ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่หมั้นตัวร้ายขอหนีไปปราบปีศาจ!

    ลำดับตอนที่ #11 : องก์ที่ 10 : ยินดีตอนรับ

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 64



    องก์ที่ 10

    เช้านี้มีหลายอย่างแปลกไป


    เมื่อตื่นขึ้นมาฉันก็ถูกนางกำนัลสาวสองคนจับแต่งตัวและบังคับให้กินอาหารเช้า   พวกเธออ้างว่าปกติก็คอยรับใช้ฉันอยู่แล้ว (ทั้งที่หน้าที่พวกนี้ควรเป็นของคุณชิโระไม่ใช่เหรอ?)    


    ส่วนคุณชิโระก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา     ตั้งแต่เช้าฉันจึงทำได้เพียงแค่อยู่ในห้อง


    “ช่วงนี้เป็นหน้าแล้งฝนไม่ตกมาหลายวันแล้วขอรับ   ผลผลิตจึงได้น้อยกว่าปกติ”


    เสียงเดินหนักหน่วงพร้อมด้วยเสียงพูดคุยของชายสองคนดังขึ้นบริเวณหน้าห้องของฉัน   ทั้งที่เป็นเพียงบทสนทนาแสนธรรมดาแต่ฉันกลับรู้สึกสนใจอย่างบอกไม่ถูก   


    “เป็นเรื่องธรรมดาที่จะแห้งแล้งมากในช่วงนี้”    น้ำเสียงแฝงอำนาจของชายอายุประมาณห้าสิบกว่าๆเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก


    .....เป็นโทนเสียงที่ไม่คุ้นหูเอาซะเลย


    เสียงเดินที่เป็นไปอย่างช้าๆจึงทำให้ฉันได้ยินบทสนทนาเกือบทั้งหมด


    “พะ   เพื่อป้องกันความผิดพลาดเราควรเรียกเก็บเสบียงจากพวกชาวบ้านให้มากขึ้นนะขอรับ”    ชายที่ดูจะอายุน้อยกว่าเสนอข้อคิดเห็น


    เฮอะน่าขำ.....เกิดภัยแล้งจนผลผลิตน้อยแต่จะไปเก็บจากชาวบ้านเพิ่มเนี่ยนะ   


    “ยังก่อน   แต่หากปีนี้เราได้ผลผลิตน้อยก็จงเพิ่มอัตตราการเก็บซะ”


    แหม   ดันเห็นดีเห็นงามซะได้   สมองมีมั้ย!!!


    “ขอรับ....”


    เสียงพูดคุยเริ่มเบาลงเรื่อยๆ    นาทีแรกฉันคิดว่าจะไม่สนใจบทสนทนานี่แล้วแต่พอได้ยินเสียงของท่านหญิงวาคานะ   อยู่ๆความอยากรู้อยากเห็นมันก็บอกให้ฉันตามไปฟัง


    ฉันออกจากห้องไปหลบมุมอยู่ตรงทางเดินเล็กๆซึ่งแยกออกจากทางหลักอีกทีหนึ่งพร้อมกับยืนก้มหน้าก้มตาฟังชายในชุดซามูไรและท่านวาคานะคุยกัน


    “เวลานี้เเคว้นของเรากำลังเกิดภัยพิบัติจากธรรมชาติ   ดิฉันคิดว่าคงไม่เป็นการดีนักหากท่านจะเรียกเก็บภาษีจากประชาชนเพิ่ม”   น้ำเสียงของท่านวาคานะดูเป็นกังวลอย่างมาก   การพูดของเธอจึงดูช้าและเอื่อยกว่าปกติ  พวกเขาเองก็กำลังอดอยากเช่นกัน


    “......”    


    ชายที่หน้าตาคล้ายชินเมียวมารุไม่ได้พูดอะไรออกมา    เขาทำเพียงกอดอกและเบือนหน้าไปยังชาวบ้านที่อยู่นอกกำแพง


    “ช่างเหมือนกับว่าเรากำลังย้อนกลับไปในอดีตเลยนะเจ้าคะ    ในสมัยที่เรายังไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตถึงเพียงนี้” 


    “อยากพูดอะไรกันแน่?”    


    คุณลุงคนนั้นเค้นเสียงออกมาจนฉันขนลุกซู่ด้วยความกลัว    แต่ก่อนจะได้ถอยหลังกลับห้องใครบางคนก็เดินมายืนข้างๆซะก่อน


    ชินเมียวมารุมองฉันด้วยสายตาตำหนิ    แต่ใครแคร์ล่ะ -_-   ฉันยักไหล่ให้เขาก่อนจะโฟกัสไปยังคนแก่ทั้งสาม(รวมทหารรับใช้)ที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงทางเดิน    ส่วนเขาก็มองตามเช่นกันก่อนจะขมวดคิ้วเข้มๆเมื่อได้ยินคำพูดแฝงความนัยของมารดา


    “สิ่งที่มีอยู่อาจสลายและหายไปได้ทุกเมื่อ   เราเข่นฆ่าผู้คนมากมายเพื่ออำนาจพวกนี้   พวกเขาเองก็เคยยืนอยู่ ณ จุดนี้เหมือนเรา”


    ท่านซามูไรซึ่งน่าจะเป็นพ่อของชินเมียวมารุสบถออกมาเบาๆราวกับขัดใจกับคำพูดของท่านวาคานะ     ก่อนจะเดินหนีภรรยาของท่านไปอีกทางแล้วเริ่มสั่งงานกับทหารที่เดินตามมาติดๆ


    “เจ้าไปดูแลเรื่องทุกอย่างด้วย!   บอกทหารให้เตรียมตัวไว้   วันพรุ้งเราจะทำศึก


    “ขอรับ”    ชายคนนั้นรับคำก่อนจะรีบแยกออกไปด้านนอกของปราสาท


    เมื่อเห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันหมดชินเมียวมารุก็ลากฉันไปที่หลังปราสาท   เพื่อหวังจะทำอะไรบางอย่าง(อย่าคิดลึกนะเฮ้ย)


    อา....เรียกว่าถามจะดีกว่า


    “เจ้ากลับมาตอนไหน    ไม่สิ.....ชายผู้นั้นเป็นใคร”    เขาถามพร้อมกับบีบข้อมือฉันแน่น    ดวงตาเรียวคมจ้องตาฉันอย่างไม่ลดละ    เหมือนว่าเขาอยากได้คำตอบเอามากๆอ่ะ


    “มะ.....ไม่รู้ค่ะ    รู้แค่ว่าเขาเป็นนักเดินทาง”    ฉันทำหน้าจริงจังสุดๆพร้อมกับจ้องตาเขาอย่างไร้เดียงสาเพื่อให้การโกหกมันน่าเชื่อถือ   โฮะๆๆ


    ชินเมียวมารุปล่อยข้อมือของฉันให้เป็นอิสระพลางทำหน้าเหมือนกำลังครุนคิดถึงอะไรบางอย่าง    ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มปรากฎขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆหุบลงแล้วโฟกัสมาที่ฉันอีกครั้ง


    “ดีแล้วที่เจ้าปลอดภัย”     เขายื่นมือมาลูบหัวฉันเบาๆแล้วไล่ลงเรื่อยๆตามเส้นผม


    “ค่ะ....ฉันก็ดีใจที่คุณปลอดภัย”    อันที่จริงฉันควรจะพูดว่าข้าก็ดีใจที่ท่านปลอดภัย -_-^   เพื่อให้มันสมกับยุคสมัยหน่อย


    “ก็สมควรแล้วที่จะดีใจ    เพราะข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านี่นะ”   


    อา.....

    ฉันไม่ได้พูดอะไรออกไป    ส่วนชินเมียวมารุก็เดินแยกไปอีกทาง   


    วันนี้ทั้งวันฉันคิดไว้ว่าจะเดินตามหาคุณชิโระ    เพราะบางทีเธออาจกำลังทำงานอยู่ที่ไหนสักแห่งในปราสาท     หรือไม่ก็อยู่กับท่านวาคานะ    แบบว่า.....ฉันมีหลายๆเรื่องที่ต้องถามเธอ


    ที่แรกที่ฉันเริ่มตามหาคือบริเวณปราสาทฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นส่วนของคนสำคัญในตระกูล    ฉันลัดเลาะไปตามมุมต่างๆของปราสาทแต่ไม่ว่าจะหาละเอียดแค่ไหนก็ไม่เห็นวี่แววของคุณชิโระเลย    มีเพียงกลุ่มนางกำนัลเท่านั้นที่เดินผ่านไปมา


    ตอนนี้เที่ยงแล้ว   ฉันคงต้องกลับไปรออาหารเที่ยงอยู่ที่ห้องแล้วล่ะ


    พวกนางกำนัลคุยกันเรื่องนายใหญ่ของพวกเขาที่กลับมาจากสงครามระหว่างแคว้น   ท่านมาซามุเนะ  ไคโร


    เขาเป็นคนเดียวกับชายที่ฉันเจอเมื่อเช้า   ใบหน้าคมเข้มแฝงความน่ากลัว    การปฏิบัติตัวเหมือนพวกทหาร   ทั้งเข้มแข็ง    เกรี้ยวกราด   และพร้อมจะฆ่าคน


    ฉันเลือกเดินอ้อมปราสาทแทนการเดินไปแบบโต้งๆ   ไม่น่าเชื่อว่าป่าที่ท่านหญิงวาคานะห้ามไม่ให้ฉันเข้ามันจะอยู่หลังห้องนอนของท่านไคโร   ลักษณะเป็นป่าดิบที่ดูชุ้มชื้นอยู่ตลอดเวลา   ทั้งมืดมนและมีความรู้สึกเย็นวาบแผ่ออกมา


    ดูเหมือนจะเป็นภูเขาเตี้ยๆซะมากกว่า   แม้จะมีทางเดินเล็กๆแต่กลับเหมือนว่าไม่เคยมีใครเคยเข้าไปเลย.....


    “เอาไปให้ใคร?”    โทนเสียงเข้มดุที่ฉันคุ้นเคยดังมาจากในครัวเรียกให้ฉันต้องวิ่งหลบหลังถังไม้เพื่อแอบดูว่าท่านไคโรกำลังคุยกับใคร


    “ของ....ทะ....ท่านมิซึกิเจ้าค่ะ”    นางกำนัลสาวซึ่งมีหน้าที่ดูแลฉันตอบด้วยท่าทางหวาดกลัว


    “มิซึกิฮิเมะ   นางตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”   ท่านไคโรพึมพำออกมาพร้อมกับลูบคางอย่างใช้ความคิด


    “ท่านมิซึกิฟื้นแล้วเจ้าค่ะ   ตะ....แต่ว่า....ผมของท่านเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว”


    ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ   สายตาของท่านไคโรดูน่ากลัวแปลกๆ    ฉันไม่รู้ว่าท่านกำลังคิดอะไร   หรือบางทีท่านอาจจะแปลกใจที่อยู่ๆท่านมิซึกิที่จมน้ำตายก็ฟื้นขึ้นมาโดยปาฏิหาริย์


    “ไปได้แล้ว”  


    สิ้นคำสั่งนางกำนัลคนนั้นก็รีบตรงไปที่ห้องของฉันทันที   


    ฉันเปลี่ยนเป้าหมายจากการกลับห้องมาเป็นการเดินตามท่านไคโรแทน    ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกสงสัยในตัวคนคนนี้    รู้แค่ว่าจิตใต้สำนึกมันบอกให้ฉันตามเขาไป


    โพะ!!!

    เสียงเปิดประตูอย่างแรงก่อนที่คนในห้องจะรีบวิ่งออกมาแล้วเดินตามท่านไคโรด้วยท่าทางร้อนรน


    “ขอร้องละครับ    ท่านพ่อ”   ชินเมียวมารุซึ่งเดินตามหลังตะโกนเรียกพ่อของเขาลั่นทางเดิน


    ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากผู้เป็นบิดา   แต่ดูเหมือนว่าเขาต้องการบางสิ่งเอามากๆจนต้องตามตื้อพ่อของเขาต่อ


    “ให้กระผมไปช่วยทหารที่กำลังต่อสู้ด้วยเถอะครับ   ผมจะไปทำลายปราสาทนั้น    ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก”  น้ำเสียงหนักแน่นยังคงอ้อนวอนผู้เป็นพ่ออยู่เช่นเดิม


    ท่านไคโรหยุดเดินพร้อมกับเงียบไปอึดหนึ่ง    ทำให้ฉันต้องวิ่งไปหลบข้างกำแพงและโผล่หน้าออกมาแค่เล็กน้อย


    “อย่าประมาทต่อสงคราม”   ท่านหันกลับมามองบุตรชายด้วยท่าทางที่จริงจังก่อนจะเตรียมอ้าปากเพื่อพูดต่อ  เเต่ก่อนจะได้พูดบุตรของท่านก็ขัดขึ้นซะก่อน


    “กระผมไม่เคยประมาทเลยสักครั้ง 


    “ไม่คิดว่ามันเร็วไปเหรอ   สงครามระหว่างเเคว้นกับเด็กทะเยอทะยานอย่างเจ้า! 


    .........


    กลับไปตั้งใจฝึกซะ! 


    เสียงตะโกนของท่านไคโรทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย   ชินเมียวมารุยืนกำมือแน่น    เขาคงกำลังเห่อวิชาละมั้ง     สงครามมันน่ากลัวจะตายไป    ทำไมถึงอยากไปขนาดนั้น


    “เดี๋ยวครับ!  ท่านพ่อ”    ชายหนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าบิดาของตนกำลังจะเดินจากไป   


    “ชินเมียวมารุ”  


    ขาที่กำลังจะก้าวตามบิดาหยุดลงเฉียบพลันเพราะเสียงของมารดาที่ร้องเรียกไว้


    “กระผมอยากไปลองต่อสู้ในสนามรบ    ท่านแม่โปรดบอกท่านพ่อที”    ชายหนุ่มค่อยๆเดินกลับมาหามารดาที่ยืนอยู่พลางชี้แจงด้วยความร้อนรน


    “ท่านพ่อบอกว่ายังไง.....แม่ก็คงบอกเช่นเดียวกัน”    ท่านวาคานะพูดเสียงอ่อน    ใบหน้าของท่านดูไม่สู้ดีนัก


    “กระผมฝึกมาตั้งเเต่เด็กไม่มีทางเเพ้ให้สงครามเเน่”


    “........”   การที่ท่านวาคานะหลุบสายตาลงเล็กน้อยมันยิ่งขับให้ใบหน้างดงามดูเศร้าเข้าไปอีก   ท่านไม่พูดอะไรจนมันเกิดเป็นสถานการณ์น่าอึดอัด


    “ท่านแม่กำลังคิดว่ากระผมจะทำไม่สำเร็จใช่รึเปล่า....”   ตอนนี้ท่าทางของชินเมียวมารุดูเย็นชากว่าสมัยก่อนมากเลยทีเดียว


    “ไม่ใช่แบบนั้นนะ....แม่ก็แค่เป็นห่วง”


    “ไม่ครับ   ท่านแม่ก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร   ไม่ว่ากระผมจะทำอะไรสำเร็จ.....ก็ไม่เคยทำให้ท่านแม่ดีใจเลยสักครั้ง”


    พูดจบเขาก็เดินแยกไปอีกทางทันที   สถานการณ์เดจาวูแบบนี้ทำให้ฉันแทบไม่อยากหายใจ   


    จะอธิบายยังไงล่ะ....เพราะฉันไม่รู้จะสงสารใครดีนะสิ!


    เขาคงเป็นลูกชายที่ไม่ค่อยได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่(ละมั้ง)     ฉันเคยดูละครหลังข่าวแนวนี้มาเยอะ   และคนนิสัยแบบนี้มักจะหลงผิดอยู่เสมอ...


    แต่เชื่อมั้ยว่าความรู้สึกหดหู่ของฉันมันพังเพราะยัยนางเอ๊ก~ นางเอก   ที่ชื่อว่าเฮียวโกะ


    “นายน้อย....”   เสียงหวานแฝงความเป็นห่วงตะโกนไล่หลังคนที่เดินกระทืบเท้าจากไป


    เฮียวโกะวิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ก่อนจะหยุดมองท่านวาคานะที่ยืนอยู่แวบหนึ่ง    แล้วจึงวิ่งตามชินเมียวมารุไป


    แทนที่เธอจะอยู่ดูแลนายหญิงของตระกูล  -_-^


    ฉันยืนดูท่านวาคานะอยู่นานพอสมควรเพื่อให้แนใจว่าท่านจะไม่เป็นลมล้มตึงลงไป    และเมื่อเห็นว่าท่านเดินเข้าไปห้องแล้วฉันจึงยอมเดินกลับทางของตนเอง

     

    แต่ไม่รู้ว่าวันนี้มันเป็นวันอะไร   ฉันถึงได้รู้หลายๆเรื่องเยอะจัง


    ฉันหยุดเดินก่อนจะจับจ้องไปที่ชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งกำลังยืนสนทนากันด้วยความตึงเครียด


    “หากไม่เกิดเป็นบุตรของท่านพ่อ   ข้าก็คงเอาชนะใครไม่ได้......พวกทหารไม่กล้าเเม้เเต่จะทำร้ายข้า”   ชินเมียวมารุพึมพำเเผ่วเบาพร้อมกับบีบข้อมือของเฮียวโกะแน่น  “ท่านเเม่คงจะคิดว่าข้าเป็นเเบบนั้นสินะ    เป็นเเค่เด็กอมมือ


    “ท่านหญิงแค่เป็นห่วงนายน้อยเจ้าค่ะ”


    “ข้ารู้อยู่แล้วหรอกน่า!   เขาตะโกนใส่หน้าเฮียวโกะก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วเหวี่ยงเธอเข้าไป


    ฉันยืนปิดปากด้วยความอึ้ง   ไม่กล้ามโนว่าพวกเขาทำอะไรกันต่อจากนี้


    ไม่หรอก    เขาก็แค่ไปปรึกษากัน...


    ..........................................................................


    งงละสิเค้าทำไรกัน
    .
    .
    .


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×