หอนาฬิกาแห่งความตาย
ปริศนาตัวเลขในเรื่องคืออะไรกัน ไปหาคำตอบได้นะบัดนาว
ผู้เข้าชมรวม
551
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
หอนาฬิกาแห่งความตาย
เสียงเพลง ประสาน ขับกล่อมกันอย่างไพเราะท่ามกลางไฟสลัวสีนวลในห้องอันโอ่โถงที่ปูพรมแดงเป็นทางยาว ชุดราตรีหลากสีสันพร้อมเครื่องประดับแวววับจับประกายเคลื่อนที่ตามจังหวะของเสียงเพลง
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง อายุราว 10 ปี เธอชื่อ น้ำใส ครอบครัวมีฐานะร่ำรวย เมื่อมีการจัดงานใหญ่ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่พลาด เช่นเดียวกับงานนี้ ที่คุณพ่อคุณแม่พาน้ำใสมาด้วย ในระหว่างความสนุกสนาน อยู่ๆน้ำใสก็เกิดร้องกรี๊ดลั่น ลิ้นไก่สั่นขึ้นมา ทุกสิ่งหยุดชะงักแม้แต่ลมหายใจด้วยความตกใจในเสียงร้อง สายตานับร้อยคู่จับจ้องมายังเด็กน้อยผู้นี้
เธอเป็นอะไรไป! คงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของใครหลายๆคนรวมทั้ง เดช ผู้ดูแลความปลอดภัยประจำครอบครัวของน้ำใส และเป็นอดีตนักสืบชื่อดัง แต่เพราะเหตุผลบางประการทำให้เดชต้องเลิกไป
ในงานเลี้ยงนี้ เดชก็ร่วมอยู่ด้วยทันทีที่ได้ยินเสียง สัญชาตญาณของบอร์ดี้การ์ดก็สั่งให้เดช รีบเดินตรงไปหาเสียงนั้น
"เอาล่ะ...ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และอย่าเพิ่งออกจากบริเวณงานเป็นอันขาด"
ไฟหลายสิบดวงเปิดสว่างขึ้นพร้อมกันเหมือนจะรู้หน้าที่ เดชเหลือบไปเห็นเศรษฐีนีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้านายของเขาเองหรือมีศักดิ์เป็นแม่ของน้ำใส นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ยังไม่มีใครกล้าที่จะตัดสินใจว่า นี่คือร่างที่ไร้สติหรือไร้วิญญาณกันแน่
นิ้วชี้ที่ดูเข้มแข็งยื่นเข้ามาแตะที่ปลายจมูกของร่างเจ้านาย ลมหายใจที่แผ่วเบาออกมาทางรูจมูก ไม่นานก็หยุดไป "เจ้านายจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วครับ
คุณหนู" เดชบอกกับน้ำใสและเป็นคำพูดแรกที่เดชแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเพราะคนที่นอนอยู่ข้างหน้าเขาคือคนที่มีพระคุณ และเดชก็รู้สึกผูกพัน น้ำตาแห่งความรัก
ความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูกหยดไหลบนใบหน้าของน้ำใส ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย
ช่วยเหลือ ประสานงานกันอย่างวุ่นวาย ผู้คนที่มาร่วมงานต่างถูกสอบสวนแต่ยังไม่มีใคร
น่าสงสัย ด้วยสถานการณเช่นนี้ทำให้ เดชต้องรีบคิดและเลือกที่จะตัดสินใจว่าเขาจะกลับไปเป็นนักสืบแบบในอดีตหรือไม่ แต่ด้วยอดีตที่เลวร้ายทำให้เดชลำบากใจ ยากที่จะทำ เพราะการเป็นนักสืบของเขา เคยทำให้ใครต่อใครที่เกี่ยวข้องต้องจบชีวิตลง
ใจของเดชกำลังว้าวุ่นและรุ่มร้อนดั่งเปลวไฟ
"ทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้" เดชถามใจตัวเอง และแล้วเดชก็เลือกที่จะปล่อยเรื่องราวในอดีตไปกับกาลเวลาเพื่อรักษาสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ให้สูญเสียไปอีก
เดชเริ่มลองถามจากคุณหนูน้ำใสต้นตอของเสียง "คุณหนูกรี๊ดขึ้นมาทำไมครับ ?" "เห็นอะไรรึเปล่า ?" "เกิดอะไรขึ้นบ้างครับ ?" (นักสืบเดชถามคำถามเป็นชุด)
"คนร้ายค่ะ...คนร้ายมันเอาสร้อยเพชรของคุณแม่ไปแล้ว!"
"คุณหนูพอจะเห็นหน้าบ้างไหมครับ ?"
"ไม่เห็นค่ะ ไฟมันสว่างน้อย หนูไม่ทันตั้งตัว แล้วคนร้ายก็ใส่หน้ากากเหมือนทุกคนในงาน" น้ำใสพูดตามประสาเด็ก
เดชวิ่งตรงไปที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิด เสียงฝีเท้าก้าวรัวถี่ๆ รองเท้ากระทบกับพื้นดัง
ปึงปัง
"ดูเหมือนกล้องวงจรปิด สี่ ห้า ตัวจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นอย่างคำกล่าวของคุณหนูจริงๆ มีแต่คนใส่หน้ากากแฟนซี หลากลาย หลากสีสัน หลากรูปแบบ" เดชพึมพำกับตัวเอง
เมื่อแทบจะจนหนทาง เดชครุ่นคิดอยู่นาน(เสร็จคดีนี้คงมีผมหงอกเพิ่มขึ้นอีกหลายเส้น)
"เอ๊ะ!ยังมีบางอย่างที่เราลืม"
"ทำไมเจ้านายถึงตายไปได้..." เดชวิ่งเหงื่อตกไปสำรวจที่เกิดเหตุเละผู้ตายทันที
คนที่เราห่วงและหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ยังคงเป็นปรัชญาประจำใจของเดชเสมอ
จากการดูที่เกิดเหตุการณ์
"นี่คนร้ายเป็นนินจารึไงกัน ? แทบจะไม่มีร่องรอยเลย"
"อืม...พบแต่ร่องรอยเหมือนถูกขูดสีแดงที่คอต้องเป็นรอยที่ถูกกระชากสร้อยแน่ๆ แล้วที่หลังยังมีรอยถูกอาวุธมีคมแทงอีก"
"ใช่แล้ว...ด้วยความตื่นเต้นและตกใจต้องทำให้โรคหัวใจหวั่นไหวของเจ้านายกำเริบ
จนช็อกไปแล้วทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงตายไปแน่ๆ"
"คดีนี้คงเป็นการฆ่าชิงทรัพย์สินะ"
สวรรค์และปาฏิหาริย์ยังเข้าข้างเดชอยู่ ตาคู่หนึ่งดันไปเห็น รหัสที่ดูเหมือนจะเป็นปริศนาติดอยู่ที่แขนเสื้อของผู้ตาย
"36912....ต้องเป็นสิ่งที่คนร้ายทิ้งไว้แน่ๆ แต่มันคืออะไร?"
ผ่านไป 15 นาทีแล้ว..30นาทีแล้ว..1ชั่วโมงแล้ว
"อะไรกันยังคิดไม่ออกอีกหรือเนี่ย"
จนกระทั่งมีเสียง ติ๊งๆๆ มันคือเสียงของนาฬิกาคุณปู่ เดชหันไปมองนาฬิกาที่หน้าปัดมีแต่เลข 3 6 9 12
"คิดออกแล้ว" เดชเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหลังใช้เวลาอยู่นานในการคิด
"เลขของนาฬิกาทั้ง 4 ทิศ ต้องการจะสื่อถึงอะไร?"
"นาฬิกา....นาฬิกา....ต้องเป็นที่หอนาฬิกาแห่งความตายที่โด่งดังในเมืองนี้แน่
สถานที่กล่าวขานกันทั่วโลกถึงความน่ากลัว" เดชพูดกับตัวเอง
"แสดงว่านี่ไม่ใช่แค่การฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา คนร้ายคงมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่"
"จากที่นี่ไปคงไม่ไกลนัก" นักสืบผู้กล้าหาญไม่รอช้ารีบขับรถคู่ใจไปทันที
ระหว่างทางมีโทรศัพท์ลึกลับดังขึ้นอยู่หลายครั้งหลายคราว ด้วยความรำคาญ
เดชรีบรับโทรศัพท์ เมื่อโทรศัพท์แนบหู มีเพียงเสียงโหด แหบ อำมหิตกล่าวขึ้น
"คุณต้องมาให้เร็วที่สุดก่อนที่ผมจะเชือดไก่ให้ลิงดู" จากความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้นเป็น 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทันทีหลังวางสาย
ฝุ่นข้างทางกระจายไม่เหลือชิ้นดีจนกระจกขุ่นมัวไปหมด
ทันทีที่ก้าวย่างเข้าไปในหอนาฬิกา บรรยากาศก็เป็นใจให้ขนของเดชตั้งขึ้นเป็นเกรียว
ปัง ปัง เสียงปืนดังไปทั่วละแวก นกบินแตกรังเป็นฝูง
"เสียงปืนดังมาจากข้างบน" ต่อไปนี้คงเป็นฉากของการไล่ล่า
เดชวิ่งฝ่าความมืดขึ้นไปทางบันไดวน เสียงหายใจหอบๆดังก้องกังวาน
กว่าสิบชั้นที่วิ่งขึ้นมาในความมืด เดชเห็นแสงไฟในทางข้างหน้า มันช่างเปรียบเสมือนกับการที่คนเห็นหนทางสู่ความสำเร็จ
"ถึงสักที" ความอ่อนล้าสามารถบั่นทอนแรงกำลังไปได้มากเลยทีเดียว
แปะ แปะ แปะ แปะ เสียงปรบมือดังขึ้น
เดชเดินเข้าไปหาคนร้ายและประจันหน้ากัน
"เก่งมากที่คุณสามารถถอดรหัสของผมได้ แหม...ปัญญาของคุณมันยัง...ไม่เปลี่ยนเลยนะ"
"ยังดีที่คุณมาทันเวลา ไม่อย่างงั้นเหยื่อรายต่อไปในอีก 10 วินาทีอาจไม่รอด"
"คุณต้องการอะไร" เดชถามตามระเบียบ
"เห็นคุณตายไงล่ะ" "ยังจำได้ใช่ไหมลูกของผมต้องตายเพราะใคร" เหตุการณ์ครั้งเก่ายังคงฝังอยู่ในจิตใจ เมื่อเอ่ยขึ้นครั้งใดเป็นต้องแค้นและโมโห
"คุณนี่มัน....ตู๊ดๆๆ จริงๆ(คำไม่สุภาพ) ชายภายใต้หน้ากากหนังพร้อมผ้าคลุมสีดำและรอยสักรูปเสือแต่ขนาดเท่าช้างที่ดูน่าเกรงขามยืนตากลมผ้าปลิวไสวที่ชั้นยอดสุดริมหน้าต่างพูดด่าทอเดชอย่างใส่อารมณ์
"คุณนี่เอง...แต่ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดกับคุณ"
"ขอร้องเถอะอย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกเลย คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรเลย"
"ได้...แต่ว่าคุณคงต้องตอบคำถามของผมให้ถูกก่อน ถ้าผิดต้องยอมสละชีวิต
เพื่อสังเวยให้วิญญาณของลูกผม! แล้วถ้าถูกผมจะยอมทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากได้"
ชายชุดดำเสนอข้อตกลงที่ดูงี่เง่า แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อความตายเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เพื่อแลกกับชีวิตของใครหลายคนให้ปลอดภัย (เดชลังเลคิดอยู่นาน)
"ตกลง ผมยอมรับในเงื่อนไข...ว่ามาเลย"
"หึ..คำถามไม่ยากหรอก" "คำถามก็คือ 040905"
"แต่ผมไม่ใช่คนที่ใจร้ายอยากเห็นคนตายเล่นๆอย่างเดียวหรอกนะ"
"เอาเป็นว่า 040905 อยู่ในจำนวน 26 "
"ขอเวลาคิดสักนิด" (เอาอีกแล้วหาเรื่องเครียดอีกแล้ว)
"ตามสบาย" ชายชุดดำแสดงสีหน้าชื่นบาน
ขึ้นมาราวกับจะรู้ชะตากรรมของเดชดี
"ผมให้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น"
เดชกังวลในใจ ...อะไรกันนี่เราห่วยแตกขนานนี้เลยหรือ แม้กระทั่งการช่วยเหลือไม่ให้มีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและช่วยเอาสร้อยเพชรของเจ้านายคืนมายังทำไม่ได้
หยาดน้ำตาไหลอออกมาด้วยความรู้สึกผิด
5...4...3...2...1 ติ๊งๆๆๆ เสียงนาฬิกาดังขึ้นเป็นสัญญาณแห่งความตาย
"เป็นอีกครั้งที่ฉันทำไม่สำเร็จ" เดชพูดอย่างท้อใจ
เมื่อพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ ตามข้อตกลงที่สัญญากันไว้
คำถามของชายชุดดำผู้นั้นยังคงเป็นปริศนาที่ไม่เคยล่วงรู้ได้เลย
ร่างของเดชถูกแขวนติดกับเฟืองนาฬิกาห้อยไปห้อยมา คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ไหลหยดจากตัวของเขา เมื่อใดที่เฟืองนาฬิกายังคงหมุนไปร่างของเดชก็ยังคงถูกบดขยี้ไม่มีวันหยุดเช่นกัน
ปิดฉากอดีตนักสืบชื่อดังผู้หวังจะช่วยเหลือมวลมนุษย์
บอร์ดี้การ์ดผู้จงรักภักดี เรื่องราวผ่านมานานนับปีก็ยังไม่มีใครค้นพบเจอชายชุดดำ
แล้วสร้อยเพชรจะหายไปไหน? คำตอบปริศนาของชายชุดดำผู้นั้น คืออะไร? ทุกเรื่องราวยังคงเป็นที่กล่าวขวัญ ล่ำลือกันไปทั่ว อย่างไรก็ตามยังมีผู้คนอีกมากมายที่ร่วมกันยกย่องวีรบุรุษผู้ล่วงลับ ยอมทำทุกอย่างแม้ต้องแลกกับ ชีวิต
วีรกรรม(เวร)ของเดชเป็นที่ยกย่องจนมีผู้สร้างอนุสรณ์สถานให้ไว้อาลัยที่ข้างหอนาฬิกาแห่งความตาย
อาจเป็นเพราะอาถรรพ์หรือความบังเอิญที่ทำให้ผู้ใดก็ตามที่ได้เข้ามาเยือนที่
หอนาฬิกาแห่งนี้มีอันต้องเสียชีวิตลงทุกราย ผู้คนจึงขนานนามกันว่า
หอนาฬิกาแห่งความตาย
แต่ความตายเป็นสัจธรรมที่ไม่เคยมีผู้ใดหนีพ้นแม้แต่ซูเปอร์แมนก็ตาม
ผลงานอื่นๆ ของ *once.Z=^๐^= ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ *once.Z=^๐^=
ความคิดเห็น