หอนาฬิกาแห่งความตาย - หอนาฬิกาแห่งความตาย นิยาย หอนาฬิกาแห่งความตาย : Dek-D.com - Writer

    หอนาฬิกาแห่งความตาย

    ปริศนาตัวเลขในเรื่องคืออะไรกัน ไปหาคำตอบได้นะบัดนาว

    ผู้เข้าชมรวม

    551

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    551

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ม.ค. 50 / 11:30 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       หอนาฬิกาแห่งความตาย

              เสียงเพลง ประสาน ขับกล่อมกันอย่างไพเราะท่ามกลางไฟสลัวสีนวลในห้องอันโอ่โถงที่ปูพรมแดงเป็นทางยาว  ชุดราตรีหลากสีสันพร้อมเครื่องประดับแวววับจับประกายเคลื่อนที่ตามจังหวะของเสียงเพลง

              เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง อายุราว 10 ปี เธอชื่อ น้ำใส ครอบครัวมีฐานะร่ำรวย เมื่อมีการจัดงานใหญ่ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่พลาด เช่นเดียวกับงานนี้  ที่คุณพ่อคุณแม่พาน้ำใสมาด้วย ในระหว่างความสนุกสนาน อยู่ๆน้ำใสก็เกิดร้องกรี๊ดลั่น ลิ้นไก่สั่นขึ้นมา ทุกสิ่งหยุดชะงักแม้แต่ลมหายใจด้วยความตกใจในเสียงร้อง สายตานับร้อยคู่จับจ้องมายังเด็กน้อยผู้นี้ 

       เธอเป็นอะไรไป! คงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของใครหลายๆคนรวมทั้ง เดช ผู้ดูแลความปลอดภัยประจำครอบครัวของน้ำใส และเป็นอดีตนักสืบชื่อดัง แต่เพราะเหตุผลบางประการทำให้เดชต้องเลิกไป

               ในงานเลี้ยงนี้ เดชก็ร่วมอยู่ด้วยทันทีที่ได้ยินเสียง สัญชาตญาณของบอร์ดี้การ์ดก็สั่งให้เดช รีบเดินตรงไปหาเสียงนั้น

               "เอาล่ะ...ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และอย่าเพิ่งออกจากบริเวณงานเป็นอันขาด"

      ไฟหลายสิบดวงเปิดสว่างขึ้นพร้อมกันเหมือนจะรู้หน้าที่ เดชเหลือบไปเห็นเศรษฐีนีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้านายของเขาเองหรือมีศักดิ์เป็นแม่ของน้ำใส นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ยังไม่มีใครกล้าที่จะตัดสินใจว่า นี่คือร่างที่ไร้สติหรือไร้วิญญาณกันแน่

                นิ้วชี้ที่ดูเข้มแข็งยื่นเข้ามาแตะที่ปลายจมูกของร่างเจ้านาย ลมหายใจที่แผ่วเบาออกมาทางรูจมูก ไม่นานก็หยุดไป  "เจ้านายจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วครับ

      คุณหนู" เดชบอกกับน้ำใสและเป็นคำพูดแรกที่เดชแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเพราะคนที่นอนอยู่ข้างหน้าเขาคือคนที่มีพระคุณ และเดชก็รู้สึกผูกพัน  น้ำตาแห่งความรัก

      ความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูกหยดไหลบนใบหน้าของน้ำใส ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย

      ช่วยเหลือ ประสานงานกันอย่างวุ่นวาย ผู้คนที่มาร่วมงานต่างถูกสอบสวนแต่ยังไม่มีใคร

      น่าสงสัย ด้วยสถานการณเช่นนี้ทำให้ เดชต้องรีบคิดและเลือกที่จะตัดสินใจว่าเขาจะกลับไปเป็นนักสืบแบบในอดีตหรือไม่ แต่ด้วยอดีตที่เลวร้ายทำให้เดชลำบากใจ ยากที่จะทำ เพราะการเป็นนักสืบของเขา เคยทำให้ใครต่อใครที่เกี่ยวข้องต้องจบชีวิตลง

      ใจของเดชกำลังว้าวุ่นและรุ่มร้อนดั่งเปลวไฟ

      "ทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้" เดชถามใจตัวเอง และแล้วเดชก็เลือกที่จะปล่อยเรื่องราวในอดีตไปกับกาลเวลาเพื่อรักษาสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ให้สูญเสียไปอีก

                  เดชเริ่มลองถามจากคุณหนูน้ำใสต้นตอของเสียง "คุณหนูกรี๊ดขึ้นมาทำไมครับ ?" "เห็นอะไรรึเปล่า ?" "เกิดอะไรขึ้นบ้างครับ ?" (นักสืบเดชถามคำถามเป็นชุด)

      "คนร้ายค่ะ...คนร้ายมันเอาสร้อยเพชรของคุณแม่ไปแล้ว!"

      "คุณหนูพอจะเห็นหน้าบ้างไหมครับ ?"

      "ไม่เห็นค่ะ ไฟมันสว่างน้อย หนูไม่ทันตั้งตัว แล้วคนร้ายก็ใส่หน้ากากเหมือนทุกคนในงาน" น้ำใสพูดตามประสาเด็ก

      เดชวิ่งตรงไปที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิด เสียงฝีเท้าก้าวรัวถี่ๆ รองเท้ากระทบกับพื้นดัง

      ปึงปัง

      "ดูเหมือนกล้องวงจรปิด สี่ ห้า ตัวจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นอย่างคำกล่าวของคุณหนูจริงๆ มีแต่คนใส่หน้ากากแฟนซี หลากลาย หลากสีสัน หลากรูปแบบ" เดชพึมพำกับตัวเอง

      เมื่อแทบจะจนหนทาง เดชครุ่นคิดอยู่นาน(เสร็จคดีนี้คงมีผมหงอกเพิ่มขึ้นอีกหลายเส้น)

      "เอ๊ะ!ยังมีบางอย่างที่เราลืม"

      "ทำไมเจ้านายถึงตายไปได้..." เดชวิ่งเหงื่อตกไปสำรวจที่เกิดเหตุเละผู้ตายทันที

      คนที่เราห่วงและหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ยังคงเป็นปรัชญาประจำใจของเดชเสมอ

      จากการดูที่เกิดเหตุการณ์

      "นี่คนร้ายเป็นนินจารึไงกัน ? แทบจะไม่มีร่องรอยเลย"

      "อืม...พบแต่ร่องรอยเหมือนถูกขูดสีแดงที่คอต้องเป็นรอยที่ถูกกระชากสร้อยแน่ๆ แล้วที่หลังยังมีรอยถูกอาวุธมีคมแทงอีก"

      "ใช่แล้ว...ด้วยความตื่นเต้นและตกใจต้องทำให้โรคหัวใจหวั่นไหวของเจ้านายกำเริบ

      จนช็อกไปแล้วทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงตายไปแน่ๆ"

      "คดีนี้คงเป็นการฆ่าชิงทรัพย์สินะ"

      สวรรค์และปาฏิหาริย์ยังเข้าข้างเดชอยู่ ตาคู่หนึ่งดันไปเห็น  รหัสที่ดูเหมือนจะเป็นปริศนาติดอยู่ที่แขนเสื้อของผู้ตาย

      "36912....ต้องเป็นสิ่งที่คนร้ายทิ้งไว้แน่ๆ แต่มันคืออะไร?"

      ผ่านไป 15 นาทีแล้ว..30นาทีแล้ว..1ชั่วโมงแล้ว

      "อะไรกันยังคิดไม่ออกอีกหรือเนี่ย"

      จนกระทั่งมีเสียง ติ๊งๆๆ มันคือเสียงของนาฬิกาคุณปู่ เดชหันไปมองนาฬิกาที่หน้าปัดมีแต่เลข 3 6 9 12

      "คิดออกแล้ว" เดชเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหลังใช้เวลาอยู่นานในการคิด

      "เลขของนาฬิกาทั้ง 4 ทิศ ต้องการจะสื่อถึงอะไร?"

      "นาฬิกา....นาฬิกา....ต้องเป็นที่หอนาฬิกาแห่งความตายที่โด่งดังในเมืองนี้แน่

      สถานที่กล่าวขานกันทั่วโลกถึงความน่ากลัว" เดชพูดกับตัวเอง

      "แสดงว่านี่ไม่ใช่แค่การฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา คนร้ายคงมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่"

      "จากที่นี่ไปคงไม่ไกลนัก" นักสืบผู้กล้าหาญไม่รอช้ารีบขับรถคู่ใจไปทันที

      ระหว่างทางมีโทรศัพท์ลึกลับดังขึ้นอยู่หลายครั้งหลายคราว ด้วยความรำคาญ

      เดชรีบรับโทรศัพท์  เมื่อโทรศัพท์แนบหู มีเพียงเสียงโหด แหบ อำมหิตกล่าวขึ้น

      "คุณต้องมาให้เร็วที่สุดก่อนที่ผมจะเชือดไก่ให้ลิงดู" จากความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้นเป็น 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทันทีหลังวางสาย

      ฝุ่นข้างทางกระจายไม่เหลือชิ้นดีจนกระจกขุ่นมัวไปหมด

      ทันทีที่ก้าวย่างเข้าไปในหอนาฬิกา บรรยากาศก็เป็นใจให้ขนของเดชตั้งขึ้นเป็นเกรียว

      ปัง ปัง เสียงปืนดังไปทั่วละแวก  นกบินแตกรังเป็นฝูง

      "เสียงปืนดังมาจากข้างบน"  ต่อไปนี้คงเป็นฉากของการไล่ล่า

      เดชวิ่งฝ่าความมืดขึ้นไปทางบันไดวน เสียงหายใจหอบๆดังก้องกังวาน

      กว่าสิบชั้นที่วิ่งขึ้นมาในความมืด เดชเห็นแสงไฟในทางข้างหน้า มันช่างเปรียบเสมือนกับการที่คนเห็นหนทางสู่ความสำเร็จ

      "ถึงสักที"  ความอ่อนล้าสามารถบั่นทอนแรงกำลังไปได้มากเลยทีเดียว

      แปะ แปะ แปะ แปะ  เสียงปรบมือดังขึ้น

      เดชเดินเข้าไปหาคนร้ายและประจันหน้ากัน

      "เก่งมากที่คุณสามารถถอดรหัสของผมได้ แหม...ปัญญาของคุณมันยัง...ไม่เปลี่ยนเลยนะ"

      "ยังดีที่คุณมาทันเวลา ไม่อย่างงั้นเหยื่อรายต่อไปในอีก 10 วินาทีอาจไม่รอด"

       "คุณต้องการอะไร" เดชถามตามระเบียบ

      "เห็นคุณตายไงล่ะ" "ยังจำได้ใช่ไหมลูกของผมต้องตายเพราะใคร" เหตุการณ์ครั้งเก่ายังคงฝังอยู่ในจิตใจ เมื่อเอ่ยขึ้นครั้งใดเป็นต้องแค้นและโมโห  

      "คุณนี่มัน....ตู๊ดๆๆ จริงๆ(คำไม่สุภาพ) ชายภายใต้หน้ากากหนังพร้อมผ้าคลุมสีดำและรอยสักรูปเสือแต่ขนาดเท่าช้างที่ดูน่าเกรงขามยืนตากลมผ้าปลิวไสวที่ชั้นยอดสุดริมหน้าต่างพูดด่าทอเดชอย่างใส่อารมณ์

      "คุณนี่เอง...แต่ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดกับคุณ"

      "ขอร้องเถอะอย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกเลย คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรเลย"

      "ได้...แต่ว่าคุณคงต้องตอบคำถามของผมให้ถูกก่อน ถ้าผิดต้องยอมสละชีวิต

      เพื่อสังเวยให้วิญญาณของลูกผม! แล้วถ้าถูกผมจะยอมทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากได้"

      ชายชุดดำเสนอข้อตกลงที่ดูงี่เง่า แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อความตายเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เพื่อแลกกับชีวิตของใครหลายคนให้ปลอดภัย (เดชลังเลคิดอยู่นาน)

      "ตกลง ผมยอมรับในเงื่อนไข...ว่ามาเลย"

      "หึ..คำถามไม่ยากหรอก"  "คำถามก็คือ 040905"  

      "แต่ผมไม่ใช่คนที่ใจร้ายอยากเห็นคนตายเล่นๆอย่างเดียวหรอกนะ"

      "เอาเป็นว่า 040905 อยู่ในจำนวน 26  "

      "ขอเวลาคิดสักนิด" (เอาอีกแล้วหาเรื่องเครียดอีกแล้ว)

      "ตามสบาย" ชายชุดดำแสดงสีหน้าชื่นบาน

      ขึ้นมาราวกับจะรู้ชะตากรรมของเดชดี

      "ผมให้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น"

      เดชกังวลในใจ ...อะไรกันนี่เราห่วยแตกขนานนี้เลยหรือ แม้กระทั่งการช่วยเหลือไม่ให้มีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและช่วยเอาสร้อยเพชรของเจ้านายคืนมายังทำไม่ได้

      หยาดน้ำตาไหลอออกมาด้วยความรู้สึกผิด

      5...4...3...2...1  ติ๊งๆๆๆ  เสียงนาฬิกาดังขึ้นเป็นสัญญาณแห่งความตาย

      "เป็นอีกครั้งที่ฉันทำไม่สำเร็จ" เดชพูดอย่างท้อใจ

      เมื่อพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ ตามข้อตกลงที่สัญญากันไว้

      คำถามของชายชุดดำผู้นั้นยังคงเป็นปริศนาที่ไม่เคยล่วงรู้ได้เลย       

              ร่างของเดชถูกแขวนติดกับเฟืองนาฬิกาห้อยไปห้อยมา คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ไหลหยดจากตัวของเขา เมื่อใดที่เฟืองนาฬิกายังคงหมุนไปร่างของเดชก็ยังคงถูกบดขยี้ไม่มีวันหยุดเช่นกัน

               ปิดฉากอดีตนักสืบชื่อดังผู้หวังจะช่วยเหลือมวลมนุษย์

      บอร์ดี้การ์ดผู้จงรักภักดี เรื่องราวผ่านมานานนับปีก็ยังไม่มีใครค้นพบเจอชายชุดดำ

      แล้วสร้อยเพชรจะหายไปไหน? คำตอบปริศนาของชายชุดดำผู้นั้น คืออะไร?  ทุกเรื่องราวยังคงเป็นที่กล่าวขวัญ ล่ำลือกันไปทั่ว อย่างไรก็ตามยังมีผู้คนอีกมากมายที่ร่วมกันยกย่องวีรบุรุษผู้ล่วงลับ ยอมทำทุกอย่างแม้ต้องแลกกับ ชีวิต

                    วีรกรรม(เวร)ของเดชเป็นที่ยกย่องจนมีผู้สร้างอนุสรณ์สถานให้ไว้อาลัยที่ข้างหอนาฬิกาแห่งความตาย

                    อาจเป็นเพราะอาถรรพ์หรือความบังเอิญที่ทำให้ผู้ใดก็ตามที่ได้เข้ามาเยือนที่

      หอนาฬิกาแห่งนี้มีอันต้องเสียชีวิตลงทุกราย ผู้คนจึงขนานนามกันว่า

      หอนาฬิกาแห่งความตาย

      แต่ความตายเป็นสัจธรรมที่ไม่เคยมีผู้ใดหนีพ้นแม้แต่ซูเปอร์แมนก็ตาม



      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×