ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Violet Evergarden (แปลไทย)

    ลำดับตอนที่ #7 : The Major and the Automatic Assassin Doll (part two.) (rewrite)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.94K
      113
      25 ม.ค. 65


















    /

    The Major and the Automatic Assassin Doll




                ในช่วงเย็นสองวันหลังจากนั้น นั่นเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่พวกเขาได้ใช้เวลาด้วยกัน พวกเขาสองคนออกไปข้างนอกเพื่อทำอะไรบางอย่างโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานของพวกเขา กิลเบิร์ตพยายามจัดการกับงานเพื่อหาเวลาว่างด้วยการเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นจึงไปรับเธอที่ห้องของเธอ

                เขาได้แจ้งเพื่อนร่วมงานของเขาว่าเขาจะออกไปนอกสำนักงานใหญ่ แต่แทนที่จะได้รับท่าทีที่ดูเฉยชา สมาชิกในหน่วยของเขากลับมองว่าเขาและไวโอเล็ตด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ สำหรับไวโอเล็ตนั้นก็น้อยครั้งเหลือเกินที่พวกเขาจะได้เห็นเธอออกมาข้างนอก และสำหรับกิลเบิร์ต เนื่องจากเขามักจะยุ่งกับเอกสารและการประชุมเขาจึงไม่มีเวลาได้ออกไปข้างนอกเลย ส่วนเหตุผลที่เขาขอออกไปข้างนอกนั้นก็คือ การประนีประนอมเพราะแบบนั้นทุกคนเลยเชื่อว่าเขาไม่ได้ออกไปเพราะเรื่องงาน และการไม่ถูกสอบสวนในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา

                พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในเมืองด้วยการเดินเท้า การที่พวกเขาอยู่ข้าง ๆ กันเสมอนั้นเป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว แต่การที่เดินไปรอบเมืองข้าง ๆ ไวโอเล็ตที่กำลังสวมกระโปรงนั้นทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกแปลก ๆ  และเขาก็พบว่าตัวเขานั้นกำลังมองเธออยู่ตลอดเวลา

                ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเล็กน้อย โคมไฟในย่านช็อปปิ้งนั้นส่องสว่าง และมีสายที่เชื่อมระหว่างโคมไฟกับอาคารคั่นกลางระหว่างแต่ละด้านของถนนใหญ่เลียนแบบดวงดาว อากาศช่างอบอุ่น และเหมาะสำหรับการนั่งดื่มและฟังเพลงเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งกิลเบิร์ตและไวโอเล็ตก็ไม่มีใครยิ้มให้กับบรรยากาศเหล่านั้นเลย พวกเขาเพียงแค่เดินอย่างไร้อารมณ์เท่านั้น

                พวกเขาเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อขนาดใหญ่ที่ยังเปิดอยู่ มันเป็นร้านที่แปลก มีเสื้อห้อยลงมาจากเพดานจนถึงพื้น บางทีอาจเป็นเพราะว่ามันเป็นเมืองที่สำนักใหญ่ของกองทัพอยู่ เมื่อทหารสองคนเข้ามาพวกเขาจึงได้รับการต้อนรับโดยที่ไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด

                นี่ก็ดี นี่ก็ดีเหมือนกัน

                เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบ เธอพูดกับไวโอเล็ตราวกับกำลังเลือกชุดให้ลูกสาวของเธอเอง

                ไวโอเล็ตยังคงยืนนิ่งด้วยท่าทางเหมือนกำลังมีปัญหา กิลเบิร์ตจึงเป็นฝ่ายพูดแทนเธอ สีมันฉูดฉาดเกินไป จริง ๆ สีไหนก็ดูดีบนตัวเธอทั้งนั้น....แต่อย่าลืมว่าเธอเป็นทหารด้วยนะครับ

                ถ้าอย่างนั้นตัวนี้ล่ะคะ คุณเจ้าหน้าที่?

                มันดูดีนะ ผมจะรออยู่ที่นี่แล้วกัน เพราะงั้นเลือกชุดตามที่คุณเห็นว่าสมควรเถอะ

                เจ้าของร้านแตะลงบนหน้าอกของไวโอเล็ตอย่างนุ่มนวล ใบหน้าของเธอเริ่มบูดบึ้ง พูดตามตรงนะคะ ฉันว่าสิ่งที่เธอใส่อยู่มันไม่พอดีกับตัวเธอเลยค่ะ

                เมื่อผู้หญิงสองคนหายเข้าไปในห้องลองเสื้อ กิลเบิร์ตก็รู้สึกเหมือนหายใจออกมาได้เสียที เขายกมือขึ้นปิดปากของเขาและหันไปยังอีกด้านหนึ่ง และรู้สึกดีใจที่พวกเธอไม่ได้สังเกตว่าแก้มของเขากำลังแดง

                ขอบคุณที่ซื้อเสื้อผ้าของเราเยอะมากเลยนะคะ! อย่าลืมแวะมาอีกล่ะ

               



                เมื่อพวกเขาซื้อเสื้อผ้าเสร็จและเจ้าของร้านเห็นพวกเขาเดินจากไปแล้ว พวกเขาก็สามารถกลับหอพักได้เลยในตอนนั้น แต่กิลเบิร์ตเปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าไวโอเล็ตหยุดมองโคมไฟที่กำลังส่องประกาย

                เหมือนกับว่าดาวได้ตกลงมาบนโลกเลยค่ะ

                เนื่องจากพวกเขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินไปรอบ ๆ บริเวณตัวเมืองในยามเย็น สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือเดินไปยังร้านขายเครื่องดื่มที่มีทั้งแอลกอฮอล์ที่ได้รับมาจากหลายที่และรถเข็นขายอาหารที่มีทั้งเนื้อย่างและมันฝรั่งทอด ดึงดูดลูกค้าจากทุกแห่งด้วยกลิ่นหอมน่าอร่อยของมัน บางคนก็ดูเหมือนจะเมาแล้วเรียบร้อยและกำลังร้องรำทำเพลงด้วยความสนุกสนาน และวงดนตรีชั่วคราวก็กำลังเล่นเพลงให้เข้ากับจังหวะของพวกเขา ผู้คนมากมายมารวมตัวกันเพราะบรรยากาศที่ดูสนุกสนาน และเหล่านักเต้นก็ใช้ประโยชน์จากมันเพื่อหาเงิน

                ขณะที่พวกเขาสองคนเดินต่อไปเรื่อย ๆ ร้านอาหารก็เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้เหลือพื้นที่ให้กับคนขายอัญมณีที่แสนล้ำค่าและเครื่องประดับจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ กิลเบิร์ตเคยได้ยินจากเพื่อนร่วมงานของเขาคนหนึ่งที่ออกมาข้างนอกตั้งแต่วันแรกว่าร้านค้าแถวนี้ในตอนกลางคืนนั้นไม่เหมือนกับตอนกลางวันเลย แต่พวกเขาสองคนก็ไม่รู้ว่าร้านค้าในตอนกลางวันนั้นเป็นยังไงอยู่ดี อย่างไรก็ตาม จำนวนของผู้คนก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก  และไม่มีชีวิตชีวาเท่าก่อนหน้านี้

                ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ดึงความสนใจของไวโอเล็ตได้ แต่เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น เธอก็หยุดเดินไปชั่วขณะ

                มีอะไรที่เธออยากได้หรือ?

                เปล่าค่ะ...เธอปฏิเสธ แต่สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปทางเดิม

                กิลเบิร์ตจับแขนของเธอและพาเธอเข้าไปดูใกล้ ๆ

                ยินดีต้อนรับเจ้าของร้านที่เป็นผู้สูงอายุต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพ

                กล่องแก้วที่บรรจุด้วยอัญมณีวางเรียงกันอยู่บนพรมกำมะหยี่สีดำที่วางอยู่บนพื้น กิลเบิร์ตไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันเป็นของแท้หรือไม่ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันมีความประณีตและสวยงามกว่าร้านอื่น ๆ ไวโอเล็ตกำลังตรวจสอบสินค้าอย่างถี่ถ้วนและกิลเบิร์ตก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอมองตรงมาที่เขาราวกับว่าตั้งใจจะยิงเขา

                อะไรเหรอ...?

                ดวงตาของผู้พันอยู่ที่นี่ค่ะไวโอเล็ตชี้นิ้วไปยังอัญมณี นิ้วขาว ๆ ที่เรียวยาวของเธอเหยียดตรงไปข้างหน้า และชี้ที่เข็มกลัดมรกต

                ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันช่างดูคล้ายกับดวงตาที่น่าพิศวงของกิลเบิร์ตจริง ๆ มันเป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ ส่องประกายอยู่ภายในกล่องและงดงามกว่าอัญมณีชิ้นอื่น ๆ

                คุณ...เรียกมันว่าอะไรคะ?

                ในขณะที่ไวโอเล็ตเอ่ยถาม และขมวดคิ้วราวกับว่าเธอไม่สามารถหาคำที่เข้ากับมันได้ เจ้าของร้านจึงให้ความช่วยเหลือ มรกตครับ

                ไม่ใช่...ชื่อค่ะ...

                ถ้าไม่ใช่ชื่อ แล้วหนูหมายความว่าอะไรหรือ?

                ตอนที่ฉัน...เห็นสิ่งนี้...ฉันสงสัยว่าคำประเภทไหนที่เข้ากับมัน...

                อย่างนี้นี่เองเจ้าของร้านหัวเราะเธอ มัน สวย ยังไงล่ะ สาวน้อย

                จากมุมมองของเจ้าของร้าน การหัวเราะนั่นเป็นปฏิกิริยาที่ชัดเจนอยู่แล้ว เขาเป็นพ่อค้าเครื่องประดับ แน่นอนว่ามันเป็นคำที่เขาได้ยินมันทุก ๆ วัน แต่ถึงอย่างนั้น ไวโอเล็ตผู้ที่ซึ่งเห็นค่าของมันมากกว่าใคร ๆ ปากของเธอกำลังขยับอย่างเชื่องช้าในขณะที่เธอกำลังออกเสียงคำที่เธอเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก

                “’สวย’…”

                อะไร...กัน? เธอไม่รู้จักคำนั้นหรอกเหรอ?

                ฉันไม่รู้จักคำว่า สวย ค่ะ มันมีความหมายเดียวกันกับ...น่ารัก หรือเปล่าคะ?

                จริงเหรอเนี่ย? พระเจ้า ฉันตกใจเลยนะ เธอดูเหมือนคนที่ฉลาดมากจะตาย...

                ––อ่า นี่มันสถานการณ์อะไรกันเนี่ย

                กิลเบิร์ตยืนมองพวกเขาสองคนด้วยความงุนงง เขารู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังร้อน เขารู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดไป เหงื่อเย็น ๆ เริ่มไหล หัวใจของเขาเต้นตึกตัก และความรู้สึกอับอายกำลังเผาไหม้อยู่ในตัวของเขา

                เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สอนให้เธอพูด ในช่วงสี่ปีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เขาได้สอนให้เธอได้เรียนรู้คำที่จำเป็นสำหรับการสนทนาในชีวิตประจำวัน และรวมถึงคำศัพท์ของทหารด้วย

                ––แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็...

                เขาไม่ได้สอนศัพท์ง่าย ๆ ให้เธอเลย เมื่อเธอเรียนรู้การพูดได้ในระดับหนึ่ง เขาก็คิดว่าเธอน่าจะรู้คำอื่น ๆ ได้ด้วยตัวเอง เขาคิดว่าเธอจะทำได้ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่พูดอะไรไม่ได้เลยนอกจากคำว่า ผู้พัน

                เธอเป็นเด็กกำพร้าจากสงครามหรอ?

                เปล่าค่ะ แต่ฉันไม่มีพ่อกับแม่ค่ะ

                เธอไม่รู้ศัพท์อะไรเลยนอกจากคำว่า ฆ่าหลังจากที่เขาพาเธอมาและกลายเป็นผู้คุ้มครองของเธอนั้น เขาก็พาเธอไปที่สนามรบทันที และนั่นอาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกมาซื้อของด้วยกัน

                ––อ่า...แล้วเขาก็พูดเรื่องที่พยายามจะทำตัวเป็นเหมือนผู้ปกครองเธอเนี่ยนะ แล้วยังจะ...

                เขายังไม่ได้สอนคำพูดที่ถูกต้องให้เธอเลย มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง

                ––พอคิดว่าเขาไม่เคยพูดคำว่า สวย แล้ว แม้แต่คำว่า ฆ่าเขายังพูดได้เลย แม้ว่าคำที่เหมาะกับเธอจริง ๆ นั้น...

                ในขณะที่กิลเบิร์ตกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง การพูดคุยก็ยังดำเนินต่อไป

                แล้วเขียนล่ะ? เธอเขียนได้ไหม?

                ได้แค่ชื่อของฉันค่ะ...

                ไม่ว่าใครก็ตามที่ให้กำเนิดเธอช่างไร้ความสามารถเสียจริง ขนาดฉันยังเขียนได้เลยนะ

                การที่รู้วิธีการเขียนนั้นเป็นเรื่องที่ดีหรือคะ?

                เธอก็จะสามารถเขียนจดหมายได้น่ะสิ

                “’จดหมาย’…?

                ถ้าเธออยู่ไกลจากบ้านเกิดของเธอ อย่างน้อยเธอก็ควรจะเขียนนะ

                อย่างนั้นหรือคะ...?

                กิลเบิร์ตกระแทกกระเป๋าเงินของเขาลงบนกล่องแก้วเพื่อหยุดการสนทนานั่น

                เดี๋ยวสิ คุณ...ทำแบบนั้นไม่ได้นะ สินค้ามันจะ...

                ผมซื้อชิ้นหนึ่ง...ไวโอเล็ต เลือกสิเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับว่ากำลังโกรธ

                ไวโอเล็ตกะพริบตา นั่นเป็นคำสั่งหรือคะ?

                ใช่...เลือกสักชิ้นเถอะ ชิ้นไหนก็ได้ทั้งนั้น

                ความจริงคือเขาไม่ได้อยากเรียกมันว่าเป็นคำสั่งเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเธอจะเชื่อฟังหรอกหากเขาพูดว่าเป็นอย่างอื่นแทน

                ไวโอเล็ตมองที่กล่องแก้วอีกครั้ง และตามที่คาดไว้ เธอชี้ไปยังเข็มกลัดมรกตนั่น ถ้าอย่างนั้น ชิ้นนี้ค่ะ

                ในขณะที่กิลเบิร์ตกดดันเจ้าของร้านด้วยแววตาที่แข็งกร้าว เจ้าของร้านก็ยิ้ม ๆ และส่งเข็มกลัดให้พร้อมกับเอ่ยว่า มาอีกครั้งก็ได้นะเนื่องจากว่าเข็มกลัดนั้นมีราคาแพง เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านนั้นมีความพอใจอย่างมากถึงมากที่สุด

                เมื่อได้รับเข็มกลัดแล้ว กิลเบิร์ตก็ดึงแขนของไวโอเล็ตอีกครั้งและพาออกมาจากจุดนั้น ถนนคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาร่วมสนุกกับยามเย็นของเมือง ภายในฝูงชนที่หนาแน่นนั่น พวกเขาสองคน ที่ส่วนใหญ่มักจะถูกถามเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม แต่ในตอนนี้คำถามนั่นกลับกลายเป็นความอึดอัด

                เพราะไวโอเล็ตไม่คุ้นชินกับฝูงชน ดวงตาของเธอจึงล่อกแล่กไปมาและขาของเธอก็เริ่มล้า และในตอนนั้นเอง มือของพวกเขาก็ปล่อยออกจากกัน และแยกกันในที่สุด และเมื่อกิลเบิร์ตรู้สึกตัวเขาก็หันมามองไวโอเล็ต ผมสีทองของเธอถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย

                ผู้พัน

                เขาได้ยินเสียงเรียกของเธอท่ามกลางเสียงของผู้คน ถึงแม้ว่ามีคนมากขนาดไหนหรือเขาจะไม่เห็นเธอก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะพลาดเสียงเธอไปได้ ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง นับตั้งแต่ที่เธอพูดคำว่า ผู้พันเป็นครั้งแรก เสียงที่เบาหวิวของเธอนั้นดังก้องอยู่ในหูของเขา เขาจึงรีบเร่งเดินกลับไปยังเส้นทางที่พวกเขาเดินมา

                ไวโอเล็ต...

                ไวโอเล็ตมองมาที่เขาด้วยความเงียบสงบในขณะที่เขากำลังหอบหายใจอย่างหนัก ดูเหมือนว่าการที่เธอหลงทางนั้นจะไม่ทำให้เธอเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย

                ผู้พัน ฉันควรทำยังไงกับมันดีคะ?เธอแสดงเข็มกลัดที่เธอจับมันไว้แน่นตลอดทางให้เขาดู

                กลัดไว้สักที่ที่เธออยากกลัดสิ

                ฉันจะทำมันหายค่ะ

                กิลเบิร์ตถอนหายใจ ในสนามรบน่ะใช่ แต่เธอใส่แค่วันที่เธอหยุดพักก็เท่านั้น แต่เพราะตาของเธอเป็นสีฟ้า บางทีมันคงจะดีกว่านะถ้าเธอจะซื้ออะไรสักอย่างที่เป็นสีฟ้าด้วย

                ไวโอเล็ตส่ายหัวของเธอทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้าย ไม่ค่ะ มันเป็นชิ้นที่ สวย ที่สุดเธอพูดขณะพยายามกลัดลงบนเสื้อของเธอ มันเป็นสีเดียวกับดวงตาของผู้พัน

                เธอยืนยันอย่างชัดเจน กิลเบิร์ตหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงหวานเสนาะหูของเธอ

                ––ทำไม...เธอ...ถึงพูดว่าตาของเขาสวย...ในเวลาแบบนี้กันนะ?

                ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ทำตัวราวกับว่าไม่มีหัวใจ แต่เธอก็เคารพชายที่เลี้ยงเธอมาโดยที่ไม่ได้สอนให้เธอแสดงความรู้สึกเลยด้วยซ้ำ

                ––เขา...ไม่มีสิทธิ์...ที่จะได้รับคำพูดแบบนั้น

                โดยที่ไม่ได้สงสัยเลยว่ากิลเบิร์ตกำลังคิดอะไร ไวโอเล็ตก็ยังคงพูดต่อ ฉันคิดว่า...มัน สวยมาตลอดเลยค่ะ แต่ฉันไม่รู้จักคำนั้น ฉันก็เลยไม่เคยพูดราวกับว่าเธอไม่สามารถแทงเข็มของเข็มกลัดได้อย่างแม่นยำ เธอจึงแทงเข้าไปเรื่อย ๆ แต่ตั้งแต่วันที่เราได้พบกัน ดวงตาของผู้พันสวยมากเลยค่ะ

                ภาพตรงหน้าของกิลเบิร์ตพร่าเลือนเมื่อเขาได้ยินเสียงกระซิบนั่น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานเขาก็กลับมามองเห็นชัดเจนอีกครั้งในขณะที่เขากำลังผลักดันความรู้สึกที่กำลังเผาไหม้อยู่ในตัวเขา

                ––ต้องกำจัดความรู้สึกนี้ออกไปซะ เขาจะปล่อยให้เธอเห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ไม่ได้

                เขาพยายามระงับความอ่อนไหวและความสุขของเขาที่กำลังเอ่อล้น และการเป็นทหาร การระงับอารมณ์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก

                ให้ฉันใส่ให้สิ…เขาเอาเข็มกลัดมาจากมือเธอและใส่ให้เธอแทน

                ไวโอเล็ตก้มลงมองอัญมณีที่กำลังส่องประกายแวววาวอยู่บนปกเสื้อของเธอ





                ผู้พัน ขอบคุณมากค่ะเสียงของเธอเบาลงเล็กน้อย ขอบคุณมากค่ะ

                เมื่อเขาได้ยินเธอพูดแบบนั้นซ้ำ ๆ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจและเหมือนกับว่าอกของเขากำลังเดือดพล่าน

                ––เขา...พูดอะไรไม่ได้เลย เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้น

                เขาคิดว่าเขาจะรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไรในเมื่อเขายังเอาความคิดมาเปลี่ยนเป็นคำพูดเช่นนี้ ความรู้สึกผิด ความเสียใจ ความขมขื่น ความโกรธ ความเศร้า ความรู้สึกของเขาผสมปนเปกันในหัวของเขาและกำลังจะเอ่อล้นออกมา

     



                ไม่กี่วันหลังจากนั้นสนามรบก็เปลี่ยนไปทันที สงครามทวีปเริ่มขึ้นเพราะความขัดแย้งเรื่องการเงินระหว่างทางตอนเหนือและตอนใต้ และความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างตะวันตกและตะวันออกซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันและทำให้สถานการณ์ยิ่งมีความซับซ้อนมากกว่าเดิม กิลเบิร์ตและกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชไม่ได้ถูกส่งเข้าไปร่วมต่อสู้ในสนามรบใหญ่ แต่ต่อสู้ในสนามรบที่เล็กกว่าที่อยู่ตรงจุดอื่น บทบาทในการทำให้สงครามในครั้งนี้จบเร็วขึ้นกว่าเดิมนั้นขึ้นอยู่กับหน่วยจู่โจมและการรบที่หลากหลาย – หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเป็นการต่อสู้เพื่อเคลียร์ปัญหาในจุดต่าง ๆ ทั่วทวีปนั่นเอง มันไม่ใช่แค่การปะทะกันที่จุดๆเดียวและก็จบศึกตรงนั้นอย่างง่ายดาย

                สนามรบถูกแบ่งแยกโดยเส้นที่ใช้ป้องกันการบุกรุกจากทางเหนือที่มีชื่อว่าอินเทนซ์ มันตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของทวีป ทั้งภูมิภาคประกอบไปด้วยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทั้งตะวันตกและตะวันออกใช้ร่วมกัน มันเป็นเมืองที่ทำจากหินและเป็นศูนย์กลางการจัดส่งที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนของตอนใต้และตะวันตก ตะวันออกต้องการจะครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่น จึงได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับทางตอนเหนือ และตะวันตกก็ร่วมมือกับทางใต้

                สามนาฬิกาในตอนเช้า มีรายงานเข้ามาว่าแนวป้องกันของอินเทนซ์ได้ถูกทำลายลงแล้ว และบอกด้วยว่าแนวป้องกันนั้นซึ่งปกติจะเต็มไปด้วยค่ายของทหาร ในตอนนี้ได้ถูกทำลายโดยทางตอนเหนือเรียบร้อย และในตอนนี้กำลังเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่ง ในเวลาเดียวกัน ความขัดแย้งที่เล็กกว่าในหลาย ๆ พื้นที่ก็กำลังอยู่ตัว แสดงให้เห็นว่าตอนเหนือที่ขาดทรัพยากรธรรมชาติมาตั้งแต่ต้น และตะวันออกที่ให้การสนับสนุนนั้นไม่สามารถเอาเสบียงไปได้ จึงเปลี่ยนมาใช้กำลังทางทหารและเดิมพันกับทุกอย่างทั้งหมด

                ส่วนค่ายของตอนใต้และตะวันตกนั้นที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวสำหรับการโจมตีที่แสนเซอร์ไพรซ์เช่นนี้ก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ คำสั่งจากที่ประชุมได้ถูกส่งไปให้กิลเบิร์ตและหน่วยของเขาที่ได้ยินเรื่องการบุกเข้ามาแล้วทันที สารที่ส่งมานั้นบอกว่าทหารทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้ และทุกหน่วยจะต้องบุกพร้อมกัน

                ดูเหมือนว่ากองกำลังทหารของพันธมิตรของตอนเหนือและตะวันออกนั้นจะสามารถบุกเข้ามาถึงดินแดนศักดิ์และเข้าไปควบคุมแล้วเรียบร้อย ในความเป็นจริง ศึกครั้งต่อไปนั้นไม่ได้ต่อสู้เพื่อเสริมกำลังหรือทวงคืนดินแดนศักดิ์แต่อย่างใด – แต่จะเป็นศึกครั้งสุดท้ายที่ต่อสู้อย่างเต็มเปี่ยมต่างหาก และถ้าหากทำไม่สำเร็จก็จะทำให้ดินแดนและประเทศถูกขโมยไปได้อย่างแน่นอน กองทหารที่ถูกส่งไปยังที่ต่าง ๆ ถูกเรียกมารวมตัวกันยังฐานที่มั่นในเขตชานเมืองอันศักดิ์ของอินเทนซ์

                กว่ากิลเบิร์ตกับทหารในหน่วยจะมาถึงสำนักงานใหญ่ก็ดึกมากแล้ว และที่ค่ายนั้น กิลเบิร์ตก็ได้เจอกับฮอดกินส์อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน

                นายยังมีชีวิตอยู่ครั้งนี้เป็นกิลเบิร์ตที่เจอฮอดกินส์และตบไหล่ของเขาก่อน

                 ชายผมแดงยิ้มกว้างเมื่อเขาหันมา กิลเบิร์ต...ไง นายก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนกันหนิ นายเป็นห่วงฉันเหรอ? ลูกน้องของฉันก็ตายไปหลายคนเหมือนกัน แต่...ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ล่ะนะ

                เขารับผิดชอบในส่วนของทหารที่ประจำการอยู่อินเทนซ์ รอยยิ้มของเขาไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าและการมองโลกในแง่ร้ายหลังจากที่สูญเสียลูกน้องของเขาได้เลย เขายังหัวเราะกับมุกตลกของตัวเอง แต่ถุงใต้ตาของเขานั้นลึกโหลกและใบหน้าของเขาก็สกปรกซะเหลือเกิน

                ระหว่างที่ย้ายสถานที่ กิลเบิร์ตและหน่วยของเขาก็ได้สำรวจไปรอบ ๆ แนวป้องกันในสนามรบของอินเทนซ์ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากศพที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดบนพื้น พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะสวดมนต์ภาวนาให้กับศพเหล่านั้น – เพราะทุกคนต้องไปเตรียมพร้อมกับสำหรับการรบครั้งสุดท้าย

                ฮอดกินส์แทบทนไม่ได้กับเรื่องนั้น เพราะพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นสหายที่เขาให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจด้วยชีวิตของเขาเอง อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ไวโอเล็ตเดินเข้ามาหาเขานั้น เขาก็แสดงความร่าเริงออกมา ผู้หญิงคนนี้คือ...เด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้นน่ะเหรอ?

                ไวโอเล็ต ฉันตั้งชื่อให้เธอว่าไวโอเล็ต...

                นายนี่...ตั้งชื่อได้เหมาะดีนะ ไวโอเล็ตตัวน้อยอย่างนั้นหรอกเหรอ? ก็นะ นี่ไม่ใช่ครั้งที่เธอเจอฉันหรอกนะ แต่เธอคงจำฉันไม่ได้หรอกใช่ไหม? เรียกฉันว่า ผู้พันฮอดกินส์สิ

                ไวโอเล็ตโค้งคำนับให้เขา พร้อมกับถือซุปที่ถูกแจกจ่ายให้กับทหารทุกคนไว้ในมือ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในความมืด แต่หน้าตาที่น่าดึงดูดของเธอที่โดนแสงไฟกระทบเล็กน้อยก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสะกดจิตไปชั่วอึดใจ กิลเบิร์ตกระแอมในลำคอเล็กน้อย เสียงกระแอมนั่นทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์

                เธอโตเป็นสาวสวยเชียวนะ...ฮอดกินส์พาดแขนลงบนไหล่ของกิลเบิร์ตและพูดเสียงเบาในขณะที่พวกเขาหันหลังให้ไวโอเล็ต นายนี่...นี่มัน...แย่จริง ๆ นะ รู้ใช่ไหม? มีหญิงสาวอยู่ท่ามกลางสนามรบแบบนี้เนี่ย...คือ ฉันหมายถึง...ดูเหมือนว่าเราก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพร่างกายของเธอหรอก...ขนาดหน่วยของฉันยังรู้เรื่องของเธอเลย

                ฉันจะจับตาดูไวโอเล็ตเอง เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอก

                ก็คงจะเป็นแบบนั้น แต่...ฉันจะแนะนำยังไงดีล่ะ? มันเสียเปล่านะรู้ไหม มันไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งอย่างเดียวเสียหน่อยที่เธอได้มันมาตั้งแต่เกิดน่ะ มันคงจะดีนะ...ถ้ามีงานที่ทำให้เธอได้ใช้คุณสมบัติอื่น ๆ ในตัวเธอบ้าง

                คำพูดนั้นแทงใจกิลเบิร์ต มันค่อนข้างเจ็บปวดที่เขาได้ยินความคิดของตัวเองจากการชี้แนะของผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างก็เป็นเพราะตัวกิลเบิร์ตทั้งนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในขณะที่เขาเป็นผู้คุ้มครองเธอนั้น เขาก็เป็นเพียงคนเดียวและเต็มใจอยากให้เธอต่อสู้มากที่สุด

                ––เขารู้เรื่องนั้น...ดีกว่าใครเลยล่ะ

                ไม่ว่าเธอจะมีหน้าตาที่สวยจนน่าตะลึงหรือว่าจะเปี่ยมล้มไปด้วยความสามารถมากขนาดไหน แต่ตราบใดที่เธอยังถูกล่ามโซ่ติดไว้กับทหารอย่างกิลเบิร์ตแล้ว เธอก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตุ๊กตานักฆ่าหรอก

                รู้ไหม ฉันน่ะ...คิดว่าเมื่อสงครามนี้จบลงเมื่อไหร่ ฉันจะลาออกจากการเป็นทหารและเปิดธุรกิจของตัวเองล่ะ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ...ฉันกำลังคิดว่าถ้าฉันชวน...ไวโอเล็ตตัวน้อยมาทำงานด้วยจะดีไหมนะฮอดกินส์ดึงบุหรี่ออกจากกล่องที่บุบบู้บี้และคาบไว้ในปากของเขา

                เนื่องจากเหลือบุหรี่เหลือแค่มวนเดียวในกล่อง กิลเบิร์ตจึงรับมันมา เขาไม่โง่พอที่จะไม่รับบุหรี่จากเพื่อนของเขาหรอก ยิ่งเฉพาะในคืนก่อนออกรบเช่นนี้ และเขาก็ไม่ได้สูบบุหรี่มาหลายอาทิตย์แล้วด้วย พวกเขาขยับหน้าเข้ามาใกล้ ๆ และจุดไฟให้กัน

                เวลาที่ทหารพูดอะไรทำนองนี้ก่อนออกรบครั้งสุดท้าย ปกติแล้วมันจะหมายถึง แบบนั้นนี้กิลเบิร์ตพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่ปล่อยควันออกจากปาก

                ไม่ ฉันจะไม่ตายหรอกนะ! แน่นอนด้วย ฉันน่ะคิดเรื่องที่จะซื้อบริษัทสักแห่งมาทำสักพักแล้วล่ะ

                นายจะไปหาเงินมาจากไหนล่ะ?

                จากการเดิมพันด้วยโชคชะตาของเราว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะน่ะสิ

                ทำไม...นายถึงอยากใช้ชีวิตที่ไม่มั่นคงแบบนั้นล่ะ...?

                นายก็เห็น ฉันไม่ได้มาจากครอบครัวที่คนในบ้านส่วนใหญ่เป็นทหารหรอกนะ ครอบครัวของฉันทำธุรกิจทั่วไป และฉันก็เป็นลูกคนที่สองด้วย ฉันเข้าเกณฑ์ทหารก็เพราะว่าคนที่ต้องรับช่วงต่อธุรกิจของบ้านฉันก็คือพี่ชายของฉัน ถ้าหากมีอะไรที่ลูกคนที่สองที่ตกงานอย่างฉันมีส่วนร่วมกับครอบครัวได้ก็คงจะเป็นการปกป้องมันด้วยการปกป้องประเทศใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นถ้าตอนใต้ชนะแล้วไลเดนชาฟต์ลิชไม่ต้องสู้อีกต่อไปแล้ว ถึงจะน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงก็เถอะ ฉันก็จะเปิดอยู่ดี นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนที่จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าฉันตั้งใจจะทำจริง ๆ ถึงฉันจะเป็นทหารต่อไปแล้วอาจจะได้เลื่อนยศสักขั้นสองขั้นก็เถอะ...ฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อยู่ดี ฉันก็เพิ่งจะเข้าใจมันก็ตอนนี้ล่ะนะ

                กิลเบิร์ตรู้สึกอิจฉาฮอดกินส์จากใจจริงที่เขาพูดถึงความฝันของเขาด้วยความอายนิด ๆ พวกเขาอาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้ก็ได้ แต่เพื่อนของเขากลับพูดถึงสิ่งที่อยากจะทำและวางแผนอนาคตไว้เรียบร้อย มันอาจจะมีคนที่หัวเราะให้กับความคิดโง่ ๆ เช่นนี้ แต่กิลเบิร์ตกลับรู้สึกว่ามันน่าประทับใจ

                ––เขาไม่มีอะไรที่อยากทำเลย และก็คิดไม่ออกด้วยว่าจะมีที่ไหนที่เขาไปได้

                ที่เขามาได้ไกลขนาดนี้ก็เพราะว่าแกล้งทำตัวให้สมกับความคาดหวังที่เป็นเด็กที่เกิดในตระกูลทหารชั้นสูงอย่างโบเกนวิลเลียต่างหาก

                ––แล้วไวโอเล็ตล่ะ?

                เธอนั่งอยู่บนพื้นห่างจากพวกเขาเล็กน้อย และกำลังจับจ้องไปที่กองไฟ ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ข้างกายกิลเบิร์ตอยู่เสมอ และไม่มีใครที่คิดจะคุยกับเธอด้วย แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีสายตามากมายจากเหล่าทหารที่จับจ้องมาที่เธอ เธอไม่เหมาะที่จะมีระยะห่างกับใครแบบนั้นเลย

                ––เธอควรจะ...ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอด้วยการใส่ชุดสวย ๆ สวมเสื้อผ้าที่เหมือนกับวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป...ไม่สิ ถึงชีวิตของเธอจะไม่ได้สวยงามก็ไม่เป็นไร แค่เธอ...อยู่ในที่ที่เธอสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่เธอต้องการ โดยที่ไม่ต้องรับคำสั่งจากเขา....เขารู้สึก...ว่าเธอจะสามารถ...ได้รับบางสิ่งที่พิเศษจากชีวิตแบบนั้นแน่นอน

                โอเค ถ้าธุรกิจของนายปลอดภัย ฉันอาจจะให้นายเป็นคนดูแลเธอก็ได้

                กิลเบิร์ตมีความสามารถในการเป็นทหาร เขาไม่เคยรู้สึกกังวลหรือหวาดกลัวแต่อย่างใดในตอนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง พระเจ้าได้มอบโชคชะตาที่เหมาะสมกับตัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

                เนื่องจากฮอดกินส์ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะได้รับความยินยอมเช่นนั้น เขาจึงเผลอทำบุหรี่ตกในขณะที่พูดว่า หา?ราวกับอยากจะขอความแน่ใจอีกครั้ง

                ไวโอเล็ตผู้ที่ซึ่งเงียบมาตลอดนานค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองมาที่พวกเขา

                อย่างที่ฉันพูด ถ้านายคิดว่ามันเหมาะกับไวโอเล็ต ฉันอาจจะให้นายเป็นคนดูแลเธอ…”

                จริงเหรอ!? ฉันถือว่านายรับปากแล้วนะ! ทุกคนต้องเป็นพยานให้เรื่องนี้!”

                กิลเบิร์ตสำลักเมื่อเขาถูกดึงคอเสื้อและเขย่าไปมา ฉันบอกว่า อาจจะเฉย ๆ ไม่ได้บอกว่าจะให้จริง ๆ เสียหน่อย!”

                ธ-ธุรกิจของฉันน่ะจะต้องมีผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถเดินทางไปที่ที่อันตรายได้โดยไม่มีความลังเลใด ๆ...

                ถ้านายจะให้เธอไปทำเรื่องอันตรายล่ะก็ ฉันขอปฏิเสธ

                แหม ถึงฉันจะบอกว่ามันอันตราย...แต่...ฉันก็ไม่ได้จะเป็นผู้อุปถัมภ์เสียหน่อย

                ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังแล้วกัน ไว้เจอกันนะฮอดกินส์

                นี่ กิลเบิร์ต! อย่าลืมสิ่งที่นายพูดล่ะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม! เข้าใจไหม!? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามน่ะ

                กิลเบิร์ตไม่สนใจสิ่งที่กิลเบิร์ตกำลังพูดและพาไวโอเล็ตกลับไปที่เต็นท์ของพวกเขา พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันทั้งคืนเพราะว่ามีทหารหลายหมู่มารวมตัวกัน ทำให้ไม่มีที่พักเพียงพอสำหรับทุกคน และไวโอเล็ตก็ไม่สามารถมีเต็นท์เดี่ยวของตัวเองได้ นอกจากนี้ หากเธอได้อยู่เต็นท์ใหญ่คนเดียว อาจจะมีคนพยายามเข้าไปทำมิดีมิร้ายเธอและอาจทำให้จำนวนทหารน้อยลงก่อนที่จะได้ต่อสู้ด้วย

                เนื่องจากเต็นท์ของพวกเขาทั้งคู่นั้นต้องใช้ในการเก็บกระเป๋าด้วย จึงเหลือพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้นที่สามารถนอนได้ เพราะงั้นถ้าหากพวกเขาเผลอพลิกตัวเมื่อไหร่คงจะโดนตัวกันอย่างแน่นอน กิลเบิร์ตเพิ่งตระหนักได้ว่าเขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

                ––ไม่หรอก แต่...

                ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันนั้น เขาก็กลับบ้านของเขาด้วยการอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ตอนนั้นตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด และก็ยังไม่รู้วิธีการพูดด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าเขาจะกลัวเธอแต่เขาก็ยังกอดเธอไว้ ในตอนนั้น เธอจ้องมองมาที่เขาราวกับว่าเขาเป็นสิ่งลึกลับ

                ส่วนตอนนี้ เป็นเขาที่กำลังมองเธอเสียแทนในตอนที่เธอปล่อยผมของเธอ ถึงแม้ว่ารูปร่างของเธอจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างผอมเพรียวแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงวัยแรกรุ่นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รูปร่างหน้าตาของเธอก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี และยังมีจิตวิญญาณของนักรบหญิงที่ดุร้ายเสียด้วย

                บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ากิลเบิร์ตจ้องเธอนานเกินไป ไวโอเล็ตจึงหันมามองเขา และสายตาของพวกเขาก็ประสานกัน

                ผู้พันเธอเรียกเขาเสียงเบา ราวกับกำลังจะบอกความลับกับเขา

                อะไรหรือ? เขาเอ่ยถามด้วยเสียงที่เบาเหมือนกัน

                หลังจากนี้...ฉัน...ควรจะทำยังไงดีคะ?

                เธอพูดเรื่องอะไร...? พรุ่งนี้ก็เป็นศึกสุดท้ายไง แล้วเราก็จะทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ในฐานะหน่วยจู่โจม

                เปล่าค่ะ ฉันหมายถึงหลังจากวันพรุ่งนี้ ถ้าพรุ่งนี้จบแล้วฉันควรจะทำอะไรคะ? ผู้พัน คุณ...พูดเรื่องนั้นกับผู้พันฮอดกินส์ ว่าคุณจะมอบหมายให้เขาดูแลฉัน

                เธอได้ยินเหรอ?

                ไวโอเล็ตยังคงมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเช่นเคย หากแต่น้ำเสียงของเธอกำลังกังวลแปลก ๆ

                นั่นน่ะ...ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกนะ

                กิลเบิร์ตพูดราวกับมีโคลนอยู่ในปาก ไวโอเล็ตจึงเอ่ยถาม ฉัน...ไม่จำเป็นแล้วหรือคะ?

                ไวโอเล็ต?

                ฉันต้องไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้พันฮอดกินส์...เพราะว่าฉันถูกปลดประจำการหรือคะ? ฉันจะไม่ได้รับคำสั่งจากผู้พันแล้วหรือคะ?

                คำถามนั่นราวกับกำลังประณามว่าเธอคิดว่าตัวเธอเป็นแค่ สิ่งของจริง ๆ

                ฉัน...เป็นไปได้ว่า...อาจจะไม่สามารถรับคำสั่งจากผู้พันฮอดกินส์ได้ค่ะ ฉัน...ไม่ค่อยเข้าใจ...มันนัก...แต่ฉันไม่สามารถทำได้ค่ะถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากคนที่ฉันยอมรับ นั่นเป็นเหตุผล...ที่ฉันจะมีประโยชน์มากที่สุด...ถ้าฉันได้อยู่ข้าง ๆ ผู้พันค่ะ

                หน้าของกิลเบิร์ตฟุ้งซ่านไปด้วยประโยคของเธอที่ราวกับเครื่องจักรกำลังพูด เธอ...อยากได้คำสั่งของฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?

                เขาผู้ที่ซึ่งเป็นหัวหน้าของเธอนั้นไม่เคยพูดคำไหนเลยนอกจากคำว่า ฆ่านั่นล่ะคือแบบอย่างของผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเธอมา แบบอย่างที่ผู้ชายอย่างเขาเป็น

                คำสั่งเป็นทุกอย่างสำหรับฉันค่ะ และ...ถ้าผู้พันไม่ได้เป็นคนสั่ง...ฉัน...

                ––ทำไม...เขาถึงรู้สึกเศร้าอีกแล้วล่ะ...?

                ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไวโอเล็ตจะย้ำเตือนเขาในขณะที่คิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เครื่องมือ เธอจะทำแบบนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยากให้เธอทำก็ตาม มันเป็นธรรมชาติของเธอ เป็นวิถีชีวิตของเธอ และเป็นสิ่งที่เธอเป็น

                ––แต่แบบนี้มัน...

                มันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเหลือเกินที่ยังต้องเห็นเธอเป็นแบบนั้นต่อไป

                ––ทำไม...ต้องเป็นเขา...

                ทำไมถึงต้องเป็นฉัน...เธอ...ทำไมมันถึงต้องเป็นฉันล่ะ?

                คะ?

                เสียงพึมพำของเขาคงจะเบาเกินไปถึงแม้ว่าเราจะอยู่ใกล้กันมากแค่ไหนก็ตาม

                กิลเบิร์ตเอ่ยคำพูดออกมาด้วยความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยแสดงให้ไวโอเล็ตเห็นมาก่อน หลังจากศึกนี้...เธอไม่ต้องรับคำสั่งจากฉันอีกแล้ว ฉัน...วางแผนจะปล่อยเธอไป เธอควรทำในสิ่งที่เธออยากทำเหมือนกัน เธอไม่ต้องรับคำสั่งจากใครอีกแล้ว ทำสิ่งที่เธออยากจะทำ ตอนนี้...เธอคงจะอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วใช่ไหม?

                แต่...ถ้าฉันทำแบบนั้น ฉันจะต้องรับคำสั่งจากใคร...

                อย่าฟังคำสั่งจากใครทั้งนั้น

                ด้วยใบหน้าของเธอนั้น ไวโอเล็ตก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงที่ยังเยาว์วัยเท่านั้น มันทำให้เขาอยากถามว่าทำไมเธอถึงต้องเข้าไปสนามรบ ทำไมร่างกายของเธอถึงต้องการสงครามด้วย? ทำไมเธอถึงไว้วางใจคนอื่นและยอมเป็นเครื่องมือของพวกเขา?

                ––ทำไมเธอ...ถึงเลือกเขาให้เป็นเจ้านายของเธอล่ะ?

                นั่นเป็น...คำสั่งหรือคะ?สีหน้าของไวโอเล็ตที่เปลี่ยนไปนั้นราวกับกำลังขอร้องอย่างหมดท่าด้วยความปรารถนาในสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นนั้น "นั่นเป็นคำสั่งของผู้พันหรือคะ?"

                ––อ่า...ทำไมกันนะ? มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

                นั่น...ไม่ใช่...หรอกนะ

                แต่คุณพูดว่า อย่าฟัง’ นี่คะ...

                ––อ่า มันไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย

                ความข้องใจที่ทุกสิ่งไม่เป็นไปตามที่เขาหวังนั้นเดือดพล่านอยู่ในหัวของเขาและระเบิดออกมา

                ทำไม...เธอถึงคิดว่าทุกสิ่งที่ฉันพูดถึงเป็นคำสั่งหมดเลยล่ะ?! เธอคิดว่า...ฉันเห็นเธอเป็นเครื่องมือจริง ๆ เหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็คงไม่อุ้มเธอหรือทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับเธอในตอนที่เธอโตเป็นสาวแบบนี้หรอก! ไม่ว่ายังไง...เธอก็ไม่เข้าใจ...ความรู้สึกของฉัน...ที่มีต่อเธอเลย ปกติ...คนอื่น ๆ คงจะ...เข้าใจมันแล้วแท้ ๆ แม้แต่ตอนที่ฉันโกรธ แม้แต่ตอนที่ทุกอย่างมันยากไปหมด ฉัน...!” เขาเห็นใบหน้าที่น่าสมเพชของเขาสะท้อนอยู่ในแววตาของไวโอเล็ต ฉัน...ไวโอเล็ต...

                ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นมองมาที่กิลเบิร์ตเสมอ เหมือนกับที่ดวงตาสีเขียวของเขาที่มองไปที่เธอเช่นกัน และกว่าที่เขาจะรู้สึกตัว ว่าเขาได้มองเธอแบบนั้นมาตลอด ไม่ว่าจะกี่เดือนหรือสี่ปีที่ผ่านมาก็ตาม พวกเขาจะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ

                ผู้...พัน...

                นับตั้งแต่ที่ริมฝีปากสีกุหลาบของเธอได้เอื้อนเอ่ยออกมาคำแรก กิลเบิร์ตก็ได้ทำทุกอย่างที่เขาทำได้เพื่อปกป้องเธอไปแล้ว เขาเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งด้วยซ้ำในตอนที่พวกเขาพบกัน

                เธอไม่ได้ไม่มีความรู้สึกใช่ไหม? ไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม? ถ้าเธอไม่มีความรู้สึกจริง ๆ แล้วสีหน้าแบบนั้นคืออะไรล่ะ? เธอทำหน้าแบบนั้นได้ด้วยใช่ไหม? เธอมีความรู้สึก เธอมี...หัวใจเหมือนกับฉันใช่ไหม!?

                เสียงตะโกนของเขาอาจจะดังไปถึงเต็นท์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ได้ ในเสี้ยววินาทีนั้น พอคิดว่าคนอื่นจะได้ยินเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะสอนเธออย่างอวดดีแบบนั้น

                ฉัน...ไม่เข้าใจ...ความรู้สึกค่ะไวโอเล็ตพูดด้วยเสียงสั่นเทา ราวกับว่าเธอไม่รู้ว่าการแสดงออกของเธอนั้นเป็นการแสดงออกถึงความหวาดหวั่น

                เธอ...คิดว่าตอนนี้ฉันน่ากลัว...ใช่ไหม? เธอไม่ชอบ...ที่อยู่ดี ๆ ฉันก็ตะโกนใส่เธอใช่ไหม?

                ฉันไม่รู้ค่ะ

                เธอไม่ชอบที่จะโดนดุในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจใช่ไหม?

                ฉันไม่...รู้ค่ะ ฉันไม่รู้

                โกหก...

                ฉันไม่รู้ค่ะไวโอเล็ตส่ายหัว และแก้ตัวอย่างจริงจัง ผู้พัน ฉัน...ไม่รู้จริง ๆ ค่ะ

                เธอขาดบางสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับความเป็นมนุษย์ไป และถึงแม้ว่าเธอจะมีความรู้สึก เธอก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ เธอถูกเลี้ยงดูมาแบบนั้น

                ––เรื่องแบบนี้...จะต้องโทษใครกัน?

                กิลเบิร์ตยกมือขึ้นปิดเปลือกตาของเขาและหลับตา ด้วยการทำแบบนั้นเขาจะได้ไม่เห็นหน้าเธออีก ทั้งหมดที่เขาได้ยินมีแต่เสียงลมหายใจของเธอเท่านั้น เขาไม่เห็นอะไรอีกเลย

                ผู้พันคะราวกับว่าเขากำลังวิ่งหนีความเป็นจริง เสียงของไวโอเล็ตก้องอยู่ในหูของเขา ฉัน...ไม่เข้าใจตัวเองค่ะว่าทำไมฉันถึงต่างจากคนอื่น ทำไมฉันถึงไม่สามารถ...รับคำสั่งจากใครได้นอกจากผู้พัน...?เสียงของเธอราวกับหมดหวังเต็มที ตอนที่...ฉันเจอผู้พันครั้งแรก ฉันคิดแต่ว่าฉันจะต้อง ตามคนคนนี้ไปค่ะ

                แค่ฟังเธอ เขาก็บอกได้เลยว่าเธอนั้นเด็กมากขนาดไหนถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากก็ตาม

                ในตอนที่ฉันติดอยู่ในวังวนของคำพูดเหล่านั้น ฉันไม่สามารถแยกแยะมันได้ค่ะ และในตอนที่ผู้พันกอดฉันไว้...นั่นอาจจะเป็นสิ่งแรก...ที่ฉันแยกแยะมันได้ค่ะ ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นกับฉันมาก่อน...ด้วยความตั้งใจที่จะปกป้องฉัน...แม้กระทั่งตอนนี้ นั่นคงเป็นเหตุผล...ที่ฉันอยาก...รับคำสั่งจากผู้พัน ถ้าฉัน...ได้รับคำสั่งจากผู้พันแล้ว ฉันไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นค่ะ

                ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เด็ก แต่เธอก็แสวงหามันจากกิลเบิร์ตเท่านั้น

                ––เรื่องนี้...จะต้องโทษใครกัน?

                หลังจากเงียบไปสักพัก กิลเบิร์ตก็กระซิบเสียงเบา ไวโอเล็ต ฉันขอโทษเขาลืมตาขึ้นและยื่นมือเข้าไปหาเธอเพื่อห่มผ้าห่มให้เธอจนถึงปากของเธอ ฉันพูดเหมือนกำลังกล่าวหาเธอทั้ง ๆ ที่เธอไม่ผิดเลย...ฉันอยากให้เธอยกโทษให้ฉัน พรุ่งนี้...จะเป็นการต่อสู้ชี้ขาด หลาย ๆ คนคาดหวังในความแข็งแกร่งของเธอนะ เพราะงั้น หลับเถอะ ค่อยคุยกันทีหลัง...ว่าเราจะทำอะไรหลังจากนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

                ค่ะไวโอเล็ตถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉันจะทำตัวให้มีประโยชน์ที่สุดค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ผู้พัน

                อ่า...ราตรีสวัสดิ์ ไวโอเล็ต

                มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน กิลเบิร์ตก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เขาหันหลังให้ไวโอเล็ต พยายามจะข่มตานอนให้หลับ แต่เมื่อเขาหลับตา น้ำตาก็ไหลลงมาในทันที

                ––ใต้เปลือกตาของเขาร้อนเหลือเกิน เหมือนกับลูกกะตาของเขากำลังลุกไหม้อยู่เลย

                น้ำตาของเขาเอ่อล้นจนเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป มันไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามไม่ปล่อยให้เสียงของเขาหลุดออกไป เขายกมือขึ้นปิดหน้าของเขาไว้ และอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอกของเขา

                ––เรื่องนี้...จะต้องโทษใครกัน?

              นั่นคือทั้งหมดที่เขาคิดตลอดคืนนั้น

     



              กำแพงหินขนาดมหึมาที่ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์อินเทนซ์นั้น รูปลักษณ์ภายนอกของมันให้ความรู้สึกที่น่ากลัว หากแต่ภายในนั้นมีโครงสร้างที่คล้ายกับสวนกล่อง มีทางน้ำที่ซับซ้อน กังหันลม และทุ่งเปิดโล่ง มีทางเข้าและทางออกแค่ทางเดียวเท่านั้น มีถนนที่กว้างขวางโดดเดี่ยวที่ถูกเรียกว่าถนนแสวงบุญที่ทอดยาวไปจนถึงใจกลางเมืองและมีความลาดชันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงสิ้นสุดวิหาร มหาวิหารที่ปกป้องพระคัมภีร์ที่มีภาพที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการกำเนิดทวีป และเทพเจ้าหลายองค์ที่ได้รับการบูชาทั้งทวีป เช่นเดียวกับการต่อสู้แบบโบราณและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่เกิดวันโลกาวินาศขึ้น

                สถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเป็นที่ซึ่งคัมภีร์ดั้งเดิมที่ถูกเก็บไว้ในมหาวิหารได้ถูกสร้างขึ้น การกำเนิดทวีปได้อธิบายถึงลักษณะและการกระทำของเทพเจ้า และท้ายที่สุดก็พูดถึงว่าพระคีมภีร์ดั้งเดิมเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ไม่ว่าเทพองค์ใดจะเชื่อสิ่งไหนก็ตาม มันเป็นดินแดนแห่งสันติภาพที่ทุกนิกายจะมาพบกันโดยบังเอิญโดยผ่านการเผยแพร่ของคัมภีร์ กิลเบิร์ตและทหารของตอนใต้และตะวันตกนั้นจะต้องบุกเข้าไปยังดินแดนแห่งสันติภาพนั่นและทวงคืนมันมา

                ปัญหาคือเราจะหาวิธีแทรกแซงเข้าไปยังไงต่างหาก

                เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ในขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่ผู้บังคับบัญชาต้องการยืนยันแผนของพวกเขาอีกครั้งในการประชุม ในฐานะผู้นำที่รอดตายมาได้ ฮอดกินส์ได้รับการไว้วางใจให้วางแผนกลยุทธ์หลัก เขาวาดไดอะแกรมขนาดเล็กขึ้นและเขียนข้อความโน้ตไว้เหนือรูปกล่อง มีทางเข้าและออกเพียงทางเดียวเท่านั้น” “เมือง ๆ นี้เหมือนกับสวน การจับกุมอาจจะเป็นเรื่องที่ลำบากและตามความเห็นของฮอดกินส์ ผู้ที่ต่อสู้มาอย่างต่อเนื่องในแนวป้องกัน เขาบอกว่ามีคำสั่งที่สั่งให้อัศวินปกป้องพระคัมภีร์ที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และทางน้ำของน้ำบาดาลนั้นมีไว้เพื่อขัดขวางใครก็ตามที่พยายามจะเข้ามาขโมยมัน

                กองกำลังหลักจะต้องเข้าไปทางประตู เพราะเราคิดว่าถึงการปีนกำแพงเข้าไปนั้นจะเป็นการโจมตีที่สร้างความตกใจได้จริง แต่กำแพงนั่นมันใหญ่เกินไป มันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่จะปีนมัน และเราก็ต้องสร้างบันไดเพื่อปีนข้ามมันอีก ผมว่ามันจะทำให้พวกทหารหมดกำลังใจสู้ และพวกศัตรูเองก็อาจจะสร้างป้อมปราการไว้แล้วด้วย เพราะงั้นผมถึงไม่อยากให้กองกำลังหลักที่มีคนจำนวนเยอะกว่าโจมตีด้วยวิธีนั้น คนแรก พันตรีกิลเบิร์ตของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลนเดนชาฟต์ลิช

                เมื่อได้ยินฮอดกินส์ขานชื่อ กิลเบิร์ตก็ยกมือ นอกเหนือจากเขาก็มีผู้บัญชาการจากหน่วยจู่โจมอีกสี่คนที่ถูกเรียก หน่วยของพวกเขาถูกแยกไปยังประเทศต่าง ๆ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นหน้ากันตัวเป็น ๆ

                ความจริงแล้ว คัมภีร์ที่ถูกเก็บไว้ในวิหารนั่นเป็นของปลอม ของจริงถูกย้ายไปไว้ที่อื่นตั้งแต่ที่กองทัพของตอนเหนือและตะวันออกบุกเข้ามาแล้ว ผมไม่รู้ว่าพวกศัตรูได้สังเกตเห็นหรือเปล่าแต่ท่อระบายน้ำใต้ดินยังใช้งานได้อยู่ ดังนั้นเราจึงให้หน่วยจู่โจมบุกเข้าไปทางนั้น หน่วยที่ 1 จะควบคุมมหาวิหารไว้และจุดเพลิงเพื่อส่งสัญญาณทันทีเพื่อประกาศชัยชนะ ฟังดูแล้วมันอาจจะดูน่าตลก แต่การก่อกวนก็อาจก่อให้เกิดระเบิดที่มีประสิทธิภาพได้ ส่วนหน่วยที่ 2 และ 3 จะมุ่งไปยังใจกลางเมือง การต่อสู้จะถูกควบคุมไว้ที่ทางเข้าเท่านั้น แน่นอนล่ะว่าต้องมีพวกทหารคอยเฝ้าระวังรอบ ๆ เมือง แต่ถ้าเราไม่กระจายกำลังออกไป ภารกิจของเราก็จะไม่มีวันสำเร็จ พวกศัตรูต้องแปลกใจแน่ถ้าได้เห็นพลุไฟนั่น และก็ต้องตามมาจัดการอย่างแน่นอน และก็หน่วยที่ 4 จะโจมตีแนวหน้าเพื่อบุกเข้าไปทางประตูให้ได้

                หน่วยแรกเป็นหน่วยของกิลเบิร์ต ไม่ว่าหน้าที่ที่พวกเขาได้รับจะอันตรายสักแค่ไหน แต่พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อภารกิจนั้นอย่างดีที่สุด

                คือผมหมายถึง แผนนี้เป็นแค่แผนในอุดมคติเท่านั้น แน่นอนว่าความเป็นจริงมันคงจะไม่เรียบง่ายแบบนั้น ถ้าหากหน่วยจู่โจมทำงานล้มเหลว ให้ถอนกำลังและเผาข้างนอกแทน ทุ่งมันกว้างใหญ่มาก ดังนั้นไฟมันจะลามได้เร็วขึ้น หลังจากนั้นแผนก็จะดำเนินต่อไปแต่การจุดไฟในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่คนอื่นคงยอมไม่ได้ เพราะงั้นได้โปรดอย่าเกลียดพวกเราเลย พวกเราเหล่าทหารแห่งกองทัพตอนใต้ไม่ใช่พวกที่ไม่เชื่อใจพระเจ้า ผมเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พูดจริง ๆ นะ นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้ว มันเป็นโอกาสเดียวของเราเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พวกศัตรูก็จะยิ่งสร้างป้อมปราการบนพื้นที่แสวงบุญของอินเทนซ์มากขึ้นเท่านั้น และคงยากที่จะทวงคืนมันมา คนที่อยู่ในนั้นก็จะยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะยุติสงครามนี่สักที ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะต้องโดนใส่ร้ายป้ายสีก็ตาม กุญแจหลักของภารกิจครั้งนี้จะเป็นของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลนเดนชาฟต์ลิช พวกเราหวังพึ่งนายนะ

                เมื่อได้รับการฝากความหวังที่หนักแน่นเช่นนั้น กิลเบิร์ตก็ตอบเสียงเบา ฉันรู้ ว่าการป้องกันมหาวิหารคงจะแข็งแกร่งน่าดู แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก อาวุธของไลเดนชาฟต์ลิชจะไม่ทำให้ผิดหวัง ฉันอยากให้แต่ละหน่วยสบายใจในเรื่องนั้นและมีสมาธิกับภารกิจก็พอ

                คำพูดของกิลเบิร์ตดูเหมือนกำลังอนุมานถึงพลังของลูกน้องของเขา ในขณะที่เขากำลังจะออกไปทำสงคราม ทุกคนต่างก็อวยพรให้เขาโชคดีในตอนที่จับมือเขา นอกจากนั้น คำสาบานนั่นก็รวมไปถึงคำอวยพรของกิลเบิร์ตด้วย

                ฉันอยากให้ศึกครั้งนี้เป็นศึกครั้งสุดท้ายจริง ๆ

                รั้วหินที่ล้อมรอบพื้นที่ศักด์สิทธิ์ของอินเทนซ์นั้นเป็นช่องทางสำหรับการชลประธาน ทางน้ำนั่นลึกมากพอที่จะแตะถึงเอวของผู้ใหญ่ได้เลย ตามเส้นทางของมันนั้น มีน้ำตกที่เหมือนกับเหวและสามารถไหลลงไปยังใต้ดินได้ ภายในของระบบระบายน้ำแบ่งออกเป็นหลายเส้นทาง และถ้าหากมีน้ำที่ไหลเข้าไปในเมืองได้ มันก็ต้องไหลผ่านมหาวิหารด้วย

                หน่วยทั้งหมดเริ่มการแผนการแทรกซึมในขณะที่กำลังติดตั้งบันไดอย่างระมัดระวัง หน่วยที่ 2, 3 และ 4 แยกไปตามเส้นทางของพวกเขา เหลือเพียงแค่กิลเบิร์ตและหน่วยที่ 1 เท่านั้นที่ยังคงวิ่งไปตามท่อระบายน้ำใต้ดินที่แสนยาวเหยียด พวกเขาเชื่อว่าจะต้องมีการซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน แต่พวกเขากลับผิดหวังเมื่อไม่พบสัญญาณอะไรเลย

                คนในหน่วยบางคนเริ่มคิดว่าแผนของพวกกำลังไปได้สวยและเริ่มที่จะพูดคุยกันเบา ๆ แต่เมื่อกิลเบิร์ตชำเลืองมองไปยังไวโอเล็ตนั้น เขาก็สรุปได้ทันทีว่าเธอไม่คิดเช่นนั้น ใบหน้าของเธอยังคงไร้อารมณ์ถึงแม้ว่าชีวิตของเธอจะน่าหวาดหวั่นแค่ไหนก็ตาม แต่ก็แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

                ––ไวโอเล็ตรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่าง

                หลังจากวิ่งไปสักพัก พวกเขาก็เห็นปลายทางของช่องทางที่แสนซับซ้อนของระบบชลประธาน มีบันได และอะไรบางอย่างที่คล้ายกับฝาเหล็ก ถัดไปจากนั้นก็เป็นโลกภายนอก

                ไวโอเล็ตหยุดเคลื่อนไหวทันที และคนอื่น ๆ ก็หยุดตามเช่นกัน

                ผู้พัน ศัตรูน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่อยู่เหนือเราแล้วค่ะ

                เธอได้ยินอะไรงั้นเหรอ?

                เปล่าค่ะ ฉันคิดว่าเป็นแบบนั้นเพราะฉันไม่ได้ยินอะไรเลย ถ้าฉันเป็นผู้บัญชาการของพวกเขา ฉันก็คงจะกำจัดหน่วยจู่โจมที่นี่ในขณะที่พวกเราพยายามจะบุกเข้าไป ถ้าเราปีนบันไดขึ้นไปและออกไปข้างนอก เราจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอนค่ะ ผู้พันคะ ฉันจะเป็นคนนำไปก่อนเองค่ะ ไวโอเล็ตเอ่ยแบบนั้นพร้อมกับเอาขวานที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อเธอจากผู้ถือที่อยู่ด้านหลังของเธอมา

                ไม่ได้ เรายังไม่รู้ว่าพวกมันมีจำนวนเท่าไหร่

                ถ้าพวกเขามีจำนวนมาก นั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันต้องเอาชนะศัตรูทั้งหมดให้ได้เพื่อให้ทุกคนได้ขึ้นไปอย่างปลอดภัยค่ะ ขอคำสั่งด้วยค่ะ ผู้พัน

                ในใจของกิลเบิร์ตอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า คำสั่ง

                ผู้พันคะ คำสั่งค่ะ

                มันเหมือนเขากำลังบอกให้เธอไปตาย

                ผู้พันคะ!”เธอขอร้องให้เขาเอ่ยคำนั้นออกมา

                ไม่เพียงแต่ไวโอเล็ตเท่านั้น แต่ทุกคนก็กำลังมองมาที่กิลเบิร์ต

                สัญญาณไฟพร้อมจุดแล้วหรือยัง?

                หลังจากที่วานแผนเรียบร้อย ทุกคนก็ยืนชิดกับกำแพงในขณะที่ไวโอเล็ตยืนอยู่ใต้ฝาเหล็กคนเดียวพร้อมกับถือเวทย์มนตร์ไว้ในมือ เธอบังคับโซ่ถ่วงน้ำหนักของเธอ และบิดร่างกายของเธอไว้เท่าที่เธอจะทำไหว จากนั้นจึงปลายโซ่ไปทางฝาเหล็ก พวกเขาสามารถมองเห็นสีหน้าที่ประหลาดใจจากศัตรูของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะกระหน่ำกระสุนใส่ไวโอเล็ตได้ ปลายของโซ่ก็ได้บีบแคปซูลจนแตกและปล่อยสัญญาณไฟ แสงจ้านั่นทำให้พวกศัตรูมองไม่เห็น

                ฉันจะไปแล้วค่ะ!”

                ไวโอเล็ตปีนบันไดอย่างรวดเร็วและหายตัวไปทันที ไม่นานหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น

                โอเค เราก็จะปีนขึ้นไปเหมือนกัน! ไปหาที่ซ่อนซะในตอนที่ไวโอเล็ตยังหนุนหลังพวกเราอยู่!” กิลเบิร์ตปีนบันได และนำทุก ๆ คนไป ในขณะที่ไวโอเล็ตกำลังกำจัดคนหลายสิบคนทิ้ง

                สิ่งที่ทางน้ำใต้ดินนำไปนั้นไม่ใช่วิหาร แต่เป็นทางลัดไปหาพวกมันต่างหาก ในขณะที่สายตาของพวกมันกำลังจับจ้องไปที่เธอ สมาชิกในหน่วยก็รีบวิ่งไปยังตึกที่จะใช้เป็นเกราะกำบังและซ่อนตัวพวกเขาได้

                สไนเปอร์! เตรียมพร้อม!”

                ทหารทุกคนที่อยู่รอบตัวไวโอเล็ตเล็งเป้าไปที่เธอ เธอผลักเวทย์มนตร์ลงไปกับพื้น และกระโดดสูง ในขณะที่เธอแตะเท้าลงบนพื้นด้วยแรงถีบสุดพลังนั่น ก็ราวกับว่าเธอกำลังเต้นรำอยู่กลางอากาศในขณะที่ขยับตัวออกจากห่างเป้าของไรเฟิล

                ยิง!!”

                กระสุนทั้งหมดลอยผ่านไวโอเล็ตและยิงเข้าไปที่พวกทหารที่กำลังเข้ามาหาเธอแทน ในเวลาเดียวกัน เธอหมุนตัวกลางอากาศและหยิบปืนจากซองหนังที่อยู่ในเครื่องแบบทหารของเธอ และก่อนที่เธอจะถึงพื้น เธอก็ยิงทหารสองคนที่พยายามจะทำร้ายกิลเบิร์ตและคนอื่น ๆ จากมุมอับ และเมื่อเท้าของเธอสัมผัสกับพื้นดิน เธอก็จับโซ่ของเวทย์มนตร์และหมุนตัวไปรอบ ๆ หัวของทหารจำนวนสองสามคนที่พยายามจะหนีจากการโจมตีของเธอหลุด เส้นทางบางแห่งที่ก่อนหน้านี้ถูกปิดล้อมด้วยศัตรูถูกเปิดออก และไวโอเล็ตก็บุกเข้าไปหลังจากสังหารแนวหน้าทั้งหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

                ทหารทุกนาย เดินหน้าาา!!”

                เมื่อได้ยินคำสั่งของกิลเบิร์ต ทุกคนก็ดึงดาบออกมาและตามเธอไป ไม่มีใครที่สงสัยเจ้าของแผ่นหลังเล็ก ๆ นั่นอีกต่อไปแล้ว ในวันนั้น มือสังหารที่เยี่ยมยอดที่สุดก็คือตัวเธอเอง

                โอ้ววววววววววววววววววววววววววววววว!!”

                กองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่มหาวิหาร

     

     

                ในขณะเดียวกัน การต่อสู้อันสิ้นหวังได้แพร่กระจายไปยังบริเวณประตูหลักระหว่างทิศใต้และทิศเหนือ หน่วยปราบปรามที่นำโดยฮอดกินส์ประสบความสำเร็จในการบุกทะลวงประตูถึงแม้ว่าจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายที่เข้ามามีส่วนร่วมในบริเวณใกล้เคียงเป็นจำนวนมากก็ตาม

             เป็นการต่อสู้ที่สง่างามมากซะทีเดียวเลยนะ ฮอดกินส์ที่มีหน้าที่กำกับทิศทางเลียริมฝีปาก ง่ายมาก ง่ายมากสำหรับพ่อค้าอย่างฉัน ง่ายเกินไป ฉันเห็นผลกำไรจากทั้งฝั่งผู้แพ้และผู้ชนะของสงครามครั้งนี้ได้อย่างชัดเจนเลย พวกเขากลัวเมืองถูกทำลายจริง ๆ เหรอ? ถึงมันจะเป็นซัพพลายเออร์ของพวกเขาก็เถอะ พื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเห็นแม้กระทั่งในความฝันใช่มั้ย? ใช่มั้ยล่ะ?เขาขึ้นเสียงพร้อมกับรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกลัว หน่วยสนับสนุน เอาเครื่องเหวี่ยงกระสุนออกมา! มาทำลายกังหันลมที่ศัตรูใช้เป็นที่กำบังกันเถอะ! เราจะพังมันลงมาและบดขยี้กองหลังของพวกมัน! ทหารของพวกมันจะเริ่มทยอยออกมาเรื่อย ๆ แต่อย่ายอมแพ้! ใครก็ตามที่ใช้ป้อมปราการนี้ได้ดีกว่าจะเป็นผู้ชนะ! สั่งสอนให้พวกมันรู้ว่าฝั่งไหนทำได้ดีที่สุด!”

                ครับผม!” เสียงตะโกนตอบกลับข้อตกลงนั่นพร้อมกับที่นักรบแต่ละคนลงมือในทันที

                ผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ก็จริง แต่กระนั้นก็หมายความว่าพวกเขามีโอกาสชนะด้วยเช่นกัน

                ณ ด้านหลังของทางลาดที่ทอดยาวไปทางเบื้องหลังของศัตรูนั้นสามารถเห็นอาสนวิหารอันโออ่าตระการตา ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณแจ้งเตือนใด ๆ จากที่นั่น

                ––กิลเบิร์ต ฉันฝากนายด้วยนะ ฉันล่ะหน่ายกับทุกสิ่งเต็มทีแล้ว

                ฉันโกรธมาตั้งแต่เมื่อวานไม่สิ โกรธมาตั้งนานนมแล้ว! มาจบสงครามงี่เง่านี่สักทีเถอะ!” ฮอดกินส์ยกปืนขึ้น และเข้าไปในกลุ่มก้อนขมุกขมัวของฝุ่นเพื่อต่อสู้เคียงข้างกับสหายของเขา



                กองกำลังหลักเริ่มบุกเข้าไปทางประตูแล้ว กองกำลังทหารของตอนเหนือและตะวันออกที่ควบคุมพื้นที่นั้นแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนคือทางประตูและในวิหาร และเราเชื่อว่านายพลของพวกมันก็น่าจะอยู่ในสองกลุ่มนั้น เพื่อที่เราจะชนะ เราต้องตัดหัวของมันและเข้าไปควบคุมวิหารให้ได้ ถ้าขวัญกำลังใจของพวกมันหายไปล่ะก็ เราชนะ

                กองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชซ่อนตัวอยู่ในตึกใกล้ ๆ และหันหน้าไปทางวิหาร พวกเขาพยายามแยกแยะสถานการณ์ตรงหน้าหลังจากได้ข่าวจากทหารสื่อสารจากหน้าประตูใหญ่

                มหาวิหารที่สามารถมองได้จากหน้าต่างในตัวอาคารถูกป้องกันโดยกำแพงเหล็กอย่างแน่นหนา ทหารติดอาวุธมากมายยืนล้อมรอบนอกหอคอยทรงกระบอกของมหาวิหาร แต่ตรงกันข้ามกับทหารที่อยู่ในกองรุกที่เหลือจำนวนนิดเดียว ถึงแม้ว่าจะมีผู้บาดเจ็บที่ถูกแบกไปตัวอาคาร แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีจำนวนเท่าไหร่ และยอดของวิหารก็อยู่สูงจากพื้นมากที่จะปีนขึ้นไปได้ เพียงแค่ประตูเท่านั้นที่เป็นได้ทั้งทางเข้าและทางออกเดียว ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความหวัง แต่อย่างไรก็ตาม การบุกเข้าไปทางประตูหน้าเลยก็คงจะไม่ได้อะไรนอกจากได้ทิ้งชีวิตของตนไปเปล่า ๆ ทุกคนกำลังหมดแรง พวกเขาอาจจะหนีไปที่นั่นเพื่อรอเวลาได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป

                คนอื่นนั่งอยู่ที่พื้น มีเพียงแค่ไวโอเล็ตที่ยังยืนอยู่ข้างหน้าต่างตลอดเวลา กิลเบิร์ตคิดว่าเธอกำลังเฝ้ามองศัตรู และดูเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง

                ผู้พัน ดูตึกนั่นสิคะ

                เขามองออกไปข้างนอก มันเป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ไม่มีลักษณะโดดเด่นใด ๆ เลย

                หลังคาของมันเปิดอยู่ค่ะ และระยะห่างจากวิหารก็ไม่ไกลเกินไปด้วย ถ้าฉันวิ่งไป ฉันจะสามารถกระโดดขึ้นไปบนนั้นจากตรงนี้ได้ค่ะ

                ก็จริง แต่แบบนั้นมัน…”

                เขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าระยะห่างระหว่างตึกกับวิหารจะใกล้กันมากก็จริง แต่ก็ไม่มีที่เหยียบให้กระโดดได้เลย และถ้าเธอตกลงไปล่ะก็ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้เลย

                มีกระจกสีอยู่ตรงด้านข้างค่ะ ถ้าฉันทำลายมันและกระโดดเข้าไปข้างใน มันก็อาจจะไกลจากด้านบนเล็กน้อย แต่เข้าไปได้ง่ายกว่า แน่นอนว่าถ้าฉันทำลายมันด้วยปืน ตำแหน่งของเราก็จะถูกเจอในไม่ช้า ผู้พันกับคนอื่น ๆ ต้องล่าถอยออกไปหาหน่วย 2 กับหน่วย 3 เพื่อขอความช่วยเหลือ ด้วยจำนวนทหารที่มีอยู่ของเราคงเป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะยึดวิหารได้ เมื่อฉันไปถึงยอดหอคอยแล้ว ฉันจะจุดไฟค่ะ และมันก็จะทำให้พวกศัตรูคิดว่าเรายึดวิหารได้แล้วถึงจริง ๆ จะยังก็ตามค่ะ

                ถึงมันจะได้ผล แต่ก็หมายความว่าเธอจะต้องสู้คนเดียวน่ะสิ

                ฉันเชื่อว่าผู้พันจะพาทุกคนมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัยค่ะ ฉันคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว มันจำเป็นอย่างยิ่งค่ะที่จะต้องยับยั้งศัตรูไว้เพื่อชัยชนะของเรา

                เธอคิดที่จะไปตายอย่างนั้นเหรอ?

                ฉันไม่รู้ค่ะว่าฉันพร้อมที่จะตายแล้วหรือยัง

                มันเหมือนกับเธอกำลังบอกว่าเธอไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย

                ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ

                ถ้าอย่างนั้น คุณต้องการที่จะอยู่ที่นี่แล้วรอจนกว่าหน่วยปราบปรามจะมาหรือคะ?

                เธอเป็นคนเดียวที่ฉันไม่อยากให้เสียสละ

                ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ หน่วยของเราหลายคนตายเพื่อให้เรามาถึงตรงนี้ได้ และมันไม่ใช่การเสียสละหรอกค่ะ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ผู้พันควรตัดสินใจให้ดีเหมือนเคย และโปรดไว้วางใจฉันเถอะค่ะ ออกคำสั่งกับฉันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามและจากนั้น แน่นอนว่าฉันจะ…” น้ำเสียงของไวโอเล็ตแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน “…กลายเป็น โล่ และอาวุธ ของคุณ เธอจ้องมองเข้ามาในดวงตาสีเขียวของกิลเบิร์ตราวกับว่ากำลังมองสิ่งที่แพรวพราว ฉันจะปกป้องคุณเธอไม่ได้โกหกเลยสักนิด ได้โปรดอย่าสงสัยในเรื่องนี้เลยค่ะ เพราะฉันเป็น ทรัพย์สินของคุณ มุมปากของไวโอเล็ตยกขึ้น และมันช่างดูน่าประหลาด

                กิลเบิร์ตไม่เคยรอยยิ้มของเธอมาก่อน และจากทุกสิ่งที่เธอทำเช่นนั้นหลังจากที่พูดออกมาแบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง เศร้า และรู้สึกคลั่งอย่างหาที่สุดไม่

                กิลเบิร์ตจึงเอ่ยออกมา ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว

                เข้าใจเรื่องอะไรหรือคะ?

                ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด

                ––เขาเอาเธอไปเทียบกับใครไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าลูกน้องของเขาจะตาย แต่เขาก็อยากให้เธอมีชีวิตอยู่ เขา

                ฉันคิดมาตลอดว่าการที่ฉันคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ จะทำให้โชคชะตาพาฉันไปอยู่ตรงไหน

                ––ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะให้เธอหนีไปคนเดียว และให้เธอสัญญากับเขาว่าจะไม่กลับมาหาเขาอีก เขาเข้าใจมันทุกอย่างแล้วในตอนนี้

                เธอพูดถูก การคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองมันเป็นเรื่องที่ผิด มีอย่างอื่นที่ควรจะให้ความสำคัญกับมันมากกว่า

                ––เขาเป็นยาพิษที่ร้ายแรงสำหรับเธอ

                ฉันเข้าใจแล้วไวโอเล็ต มาทำตามแผนนั่นกันเถอะ แต่ว่า กิลเบิร์ตเสริม ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอไปคนเดียว เราจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เข้าไปโจมตีกับกลุ่มที่ไปขอกำลังเสริมจากหน่วย 2 และ 3 เราจะยิงสายเหล็กเข้าไปตรงระเบียงและให้เธอลงมา เมื่อทำสำเร็จแล้ว ทุกคนจะเข้าไปที่นั่น ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวเท่านั้น

                ไวโอเล็ตกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าเธอไม่คิดว่านั่นจะเป็นไปได้

                ทหารทุกนาย ฉันจะเล่ากลยุทธ์ให้ฟัง ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ

                การแทรกซึมเริ่มขึ้นในที่สุด การย้ายไปยังอาคารที่ไวโอเล็ตตั้งใจจะไปนั้นช่างแสนง่ายดาย บางทีอาจเป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นเลวร้ายกว่าที่อื่น ๆ ในวิหาร ทหารทุกนายที่อยู่รอบเมืองจึงมุ่งหน้าไปที่ประตู

                เมื่อพวกเขามาถึงหลังคา ท้องฟ้าก็สามารถมองเห็นได้ใกล้ ๆ โดยมีเพียงแค่ตาข่ายเหล็กที่ขึ้นเป็นสนิมกั้นไว้ พวกเขากำจัดส่วนที่ขวางทางออกไปเท่านั้นเพื่อที่ไวโอเล็ตจะได้วิ่งไปได้ง่ายขึ้น จากนั้นพวกเขาจึงยึดสายเหล็กกับจุดที่ต้องวิ่ง สิ่งที่ต้องทำก็เหลือเพียงแค่ต้องหาทางให้เธอเท่านั้น

                ฉันจะเป็นคนแรกที่ไปก่อน พวกคุณสามารถตามฉันลงมาได้ทันทีที่ได้รับคำสั่ง

                ทุกคนนำตาข่ายเหล็กมาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้มันโหนตัวลงไปได้

                ไปกันเลย!” ไวโอเล็ตออกตัววิ่งพร้อมกับตะโกน

                หน่วยของทหารที่อยู่ด้านหลังยิงปืนไปที่กระจกสีต่อหน้าต่อตาของพวกเขา เสียงกระจกที่แตกเป็นชิ้น ๆ ดังสะท้อนไปทั่วและตกลงสู่พื้น

                ไวโอเล็ตกระโดด สวยงามราวกับนก และราวกับกวางตัวน้อย




                เสียงของศัตรูดังขึ้นตรงบันได ดูเหมือนว่าพวกมันจะสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว

                เพื่อทำให้แน่ใจว่าสายเหล็กที่ยึดไว้กับตัวของไวโอเล็ตนั้นแน่นพอ กิลเบิร์ตจึงโหนตัวลงไปอย่างแรงและตามลงไปทันที เมื่อเขามาถึงกำแพงและพยายามปีนขึ้นไป ไวโอเล็ตก็ยื่นมือออกมาทันที เธอยืนอยู่ด้วยความมั่นคงและช่วยรับน้ำหนักของทหารในทีมคนอื่น ๆ ที่ลงมาด้วย

                ไวโอเล็ต เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?

                เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นเธอก็ล้มลงไปทันที สายเหล็กถูกยิงโดนปืนของศัตรู ทำให้พวกทหารที่อยู่บนนั้นตกลงไปที่พื้นและตาย กิลเบิร์ตส่งสัญญาณไปยังคนที่เหลืออยู่บนหลังคา เรียกกำลังเสริม ด้วยมือของเขา

                สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ทำการแทรกซึมสำเร็จ แต่กิลเบิร์ตก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้คงจะเกิดขึ้น

                ไวโอเล็ต เธอฟังอยู่หรือเปล่า?

                ค่ะ ผู้พัน

                สภาพของเธอดูแย่มาก แก้มขาวซีดของเธอมีรอยขีดข่วนจากเศษกระจก เครื่องแบบของเธอฉีกขาด ตัวเธอเต็มไปด้วยกลิ่นควัน และเลือดของศัตรู และลมหายใจของเธอก็กำลังติดขัด ราวกับว่าร่างกายของเธอมาถึงขีดจำกัดแล้ว

                เหลือแค่เราสองคนแล้วตอนนี้ เราอาจจะถูกฆ่าก็ได้

                ค่ะ

                ไหล่ของกิลเบิร์ตกระเพื่อมด้วยความเหนื่อยล้า แต่นี่เป็นคำสั่ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้น อย่าตายเด็ดขาด

                ค่ะ ฉันจะมีชีวิตอยู่และปกป้องคุณแน่นอนค่ะ ผู้พัน

                เก่งมาก เด็กดี

                ––เธอพูดได้คล่องแล้วจริง ๆ เธอโตขึ้นมากแล้ว เธอไม่ใช่แค่ สิ่งของ อีกแล้ว

                แต่นั่นน่ะเป็นคำพูดของฉันต่างหาก

     



                ห้องที่พวกเขาแอบเข้าไปนั้นน่าจะอยู่ประมาณชั้นที่ห้าจากใต้ดาดฟ้า เครื่องดนตรีและรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ถูกเก็บไว้ในห้องนั้น มันช่างดูเป็นของที่น่าขันซะเหลือเกิน

                ด้านนอกของห้องเป็นบันไดเวียนที่นำไปสู่ระเบียง พวกเขาสองคนมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างที่กำลังเดินขึ้นไป และเห็นว่าพื้นนั้นอยู่ต่ำลงไปมากเหลือเกิน กลุ่มควันลอยสูงขึ้นมาจนถึงประตู จนกิลเบิร์ตสงสัยด้วยความกังวลว่าฮอดกินส์จะยังมีชีวิตอยู่ไหม

                ผู้พันคะ เราจะไปถึงยอดหอคอยแล้วค่ะไวโอเล็ตจับขวานของเธออีกครั้ง

                ทหารที่เฝ้ารออยู่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขา จึงชักดาบออกมาและลงมาโจมตีพวกเขา ในเวลาเดียวกันก็มีทหารคนอื่นที่ส่งเสียงคำรามในขณะที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดมา

                ผู้พัน!” ไวโอเล็ตหันหลังมาทันทีที่เชือดทหารคนหนึ่งที่พยายามจะพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยมีด

                กิลเบิร์ตดึงดาบออกมาและขวางบันไดไว้ ไปซะไวโอเล็ต ระหว่างที่ฉันถ่วงเวลาพวกมันไว้ เธอก็ฆ่าคนที่อยู่ด้านบนซะและยิงพลุไฟแค่นั้นก็เหมือนกับเราประกาศชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเราจะมีคนน้อยกว่า แต่โชคก็อยู่ข้างเราแล้วล่ะนะ

                แม้จะไม่เคยลังเลเมื่อได้รับทางเลือกที่โหดร้าย แต่ไวโอเล็ตก็หวั่นใจ เพราะถ้าหากพวกทหารจากข้างล่างขึ้นมาเมือไหร่ เธอก็แทบนึกไม่ออกเลยว่ากิลเบิร์ตจะสู้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร

                ให้ฉันสู้ด้วยเถอะค่ะผู้พัน!”

                นั่นเป็นคำสั่ง! ไปได้แล้ว!”

                แต่ ฉัน––

                ฉันบอกว่าเป็นคำสั่งยังไงล่ะ! ไปซะ ไวโอเล็ต!”

                เมื่อเธอถูกดุ ไวโอเล็ตก็เคลื่อนไหวทันที แต่ก็ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น เธอขึ้นบันไดไปและเหลียวหลังกลับมาทุกช่วงขณะ เธอเตะประตูที่มีรูปวาดของเทพเจ้าและออกไปข้างนอก ถึงแม้ว่าเธอจะมองว่าฉากตรงหน้าสวยงามแค่ไหนก็ตาม แต่อาจจะมีคนที่ต้องเสียใจที่ได้เห็นมันเป็นเช่นนี้ ข้างบนนั่นมีน้ำพุขนาดเล็กและแปลงดอกไม้ที่เขียวขจีและบานสะพรั่ง  กลิ่นอันหอมหวานบริสุทธิ์ผสมกับกลิ่นเหม็นของควัน

                ระเบียงของมหาวิหารนั้นตกแต่งด้วยสวนที่เหมือนล่องลอยอยู่ในท้องฟ้า ชั่วขณะหนึ่งที่ไวโอเล็ตตกตะลึงกับความงามนั่นจนเกือบลืมความเป็นจริงไป

                ศัตรูนี่นา! ฆ่าเธอ!”

                มีทหารสี่นายอยู่บนนั้น พวกเขาเป็นนักยิงระยะไกลและคอยสังเกตการณ์สถานการณ์ มีเพื่อนของเธอกี่คนกันนะที่ถูกพวกเขาฆ่าตายในตอนที่พยายามจะบุกเข้ามาในวิหาร? พวกเขาเป็นมือปืนที่เยี่ยมยอดจริง ๆ

                เสียงกรีดร้องและเสียงปืนดังก้องขึ้นมาจากชั้นล่าง เสียงหัวใจของไวโอเล็ตเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว

                ไป…” เธอแกว่งขวานในมือ เลือดที่อยู่บนขวานสาดกระเซ็นลงบนพื้นในตอนที่เธอจ้องมองศัตรูที่อยู่ด้านหน้าเธอด้วยสีหน้าดุร้าย ไป ไป ไป ไป!”

                เธอคิดถึงแต่เสียงที่อยู่ด้านหลังของเธอเท่านั้น

                ไป ไป ไป ไป ไป ไป ไป ไป ไปปปปปปปปปป!” ไวโอเล็ตกระโดดไปข้างหน้าของพวกทหาร และเฉือนแขนและขาของพวกเขาทั้งสามคนเพื่อทำให้พวกเขาถึงตาย

                ไป ไป ไป ไป ไป ไป!”

                ความกระวนกระวายใจทำให้ความสามารถในการใช้อาวุธของไวโอเล็ตลดลง กระสุนซัดท้องของเธอและทำให้เนื้อตรงแขนของเธอเว้าแหว่ง มันเป็นความผิดพลาดที่ส่วนใหญ่เธอไม่เคยโดนมันเลย ภาพของเธอพร่าเลือนไปด้วยความเจ็บปวด

                กิลเบิร์ตกำลังต่อสู้อยู่ข้างล่าง เธอต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยเขา

                ไปปปปปปปปปปปปปป!”

                เธอเชือดคอของชายคนสุดท้าย ขาของเธออ่อนแรงและล้มลงไปทันทีเนื่องจากความเจ็บปวดจากการถูกยิง จากนั้นจึงยืนขึ้นอีกครั้งและยิงพลุไฟที่อยู่ในปืนของเธอขึ้นฟ้า แสงสว่างจุดวาบขึ้นกลางอากาศ ราวกับดอกไม้แห่งแสง

                เธอจะไม่ปล่อยให้มันจบลงในนัดเดียว แต่เธอจะทำลายมันให้สิ้นซากทั้งหมด

                สัญญาณไฟสุดท้ายเกิดเสียงแวบขึ้นมาเล็กน้อย และไวโอเล็ตก็ทรุดตัวลงทันที

                อ๊าอ๊ากอั่ก…” เสียงที่เธอได้ยินต่อมานั้นไม่ใช่เสียงจากพลุที่เธอเพิ่งจุด เสียงร้องครวญครางดังขึ้นสั้น ๆ ไหล่ของเธอถูกยิงในระยะประชิด ทำให้เกิดรูบนไหล่นั่น และใบหน้าของเธอก็ท่วมไปด้วยเลือดของเธอเอง

                ไวโอเล็ตได้ยินเสียงปืนที่กำลังถูกบรรจุใหม่อยู่ด้านหลังของเธอ เธอหยิบปืนของเธอขึ้นมาทันทีด้วยมือข้างซ้ายของเธอและยิงออกไปในขณะที่หันหลังกลับ เธอฆ่าทหารถือปืนไรเฟิลที่ยิงพลาดหัวของเธอไปทันที

                เธอหายใจได้ไม่ถนัดนัก ไหล่ข้างขวาของเธอโงนเงน และประสาทสัมผัสที่มือขวาของเธอกำลังเลือนลาง

                อ๊ากอั่ก…”

                เธอไม่ควรจะยืนขึ้นอีกแล้ว ยิ่งเธอขยับมากเท่าไหร่ เลือดก็ไหลออกมามากเท่านั้น

                ผู้พัน!”

                ถึงอย่างนั้น ไวโอเล็ตก็ยังกลับไปยังที่ที่เธอมา เหตุผลเดียวที่เธอยังขยับได้อยู่นั้นถึงแม้ว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คือความว้าวุ่นใจที่มีต่อเจ้านายของเธอ เธอทิ้งรอยเลือดไว้เต็มไปหมดในขณะที่กำลังเดินไป

                ผู้พัน ผู้พัน! ผู้พันคะ!” เธอเรียกเขาหลายครั้ง และพยายามมองหากิลเบิร์ต เดินหลบซากของทหารที่เธอฆ่าไว้ที่ชั้นสุดท้าย เธอมองไปทั่วเพื่อหาว่าเขาอยู่ที่ไหน ผู้พัน!” ไวโอเล็ตกรีดร้อง เสียงราวกับแก้วที่แตกละเอียด

                กิลเบิร์ตนอนอยู่ตรงกลางของบันได กำลังจะถูกแทงตายด้วยดาบปลายปืนของศัตรู มือของศัตรูที่กำลังจะแทงนั้นตกทันทีที่ได้ยินเสียงของไวโอเล็ต แต่ปลายของดาบนั่นทะลุเข้าไปในหน้าของกิลเบิร์ตแล้ว

                แกแก ไอ้นรกกกกกกกกกกกกกกกกก!” เธอขว้างขวานของเธอด้วยมือข้างเดียวและตัดเข้าที่ลำตัวของศัตรู เขาล้มตัวลงไปทันที ความแรงนั่นก็ลดลงไปด้วยเพราะแรงที่ขว้างขวานออกไปนั้นน้อยลง จากนั้นเธอจึงคลานเข้าไปหากิลเบิร์ต ผู้พัน ผู้พัน ผู้พันคะ!”

                ตาข้างหนึ่งของกิลเบิร์ตกลายเป็นรูและบาดแผลสาหัส เขาจะไม่มีวันได้เห็นแสงหรือสีด้วยตาข้างนั้นอีกแล้ว เขาดูราวกับศพที่พูดไม่ได้อีกแล้วแต่ยังหายใจอยู่ อย่างไรก็ตาม ลมหายใจของเขากระท่อนกระแท่น มือและขาของเขาเต็มไปด้วยเลือดจากกระสุนและรอยฟันของดาบ

                แบบไหนจะเร็วกว่ากันระหว่างตายเพราะเลือดไหลออกมามากเกินไปหรือถูกฆ่าโดยทหารที่กำลังขึ้นมาจากข้างล่างนั่น? ก็คงจะเร็วเหมือนกันทั้งคู่ สำหรับเขาความหมายของการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นมันหายไปแล้ว

                ผู้พัน ผู้พัน!” ไวโอเล็ตพูดเสียงสูงขึ้น และพยายามให้หัวหน้าของเธอพิงลงบนไหล่ของเธอ แต่เขาไม่ตอบ เธอบังคับให้แขนที่ห้อยต่องแต่งของเธอแบกเขาขึ้นมาบนหลังของเธอ อ๊ากอ๊า…อ๊ะ…”

                แขนข้างที่ถนัดของเธอนั่นไม่สามารถทนรับน้ำหนักไว้ได้และในที่สุดเธอก็ยอมจำนน เธอกลิ้งลงไปสองสามขั้นก่อนจะยืนขึ้นอีกครั้งและยื่นมือออกไปหากิลเบิร์ต พอเธอใช้แรงมากเกินไป แขนของเธอก็หย่อนลงมาจากไหล่ ดูเหมือนว่าแขนข้างที่ถนัดของเธอนั้นจะไม่สามารถใช้อาวุธได้อีกแล้ว

                ถ้ามีทางเลือก ไวโอเล็ตก็ไม่คิดจะทิ้งทั้งกิลเบิร์ตและขวานของเธอเสียด้วยซ้ำ แต่เธอก็เลือกที่จะทิ้งขวานของเธอและพยายามแบกกิลเบิร์ตขึ้นอีกครั้งด้วยแขนข้างที่ยังใช้ได้ และระหว่างที่ทำอย่างนั้น กลุ่มทหารติดอาวุธก็วิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง

                อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!”

                ไวโอเล็ตหยิบขวานขึ้นมาอีกครั้งและสังหารพวกเขาด้วยมือข้างเดียว เธอใช้โซ่ถ่วงน้ำหนักของเธอโจมตีใส่ทุกคนที่พยายามขวางทางเธอและทุบกะโหลกของพวกเขาด้วยปลายโซ่

                เธอทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ และยังคงแบกกิลเบิร์ตไว้ พวกศัตรูยังคงขึ้นมาจากชั้นล่าง แต่เธอก็จะฆ่าพวกเขา เมื่อพวกมันมาเยอะขึ้นเรื่อยๆเธอก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ มันเป็นความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส มันช่างเป็นการต่อสู้ที่สิ้นเปลืองพลังงานเหลือเกิน

                ตะตายยยยยยยยย!”

                ท้ายที่สุด ไวโอเล็ตก็ปล่อยให้ทหารหนุ่มที่ตะโกนใส่เธอคนนั้นวิ่งเข้ามา เขาไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอเลย ในขณะที่พยายามตัดแขนของเธออีกข้าง

                เขาเป็นศัตรูที่ไม่มีพื้นฐานการต่อสู้เลย ถ้าหากไม่มีสงคราม เขาคงจะเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามเลย และคงไม่จำเป็นต้องถือดาบเสียด้วยซ้ำ

                เขาทิ้งอาวุธลงและลุกขึ้นยืนพร้อมกับตะโกน เขามองเธอใกล้ ๆ ด้วยความหดหู่เมื่อเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังกำจัดคนที่เป็นเพียงแค่เด็กสาวเท่านั้น

                คุณ…” เลือดหยดลงมาจากปากของเธอ ฆ่าฉันได้เพราะงั้นได้โปรดอย่าฆ่าผู้พันเลย ไวโอเล็ตขอร้องเพื่อชีวิตของกิลเบิร์ต ความสับสนของทหารสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่สวยของเธอ แต่เธอไม่เห็นเขา อาจเป็นเพราะว่าเลือดและเหงื่อที่ไหลลงมาจากหัวขอเธอ เธอมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำว่าเขาจะทำอะไร

                ผมผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจผม…” เสียงของทหารแตกระแหง

                อย่าฆ่าผู้พัน

                ผมไม่ได้ตั้งใจ! ผมขอโทษ! ผมไม่ได้ตั้งใจ!”

                ได้โปรด

                ไม่ใช่นะ! ผมไม่ได้ตั้งใจ!” ทหารส่งเสียงแหลมในขณะที่วิ่งหนีไป

                เพื่อความปลอดภัย ไวโอเล็ตยังคงมองเขาจนลับสายตาก่อนที่จะหันไปมองด้านข้างของกิลเบิร์ต ผู้พัน…” ตัวของเธอโงนเงน อาจเป็นเพราะว่าเธอกำลังจะหมดสติ ฉันทำได้แล้วค่ะ ผู้พันผู้พันคะ…”

                ไวโอเล็ต…” กิลเบิร์ตผู้ที่ซึ่งหลับตามาตลอดทางพยายามเอื้อนเอ่ยออกมา

                เมื่อได้ยินชื่อของเธอจากปากของเขา ไวโอเล็ตก็ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผู้พัน…”

                มันเป็นน้ำเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้ ภาพลักษณ์ที่ราวกับปีศาจแต่มีออร่าราวกับเทพธิดานั่นของเธอหายไปแล้ว และใบหน้าที่ราวกับเด็กที่กำลังหวาดกลัวปรากฏขึ้นมาแทน

                ไวโอเล็ต…ตอนนี้…เกิดอะไรขึ้น? เราอยู่ที่ไหน?

                ไวโอเล็ตตอบคำถามของกิลเบิร์ตด้วยน้ำเสียงที่อึดอัด ระ-เรายังอยู่ในวิหารค่ะ เราทำภารกิจของเราสำเร็จแล้ว ตอนนี้เราแค่ต้องรอกำลังเสริมเพื่อหนีออกไปเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่มาค่ะ พวกศัตรูก็ยังคงขึ้นมาจากข้างล่าง และไม่มีทางที่ฆ่าพวกเขาหมดด้วย ผู้พันคะ โปรดชี้ทางให้ฉันที ออกคำสั่งกับฉันด้วยค่ะ

                หนีไปซะ

                ฉันจะหนีไปได้ยังไงคะถ้าต้องพาผู้พันไปกับฉันด้วยแบบนี้?

                ทิ้งฉันไว้ที่นี่และหนีไปซะ

                เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เธอได้รับคำสั่ง ไวโอเล็ตจึงสงสัยว่าเธอควรจะตอบเช่นไร คุณกำลังบอกว่าให้ฉันทิ้งคุณหรือคะ?เธอส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ! ผู้พันฉันจะพาคุณไปด้วย

                ฉันไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอจะทิ้งฉันไว้ที่นี่แล้วไปเธอมีโอกาสที่จะรอดชีวิตอยู่ หนีไปเถอะนะ ไวโอเล็ต

                เสียงระเบิดดังขึ้นในที่ที่ห่างไกล แต่พวกเขากลับพบว่าที่ที่พวกเขาอยู่นั้นช่างเงียบสงบเหลือเกิน ราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในอีกมิติหนึ่ง

                ฉันจะไม่วิ่งหนีไปค่ะ ผู้พัน! ถ้าผู้พันจะอยู่ที่นี่ ฉันก็จะสู้อยู่ที่นี่ค่ะ! ถ้าฉันจะต้องหนีไป ฉันก็จะพาผู้พันไปกับฉันด้วย!” เธอตะโกนระหว่างที่เธอพยายามใช้แขนทั้งสองข้างที่เลือดไหลไม่หยุดและด้านชาไปแล้วดึงคอเสื้อของเขาไว้และลากเขาไป

                ไวโอเล็ต หยุดเถอะ…”

                เขาได้ยินเสียงหลอดเลือดของเธอกำลังฉีกขาด เธอคงจะเจ็บปวดเป็นอย่างมากเพราะเนื้อของเธอกำลังฉีกขาดออกจากกัน

                ไวโอเล็ต!”

                แขนข้างที่ถนัดของเธอที่เคยห้อยอยู่เฉยๆขาดและตกลงบนพื้น แต่เธอไม่แม้แต่จะมองดูมัน เธอยังคงลากกิลเบิร์ตต่อไปด้วยแขนอีกข้างหนึ่งของเธอ

                หยุดหยุดเถอะ….พอได้แล้วไวโอเล็ต…”

                ไวโอเล็ตไม่ฟังคำสั่ง เธอหายใจหืดหาด และทุ่มแรงทั้งหมดไปที่แขนข้างที่ถูกแทงด้วยดาบปลายปืน เธอลงไปทีละขั้น ๆ แต่ยิ่งเธอขยับมากเท่าไหร่ มีดนั่นก็ตัดเข้าเนื้อเธอมากขึ้นเท่านั้น

                ไวโอเล็ต!”

                แขนข้างที่เหลือของเธอขาดและตกลงไปเช่นกัน ไวโอเล็ตจึงกลับไปยังจุดเดิม ราวกับนกที่โดนถอนขน แขนของเธอท่วมท้นไปด้วยเลือด และด้วยความเคยชินของเธอ เธอหันไปมองทั้งซ้ายและขวาเพื่อยืนยันสถานการณ์ ก่อนจะยิ้มสลัว ๆ

                ผู้พัน ฉันจะช่วยคุณเดี๋ยวนี้แหละค่ะ

                ถึงจะเป็นแบบนั้น ในขณะที่กัดริมฝีปากแน่น เธอก็ปีนขึ้นบันไดมาด้วยเข่าของเธอ แต่เพราะว่าไม่มีแขนจึงทำให้ร่างกายของเธอเสียสมดุล เธอลื่นและกลิ้งตกบันไดไปหลายครั้ง ล้มและก็ยืนขึ้นแบบนั้น กังวลแต่เรื่องของกิลเบิร์ตเท่านั้น และเธอก็เปลี่ยนบันไดให้กลายเป็นทะเลเลือด

                ถึงแม้ว่าไวโอเล็ตจะไม่ได้อยู่ในการมองเห็นของเขา แต่เมื่อกิลเบิร์ตรู้ว่าเธอต้องเสียแขนของเธอไปเพราะเขา น้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาจากตาของเขา พอเถอะ…” เสียงอ้อนวอนของเขาดังก้องอย่างสงบ พอได้แล้ว ไวโอเล็ต!”

                ฉันไม่อยากค่ะเธอปฏิเสธอีกครั้งทันที ผู้พันแค่แค่แค่อีกนิดเดียวเท่านั้นค่ะ…”

                พอได้แล้ว พอได้แล้วแขนของเธอแขนของเธอมัน…”

                พวกศัตรูไม่ได้ขึ้นมาแล้วค่ะ ดูเหมือนว่ากำลังเสริมจะมาถึงแล้ว ฉัน…ได้ยินเสียงค่ะ

                ถ้างั้นเธอลงไปก่อนเลย! ใช่แล้ว แบบนี้ดีกว่า เรียกกำลังเสริมซะแล้วก็ไป ฉันไม่เป็นไร!”

                ฉันไม่อยากค่ะ! ถ้าถ้าผู้พันตายแล้วฉันไม่ได้อยู่ด้วย ฉันจะทำยังไง?

                ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ดีพอสำหรับฉันแล้ว ไม่เป็นไร ลงไปข้างล่างเถอะ!”

                ฉันไม่อยากค่ะ! ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่อยาก! ถ้าฉันทิ้งผู้พันไว้ที่นี่เมื่อถึงเวลาฉันก็จะกลับมาค่ะ…”

                ไม่เป็นไรหรอกถ้าฉันตาย ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่!”

                ฉันไม่สามารถเชื่อฟังคำสั่งนี้ได้ค่ะ!” ไวโอเล็ตยังคงพยายามที่จะลากกิลเบิร์ต เธอไม่มีแขนอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถแบกเขาขึ้นไปได้ เธอยังเดินต่อไปได้ถ้าเธอไม่พาเขาไปกับเธอด้วย ไม่ว่ายังไงไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ปล่อยให้ผู้พันตายค่ะ ไวโอเล็ตใช้ฟันของเธอกัดเข้าที่ไหล่ของกิลเบิร์ต ราวกับสุนัขที่กำลังลากอะไรสักอย่างด้วยปากของมัน อ๊ะอื้ออออเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเธอหลุดออกมา ตัวของเธอสั่นในขณะที่พยายามจะดึงเขา แต่เพราะตัวของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลและร่างกายที่ไม่เหมือนกับสุนัข เธอจึงไม่มีทางทำสำเร็จ ผู้พัน…”

                ไวโอเล็ต พอเถอะฉะ…” กิลเบิร์ตสำลัก “…รักฉันรักเธอ!” เขาตะโกน ดวงตาของพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น ฉันรักเธอ! ฉันไม่อยากให้เธอตาย! ไวโอเล็ต! ได้โปรด มีชีวิตอยู่เถอะ!”

                นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพูดมันกับเธอ เขาไม่เคยพูดว่าฉันรักเธอ เลยจนกระทั่งตอนนี้ มีโอกาสตั้งหลายครั้ง แต่เขาก็เอาแต่เก็บเงียบมาตลอด ฉันรักเธอ ไวโอเล็ต – ตลอด ตลอดมา ตลอดมาเสมอ หัวใจของเขากระซิบบอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดมันออกมาดัง ๆ

                เมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มรู้สึกแบบนี้? เขาไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้เขาเกิดความรู้สึกแบบนั้น ถ้าหากมีใครถามว่าเขารักอะไรในตัวเธอ เขาก็ไม่สามารถแสดงมันออกมาเป็นคำพูดได้เลย

                ไวโอเล็ต…”

                ผู้พัน เขาไม่เคยรู้สึกตัวเลยว่าเขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเธอเรียกเขา เขาเชื่อว่าที่เขาต้องปกป้องเธอนั้นเป็นเพราะว่าเธอคอยตามเขามาตลอด หน้าอกของเขากำลังถูกบีบรัดด้วยความรู้สึกที่คิดว่าเป็นความจงรักภักดีนั่น

                ไวโอเล็ต เธอฟังอยู่หรือเปล่า?

                มันใช้เวลาไม่นานนักกว่าที่เขาจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่จ้องมองมาที่เขา การที่เขาใช้เธอเป็นอาวุธมันทำให้เขาเจ็บปวด และการที่เธอโยนชีวิตของเธอทิ้งไปนั่นกลายเป็นความกลัวที่สุดในชีวิตของเขา

                ฉันชอบเธอ

                ––เขาอยากที่จะเลิกถามพระเจ้าแล้วว่าสิ่งไหนถูกและสิ่งไหนผิดกันแน่ ถ้าหากการที่เขาเอ่ยออกไปเช่นนี้เป็นบาปล่ะก็ เขาก็จะยอมตกนรกทุกขุม

                ฉันรักเธอ

                เธอเป็นคนแรกที่กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียรักจนหมดหัวใจ

              ฉันรักเธอ ไวโอเล็ต

                ระรัก…” เลือดยังคงหยดลงมาจากแขนของเธอ ไวโอเล็ตพูดคำนั้นออกมาราวกับเพิ่งได้ยินมันเป็นครั้งแรก เธอลากตัวเองไปอยู่ข้าง ๆ กิลเบิร์ตและนั่งลงข้างเขา จากนั้นจึงมองไปที่เขา “’รัก’…คืออะไรคะ? เธอดูสับสนมากจริง ๆ น้ำตาของเธอไหลลงมา และหยดลงบนแก้มของกิลเบิร์ต “’รัก’…คืออะไรคะ?รัก’…คืออะไรคะ?รักคืออะไรคะ?

                ใบหน้าที่ยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยน้ำตาเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็กก็ตาม เธอไม่เคยร้องไห้ถึงแม้ว่าจะเพิ่งฆ่าคนหรือรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่เคยถูกรักมาก่อน เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยร้องไห้

                ฉันไม่เข้าใจค่ะ ผู้พัน…”

                และในตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังร้องไห้

                อะไรคือ รักคะ?มันเป็นคำถามที่เธอสงสัยอย่างแท้จริง

                ––อ่า นั่นสินะ

                หัวใจของกิลเบิร์ตเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าร่างกายของเขา เธอไม่รู้ และไม่มีทางที่จะรู้ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยบอกเธอเลย เขาไม่เคย สอนเธอเลย

                ––เธอไม่รู้จักคำว่ารัก กิลเบิร์ตหลั่งน้ำตาอีกครั้ง ทำไมเขาถึงโง่อย่างนี้

                การไม่แสดงออกถึงความรู้สึกของเขาต่อคนที่เขารักเป็นผลมาจากที่เขาทำเป็นไม่สนใจมันนั่นแหละ มันจะมีวิธีที่ไหนที่ตายแล้วน่าอับอายไปมากกว่านี้ไหมนะ?

                ไวโอเล็ต

                อย่างไรก็ตาม หัวใจเขากลับรู้สึกสงบสุขอย่างน่าประหลาด เขารู้สึกว่าความเจ็บปวดในร่างกายของเขากำลังค่อย ๆ ทุเลาลง มันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด มันอาจเป็นเพราะว่าในที่สุดเขาก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองเสียที ราวกับว่าทุกอย่างในตัวเขาได้รับการให้อภัยแล้ว

                ไวโอเล็ตรักคือ…” กิลเบิร์ตเอ่ยกับเด็กผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิตของเขา รักคือการที่เธออยากที่จะปกป้องใครคนหนึ่งมากที่สุดในโลกเขากระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับกำลังสอนเธอเหมือนกับตอนที่เธอยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ในตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก เธอสำคัญและมีค่าที่สุดในชีวิตฉัน ฉันไม่อยากให้เธอเจ็บ ฉันอยากให้เธอมีความสุข ฉันอยากให้เธอมีชีวิตที่ดี เพราะแบบนั้น ไวโอเล็ตเธอควรจะมีชีวิตต่อไปและเป็นอิสระ เลิกเป็นทหารและมีชีวิตของเธอเอง เธอจะไม่เป็นไรหรอกถึงแม้ว่าจะไม่มีฉันอยู่แล้วก็ตาม ไวโอเล็ต ฉันรักเธอ ได้โปรดมีชีวิตอยู่เถอะนะ กิลเบิร์ตพูดอีกครั้ง ไวโอเล็ต ฉันรักเธอ

                หลังจากเอ่ยออกไปแบบนั้น สิ่งเดียวที่เขาได้ยินก็มีเพียงแต่เสียงร้องไห้เท่านั้น ฉันไม่เข้าใจฉันไม่เข้าใจค่ะ… เธอเอ่ยออกมาพร้อมกับสะอึกสะอื้น ฉันไม่เข้าใจฉันไม่เข้าใจคำว่ารักค่ะ ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้พันพูด ถ้ามันเป็นแบบนี้ แล้วฉันต่อสู้ไปเพื่ออะไรกันคะ? ทำไมคุณถึงออกคำสั่งฉัน? ฉันเป็นเครื่องมือ ไม่เป็นอะไรมากกว่านั้น เป็นแค่เครื่องมือของคุณ ฉันไม่เข้าใจความรักฉันแค่อยากที่จะปกป้องคุณ ผู้พัน ได้โปรดอย่าทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะค่ะ ผู้พัน อย่าทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะนะคะ ได้โปรดออกคำสั่งฉัน! ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของฉันก็ตามได้โปรดออกคำสั่งให้ฉันช่วยชีวิตคุณเถอะค่ะ!”





                เด็กน้อยที่ไม่เคยรับฟังสิ่งใดนอกจากคำว่า ‘ฆ่า กำลังร่ำไห้เพื่อให้เขาออกคำสั่งเธอให้ช่วยเขา แทนที่จะเอื้อมมือออกไปโอบกอดเธอไว้ กิลเบิร์ตทำได้แค่พึมพำออกมาอีกครั้งก่อนที่สติของเขาจะเลือนราง ฉันรักเธอ

                เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังขึ้นมาจากชั้นล่าง แต่เขานั้นลืมตาไม่ไหวอีกแล้ว

                และบันทึกของทหารหญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ตก็ได้จบลงตรงนั้น
























    /

    กิลเบิร์ตเองก็เคยมองว่าไวโอเล็ตเป็นอาวุธเหมือนกัน
    และตั้งใจที่จะใช้ไวโอเล็ตเป็นตัวไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่า
    แต่พอเริ่มรู้ว่าตัวเอง 'ตกหลุมรัก' ก็เลยเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา
    ตอนหน้าก็ยังเป็นตอนของผู้พันนะคะ <3


    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×