ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Violet Evergarden (แปลไทย)

    ลำดับตอนที่ #5 : The Prisoner and the Auto-Memories Doll

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.19K
      112
      24 ม.ค. 65
















    /

    The Prisoner and the Auto-Memories Doll

     


                หิมะขาวซีดโปรยปรายลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ละเกล็ดรวมตัวกันและปกคลุมผืนดินจนกลายเป็นสีขาวโพลน หมู่บ้านที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับฤดูหนาว นักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยเท้า ทุ่งหญ้าและภูเขาที่ยังคงมีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วงหลงเหลืออยู่ อากาศอันหนาวเหน็บจะทำให้ทุกสิ่งได้รู้ถึงฤทธิ์เดชของมัน

                ทำไมโลกของเราถึงมีสี่ฤดูกาลกันนะ? เรื่องนั้นไม่มีใครให้คำตอบได้ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสี่ฤดูกาลต่างก็มีความสำคัญกับโลกใบนี้เป็นอย่างมาก เพราะทั้งสี่ฤดูกาลนั้นสามารถกำหนดความเป็นและความตายของโลกใบนี้ได้ และยังช่วยให้วัฏจักรการดำรงอยู่ของโลกไม่ล่าช้าด้วย

                ท่ามกลามสนามรบที่ดุเดือด เด็กหญิงคนหนึ่งสังเกตเห็นท้องฟ้าที่ซึ่งก้อนสีขาวหลายก้อนกำลังโปรยปรายลงมา เด็กหญิงจึงเอ่ยถามกับเจ้านายของเธอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั่นคืออะไรคะ?

                มันคือหิมะยังไงล่ะ ไวโอเล็ตเขาถอดถุงมือที่มีกลิ่นควันของดินปืนออก และรองมือทั้งสองข้างตรงหน้าเธอ หิมะตกลงมาบนฝ่ามือของเขาและละลายอย่างรวดเร็ว

                เด็กหญิงมองด้วยความแปลกใจ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอพยายามจะพูดชื่อสิ่งที่ตกลงบนมือเจ้านายของเธอ หิมะ...เธอพูดราวกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดพูด

                ใช่แล้ว หิมะ’”

                มันมี...ทั้งที่ละลายได้...แล้วก็ละลายไม่ได้หรือคะ?เด็กหญิงหันไปมองร่างไร้วิญญาณที่ยังคงถืออาวุธไว้ในมือและนอนอยู่บนพื้น หิมะปกคลุมร่างเหล่านั้นหนาเสียจนเหมือนกับผงของน้ำตาล

                และไม่ได้มีเพียงแค่ศพเดียวเท่านั้น ร่างของทหารมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นล้อมรอบพวกเขาทั้งสองคน ศพทั้งหมดนั่นถูกทิ้งราวกับไม่มีหลุมศพที่จะฝังร่างของพวกเขา

                หิมะที่อยู่บนมือของผู้พันละลาย แต่หิมะที่อยู่บนศพพวกนั้น...ไม่เห็นละลายเลยเธอชี้ไปที่พวกเขาพร้อมกับขวานเล่มยักษ์ที่อยู่ในมือเธอ

                เขาไม่ได้ตอบความคิดที่แสนใสซื่อที่มีต่อศพของเธอ เขาทำเพียงแค่ลดอาวุธในมือของเธอลงเท่านั้น หิมะจะละลายก็ต่อเมื่อมันสัมผัสกับความอุ่นเท่านั้น แต่ถ้ามันตกสัมผัสกับสิ่งที่เย็น มันจะเกาะกลุ่มรวมกัน ขอมือเธอหน่อยสิ

                เด็กหญิงยื่นมือของเธอหาเขา เขาถอดถุงมือที่มีสีเดียวกันกับเขาของเธอออกจนปรากฏเห็นมือที่ขาวซีดของเธอ หิมะตกลงบนผิวที่เหมือนกระเบื้องเคลือบของเธอด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงเปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำ และในวินาทีนั้น เด็กหญิงที่มีใบหน้าเหมือนตุ๊กตาแต่ไร้ซึ่งอารมณ์เบิกตากว้าง

                มันละลายด้วย...เธอถอนหายใจออกมาเป็นไอเย็นอีกครั้ง

                เด็กหญิงไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองเธอด้วยสีหน้าอย่างไร เขาดูโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อเขาเช็ดหยดน้ำจากมือของเธอด้วยนิ้วของเขา เขาก็เอ่ย อย่างที่มันควรจะละลายนั่นแหละ

                อย่างนั้นหรือคะ? ฉันคิดว่า...มันจะไม่ละลายบนมือของฉันเสียอีก

                หิมะยังคงร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าและตกลงบนมือของเธอและมือของเขาที่จับมือของเธอไว้อย่างต่อเนื่อง บนฝ่ามือของเขาและเธอที่มีขนาดต่างกันโดยสิ้นเชิง

                ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ตัวอุ่นเหมือนกันเด็กหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเธอเพิ่งได้พบกับปาฏิหาริย์

                เธอ...มีชีวิต เธอถึงตัวอุ่นยังไงล่ะ

                แต่...ฉันมักจะโดนใครต่อใครพูดบ่อย ๆ...ว่าฉันเหมือนทำมาจากน้ำแข็งเลยค่ะ

                ใครกันที่พูดแบบนั้น?

                ...อาจจะเป็นหนึ่งในศพพวกนี้กระมังคะ...

                ถ้ามองดูดี ๆ อาจจะสังเกตได้ว่าท่ามกลางศพเหล่านั้นที่นอนอยู่บนทุ่งหญ้า บางคนก็สวมเครื่องแบบเหมือนกับพวกเขาทั้งสองคน เด็กหญิงดูไม่มีท่าทีเสียใจกับคำพูดนั้นเลยสักนิด ลมอันหนาวเหน็บพัดผ่านพื้นที่ว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงหวีดหวิว

                จากนี้  ถ้าเธอได้ยินคำพูดดูถูกแบบนั้นอีกเธอจะต้องรายงานฉัน

                แน่นอนว่าเด็กหญิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือคำดูถูก แม้กระทั่งตอนนี้ ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเธอควรจะต้องรายงานเรื่องไหนบ้าง แต่เธอก็พยักหน้าตกลง และจ้องมองใบหน้าของเจ้านายเธอเหมือนกับตอนที่เธอมองหิมะที่กำลังละลาย และเมื่อเธอเห็นหิมะกำลังก่อตัวอยู่บนไหล่ของเขา เธอก็ปัดมันออกในทันที

                หิมะ...จะลบสีต่าง ๆ ออกไป เมื่อมันรวมตัวกันใช่ไหมคะ?

                เขาจับมือของเธอและสวมถุงมือให้ ใช่ ไม่ใช่แค่สีเท่านั้น แต่เสียงก็ด้วยเหมือนกัน

                มือของเด็กหญิงอุ่นขึ้นในทันทีเพราะความร้อนจากถุงมือ อย่างนั้นหรือคะ?เธอเหลือบมองดวงตาสีเขียวมรกตที่เป็นทุกอย่างสำหรับเธอ ดวงตาคู่นั้นกำลังสะท้อนภาพของเด็กหญิงหน้าตาสะสวยที่อาบไปด้วยเลือด ถ้าหิมะ...ปกคลุมไปทั้งโลก...เธอหยุดพูดชั่วอึดใจ แล้วทำให้ผู้คนฆ่ากันยากขึ้นเธอถามขึ้นหลังจากที่สำรวจใบหน้าของเขาอีกครั้ง มันจะลบความกังวลของผู้พันไปด้วยเหมือนกันไหมคะ?

                ไวโอเล็ตเขาตอบคำถามนั่นราวกับกำลังสอนเด็กหญิงผู้แสนไร้เดียงสา การที่จะลบบางสิ่งบางอย่างออกไป...หมายถึงแค่ซ่อนมันเท่านั้น ไม่ได้แก้ไขมันหรอกนะ

     


                คุกอัลแตร์ถูกสร้างขึ้นบนผืนดินขนาดใหญ่ ล้อมด้วยรั้วที่สูงเป็นพิเศษ และปกคลุมด้วยท้องฟ้าสีเทา คุกแห่งนี้มีนักโทษอยู่รวมกันถึง 2,200 คน และมีผู้คุมที่คอยตรวจตราและทำให้นักโทษเหล่านั้นเป็นคนที่ดีขึ้นมากถึง 400 คนด้วยกัน เรียกได้ว่ามันเป็นคุกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีป และเป็นคุกที่มีการจัดการนักโทษอย่างดีเยี่ยมเพราะตั้งแต่ที่มันถูกก่อตั้งมานั้น ไม่เคยมีนักโทษที่สามารถแหกคุกออกไปได้เลยสักคน

                คุกแห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคทีมีชื่อว่าคอร์นเวล ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีป มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี แต่ละเมืองนั้นก็มีความห่างไกลกันมากเสียด้วย – หากใครก็ตามที่จะต้องเดินทางก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันถึงจะเดินทางไปถึงเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ดังนั้น หากนักโทษคนไหนที่สามารถออกไปนอกคุกได้ ก็จะไม่มีอะไรรอพวกเขาอยู่ข้างนอกนั่นนอกจากความหนาวเหน็บที่ทำให้ถึงตายได้ แต่ถึงนักโทษคนนั้นจะอยากออกไปมากแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็จะไม่สามารถออกไปได้อย่างง่าย ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุกแห่งนี้จึงเป็นคุกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับจองจำนักโทษ

                การบำรุงรักษาสถานที่และให้นักโทษสร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคมคืองานหลักของคุกแห่งนี้ ถ้าหากเข้ามาทางประตูหลักที่มียอดแหลมสูงตั้งตระหง่านอยู่รอบ ๆ ก็จะเห็นโรงงานที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน มันเป็นโรงงานที่ผลิตสินค้ามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตให้กับบริษัทเอกชน มันมีอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทั้งเสื้อผ้า สบู่ ตลอดจนผงซักฟอก นักโทษถูกจัดเป็นแรงงานหลายประเภท ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้มีไว้เพื่อบำรุงสถานที่เท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขามีงานที่มั่นคงหลังจากที่ออกจากคุกไปแล้วด้วย  ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่มันมีส่วนสำคัญในการลดปัญหาการก่ออาชญากรรมเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจำนวนนักโทษที่ถูกคุมขังนั้นจะมีจำนวนน้อยก็ตาม

                อย่างไรก็ตาม โรงงานนั้นมีไว้ให้กับนักโทษที่มีการก่ออาชาญกรรมต่ำระดับหนึ่งเท่านั้น ส่วนระดับที่สอง ระดับที่สาม และระดับที่สี่ ระบบการควบคุมผู้ที่ถูกคุมขังนั้นจะรุนแรงขึ้นตามระดับการก่ออาชญากรรม พวกเขาต้องถูกควบคุมเท่านั้น ไม่สามารถทำงานด้วยตัวเองได้ ผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในส่วนนั้นถือว่าอันตรายเกินไปที่จะได้ทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามแต่

                แน่นอนว่าไม่ว่าจะคุกไหนก็ตาม นักโทษคนไหนก็ไม่สามารถที่จะหลบหนีไปไหนได้ แต่สำหรับคุกอัลแตร์นั้นพวกเขาจะเพิ่มเงื่อนไขที่มีคำว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม’ ‘อย่างแน่นอน และ เด็ดขาด ให้กับนักโทษที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงแก่สังคมและเคยตั้งใจจะหลบหนีไปด้วย ดังนั้น นักโทษเหล่านั้นจะถูกซ่อนไว้

                ผู้ที่เข้ามาในคุกแห่งนี้มักจะประหลาดใจกับความไร้ที่ติของมัน ผนังตรงทางเดินถูกทำงานสะอาดจนเรียบกริบ ตกแต่งด้วยภาพที่มีชื่อเสียง และมีบรรยากาศราวกับห้องรอผู้ป่วยของโรงพยาบาล

                ไม่ว่าจะเดินมาจากทางเข้าหรือสวมด้วยชุดอะไรก็ตาม พวกเขาจะถูกเรียกทันที ดังนั้นทุกคนที่กำลังนั่งต่อแถวเรียงรายกันอยู่บนม้านั่งในห้องรอจะได้เข้าไปสัมภาษณ์ทันทีโดยไม่ต้องนั่งรอนาน ๆ พวกเขาจะต้องให้ข้อมูลว่าพวกเขามาเยี่ยมใคร เหตุผลที่มาเยี่ยม แม้กระทั่งประวัติการรักษาในโรงพยาบาลและประวัติการใช้ยาด้วย พวกเขาจะลงข้อมูลทุกอย่างของผู้ที่เข้าเยี่ยมโดยไม่พลาดแม้แต่เรื่องเดียว ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จะต้องยื่นบัตรประจำตัวประชนเพื่อยืนยันข้อมูลของตัวเองด้วย

                หากไม่พบปัญหาระหว่างการสัมภาษณ์ พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับนักโทษได้ในห้องที่มีผนังบาง ๆ กั้นแยกระหว่างพวกเขา และสามารถรองรับคนได้จำนวนมาก พวกเขาสามารถนำอาหารเข้ามาได้หากได้รับการตรวจสอบแล้ว แต่พวกเขาไม่แนะนำให้นำพายเข้ามา เนื่องจากอาหารที่พวกเขานำเข้ามานั้นจะถูกปั่นเสียก่อน แต่หลังจากที่ได้รับการตรวจสอบทุกอย่างแล้ว ผู้ที่เข้าเยี่ยมก็จะได้รับอนุญาตให้พบนักโทษที่พวกเขามาเยี่ยมได้

                แต่ถึงแม้ว่านักโทษเหล่านั้นจะเป็นที่รักยิ่งของผู้ที่มาเยี่ยม แต่ความจริงที่พวกเขาได้กระทำบาปลงไปนั้นก็จะไม่มีวันเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคนที่มาเยี่ยมนั้น ก็มีใครคนหนึ่งที่ตั้งใจมาทำงานด้วยความเคร่งครัด ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่มาตัวคนเดียวนั้นถูกส่งไปยังห้องคุมขังที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษและเงียบสงบในดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะสีเงิน หญิงสาวที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษในฐานะแขกนั่งอยู่ในห้องส่วนตัว มันเป็นห้องสำหรับคนสำคัญที่ได้รับอนุญาตและผ่านการตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้ว

                รูปลักษณ์ภายนอกของหญิงสาวนั้นช่างไม่เข้ากับคุกเสียเลย ดวงตาสีฟ้าของเธอที่คล้ายกับไพลินนั้นมีเสน่ห์ที่น่าพิศวง ริบบิ้นสีแดงที่ใช้ผูกผมของเธอนั้นยิ่งทำให้ผมสีทองที่ดูโดดเด่นของเธอเหมือนถูกห่มหุ้มด้วยกลุ่มดาว และเข็มกลัดสีเขียวมรกตที่ไม่ได้เป็นมากกว่าเครื่องประดับถูกกลัดอยู่ตรงกลางเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินปรัสเซียนที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเธอ และในรองเท้าบูทถัดสีน้ำตาลโกโก้ของเธอนั้น ขาของเธอก็เอียงเป็นแนวทแยงมุมขณะที่เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอเป็นความงามที่ปกติแล้วคงจะไม่พบในห้องขังเช่นนี้ และดึงดูดสายตาของเจ้าหน้าที่ทุกคนในขณะที่กำลังคอยดูแลและคุ้มกันเธอ

                หญิงสาวที่ราวกับตุ๊กตาและแทบจะไม่เคลื่อนไหวเหลือบมองไปยังนาฬิกาที่อยู่บนผนังห้อง ดูเหมือนว่าการพบปะนักโทษของเธอนั้นคงจะต้องใช้เวลาและความอดทนสักหน่อย แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความหงุดหงิดต่อสาเหตุที่เลี่ยงไม่ได้นั่นแต่อย่างใด แต่เพียงไม่นานก่อนหน้านี้นั้นดูเหมือนบรรยากาศของเธอจะดูไม่ค่อยสงบเท่าไหร่นัก และไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงขยับของเข็มนาฬิกาและเสียงถอนหายใจของเจ้าหน้าที่กำลังชื่นชมความน่าดึงดูดของเธอ

                “คุณไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน การเตรียมการสำหรับการนัดพบเรียบร้อยแล้วผู้หญิงที่มีรูปร่างอ้วนท้วมและเสียงอันแหบแห้งเรียกเธอ เครื่องแบบรักษาความปลอดภัยสีเขียวเข้มของเธอดูเหมือนจะแน่นเกินไปจนกระดุมที่อยู่บนหน้าอกของเธอปริจนแทบจะกระเด็นออกมา

                เมื่อหญิงสาวที่มีนามว่าไวโอเล็ตยืนขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับถือกระเป๋าเดินทางและร่มที่มีระบายของเธอขึ้นจากพื้นนั้น หนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นความอิจฉาริษยาผู้หญิงที่มีรูปร่างเพรียวบางและใบหน้าที่สวยงามจนน่าทึ่งที่ถูกเรียกชื่อคนนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ชายมองเธอตาค้างด้วยความงงงวยก่อนจะมองตาขวางใส่คนที่เป็นพาเธอไป จากนั้นผู้ที่พาไวโอเล็ตไปจึงพาเธอไปยังที่มีไว้เฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

                ฉันชื่อเชสเซอร์  มันอาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่ฉันจะเป็นคนพาเธอชมสถานที่เองเสียงแหบห้าวของเชสเซอร์สะท้อนอย่างน่าสะพรึงกลัวในระเบียงทางเดินที่เงียบสงบ เช่นเดียวกับเสียงรองเท้าขัดมันของไวโอเล็ต

                มองจากนอกหน้าต่างตรงทางเดินนั้นสามารถเห็นหิมะที่กำลังตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ และทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยสีขาว

                ถ้างั้น...เธอคงจะเป็นนักเขียนจดหมายที่มีชื่อเสียงคนนั้น ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนใช่ไหม? ฉันตกใจจริง ๆ นะ แต่ตัวเอกของเรื่อง ‘เจ้าหญิงกุหลาบน้ำแข็ง’ นั่นอิงมาจากตัวเธอใช่ไหม? เรื่องที่เป็นหนึ่งในละคนเวที...ที่ถูกเขียนโดยออสการ์น่ะ เพื่อนร่วมงานของฉันคงจะอิจฉาฉันสุด ๆ เลยตอนนี้เพราะฉันได้ร่วมงานกับเธอ ละครเวทีนั่นดังมากในหมู่แฟน ๆ ของออสการ์เลยนะ ฉันไม่เคยดูหรอก แต่พวกเธอบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากจริง ๆ เชสเซอร์พูดในขณะที่มองใบหน้าของไวโอเล็ตไปด้วย

                ไวโอเล็ตทำเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น และไม่ได้แสดงความเป็นกันเองเท่าไหร่นัก

                ––อะไรกันน่ะ? ดูอวดดีชะมัด ถึงเธอจะสวยแค่ไหนก็ตาม...แต่ก็สวยเกินไปและคงจะเป็นคนที่น่าขยะแขยงน่าดู

              เชสเซอร์หันหน้ากลับไปทางเดิมพร้อมกับเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจนัก ดูเหมือนรูปร่างหน้าตาอันสวยงามของไวโอเล็ตนั้นจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความไม่ค่อยพูดของเธอนั้นทำร้ายคนอื่นได้ เพราะว่าไม่มีใครเดาได้เลยว่าที่เธอพูดน้อยแบบนั้นเป็นเพราะเหตุผลใด

                ดูเหมือนว่าห้องที่ไวโอเล็ตต้องใช้นัดจะอยู่ใต้ดิน พวกเธอจึงต้องใช้บันไดเพื่อเดินลงไปยังห้องนั้น และถึงแม้ว่าไวโอเล็ตจะไม่ได้ถามว่าทำไมถึงไม่ใช้ลิฟท์ เชสเซอร์ก็อธิบายให้เธอฟัง

                ข้างล่างนั่น...อ่า...มีแต่พวกนักโทษที่ก่อคดีร้ายแรงและก็พวกโรคจิตน่ะ...ฮ่ะ ๆ เพราะงั้นเพื่อจำกัดเส้นทางในการหลบหนี เผื่อในกรณีที่มีคนแหกคุกออกไปได้ ก็เลย...ใช้แค่บันไดเท่านั้น พวกเจ้าหน้าที่อย่างฉันเองก็...รู้สึกเมื่อยเหมือนกันที่ต้องใช้มัน...

                ไม่รู้เป็นเพราะว่าเธอไม่เคยออกกำลังกายหรือเพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินไปที่ทำให้เชสเซอร์เดินลงบันไดด้วยความยากลำบาก เธอเหงื่อออกและหายใจด้วยความเหนื่อยหอบเป็นอย่างมาก ไวโอเล็ตชำเลืองมองเธอด้วยความเป็นกังวลอยู่เรื่อย ๆ และเมื่อเธอดูเหมือนกำลังจะล้มนั่น ไวโอเล็ตก็เอื้อมมือออกไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อเพื่อจัอคอเสื้อของเชสเซอร์ไว้ และห้อยเธอไว้กลางอากาศ

                แค่ก...แค่ก...ระหว่างที่กำลังสำลัก เชสเซอร์ก็เอาชนะความกลัวของเธอได้เมื่อเธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ ปะ ปะ ปล่อยฉันนนน!”

                ไวโอเล็ตค่อย ๆ ปล่อยเธอลงในตำแหน่งที่เธอจะไม่พลาดล้มอีก และกระซิบตอบเธอ ขออภัยด้วยค่ะที่ปฏิบัติต่อคุณด้วยความรุนแรง คุณผู้หญิง

                เชสเซอร์หน้าแดงทันทีเมื่อได้ยินเสียงหวานใสของเธอ ยะ-อย่าเรียกว่า คุณผู้หญิงสิ! ฉันมีสามีและลูกแล้วนะ!”

                อย่างนั้นหรือคะ ขออภัยด้วยอีกครั้งค่ะ คุณหญิง

                อ่า ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น...

                ––หยาบคายเสียจริงตัวฉัน ทั้ง ๆ ที่โดนช่วยชีวิตไว้แท้ ๆ แต่ยังไม่ได้ขอบคุณเลยสักคำ

                ถ้าอย่างนั้น คุณนาย…”

                มันไม่เกี่ยวกับเรื่องให้เกียรติเสียหน่อย!”

                ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้คุณเจอประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสินะคะ คุณอยากจะชี้แนะเรื่องมารยาทของฉันไหมคะ? ฉันจะพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นค่ะ

                เชสเซอร์รู้สึกตกตะลึงพึงพรืด เพราะถ้าหากเธอเป็นไวโอเล็ตล่ะก็ เธอคงจะขยับหน้าเข้าไปใกล้ ๆ และแสดงการดูถูกแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ไวโอเล็ตก็ยังคงยืนยันความคิดของเธอ และในตอนนั้นเองเชสเซอร์ถึงรู้ว่าเธอไม่ได้เย็นชาแต่อย่างใด เธอเพียงแค่มีบุคลิกที่แข็งทื่อไปหน่อยก็เท่านั้นเอง

                ไม่ใช่แบบนั้นหรอก...ฉันแค่อยากจะบอกว่ามันเป็นความผิดของฉันเอง เธอเข้าใจหรือยัง? แล้วฉันก็ตะโกนใส่เธอด้วยทั้ง ๆ ที่เธอช่วยฉันไว้แท้ ๆ และฉันก็...ตัวหนักด้วย...เพราะงั้นขอบคุณจริง ๆ นะ เชสเซอร์พูดพร้อมกับเม้มปากเล็กน้อย

                ไวโอเล็ตส่ายหัว น้ำหนักของผู้หญิงนั้นไม่ถือว่าหนักหรอกค่ะ ถ้าเทียบกับรถถังแล้ว คุณตัวเบาราวกับขนนกเลยค่ะ

                เปรียบเทียบอะไรแบบนั้นน่ะ? แต่เธอก็ยกตัวฉันได้ง่าย ๆ เลยนะ ทั้ง ๆ ที่เธอตัวเล็กขนาดนั้นแท้ ๆ...เธอคงจะแข็งแรงมากเลยสิ ช่างเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่แปลกเสียจริง แต่ว่า...เธอแสดงท่าทีแบบนั้นกับทุกคนเลยเหรอ?

                ฉัน...แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปค่ะ และนั่นก็เป็นเพราะว่าแขนเทียมของฉัน มันผลิตโดยบริษัท Estark น่ะคะ เพราะอย่างนั้นความอดทนของมันจึงสูงมาก มันจึงมีความเป็นไปได้ที่จะใช้แรงมหาศาลหรือเคลื่อนไหวอย่างที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถทำได้ มันจึงสะดวกสบายมากค่ะ แต่ แสดงท่าทีแบบนั้นที่คุณพูด หมายความว่ายังไงหรือคะ...?

                ไวโอเล็ตถอดถุงมือสีดำของเธอออกอย่างไม่ลังเล เชสเซอร์สงสัยเกี่ยวกับมันเล็กน้อย แต่ก็เชื่อว่าเธอคงจะไปเจออะไรเข้าถึงต้องใส่แขนเทียมเช่นนี้ และเอ่ยตอบโดยที่ไม่สงสัยอะไรอีก แบบว่า เอ่อ...ที่พูดเหมือนกับพวกเขาเป็นคนชั้นสูงน่ะ แต่ก็นะ ดูเหมือนว่าธุรกิจของพวกเธอจะมีลูกค้ารวย ๆ เยอะล่ะสิ คงจะเป็นมาตรฐานของพวกเธอที่จะพูดแบบนั้นสินะ...

                ฉันพูดสุภาพกับทุกคนแบบนี้มาตลอดอยู่แล้วค่ะ แต่ว่า ถ้าหากคำพูดของฉันทำให้คุณไม่สบายใจ ฉันก็ขออภัยด้วยค่ะ

                ฉันไม่ได้ไม่สบายใจหรอกนะ แค่ตกใจน่ะ ฉันแค่...เอ่อ รู้สึกมีความสุขนิดหน่อย ฉันไม่ค่อยถูกใครเรียกว่า คุณผู้หญิงเท่าไหร่เพราะว่าฉันอายุเยอะแล้วน่ะสิ

                อย่างนั้นหรือคะ?

                และในตอนนั้น เชสเซอร์ถึงสังเกตเห็นปฏิกิริยาบางอย่างบนใบหน้าของไวโอเล็ต ซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกับสิ่งที่เรียกว่ารอยยิ้ม

                ใครคนหนึ่ง...เคยสอนฉันให้พูดอย่างสุภาพค่ะ และการถูกยกย่องโดยผู้อื่นนั้นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง...ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มานั้นเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากค่ะ

                ความเป็นมนุษย์ของไวโอเล็ตปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง และเชสเซอร์ก็รู้สึกโกรธเคืองเธอน้อยลง

                เราลงไปอย่างช้า ๆ เถอะค่ะ มันคงจะไม่ดีนักถ้าคุณนายล้มอีกครั้ง

                เธอไม่ต้องเรียกฉันด้วยคำแบบนั้นหรอกนะ แค่ เชสเซอร์ก็พอแล้ว

                เลดี้เชสเซอร์

                เชสเซอร์เฉย ๆ!”

                หลังจากได้รับการแก้ไขด้วยน้ำเสียงที่ดูน่ากลัว ไวโอเล็ตก็กะพริบตาสองสามครั้งและลองเรียก เชสเซอร์...ถ้าอย่างนั้น โปรดเรียกฉันว่าไวโอเล็ตก็พอค่ะ

                ลมหายใจของเชสเซอร์ติดขัดเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของไวโอเล็ต ซึ่งทำให้ใครหลาย ๆ คนคงอยากจะวาดรูปของเธอไว้เป็นแน่

                ––พอถูกผู้หญิงคนนี้เรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการ...ก็ทำให้รู้สึกคาดไม่ถึงเลยแฮะ

                เธอรู้สึกท้องของเธอหวิว ๆ เล็กน้อย แบบนั้นดีกว่าเยอะเลย

     


                ใช้เวลานานพอสมควรกว่าพวกเธอจะลงมาถึงด้านล่าง และเมื่อพวกเธอมาถึงนั้น พวกเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในทางเดินหนึ่งซึ่งมีพื้นที่มากพอจนถึงขนาดที่รถม้าสองคันสามารถวิ่งผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ผนังของทางเดินนั้นเต็มไปด้วยประตูของห้องขังที่มีหน้าต่างเล็ก ๆ ให้มองออกมาได้ แต่ละห้องนั้นถูกตกแต่งเหมือนกันหมด มีเพียงอย่างเดียวที่ต่างกันนั้นคือคนที่อยู่ในห้อง ซึ่งมีทั้งชายชรา หญิงสาว และแม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ พวกเขาทุกคนใส่ชุดที่เป็นจั๊มท์สูทสีขาวดำเหมือน ๆ กัน – ซึ่งก็เป็นเครื่องแบบของนักโทษนั่นเอง และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่อในทันทีว่าพวกเขาทั้งหมดนั่นมีความผิดทางอาญา เพราะพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างเงียบสงบมาก และไม่ส่งเสียงเอะอะโวยวายแต่อย่างใดเลย

                น่าตกใจใช่ไหมล่ะ? มันทำให้เธอนึกถึงโรงพยาบาลจิตเวชใช่ไหม?ไวโอเล็ตพยักหน้าเบา ๆ เชสเซอร์จึงพูดต่อ บางคนที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยนะ ถ้าเป็นปกติเธอก็คงจะคิดว่าพวกเขาดูเหมือนคนทั่วไป ตอนแรกที่ฉันมาทำงานที่นี่ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าพวกเขาพูดล่ะก็ เธอบอกได้เลยล่ะว่าพวกเขาบ้าอยู่หน่อย ๆ แต่ถ้ามองจากภายนอกแล้วพวกเขาก็ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ น่ากลัวใช่ไหมล่ะ?เชสเซอร์หัวเราะ

                ค่ะ

                เชสเซอร์ไม่ได้ฟังว่าไวโอเล็ตเห็นด้วยเรื่องอะไรก็ตอนที่พวกเธอมาถึงห้องขังห้องสุดท้าย

                เราถึงห้องขังของลูกค้าเธอแล้วล่ะ ห้องสวีทสำหรับราชาแห่งอาชญากรรมที่กำลังเข้าพักใน โรงแรมของพวกเรา

                การ์ดสองคนยืนอยู่หน้าประตูแต่ละด้านพร้อมกับโชว์ปืนของพวกเขาด้วย ชายผู้แข็งแกร่งทั้งสองนั่นดูตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นถึงความสวยของไวโอเล็ต แต่ก็รู้สึกตัวในภายหลังโดยที่ไม่แตกตื่นไปเสียก่อน

                จากจุดนี้ คุณจะใช้ได้แค่รายการอุปกรณ์ที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น เพราะมีความเป็นไปได้ที่ว่าเขาอาจจะขโมยอะไรสักอย่างและใช้มันเป็นอาวุธ แน่นอนว่าเราควบคุมเขาอยู่ แต่เราจะเปิดช่องให้เขาเห็นไม่ได้เลยแม้แต่ช่องเดียว ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะโดนเขาชักจูงได้ง่าย ๆ ปกติแล้วเราไม่อนุญาตให้พกแม้แต่ปากกาเข้าไปด้วย แต่...มันคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับงานของคุณ เพราะฉะนั้นทิ้งของมีคมทั้งหมดและทุกอย่างที่อาจถูกใช้เป็นอาวุธได้ไว้กับเรา นอกเหนือจากอุปกรณ์การทำงานของคุณ

                ทุกอย่างเลยหรือคะ?

                ครับ ทุกอย่าง

                เมื่อได้ยินการ์ดสั่งแบบนั้น ไวโอเล็ตก็หยุดคิดไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยตอบพวกเขา ก็ได้ค่ะและส่งกระเป๋าของเธอพร้อมกับร่ม การ์ดตัวเซไปเล็กน้อยเพราะน้ำหนักกระเป๋า จากนั้นเธอจึงถอดรองเท้าบูทสีน้ำตาลโกโก้ของเธอและลอกพื้นรองเท้าออก ก่อนจะดึงมีดที่อยู่ข้างในออกมา

                คนที่ตรวจสอบเรื่องนี้กำลังทำอะไรอยู่น่ะตอนที่ตรวจร่างกายเธอ? ยามคนหนึ่งบ่นออกมาเมื่อเห็นเช่นนั้น

                เมื่อเธอถอดเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินปรัสเซียนของเธอออก เธอก็หยิบปืนพกออกจากแขนเสื้อพอง ๆ ของเธอ จากนั้นก็ถกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่รัดรอบตัวเธอแน่นคือเข็มขัดที่เต็มไปด้วยกระสุนอะไหล่ และเมื่อเธอเอื้อมมือขยับขึ้นมาเล็กน้อย เธอก็หยิบซองหนังที่มีมีดพกของเธอออกมาด้วย  สุดท้าย เธอก็ยกมือของเธอขึ้นไปจับเส้นผมที่ถูกถักเปียอย่างสมบูรณ์แบบพร้อมกับริบบิ้นสีแดงเข้มที่ประดับอยู่บนนั้น จากนั้นเธอตึงหยิบวัตถุสีทองชนิดหนึ่งที่คล้ายเข็มออกมา – หนึ่งเล่ม สองเล่ม และสามเล่ม

                เธอ...ใช้ของพวกนี้ทำอะไรน่ะ? เชสเซอร์เอ่ยถาม รู้สึกตื่นกลัวกับอาวุธที่ไวโอเล็ตซ่อนไว้เล็กน้อย

                มันเป็นสิ่งที่ต้องซ่อนไว้เพื่อใช้เจาะเลือดค่ะ

                ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยกเว้นไวโอเล็ตรู้สึกเหมือนหายใจติดขัดไปชั่วขณะ

                เธอ...ทำอะไรนะ?

                แทนที่จะใช้เป็นอาวุธ พวกมันจะถูกใช้เพื่อป้องกันตัวค่ะ ฉันได้ยินมาว่าการที่ผู้หญิงเดินทางคนเดียวนั้นมันไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็เป็นเพียงแค่นักรับจ้างเขียนจดหมายเท่านั้น ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนค่ะเธอพูดราวกับกำลังประกาศเรื่องอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงหยิบแค่ปากกาและจดหมายชุดหนึ่งจากกระเป๋าล้อลากของเธอ

                ไม่มี...อาวุธอีกแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?

                เมื่อถูกถามเพื่อความแน่ใจ ไวโอเล็ตจึงหยุดคิดไปอีกครั้งก่อนจะพยักหน้า ไม่มีแล้วค่ะ อาวุธเดียวที่เหลืออยู่คือฉันค่ะ แต่ฉันก็คงทำงานไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้นคงไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?

                นั่นคงจะเป็นมุกตลกได้เลย แต่เมื่อพวกเขาเห็นอาวุธที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดนั่นก็ไม่มีใครขำออกมาสักคน

                กลอนล็อคถูกถอดออก และประตูที่แข็งแรงเป็นอย่างมากก็เปิดออก ข้างในห้องนั้นกว้างกว่าที่จินตนาการไว้เยอะ มันใหญ่กว่าเป็นสองเท่าของห้องขังที่เธอเดินผ่านมา ด้วยความที่ห้องมีขนาดใหญ่มาก เฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่น้อยชิ้นจึงโดดเด่น – เตียงที่มีเพียงแค่ฟูกนอนและช่องว่างระหว่างขาเตียงเท่านั้น อ่างล้างหน้าที่ไม่มีกระจก และถึงแม้ว่าจะโถชักโครกและอ่างอาบน้ำก็จริง แต่มันก็ถูกกั้นด้วยม่านบาง ๆ เท่านั้น นอกเหนือจากนั้น หนังสือหลายเล่มกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นห้อง และมีโต๊ะกับเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ตรงกลาง ทั้งเฟอร์นิเจอร์และผนังห้องต่างก็เป็นสีขาวล้วน มันตกแต่งเกือบเหมือนบ้านตุ๊กตา และคล้ายกับวัดหรือศาลเจ้า มันช่างว่างเปล่าและดูเหงาหงอยเสียเหลือเกิน

                ไง ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน

                ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง คอ ข้อมือ และข้อเท้าของเขาถูกล็อคด้วยกุญแจมือที่ทำจากเหล็ก เสียงที่โดดเด่นของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุภาพบุรุษ ผมสีเทาที่ดูเยือกแข็งของเขาถูกหวีอย่างเรียบร้อย ผิวของเขาเหมือนกับไข และคงเป็นเพราะไม่ได้รับแสงแดดเป็นเวลานาน ความขาวซีดของเขานั้นยิ่งดูเด่นขึ้นไปใหญ่เมื่อเขาสวมใส่จั๊มท์สูทสีขาวดำเช่นนั้น และไฝที่อยู่ใต้ตาสีเฮเซลที่เหมือนกับตาของจิ้งจอกของเขานั้นเป็นจุดที่เด่นที่สุดบนใบหน้า คงไม่มีใครรู้สึกถึงความชั่วร้ายของเขาได้เลยเมื่อเห็นรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของเขานั้น และก็ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่ได้รับการคุมขังอย่างแน่นหนาที่สุดในคุกอัลแตร์แห่งนี้

                ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันจะเดินทางไปทุกหนทุกแห่งที่ลูกค้าต้องการ ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนค่ะ

                เมื่อไวโอเล็ตถอนสายบัวอย่างสง่างาม ชายคนนั้นก็โบกมือไปยังเก้าอี้ว่าง เสียงของกุญแจมือส่งเสียงเล็กน้อยเมื่อเขาชี้นิ้วไปที่เก้าอี้นั้น นั่งลงสิ

                แขนเทียมของไวโอเล็ตส่งเสียงเล็กน้อยเมื่อเธอวางมือลงบนเก้าอี้ ดูเหมือนว่าเก้าอี้จะถูกทำให้ยึดติดกับพื้นเพื่อไม่ให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพได้

                เธอรู้จักฉันไหม?

                ฉันรู้ค่ะ ฉันอ่านจากเอกสารที่ทางบริษัทส่งมาให้ฉัน

                หรอ? งั้นลองพูดประวัติอาชญากรรมของฉันให้ฟังหน่อยสิ

                ราวกับว่าไวโอเล็ตจำมันได้ขึ้นใจ เธอตอบทันที ประการแรก คุณเป็นอาชญากรที่มีค่าหัวอันดับหนึ่งในมหาสงครามก่อนหน้านี้ หลังจากที่คุณทิ้งหน้าที่ของคุณไป คุณก็ก่ออาชญากรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งโจมตี ข่มขืน และทำการฆาตกรรมโดยการลอบวางเพลิง และหลังจากนั้นไม่นานคุณจึงตกเป็นข่าว คุณสถาปนาตัวเองว่าเป็นผู้นำของลัทธิทางศาสนา แต่คุณเองก็อยู่เบื้องหลังการตายของเหล่าสาวกลัทธินี้เช่นกัน สาวกประมาณสี่ร้อยคนใช้ยาพิษในการฆ่าตัวตายเพราะคำสั่งของคุณ และคุณก็หั่นศพของคนเหล่านี้เป็นชิ้น ๆ และสร้างหอคอยด้วยแขนและขาของพวกเขา และนั่นก็คือหนึ่งในอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด

                ชายหนุ่มปรบมือให้ไวโอเล็ต เธอศึกษาเรื่องฉันมาอย่างดีเลยนะ ฉันมีความสุขมากเลยไวโอเล็ต แต่เธอไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณท่านหรืออะไรหรอกนะ แค่เรียกฉันด้วยชื่อก็พอ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเสียจนไม่คิดเลยว่าอาชญากรรมที่พูดไปเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของเขา แต่ถึงอย่างนั้น คำแนะนำนั่นก็แสดงให้เห็นถึงความวิกลจริตของเขาอยู่ลึก ๆ และยิ่งไปกว่านั้น เขายังฟังใครสักคนพูดเรื่องบาปที่นับไม่ถ้วนของเขาด้วยความสนุกสนาน

                ไวโอเล็ตเชื่อฟังคำแนะนำนั่นอย่างไม่ลังเล เอ็ดเวิร์ด โจนส์เสียงกระซิบชื่อของเขาเล็ดลอดออกมาจากปากของเธอ ถ้าอย่างนั้น คุณเอ็ดเวิร์ดคะ มันอาจจะหยาบคายไปหน่อยเพราะเราเพิ่งจะพบกัน แต่ฉันอยากจะเริ่มงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ คุณอยากเขียนจดหมายเรื่องอะไรคะ?

                จะเริ่มเลยหรอ? คุยกันก่อนเถอะน่า

                เวลาที่ฉันได้รับอนุญาตนั้นมีจำกัดค่ะ

                ฉัน...ไม่ได้อยากให้เธอเขียนจดหมายหรอกนะ แต่ถ้าเขียนแค่ประโยคเดียวมันก็จะเสร็จเร็วไปน่ะสิ แล้วไวโอเล็ตก็จะไปใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นคุยกันจนกว่าจะถึงนาทีสุดท้ายกันเถอะ

                ระยะเวลาสูงสุดที่ฉันได้รับอนุญาตคือสิบสามนาทีค่ะ

                พวกเขาขี้เหนียวจังนะ แต่ก็เป็นเพราะว่าค่าตัวเธอแพงมาก เธอคงเป็นเหมือนพวกโสเภณีชั้นสูงใช่ไหม? หลังจากที่จ่ายค่าจ้างไปแล้ว เธอก็จะทุกอย่างที่เธอได้รับคำสั่งให้ทำ

                ฉันไม่ได้ให้บริการทางเพศค่ะ ฉันเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์

                ฮ่า ๆ ฉันหมายถึงว่าเธอขายตัวเองต่างหาก เธอนี่...ไม่เปลี่ยนไปเลย...จริง ๆ นะ เมื่อก่อน ตอนที่ฉันเห็นเธอในสนามรบ เธอเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่แสนเย็นชาเลย นั่นเป็นความประทับใจแรกที่ฉันมีต่อเธอล่ะ

                คิ้วของไวโอเล็ตกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเอ็ดเวิร์ด เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าของตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่แสนเย็นชานั่น

                อ่า เธอทำท่าทีแบบนี้ แสดงว่าเธอจำฉันไม่ได้สินะ ฉันเองก็เคยเป็นทหารมาก่อน ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยคุยกันก็ตาม แต่เราก็มาจากทีมกลยุทธ์เดียวกัน...จำได้ไหม การต่อสู้ที่ประตูภูตผีที่ประเทศเธอมีข้อตกลงร่วมกับประเทศอื่นชั่วคราวน่ะ เธอมักจะถูกเลือกให้เป็นกองกำลังพิเศษเสมอเลยใช่ไหม? แล้วเธอก็ตัวติดกับหนึ่งในผู้บังคับบัญชานั่นตลอดด้วย เพราะงั้นก็เลยดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสที่ฉันจะได้คุยกับเธอเลย ตอนนั้นน่ะ ขนาดคนในหมู่ของฉันก็ยังพูดถึงความน่ารักของเธอไม่หยุดเลย ตอนนั้นก็มีคน ๆ หนึ่งที่ไปหาเธอแล้วก็ตั้งใจจะจีบเธอจริง ๆ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้กลับมาก่อนที่จะเริ่มยุทธศาสตร์...นี่ เธอทำอะไรสักอย่างกับเขาใช่ไหม?

                ไวโอเล็ตไม่ตอบเอ็ดเวิร์ดที่กำลังพูดน้ำไหลไฟดับ และเมื่อเธออยากจะพูดอะไรสักอย่าง เธอก็นั่งตัวแข็งพร้อมกับอ้าปากค้างเล็กน้อย

                หรือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาคนนั้นกันนะที่เป็นคนซ้อมเขาน่ะ? นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเธอกำลังคบกันอยู่หรอ? ตอนนั้นพวกเธอสองคนคงจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรอกนะ...ยังไงก็เถอะ ตอนนั้นน่ะเธอเหมือนกับหมาบ้าแล้วก็มีเจ้าของคอยดูแลอยู่เลย หรือว่าเธอจะเป็นเด็กดีในตอนกลางคืนกันนะ? ฉันสงสัยเรื่องนั้นจริง ๆ นะ...อ๋า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มันน่ากลัวนะ ผู้หญิงมักจะแข็งแกร่งขึ้นเสมอเลยเวลาพวกเธอโกรธ แล้วมันก็ทำให้ฉันกังวลทุกที แต่ไวโอเล็ต ตอนนี้ฉันน่ะเป็นเจ้านายของเธอนะ เพราะงั้นเธอกัดฉันไม่ได้เด็ดขาด

                คุณรู้...เรื่องในอดีตของฉัน

                และเมื่อเขาได้รับปฏิกิริยาแบบนั้นจากไวโอเล็ต เอ็ดเวิร์ดก็โยกหัวไปมาเหมือนกับเด็ก ๆ ช่าย ฉันรู้...ว่าเธอเป็นทหารหญิงที่ได้รับคัดเลือกมาเพราะความแข็งแกร่ง ถึงตอนนี้เธอจะทิ้งอดีตนั้นไปและตอนนี้ทำงานเป็นคนรับจ้างเขียนจดหมายก็เถอะ แต่ฉันน่ะสืบเรื่องของเธอมาเยอะ ฉันรู้เรื่องพวกนั้นก่อนที่ฉันจะมาอยู่ที่นี่เสียอีก แต่ว่านะไวโอเล็ต เธอเคยถูกจับมาก่อนหรือเปล่า? ไม่เคยเลยหรอ? แต่เธอก็ถูกปฏิบัติเหมือนกับฮีโร่มาตลอดนี่นา...เป็นถึงอดีตทหารของประเทศที่ชนะสงครามแน่นอนว่าต้องดีมากอยู่แล้ว...นักโทษน่ะได้อาบน้ำแค่สามวันครั้งเองนะ แย่ใช่ไหมล่ะ? รสชาติอาหารก็แย่เหมือนกัน แย่ที่สุดเลยล่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำงานด้วย ฉันก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากนอนฝันหวานไปวัน ๆ และสุดท้ายฉันก็คิดแต่เรื่องของเธอ แล้วฉันก็คิดว่าหรือนี่จะเป็นความรักกันนะเอ็ดเกิร์ดกวาดสายตาไปทั่วใบหน้าของไวโอเล็ตจนถึงหน้าอกของเธอ เขามองผู้หญิงคนนั้นที่ดูท่าจะพ่ายแพ้ต่อคำพูดของเขาราวกับอยากที่จะเลียเธอ

                คุณเอ็ดเวิร์ดคะ คุณไม่ได้จ้างฉันมาเพื่อเขียนจดหมายหรือคะ?ไวโอเล็ตเอ่ยถาม และไม่ได้เสียงสั่นแต่อย่างใดถึงแม้ว่าจะถูกคุกคามทางเพศโดยใช้สายตาก็ตาม

                ทัศนคติของเธอนั้นดูกระด้างกระเดื่อง เอ็ดเวิร์ดยิ้มก่อนจะยื่นแขนที่ถูกล่ามด้วยกุญแจมือมาวางไว้บนโต๊ะ ฉันจะให้เธอเขียนจดหมายแน่นอน ฉันบอกเธอแล้วนี่ใช่ไหม?และในตอนนั้นเขาก็หยุดยิ้ม ราวกับมันทำให้เขาไม่พอใจ ก่อนจะทุบโต๊ะอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนว่าจะเกิดบาดแผลที่มือของเขาหรือไม่

                คุณเอ็ดเวิร์ด

                แคร้ง แคร้ง แคร้ง กุญแจมือนั่นส่งเสียงบาดหู

                คุณเอ็ดเวิร์ดคะ

                แคร้ง แคร้ง แคร้ง ผิวหนังของเขาหลุดลอก เลือดกระเซ็นออกมาจากอาการบาดเจ็บของเขา มันเป็นการทำร้ายตัวเองที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน

                คุณเอ็ดเวิร์-”

                อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!” เอ็ดเวิร์ดส่งเสียงคำรามทันทีเหมือนกับหมาป่า เสียงที่น่าสยดสยองนั่นดังก้องไปทั่วห้อง

                ในไม่ช้า ประตูก็ถูกกระแทกออกจากด้านนอก และเมื่อไวโอเล็ตหันหลับไปมองเธอก็เห็นการ์ดมองผ่านกระจกเพื่อตรวจเช็คสถานการณ์ด้วยสายตาหวาดระแวง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาข้างในเมื่อไวโอเล็ตยกมือขึ้นพร้อมกับบอกว่า "ไม่เป็นไรค่ะ"

                ฉันสงสัย...ว่าทำไมถึงไม่มีใครฟังที่ฉันพูดเลยเอ็ดเวิร์ดหมุนคอไปมา จากนั้นเขาจึงเห็นว่ามีคนอื่นนอกจากไวโอเล็ตอยู่ใกล้ ๆ เขา น่ารำคาญชะมัด...นี่ ไวโอเล็ต...เธอมีชีวิตที่ดีเลยใช่ไหมล่ะ? ถึงเราจะทำสิ่งเดียวกัน แต่เธอกลับได้รับเกียรติซะอย่างนั้น ใคร ๆ ต่างก็ฟังสิ่งที่เธอพูดใช่ไหม? แต่ไม่ใช่กับฉันหรอกนะ เมื่อเธอคิดว่ามันไม่พอเมื่อไหร่ก็ตาม มันก็จบเห่เมื่อนั้น เขาตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเขากำหมัดแน่น ไม่ใช่แบบนั้นหรอ? ฉันหมายถึง เราต่างกันตรงไหนล่ะ? ถ้านับจำนวนคนที่เราฆ่าล่ะก็ ของเธอก็มากกว่าของฉันอยู่แล้วใช่ไหม? ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไม...แต่ฉันน่ะเป็นอาชญากรสงคราม อาชญากรสงคราม เธอรู้ไหมมันคืออะไร? คนที่ก่ออาชญากรรมในช่วงสงครามยังไงล่ะ ประเทศของฉันน่ะแพ้ให้กับมหาสงคราม และประเทศที่ชนะ – หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือประเทศพันธมิตรที่นำโดยประเทศของเธอ – ตราหน้าว่าฉันเป็น ฆาตกรที่สังหารผู้คนจำนวนมากเกินไป และพอถึงเวลาที่ฉันได้กลับไปอยู่ในเงื้อมมืออันงดงามของประเทศบ้านเกิดของฉันที่เคยชื่นชมความแข็งแกร่งของฉันมาตลอด...คำสั่งของเราก็ถูกระงับและฉันก็กลายเป็นเครื่องสังเวยที่มีชีวิต มันแปลก แปลกมากจริง ๆ แล้วมันก็ทำให้ฉันโกรธ ฉันฆ่าคนมากมายเพราะประเทศของฉันสั่งให้ฉันทำ...เพราะงั้นเธอคิดว่าฉันจะยกโทษให้พวกเขาที่อยู่ดี ๆ ก็พูดว่า การกระทำเหล่านั้นทำให้พวกเราเสื่อมเสีย’ ได้ไหมล่ะ? ฉันยกโทษให้ไม่ได้หรอก...ฉันก็แค่กินเหยื่อที่พวกเขาสั่งให้ฉันกินเท่านั้นเอง ถ้าพวกเขาให้ฉันกินของที่มันเน่าเสีย คนที่ควรถูกกล่าวหาก็ควรจะไม่ใช่ฉันสิ แต่ควรจะเป็นคนที่ยศสูงกว่าฉันใช่ไหม? ถึงอย่างนั้น ไอ้พวกคนเหล่านั้น...ก็พยายามจะตัดสินฉันก่อนที่จะวิ่งหนีไป ฉันแค่พยายามหาจุดยืนให้ตัวเองในประเทศของฉันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็เท่านั้นเอง...แต่ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ฉันก็จะถูกลงโทษ ฉันไม่ชอบโดนลงโทษ มันน่ากลัวจะตาย...นี่ มีประเทศไหนที่เธออยากไปโดยไม่ถูกระบุว่าเป็นอาชญากรไหม?

                ฉัน...เดินทางไปหลายที่เลยค่ะ แต่จนถึงตอนนี้ ฉันก็ไม่คิดว่ามีหรอกนะคะน้ำเสียงของไวโอเล็ตไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

                เอ็ดเวิร์ดยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเขาเตะใต้โต๊ะด้วยเข่าของเขา ราวกับกำลังแสดงให้เธอเห็นถึงความโกรธของเขาด้วย เสียงของกุญแจมือที่คล้องข้อเท้าของเขาส่งเสียงอีกครั้ง อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!” อีกครั้ง เขากรีดร้องเสียงดังอีกครั้ง อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

                คนเราบางทีก็พยายามที่จะควบคุมผู้อื่นด้วยการตะโกนและความรุนแรง

                ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่า...

                มันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและง่ายที่สุด

                ฉัน...ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว...

                อย่างไรก็ตาม บางครั้งวิธีนั่นก็ได้ผล และบางครั้งก็ไม่ได้ผล

                ฉัน...ทนไม่ไหวอีกแล้ว...ทุกสิ่ง...มันช่างน่ารังเกียจนะว่าไหม?

                ไวโอเล็ตไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว

                ทำไม...ถึงไม่มีใครฟังที่ฉันพูดเลย? เหมือนกับพวกเขาเป็นศพอย่างนั้นล่ะ

                ไวโอเล็ตแค่มองดูเขาด้วยดวงตาสีฟ้าที่แสนเย็นชาของเธอ และราวกับตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิต

                นี่ นี่ ไวโอเล็ต... ฉันไม่ได้ฆ่าคนโดยไม่คิดหรอกนะ ฉันมีหลายเหตุผลเลยล่ะ...เธอมีเวลาพอที่จะฟังมันไหม? มันเกี่ยวกับบ้านของฉัน...เกี่ยวกับลัทธิศาสนานั่น สาวกที่ตายไปแล้วนั่นบอกฉันว่าพวกเขาจะสังเวยชีวิตของพวกเขาให้ฉันเพื่อทำให้ฉันแข็งแกร่ง พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของฉันดีกว่าที่ต้องตายไปเสียเปล่า อะไรแบบนั้นนั่นล่ะ ฉันรู้สึกประทับใจกับความคิดของพวกเขาก็เลยพูดออกไปว่า งั้นก็พิสูจน์สิมันผิดตรงไหนกันล่ะ? แล้วมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันด้วยไม่ใช่หรอที่จะเล่นกับศพพวกนั้นที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของฉัน? มันจะมีปัญหาตรงไหนกันล่ะถ้าฉันจะเล่นด้วยการกรีดข้อมือของฉันไปด้วยน่ะ? ก็จริงที่มันทำให้พื้นสกปรก แต่ฉันก็ทำความสะอาดด้วยตัวเองได้น่า มันเป็นเรื่องของฉัน ใช่ มันเป็นเรื่องของพวกเรา ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพวกเขาจะเป็นยังไง ความจริงที่ว่าพวกเขามองว่าการตายคือการให้ประโยชน์อันสูงสุดและมันทำให้ฉันมีความสุข...ก็เป็นเรื่องของพวกเราอยู่ดี ความรักรูปแบบนี้มันมีอยู่จริง ๆ นะ แต่ไม่ว่าฉันจะถูกซ้อมยังไง พวกเขาก็จะบอกว่ามันเป็นความผิดของฉันอยู่ดี...ฉันแค่อยากให้พวกเขาฟังฉันก็เท่านั้น อ่า ฉันอิจฉาเธอชะมัดไวโอเล็ต เธอสวยอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม สวย สวยมาก...และก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนสิ่งสกปรกหรือน่าอัปยศอดสูอย่างฉันใช่ไหมล่ะ? แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า...เธอสวยนั่นแหละ...ไวโอเล็ต ฉันอยากทำร้ายเธอ อยากกดเธอลงไปแล้วก็ถอดเสื้อของเธอซะ ประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาในมือของฉัน ทำให้ร่างกายของเธอแปดเปื้อนแล้วก็เล่นสนุกกับมันซะ นี่ ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน...

                หลังจากที่พูดออกไปอย่างมากมาย เอ็ดเวิร์ดก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ดวงตาสีเฮเซลของเขาอ่อนลง และดูนุ่มนวล ถึงแม้ว่าท่าทีของเขาอาจจะทำให้ใครสักคนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไปได้ แต่เลือดที่สาดกระเซ็นอยู่บนโต๊ะก็เป็นการพิสูจน์ถึงการอาละวาดของเขา

                เธอและก็ฉัน...เราต่างกัน...ตรงไหนนะ? เขาพึมพำถาม ราวกับกำลังถามใครอีกคนระหว่างที่หันหน้าไปหาไวโอเล็ต

                เอ็ดเวิร์ดเคยพูดว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อไวโอเล็ตนั้นอธิบายได้ยาก สำหรับเขานั้น ไม่มีคำใดที่สามารถระบุความรู้สึกนั้นได้ ความอยากรู้อยากเห็น ความใคร่ ความตั้งใจที่จะฆาตกรรม และความโกรธผสมปนเปกันไปหมดจนเขาไม่สามารถเลือกได้ เหมือนกับที่ตัวเอ็ดเวิร์ดเองก็ไม่สามารถระบุลักษณะนิสัยได้

                ไวโอเล็ตหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากข้างในเสื้อแจ็คเก็ตของเธอช้า ๆ เธอเป็นผู้หญิงที่มักจะมีอะไรซักอย่างซ่อนอยู่ในตัวเสมอไม่ว่าอะไรก็ตาม เธอยื่นผ้าเช็ดหน้านั่นให้กับเอ็ดเวิร์ด

                มันไม่เจ็บหรอก

                แต่เลือดของคุณกำลังไหล

                ฉันไม่ค่อย...เข้าใจเธอนักหรอกนะ นี่ เธอเห็นว่ามันเลือดไหลเพียงแค่มองกุญแจมือพวกนี้ใช่ไหมล่ะ? แทนที่เธอจะให้ผ้าเช็ดหน้าฉัน เธอไม่เช็ดให้ฉันแทนเสียล่ะ เช็ดให้ฉันสิ

                เมื่อได้รับคำขอ ไวโอเล็ตก็วางผ้าเช็ดหน้าลงบนแขนของเขา ได้โปรดแบมือของคุณด้วยค่ะ ฉันเช็ดเลือดให้คุณไม่ได้ถ้าคุณยังกำมืออย่างนั้น

                เอ็ดเวิร์ดกำมือของเขาแรงเสียจนเล็บของเขาจิกเข้าไปในผิวหนัง ไวโอเล็ตค่อย ๆ เช็ดรอบแผลนั่น ความดื้อด้านของเอ็ดเวิร์ดจึงค่อย ๆ ลดลงไป

                นานแล้วเหมือนกันนะตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มีผู้หญิงมาสัมผัสตัวฉันเสียงของเอ็ดเวิร์ดหลุดออกมาจากปากของเขา

                ฉันไม่ใช่ผู้หญิงค่ะ

                พูดอะไรน่ะ...? เธอก็ไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกันนี่?

                ไม่ใช่ค่ะ

                ถ้าอย่างนั้นเธอเป็นอะไรล่ะ?

                เธอเงียบเมื่อได้ยินคำถามของเอ็ดเวิร์ด ไวโอเล็ตหลับตา ขนตาสีทองของเธอเปล่งประกาย เธอเงียบไปชั่วอึดใจ ราวกับไม่สามารถจัดการกับระบบความคิดของเธอได้ แม้ว่าการกระทำนั่นจะดูสวยงาม แต่สำหรับความคิดเห็นของเอ็ดเวิร์ดนั้น ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเธอล้วนแต่ดึงดูดทุกคนทั้งนั้น

                สำหรับฉัน ฉันไม่ได้เป็นเช่นนั้นค่ะ

                ถ้าคิดตามพื้นเพของเธอแล้ว นั่นคือสิ่งที่เธอเป็น

                ฉันเป็น...

                อดีตทหารหญิง

                ฉันเป็น…”

                หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม

                ฉันเป็น...

                และความสวยงามนั่นก็เหมือนกับหิมะ ที่มักจะปกปิดบางสิ่ง

                ...อะไรบางอย่าง...ที่เหมือนเศษเดนค่ะไวโอเล็ตไม่ได้ให้คำนิยามตัวเธอเองว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือแม้แต่กระทั่งคน

                เศษเดน...?

                ค่ะ ฉันไม่ได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า...ผู้หญิงเลย อย่างที่คุณเอ็ดเวิร์ดพูด ฉันฆ่าทหารมามากมาย ฉันเป็นฆาตกร เพียงแต่ชื่อที่มอบให้ฉัน...ไม่ใช่ชื่อนี้ ในความเป็นจริง ฉันเป็นคนที่สมควรอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่ต่างกัน...คือสิ่งที่คนอื่น...เรียกเราค่ะ

                เอ็ดเวิร์ดกะพริบตาสองสามครั้ง ราวกับกำลังประหลาดใจ เธอยอมรับแล้วหรอว่าเธอเป็นฆาตกร?

                มันคือความจริงค่ะ ไม่ใช่ว่า...ฉันลืมเรื่องนี้หรอกนะคะ และไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ด้วย ฉันยังมีอาวุธ...อยู่ในกระเป๋าของฉันอยู่ ถึงแม้ว่าสงครามจะจบไปแล้วก็ตาม

                นั่นน่าตกใจนะ...งั้นมันก็เป็นแบบนี้เองสินะใช่ไหม? ฉันประทับใจอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ...ที่เธอสร้างตัวตนของเธอขึ้นกลายเป็นสิ่งที่แสนน่ารักและทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในอดีตน่ะ ฉันหมายถึง เธอ...

                ดวงตากลวงโบ๋ของเอ็ดเวิร์ดจับจ้องไปที่ไวโอเล็ต และมีเพียงเธอที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา – ผมสีทอง ดวงตาสีฟ้าที่ใสเสียยิ่งกว่าน้ำทะเล และริมฝีปากสีกุหลาบ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เธอก็ดูเหมือนเกิดมาจากความรักของพระเจ้าจริง ๆ

                เธอ...เป็นคนที่สวยมากจริง ๆ

                เมื่อเขาเอ่ยประโยคนั้น ไวโอเล็ตก็ยิ้มให้เขาจาง ๆ เป็นครั้งแรก มันเป็นรอยยิ้มที่ตึงเครียดเสียจนอาจจะทำให้เกิดเสียงได้ถ้ามันเหยียดออก คนส่วนใหญ่คงจะเห็นแค่...สิ่งที่ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่มีเขาก็ตามค่ะ

                มือของไวโอเล็ตที่จับมือของเอ็ดเวิร์ดนั้นช่างอบอุ่น แต่คำพูดของเธอกลับเยือกเย็นมากเหลือเกิน และก่อให้เกิดความเงียบระหว่างพวกเขา

                มันคงจะดีกว่าถ้าความรู้สึกชา ๆ ที่ฉันรู้สึกในตอนนี้สื่อไปถึงคุณได้...

                เลือดเปื้อนผ้าเช็ดหน้าของเธอมากขึ้นเพราะเอ็ดเวิร์ดจับมือของไวโอเล็ตแน่นกว่าเดิม

                นี่สายตาที่เขามองไวโอเล็ตนั่นลุกโชนด้วยความเร่าร้อน เธอคิดยังไงเกี่ยวกับการฆ่าน่ะ?

                ฉันได้เรียนรู้ในภายหลังว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรทำค่ะ

                แล้วเธอรู้สึกยังไงตอนที่เธอฆ่าพวกเขา?

                มัน...ทำให้ฉันอยากหลับตาค่ะ

                เธอคิดว่า...เธอเป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่น ๆ ไหม?

                ไม่ค่ะ

                ถึงเธอจะคิดว่าตัวเองพิเศษน่ะหรอ?

                เปล่าค่ะ ฉันคิดว่าฉันเป็นอะไรสักอย่างที่น่ากลัวค่ะ

                เธอมีความสุขไหมที่สงครามจบลง?

                ฉันรู้สึกประสบความสำเร็จค่ะเพราะฉันทำภารกิจสำเร็จลุล่วง

                เธอมีความสุขไหมตอนที่สงครามเริ่มขึ้น?

                ไม่ค่ะ

                แต่สนามรบก็ร้องเรียกหาเธอใช่ไหมล่ะ?

                ฉันจะไม่...กลับไปเป็นทหาร...อีกแล้วค่ะ

                ทำไมล่ะ? ถึงเธอจะไม่อยาก แต่ประเทศของเธอก็คงไม่ยอมหรอกนะ แล้วก็ มันแปลกชะมัดที่เธอไม่ยอมเข้าร่วม บางทีผู้มีอำนาจอาจจะหนุนหลังเธอก็ได้นะ เธอเล่น ละครแบบนี้ต่อไปได้อีกไม่นานหรอกหน่า

                ถ้าเขาอยากให้ฉันเข้าร่วม ฉันก็จะกลับไปค่ะ ที่ฉันทำงานอยู่ตอนนี้ก็เพราะฉันได้รับคำสั่งให้ทำ

                “’คำสั่ง หรอ?

                ค่ะ

                จากผู้ชายคนนั้น...ที่อยู่ข้าง ๆ เธอตลอดเวลาใช่ไหม?

                ค่ะ

                อย่างนั้นหรอกหรอ? น่าสมเพชชะมัด นี่ จนถึงตอนนี้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดหรอ?

                ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจความเจ็บปวดนั้นเท่าไหร่ค่ะ

                งั้น อะไรคือสิ่งที่เศร้าที่สุดสำหรับเธอล่ะ?

                ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจสิ่งนี้เหมือนกันค่ะ

                เธอมีคนที่เธอเกลียดไหม?

                ฉันยัง...ไม่เข้าใจความเกลียดดีนักค่ะ

                คนที่เธอรักล่ะ?

                ฉันไม่...เข้าใจความรู้สึกรักดีเหมือนกันค่ะ

                เธอมีความรู้สึกหรือเปล่า?

                ฉันไม่รู้ค่ะ

                เธอมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันล่ะ?

                ตั้งแต่ที่ฉันเกิดมา เป้าหมายของฉันที่เหลืออยู่คือมีชีวิตอยู่จนกระทั่งฉันตายค่ะ

                ถึงแม้ว่าเธออยากจะตายน่ะหรอ?

                เปล่าค่ะ

                นี่ เธอจะทำยังไงถ้าฉันบอกเธอไม่ให้พกอาวุธพวกนั้นอีกต่อไปแล้วน่ะ?

                ฉันจะไม่ยอมรับคำสั่งนั้นค่ะ

                เธอชอบอาวุธหรอ?

                ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นค่ะ

                เธอชอบทำร้ายผู้อื่นหรอ?

                ไม่ค่ะ...แต่บางที...อาจจะเป็นอย่างนั้น

                เธอนี่...ร้ายกาจชะมัดเลยนะว่าไหม?

                มีเพียงแค่คำถามนั้นเท่านั้นที่ถูกตอบหลังจากที่ไวโอเล็ตกัดริมฝีปากของเธอ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นค่ะ

                เอ็ดเวิร์ดไม่สามารถห้ามรอยยิ้มของเขาได้ ฉันจะทำยังไงดี?เขาพึมพำ ฉันจะทำยังไงดีไวโอเล็ต?

                มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณเอ็ดเวิร์ด?

                ฉันคงจะ...ตกหลุมรักเธออย่างหัวปักหัวปำเชียวล่ะ

                ไม่ใช่ว่าคุณเข้าใจผิดไปเองหรือคะ?

                เข้าใจผิดเรื่องอะไร?

                เพราะว่าฉันและคุณเอ็ดเวิร์ด...เหมือนกัน คุณก็เลยพยายามวิเคราะห์ฉันและพยายามจำความรู้สึกที่คุ้นเคยนั่นเฉย ๆ ค่ะ

                เราไม่เหมือนกันหรอกนะ ฉันหาความสนุกด้วยการฆ่า แต่เธอไม่ใช่ใช่ไหม? เธอก็รู้ เธอ...เหมือนกับเครื่องจักรเลย ออโต้เมมโมรี่ดอลล์น่ะไม่ใช่ชื่อที่สมบูรณ์แบบสำหรับเธอหรอกใช่ไหม? ตุ๊กตาชั่วร้ายที่สวยที่สุดในโลก แต่ฉัน...เป็นอดีตฆาตกรที่สังหารผู้คนด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่คนที่งดงามเหมือนอย่างเธอหรอก

                แต่ฉัน...ลมหายใจของเธอหยุดชะงักไปชั่วขณะ จะไม่ลังเลที่จะฆ่าเลยนะคะ ถ้าฉันได้รับคำสั่งคำพูดของเธอไม่ได้ลวงหลอกหรือถูกปั้นแต่งขึ้น ฉันจะฆ่าอย่างไม่ลังเลเลย ถ้า เจ้านาย ของฉันสั่ง ฉันเชื่อว่าเราคล้ายกันในหลาย ๆ อย่าง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม...คุณ...ถึงเรียกฉัน ใช่ไหมคะ? ฉันเหมือนกับคุณ คุณก็เลยอยากเห็นใครอีกคนที่เหมือนกับตัวคุณเองแต่เดินในเส้นทางที่แตกต่างจากคุณ อย่างนั้นใช่ไหมคะ? คุณเอ็ดเวิร์ด...ฉันคิดว่า...คุณกำลังทำสิ่งที่น่าเศร้า...โดยใช้ฉันเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของคุณค่ะ

                เอ็ดเวิร์ดส่ายหัวให้กับคำพูดของไวโอเล็ต แก้มที่เคยซีดของเขากำลังแดงขึ้น และตาของเขาก็เบิกกว้าง ฉันไม่ได้เสียใจดวงตาที่มืดมิดของเขาฉายแววแรงกล้า ฉันไม่เคย...เสียใจ ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน!” เขาหัวเราะเสียงแหลม และทุบเข่าของเขา มันเป็นอย่างนี้เองสินะใช่ไหม? เธออยู่ใกล้ตัวฉันมากกว่าที่ฉันคิดเสมอ แม้กระทั่งตอนนี้ ฉันเข้าใจล่ะ เข้าใจล่ะ...อ่า นี่มันอะไรกัน? ขอโทษแล้วกันนะที่ทำให้เธอรำคาญใจ พระเจ้า...เธอนี่วิเศษจริง ๆ ยอดเยี่ยมมาก ไวโอเล็ต สิ่งนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วล่ะ เวลาที่ฉันใช้มันเพื่อคุยกับเธอมันช่างเลิศเลอเสียจริง เป็นช่วงเวลาที่เยี่ยมยอดจริง ๆ เราควรจะได้เจอกันอีกครั้งเร็ว ๆ นี้นะ และก็ไม่ใช่...ในป้อมปราการที่เป็นหินแบบนี้ แต่ต้องเป็นที่ที่เหมาะสมกับเราสองคน

                ไม่ค่ะ ที่แห่งนี้...เหมาะสมกับเราแล้วค่ะ

                อย่างนั้นหรอ?

                ค่ะ...แต่ตอนนี้ คุณเอ็ดเวิร์ดคะ ดูเหมือนเวลาของเราจะหมดแล้วค่ะ คุณอยากจะเขียนจดหมายให้ใครคะ? ให้เราได้เขียนให้คุณเถอะค่ะ โปรดอนุญาตให้ฉันได้ทำหน้าที่ของฉัน ฉันมาที่นี่...เพราะว่าคุณต้องการค่ะ

                นั่นไม่ได้ปลุกความกระตือรือร้นของเอ็ดเวิร์ดเลยสักนิด เขาเพียงแค่มองไวโอเล็ตที่จับปากกาและกระดาษด้วยความไม่พอใจเท่านั้น นี่ ฉันขอจับแขนเทียมของเธอได้ไหม?

                ฉันไม่สามารถยอมรับคำขอนั้นได้ค่ะ

                ใจแคบจังนะ... มันจะโอเคไหมถ้าฉันขอให้ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สักอย่างน่ะ?

                ไม่เคยมีใครในคุกนี้ทำเลยหรอคะ?

                คำถามที่ดูเหมือนพยายามจะโน้มน้าวเขา เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้าเหมือนเด็ก ๆ พร้อมกับยิ้มอย่างไร้เดียงสา ช่าย เนื่องจาก มีความเป็นไปได้ที่ว่า...นักโทษที่ต้องโทษประหารจะสามารถขออะไรที่เห็นแก่ตัวได้สักอย่างก่อนที่พวกเขาจะตายน่ะสิ

                เมื่ได้ยินเช่นนั้น ไวโอเล็ตหลับตา จากนั้นจึงลืมตามองดูนิ้วที่จับปากกาของเธออีกครั้ง ค่ะ ใช่แล้วเสียงของเธอเหมือนกับตอนที่เธอเคยตอบเชสเซอร์ คุณเอ็ดเวิร์ดคะ ฉันถามคุณอีกครั้งค่ะ

                อ่า โทษที ฉันเมินคำถามของเธอไปใช่ไหม?

                ค่ะ คุณอยากส่งจดหมายนี้ให้ใครคะ และคุณอยากเขียนเรื่องอะไรคะ?

                ฉันไม่อยากให้ใครได้ยินว่าฉันจะส่งจดหมายไปให้ใคร เพราะงั้นฉันจะกระซิบล่ะนะ ฉันจะส่งมันให้...แค่คนนี้เท่านั้น คนที่ฉันอยากจะฆ่ามากจริง ๆ แต่ฉันทำไม่ได้เอ็ดเวิร์ดชี้นิ้วขึ้นไปบนเพดาน ให้กับพระเจ้า

                เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไวโอเล็ตไม่ได้ตอบว่าจดหมายนี้ส่งไปยังสถานที่นั้นไม่ได้ แต่เธอมองไปที่ที่เอ็ดเวิร์ดชี้และกะพริบตาราวกับว่ามันสว่างเกินไป เมื่อเธอทำเช่นนั้น เอ็ดเวิร์ดจึงขยับหน้าของเขาเข้าไปใกล้ ๆ หูของเธอ

                ...เขียนให้เขาว่ามีเพียงแค่ไวโอเล็ตได้ยินคำพูดของเขาเท่านั้น หลังจากที่เขากระซิบบอก เขาก็จุมพิตลงบนขมับของเธอ ลาก่อน ไวโอเล็ต

                ราวกับเวลาได้ถูกจับอย่างแม่นยำ เสียงกริ่งที่เป็นจุดสิ้นสุดของระยะเวลาในการเยี่ยมดังขึ้น ไวโอเล็ตออกจากพร้อมกับจดหมายที่ถูกปิดผนึกในมือ เธอก้มหัวให้กับเจ้าหน้าที่ที่ถามถึงความปลอดภัยของเธอและถามว่าทุกอย่างโอเคหรือไม่ เชสเซอร์คิดว่าการที่สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่ที่เธอเข้าห้องไป ช่างดูเหมือนกับสิ่งประดิษฐ์เหลือเกิน และมันก็ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

                เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่พวกเธอสองคนเดินไปด้วยกันรอบ ๆ คุก พวกเธอขึ้นบันไดที่ยาวเหยียดราวกับทางขึ้นสวรรค์ และออกมาข้างนอกด้วยกัน ไวโอเล็ตไม่ได้ยินสิ่งที่เชสเซอร์พูด แต่ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธข้อเสนอ สุดท้ายเธอก็พาเธอไปยังประตูหลักที่เป็นทางออกอยู่ดี

                บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหิมะกำลังตก รอยเท้าที่ไวโอเล็ตเคยทิ้งไว้ก็ไม่อยู่อีกต่อไป และเส้นทางใหม่ที่มีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นมาใหม่เสียแทน หิมะกลบทุก ๆ อย่างจริง ๆ ทั้งกลิ่น เสียง และทุกอย่างที่ขวางทางมัน

                ไวโอเล็ต

                เมื่อเธอกำลังจะเข้าไปยังรถขนส่งที่ถูกเตรียมการโดยผู้อำนวยการเรือนจำ ไวโอเล็ตก็หันกลับมาเมื่อถูกเรียกโดยเชสเซอร์

                เธอ...จะไปที่ไหนเหรอ?

                ฉันจะกลับไปบริษัทของฉันสักพักค่ะ มันเป็น...บ้านของฉัน

                อย่างนั้นเหรอ...?นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากถามจริง ๆ หรอก นี่ เธอจะส่งจดหมายของไอ้โรคจิตนั่นให้ใครเหรอ?

                ไวโอเล็ตเอ่ยออกมาพร้อมกับไอสีขาว ฉันไม่สามารถพูดเรื่องของลูกค้าฉันได้ค่ะ

                ฉันได้ยินทุกอย่างเลย ตอนที่เธออยู่ในนั้น ฉันฟังบทสนทนาของเธอจากอีกห้องหนึ่ง มันเป็นหน้าที่ของฉันในวันนี้ นี่ เธอส่งมัน...ให้พระเจ้าไม่ได้หรอกนะ โยนมันทิ้งไปเถอะ...จดหมายของไอ้สารเลวนั่นน่ะ

                ไม่ค่ะไวโอเล็ตส่ายหัว เขาเป็นคนที่ฉันเองก็อยากเจออีกครั้งเหมือนกัน

                วิธีที่ไวโอเล็ตจับกระเป๋าของเธอที่มีจดหมายอยู่ในนั้นแน่นทำให้เชสเซอร์รู้สึกมีอะไรกำลังแทงอกของเธอ

                ––ด้วยเหตุผลบางอย่าง...เหตุผลบางอย่าง เธออยากจะคุยกับผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน หล่อน...แตกต่างจากเธอ หล่อนโคตรจะสวยและก็ลึกลับมากด้วย แน่นอนว่าหล่อนก็มีด้านบางอย่างที่ดูน่ากลัวเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น...

                พระเจ้าที่เธอกับเขาอยากเจอน่ะ...แตกต่างกันนะ

                เมื่อมองดูใกล้ ๆ แล้ว ไวโอเล็ตก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับผู้ใหญ่เท่านั้น เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิง ที่โตกว่าลูกของเชสเซอร์นิดหน่อยเท่านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะสร้างความประทับใจในฐานะ ผู้หญิงก็ตาม แต่ในตอนนี้ เธอที่ยืนอยู่ใต้หิมะที่หนาวจัดช่างดูตัวเล็กเหลือเกิน

                อย่างนั้นหรือคะ?

                ใช่ นั่น...เป็นสิ่งที่ฉันคิดนะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรของเธอเลย แต่เธอ...เป็นผู้หญิงที่เอาแต่มองฉันอย่างน่ารำคาญเพื่อที่ฉันจะไม่ลื่นล้มอีกครั้ง ฉันเป็นคนที่...ที่คิดว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรตราบใดที่ผู้คนที่ฉันแคร์ปลอดภัย...เมื่อ...ถึงเวลาที่ฉันจะได้พบพระเจ้า...ฉันจะพบเขาเป็นคนแรกแน่นอนอยู่แล้วล่ะ และถ้ามันไม่เป็นไรถ้าฉันจะบ่นถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นล่ะก็...ฉันก็จะบอกเขาอย่างแน่นอน...ว่าเธอแคร์ฉัน ว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดี เพราะฉะนั้นเขาจะได้ไม่ลืมเธอยังไงล่ะ ฉันจะบอกเขาอย่างแน่นอนเชสเซอร์เอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิใจ และยืดอกขึ้น

                ไวโอเล็ตจะยิ้มหรือจะทำเพียงแค่พยักหน้าเงียบ ๆ เท่านั้นนะ? แต่ผลออกมากลับเป็นว่าไม่ใช่ทั้งสอง

                เชสเซอร์...มันเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ที่เธอแสดงออกมาคล้ายกับทารกที่กำลังหัวเราะเมื่อพบแม่ของเธอ ขอบคุณค่ะเสียงของเธอช่างดูเด็กเหลือเกิน

                ไวโอเล็ต...

                หลังจากที่ยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยและถอนสายบัว ไวโอเล็ตก็หันหลังกลับไป กระโดดขึ้นบนรถม้าและปิดประตู

                เชสเซอร์เรียกเธอ พร้อมกับคำบอกลา มันดังกึกก้องอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะ ไวโอเล็ต!”

                รถม้านั้นวิ่งห่างไกลออกไปจนแทบมองไม่เห็น และถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะที่ร่วงโรยลงมา

                ไวโอเล็ต! ฉันจะขอให้เธอเขียนจดหมายให้ฉันสักวันนะ! นี่ เธอต้องทำงานจนถึงวันนั้นล่ะ!”

                เชสเซอร์ยังคงไม่เดินออกไปจากตรงนั้นถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นรถม้าแล้วก็ตาม คำพูดที่ใจของเธออยากจะพูดนั้นถูกฝังไปพร้อมกับหิมะ โลกที่อยู่ในรถม้านั่นที่เชสเซอร์เฝ้ามองหายไปพร้อมกับความสวยงาม

                ในรถม้านั่น ไวโอเล็ตปัดหิมะที่หล่นลงบนศีรษะของเธอ และมันก็ละลายอยู่ในมือของเธอ

                ผู้พัน...เธอเรียกหาคนที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ผู้พัน...

                ฉันอยากเจอคุณ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ? แต่เธอก็ไม่ได้กระซิบคำพูดนั้นออกมา

                ได้โปรดออกคำสั่งกับฉันทีนั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากกกว่าสิ่งใดในโลกใบนี้

                ตุ๊กตาตนนั้นหยุดมองทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่าง เธอหลับตา พร้อมกับจมลงในความคิดของเธอ เธอได้ยินเสียงที่อยู่ห่างไกลออกไป เสียงที่กำลังคะนึงถึงสนามรบ

     

     

     

     

     















    /

    ตอนนี้เป็นตอนที่ไม่มีในอนิเมะค่ะ เพราะว่าในอนิเมะ
    จะเฉลยมาตั้งแต่แรกเลยว่าไวโอเล็ตเป็นใคร 
    แต่ในนิยายจะค่อยๆเฉลยไปเรื่อยๆ
    จนถึงตอนนี้ที่คนอ่านจะเริ่มรู้ว่านางเป็นใคร
    เราว่าตอนนี้เป็นตอนที่ดีมากเลยค่ะ เหมือนเป็นตอนที่
    ไวโอเล็ตจะเริ่มรู้ตัวว่าสิ่งที่ตนทำไปก็ไม่ต่างจากฆาตกรคนหนึ่งเลย
    และมันก็จะเป็นเหมือนกับบาปที่ไวโอเล็ตเพิ่งจะมารู้สึกผิดในตอนหลัง
    เช่นเดียวกับเรื่องหิมะในตอนแรกที่พูดถึง ตามที่เราเข้าใจคือ
    ถึงเราจะพยายามปกปิดสิ่งที่เราทำไปแล้วยังไง
    แต่สิ่งที่เราทำไปนั้นมันก็จะยังติดเป็นตราบาปในใจเราอยู่ดี
    ตอนหน้าก็จะเริ่มเป็นตอนของผู้พันเขาแล้วนะคะ
    เราจะได้รู้สึกทีว่าผู้พันเขารู้สึกยังไงกับเรื่องนี้











    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×