมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำว่าเขาจะทำอะไร
“ผม…ผมขอโทษ…ผมไม่ได้ตั้งใจ…ผม…” เสียงของทหารแตกระแหง
“อย่า…ฆ่าผู้พัน”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ! ผมขอโทษ! ผมไม่ได้ตั้งใจ!”
“ได้…โปรด”
“ไม่ใช่นะ! ผมไม่ได้ตั้งใจ!”
ทหารส่งเสียงแหลมในขณะที่วิ่งหนีไป
เพื่อความปลอดภัย
ไวโอเล็ตยังคงมองเขาจนลับสายตาก่อนที่จะหันไปมองด้านข้างของกิลเบิร์ต “ผู้พัน…” ตัวของเธอโงนเงน
อาจเป็นเพราะว่าเธอกำลังจะหมดสติ “ฉัน…ทำได้แล้วค่ะ
ผู้พัน…ผู้พันคะ…”
“ไวโอเล็ต…”
กิลเบิร์ตผู้ที่ซึ่งหลับตามาตลอดทางพยายามเอื้อนเอ่ยออกมา
เมื่อได้ยินชื่อของเธอจากปากของเขา
ไวโอเล็ตก็ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผู้พัน…”
มันเป็นน้ำเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้
ภาพลักษณ์ที่ราวกับปีศาจแต่มีออร่าราวกับเทพธิดานั่นของเธอหายไปแล้ว
และใบหน้าที่ราวกับเด็กที่กำลังหวาดกลัวปรากฏขึ้นมาแทน
“ไวโอเล็ต…ตอนนี้…เกิดอะไรขึ้น?
เรา…อยู่ที่ไหน?”
ไวโอเล็ตตอบคำถามของกิลเบิร์ตด้วยน้ำเสียงที่อึดอัด
“ระ-เรายังอยู่ในวิหารค่ะ
เราทำภารกิจของเราสำเร็จแล้ว ตอนนี้เราแค่ต้องรอกำลังเสริมเพื่อหนีออกไปเท่านั้น
แต่พวกเขายังไม่มาค่ะ พวกศัตรูก็ยังคงขึ้นมาจากข้างล่าง
และไม่มีทางที่ฆ่าพวกเขาหมดด้วย ผู้พันคะ โปรดชี้ทางให้ฉันที
ออกคำสั่งกับฉันด้วยค่ะ”
“หนี…ไปซะ”
“ฉันจะหนีไปได้ยังไงคะ…ถ้าต้องพาผู้พันไปกับฉันด้วยแบบนี้?”
“ทิ้งฉัน…ไว้ที่นี่…และหนีไปซะ”
เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เธอได้รับคำสั่ง
ไวโอเล็ตจึงสงสัยว่าเธอควรจะตอบเช่นไร “คุณกำลังบอกว่า…ให้ฉันทิ้งคุณหรือคะ?” เธอส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธ “ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ! ผู้พัน…ฉันจะพาคุณไปด้วย”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอจะทิ้งฉันไว้ที่นี่แล้วไป…เธอ…มีโอกาส…ที่จะรอดชีวิตอยู่ หนีไปเถอะนะ ไวโอเล็ต”
เสียงระเบิดดังขึ้นในที่ที่ห่างไกล
แต่พวกเขากลับพบว่าที่ที่พวกเขาอยู่นั้นช่างเงียบสงบเหลือเกิน
ราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในอีกมิติหนึ่ง
“ฉันจะไม่วิ่งหนีไปค่ะ ผู้พัน! ถ้าผู้พันจะอยู่ที่นี่
ฉันก็จะสู้อยู่ที่นี่ค่ะ! ถ้าฉันจะต้องหนีไป
ฉันก็จะพาผู้พันไปกับฉันด้วย!” เธอตะโกนระหว่างที่เธอพยายามใช้แขนทั้งสองข้างที่เลือดไหลไม่หยุดและด้านชาไปแล้วดึงคอเสื้อของเขาไว้และลากเขาไป
“ไวโอเล็ต หยุดเถอะ…”
เขาได้ยินเสียงหลอดเลือดของเธอกำลังฉีกขาด
เธอคงจะเจ็บปวดเป็นอย่างมากเพราะเนื้อของเธอกำลังฉีกขาดออกจากกัน
“ไวโอเล็ต!”
แขนข้างที่ถนัดของเธอที่เคยห้อยอยู่เฉยๆขาดและตกลงบนพื้น
แต่เธอไม่แม้แต่จะมองดูมัน เธอยังคงลากกิลเบิร์ตต่อไปด้วยแขนอีกข้างหนึ่งของเธอ
“หยุด…หยุดเถอะ….พอได้แล้วไวโอเล็ต…”
ไวโอเล็ตไม่ฟังคำสั่ง
เธอหายใจหืดหาด และทุ่มแรงทั้งหมดไปที่แขนข้างที่ถูกแทงด้วยดาบปลายปืน
เธอลงไปทีละขั้น ๆ แต่ยิ่งเธอขยับมากเท่าไหร่ มีดนั่นก็ตัดเข้าเนื้อเธอมากขึ้นเท่านั้น
“ไวโอเล็ต!”
แขนข้างที่เหลือของเธอขาดและตกลงไปเช่นกัน ไวโอเล็ตจึงกลับไปยังจุดเดิม
ราวกับนกที่โดนถอนขน แขนของเธอท่วมท้นไปด้วยเลือด และด้วยความเคยชินของเธอ
เธอหันไปมองทั้งซ้ายและขวาเพื่อยืนยันสถานการณ์ ก่อนจะยิ้มสลัว ๆ
“ผู้พัน ฉันจะช่วยคุณเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
ถึงจะเป็นแบบนั้น
ในขณะที่กัดริมฝีปากแน่น เธอก็ปีนขึ้นบันไดมาด้วยเข่าของเธอ
แต่เพราะว่าไม่มีแขนจึงทำให้ร่างกายของเธอเสียสมดุล
เธอลื่นและกลิ้งตกบันไดไปหลายครั้ง ล้มและก็ยืนขึ้นแบบนั้น
กังวลแต่เรื่องของกิลเบิร์ตเท่านั้น และเธอก็เปลี่ยนบันไดให้กลายเป็นทะเลเลือด
ถึงแม้ว่าไวโอเล็ตจะไม่ได้อยู่ในการมองเห็นของเขา
แต่เมื่อกิลเบิร์ตรู้ว่าเธอต้องเสียแขนของเธอไปเพราะเขา
น้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาจากตาของเขา “พอเถอะ…” เสียงอ้อนวอนของเขาดังก้องอย่างสงบ “พอได้แล้ว
ไวโอเล็ต!”
“ฉันไม่อยากค่ะ” เธอปฏิเสธอีกครั้งทันที “ผู้พัน…แค่…แค่…แค่อีกนิดเดียวเท่านั้นค่ะ…”
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว…แขนของเธอ…แขนของเธอมัน…”
“พวกศัตรูไม่ได้ขึ้นมาแล้วค่ะ ดูเหมือนว่า…กำลังเสริมจะมาถึงแล้ว
ฉัน…ได้ยินเสียงค่ะ”
“ถ้างั้นเธอลงไปก่อนเลย! ใช่แล้ว แบบนี้ดีกว่า
เรียกกำลังเสริมซะแล้วก็ไป ฉันไม่เป็นไร!”
“ฉันไม่อยากค่ะ! ถ้า…ถ้าผู้พันตายแล้วฉันไม่ได้อยู่ด้วย
ฉันจะทำยังไง?”
“ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ดีพอสำหรับฉันแล้ว ไม่เป็นไร ลงไปข้างล่างเถอะ!”
“ฉันไม่อยากค่ะ! ไม่ว่ายังไง…ฉันก็ไม่อยาก!
ถ้าฉันทิ้งผู้พันไว้ที่นี่…เมื่อถึงเวลาฉันก็จะกลับมาค่ะ…”
“ไม่เป็นไรหรอกถ้าฉันตาย ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่!”
“ฉันไม่สามารถเชื่อฟังคำสั่งนี้ได้ค่ะ!”
ไวโอเล็ตยังคงพยายามที่จะลากกิลเบิร์ต เธอไม่มีแขนอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถแบกเขาขึ้นไปได้
เธอยังเดินต่อไปได้ถ้าเธอไม่พาเขาไปกับเธอด้วย “ไม่ว่ายังไง…ไม่ว่ายังไง…ฉันก็จะไม่ปล่อยให้ผู้พันตายค่ะ” ไวโอเล็ตใช้ฟันของเธอกัดเข้าที่ไหล่ของกิลเบิร์ต
ราวกับสุนัขที่กำลังลากอะไรสักอย่างด้วยปากของมัน “อ๊ะ…อื้ออออ” เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเธอหลุดออกมา
ตัวของเธอสั่นในขณะที่พยายามจะดึงเขา
แต่เพราะตัวของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลและร่างกายที่ไม่เหมือนกับสุนัข เธอจึงไม่มีทางทำสำเร็จ
“ผู้…พัน…”
“ไวโอเล็ต พอเถอะ…ฉะ…”
กิลเบิร์ตสำลัก “…รัก…ฉัน…รักเธอ!” เขาตะโกน
ดวงตาของพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น “ฉันรักเธอ!
ฉันไม่อยากให้เธอตาย! ไวโอเล็ต! ได้โปรด มีชีวิตอยู่เถอะ!”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพูดมันกับเธอ
เขาไม่เคยพูดว่า ‘ฉันรักเธอ’ เลยจนกระทั่งตอนนี้ มีโอกาสตั้งหลายครั้ง แต่เขาก็เอาแต่เก็บเงียบมาตลอด “ฉันรักเธอ ไวโอเล็ต” – ตลอด ตลอดมา ตลอดมาเสมอ หัวใจของเขากระซิบบอก
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดมันออกมาดัง ๆ
เมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มรู้สึกแบบนี้?
เขาไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้เขาเกิดความรู้สึกแบบนั้น
ถ้าหากมีใครถามว่าเขารักอะไรในตัวเธอ เขาก็ไม่สามารถแสดงมันออกมาเป็นคำพูดได้เลย
“ไวโอเล็ต…”
“ผู้พัน” เขาไม่เคยรู้สึกตัวเลยว่าเขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเธอเรียกเขา
เขาเชื่อว่าที่เขาต้องปกป้องเธอนั้นเป็นเพราะว่าเธอคอยตามเขามาตลอด หน้าอกของเขากำลังถูกบีบรัดด้วยความรู้สึกที่คิดว่าเป็นความจงรักภักดีนั่น
“ไวโอเล็ต เธอฟังอยู่หรือเปล่า?”
มันใช้เวลาไม่นานนักกว่าที่เขาจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่จ้องมองมาที่เขา
การที่เขาใช้เธอเป็นอาวุธมันทำให้เขาเจ็บปวด และการที่เธอโยนชีวิตของเธอทิ้งไปนั่นกลายเป็นความกลัวที่สุดในชีวิตของเขา
“ฉัน…ชอบเธอ”
––เขา…อยากที่จะเลิกถามพระเจ้าแล้วว่าสิ่งไหนถูกและสิ่งไหนผิดกันแน่ ถ้าหากการที่เขาเอ่ยออกไปเช่นนี้เป็นบาปล่ะก็
เขาก็จะยอมตกนรกทุกขุม
“ฉันรักเธอ”
เธอเป็นคนแรกที่กิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียรักจนหมดหัวใจ
“ฉันรักเธอ ไวโอเล็ต”
“ระ…รัก…” เลือดยังคงหยดลงมาจากแขนของเธอ
ไวโอเล็ตพูดคำนั้นออกมาราวกับเพิ่งได้ยินมันเป็นครั้งแรก เธอลากตัวเองไปอยู่ข้าง ๆ กิลเบิร์ตและนั่งลงข้างเขา
จากนั้นจึงมองไปที่เขา “’รัก’…คืออะไรคะ?” เธอดูสับสนมากจริง ๆ น้ำตาของเธอไหลลงมา และหยดลงบนแก้มของกิลเบิร์ต “’รัก’…คืออะไรคะ? ’รัก’…คืออะไรคะ? ’รัก’ คืออะไรคะ?”
ใบหน้าที่ยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยน้ำตาเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็กก็ตาม
เธอไม่เคยร้องไห้ถึงแม้ว่าจะเพิ่งฆ่าคนหรือรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่เคยถูกรักมาก่อน
เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยร้องไห้
“ฉันไม่เข้าใจค่ะ ผู้พัน…”
และในตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังร้องไห้
“อะไรคือ ‘รัก’ คะ?” มันเป็นคำถามที่เธอสงสัยอย่างแท้จริง
––อ่า
นั่นสินะ
หัวใจของกิลเบิร์ตเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าร่างกายของเขา
เธอไม่รู้ และไม่มีทางที่จะรู้ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยบอกเธอเลย เขาไม่เคย ‘สอน’ เธอเลย
––เธอไม่รู้จัก…คำว่ารัก กิลเบิร์ตหลั่งน้ำตาอีกครั้ง
ทำไม…เขาถึงโง่อย่างนี้
การไม่แสดงออกถึงความรู้สึกของเขาต่อคนที่เขารักเป็นผลมาจากที่เขาทำเป็นไม่สนใจมันนั่นแหละ
มันจะมีวิธีที่ไหนที่ตายแล้วน่าอับอายไปมากกว่านี้ไหมนะ?
“ไวโอเล็ต”
อย่างไรก็ตาม
หัวใจเขากลับรู้สึกสงบสุขอย่างน่าประหลาด เขารู้สึกว่าความเจ็บปวดในร่างกายของเขากำลังค่อย ๆ ทุเลาลง
มันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด
มันอาจเป็นเพราะว่าในที่สุดเขาก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองเสียที
ราวกับว่าทุกอย่างในตัวเขาได้รับการให้อภัยแล้ว
“ไวโอเล็ต…รัก…คือ…” กิลเบิร์ตเอ่ยกับเด็กผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิตของเขา “รักคือ…การที่เธอ…อยากที่จะปกป้องใครคนหนึ่งมากที่สุดในโลก”
เขากระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ราวกับกำลังสอนเธอเหมือนกับตอนที่เธอยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ในตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก
“เธอสำคัญ…และมีค่าที่สุดในชีวิตฉัน
ฉันไม่อยากให้เธอเจ็บ ฉันอยากให้เธอมีความสุข ฉันอยากให้เธอมีชีวิตที่ดี
เพราะแบบนั้น ไวโอเล็ต…เธอควรจะมีชีวิตต่อไปและเป็นอิสระ
เลิกเป็นทหารและมีชีวิตของเธอเอง
เธอจะไม่เป็นไรหรอกถึงแม้ว่าจะไม่มีฉันอยู่แล้วก็ตาม ไวโอเล็ต ฉันรักเธอ
ได้โปรดมีชีวิตอยู่เถอะนะ” กิลเบิร์ตพูดอีกครั้ง “ไวโอเล็ต ฉันรักเธอ”
หลังจากเอ่ยออกไปแบบนั้น
สิ่งเดียวที่เขาได้ยินก็มีเพียงแต่เสียงร้องไห้เท่านั้น “ฉันไม่เข้าใจ…ฉันไม่เข้าใจค่ะ…” เธอเอ่ยออกมาพร้อมกับสะอึกสะอื้น “ฉันไม่เข้าใจ…ฉันไม่เข้าใจคำว่ารักค่ะ ฉันไม่เข้าใจ…สิ่งที่ผู้พันพูด
ถ้ามันเป็นแบบนี้ แล้วฉันต่อสู้ไปเพื่ออะไรกันคะ? ทำไมคุณถึงออกคำสั่งฉัน? ฉัน…เป็นเครื่องมือ ไม่เป็นอะไรมากกว่านั้น เป็นแค่เครื่องมือของคุณ
ฉันไม่เข้าใจความรัก…ฉันแค่…อยากที่จะ…ปกป้องคุณ ผู้พัน ได้โปรดอย่าทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะค่ะ ผู้พัน
อย่าทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะนะคะ ได้โปรดออกคำสั่งฉัน! ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของฉันก็ตาม…ได้โปรดออกคำสั่งให้ฉันช่วยชีวิตคุณเถอะค่ะ!”
เด็กน้อยที่ไม่เคยรับฟังสิ่งใดนอกจากคำว่า
‘ฆ่า’ กำลังร่ำไห้เพื่อให้เขาออกคำสั่งเธอให้ช่วยเขา
แทนที่จะเอื้อมมือออกไปโอบกอดเธอไว้ กิลเบิร์ตทำได้แค่พึมพำออกมาอีกครั้งก่อนที่สติของเขาจะเลือนราง
“ฉันรักเธอ”
เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังขึ้นมาจากชั้นล่าง
แต่เขานั้นลืมตาไม่ไหวอีกแล้ว
และบันทึกของทหารหญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ตก็ได้จบลงตรงนั้น
ความคิดเห็น