ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายใย....แห่งรัก

    ลำดับตอนที่ #7 : ปกปิดหัวใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 269
      0
      19 พ.ค. 50

    7

    รถเก๋งคันงามแล่นออกจากอาคารขนาดใหญ่ในเครือของอัศวนาถ ด้วยความเร็วที่บ่งบอกความร้อนในอารมณ์กรุ่นโกรธของผู้ขับได้เป็นอย่างดี ใบหน้าสวยเฉียวชวนสะดุดตาของผู้พบเห็น ขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างหัวเสีย เมื่อออกมาสู่เส้นทางจราจรความเร็วรถก็ยิ่งพุ่งทะยานแรงขึ้นไปอีก จุดหมายปลายทางที่จะเป็นจุดจบของพายุลูกนี้ คงที่ไม่พ้นเจ้าลูกน้องตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน

    นายไปทำอะไรไว้ที่อัศวนาถ ทำไมเขาถึงกล้าตีแสกหน้าฉันย่อยยับขนาดนี้ เสียงหวานตวาดแว๊ดขึ้นทันที ที่มาถึงห้องทำงานของตน และลูกน้องคนที่ส่งไปทำงานก็ถูกเรียกตัวเข้าพบแบบปัจจุบันทันด่วน

    เปล่านี่ครับคุณบุษ….ผมก็ทำตามระเบียบ ขั้นตอนของบริษัททุกอย่าง จะมีปัญหาก็ตรงที่ วันนั้นผมไม่สามารถตัดสินใจ เรื่องการคุ้มครองได้ เพราะมันนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ทุนประกันที่อัศวนาถทำไว้ มันไม่ใช่น้อยๆ นะครับ นายประกันคนที่ถูกส่งไปทำงานแทน อธิบายอย่างให้เหตุผล จนคนที่แทบร้อนเป็นไฟ ถึงกับชะงักไป พอคิดทบทวนแล้วก็อยากจะเอามือเขกหัวตัวเองให้เจ็บๆ นัก เธอน่าจะนึกถึงความสำคัญในข้อนี้ให้มากๆ ก่อนที่จะส่งใครไปทำงาน อัศวนาถ ไม่ใช่บริษัทเล็กๆ ที่จะส่งให้นายประกันคนไหนเข้าไปเคลียร์ก็ได้ ความชัดเจนในการตัดสินใจ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในองค์กรขนาดใหญ่ระดับนั้น หัวคิ้วเรียวกระเข้าหากันอย่างครุ่นคิดในทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดเต็มประตู

    ขอโทษด้วยที่อารมณ์เสียใส่ ฉันไม่คิดว่า ลูกค้าจะกล้าตอกหน้าฉันแรงขนาดนี้ พอสงบสติอารมณ์ได้ เจ้านายคนสวยก็ยิ้มขอโทษอย่างรู้ว่าตัวเองผิด ลูกน้องผู้เคราะห์ร้ายจึงยิ้มให้อย่างไม่ถือสา เพราะรู้ดีว่าเจ้านายนิสัยเป็นยังไง ตั้งแต่บุษยรัตน์เข้ามาเป็นผู้จัดการฝ่ายดูแลลูกค้า ทุกคนก็ปั่นป่วนกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ในความปั่นป่วนนั้นก็มีความเข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี เพราะเธอเป็นคนตรงและจริงจัง และจริงใจกับลูกน้องทุก

    คนแบบเสมอภาคกัน

    ถ้าคุณบุษมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะครับ ชายหนุ่มบอกออกมาอย่างห่วงใย เมื่อดูท่านายสาวยังคิดไม่ตกกับปัญหาที่เกิดขึ้น

    ขอบใจมาก ออกไปก่อนเถอะ หญิงสาวยิ้มให้ลูกน้องอย่างขอบคุณ ก่อนทิ้งตัวราบไปกับพนักเก้าอี้เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ร้อนที่แล่นขึ้นเป็นริ้วๆ ให้เบาบางลง ภาพใบหน้าคมที่มองประเมินอย่างหมิ่นแคลนของลูกค้ากิตติมาศักดิ์ ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเธอ แล้วก็ให้รู้สึกเหม็นขี้หน้าคนที่เพิ่งไปพบมาเมื่อครู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยซะเฉยๆ

    ช่วงเย็นธนพตน์ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมน้องสาวอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานที่กองสุมอยู่บนโต๊ะจนแทบไม่ได้วางมือเลย พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีนาฬิกาก็บอกเวลาเลยสามทุ่มไปแล้ว ชายหนุ่มจึงตัดใจปิดแฟ้มเอกสารในมือลง ตั้งใจจะโทรถามอาการของน้องสาวแต่ก็สำนึกขึ้นได้ว่ามันคงเลยเวลาพักผ่อนของคนป่วยไปเสียแล้ว เขาจึงเดินออกมาจากห้องทำงาน ตั้งใจจะกลับไปที่บ้านเลย

    เมื่อเดินออกจากห้องทำงานตัวเอง ปลายท้าวที่จะก้าวไปยังประตูลิฟท์ก็ชะงักลง สายตาไปสัมผัสเข้ากับแสงไปสว่างจ้าที่ส่องออกมาจากห้องทำงานของพี่ชาย ธนพตน์จึงเดินตรงเข้าไปหาในทันที

    โอ้โฮ….ใจคอไม่คิดจะพักเลยหรือไงพี่พัตน์ มาถึงก็โหมงานเลย ระวังจะทรุดเอานะพี่ แล้วนี่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครไปบอกผมเลย เอกสารบนโต๊ะผมรอลายเซ็นต์อนุมัติจากพี่เป็นตั้งๆ น้องชายบ่นอุบอย่างรู้สึกขยาดกับกองเอกสารที่ตนเพิ่งละออกมา เดินมานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของพี่ชาย ที่หันมามองเขาแวบนึงแล้วก็ก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบ้างอย่างที่ค้างอยู่ให้เสร็จ แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมาคุยด้วยอย่างเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน ธนพตน์พอจะเดาได้จากขอบตาที่มีรอยคล้ำจางๆ กับรอยยิ้มที่ไม่ค่อยสดชื่นนักของพี่ชาย

    มาถึงเมื่อได้เแป๊บเดียวนายก็เปิดประตูเข้ามานี่แหล่ะ แล้วนี่จะกลับแล้วใช่มั้ย ดนุพัตน์มองหน้าน้องชายที่นั่งเอ้อระเหยสบายอารมณ์อยู่ตรงหน้าเป็นเชิงถาม

    ครับ….พี่กลับพร้อมผมเลยมั้ย จะได้ไม่ต้องขับรถเอง ธนพตน์เอ่ยชวนอย่างรู้สึกห่วงพี่ชาย ที่มีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด นี่คงจะทำงานทั้งวันทั้งคืนจนแทบไม่ได้หลับได้นอนเหมือนเคยสิท่า เขาคิดอย่างรู้นิสัยกันดี

    ดีเหมือนกัน เขียนรายงานเสร็จพอดี ผู้เป็นพี่รับคำอย่างเห็นดีด้วย ก่อนจะปิดแฟ้มรายละเอียดอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดลง แล้วหย่อนลงในลิ้นชักอย่างไม่สามารถทนฝืนนั่งทำงานต่อไปได้อีกแล้ว ตลอดสี่วันที่ผ่านมาเขามัวแต่ยุ่งกับการสอบหาสาเหตุของเรือที่ล่มลง และตามเก็บรายละเอียดที่ท่าเรือจนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน ตอนนี้พลังงานในตัวเขาคงเข้าใกล้ศูนย์เต็มทีแล้วเหมือนกัน

    ระหว่างที่ยืนอยู่ในลิฟท์ ธนพตน์หันมาถามพี่ชายเกี่ยวกับอาการป่วยของแพรลดาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าดนุพัตน์น่าจะรู้ว่าทำไมจู่ๆ หญิงสาวถึงเป็นไข้ปอดบวมรุนแรงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ในวันก่อนหน้านั้น เธอยังดีๆ อยู่เลย ไม่น่าจะล้มป่วยลงแบบปัจจุบันทันด่วนได้รวเร็วขนาดนั้น

    นายว่าอะไรนะ เสียงถามอย่างตกใจ ดวงตาเข้มที่อ่อนแสงอยู่เบิกกว้างลืมอาการอ่อนล้าไปซะสนิท เมื่อธนพตน์บอกว่าแพรลดานอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล

    เหนื่อยจนหูอื้อหรือไงพี่พัตน์ ผมบอกว่ายายแพรไข้ขึ้นจนช็อคหมดสติไป หมอบอกว่าปอดติดเชื้อ ตอนนี้นอนซมอยู่โรงพยาบาล แล้วพี่รู้มั้ยว่าทำไมจู่ๆ ยายแพรถึงไม่สบายขึ้นมาได้ ก่อนหน้านั้นผมก็เห็นยังดีๆ อยู่เลย ธนพตน์ทวนคำซ้ำอีกรอบเพราะคิดว่าพี่ชายคงเหนื่อยมากจนฟังอะไรไม่ได้ศัพท์ไปแล้ว

    แล้วน้องเป็นอะไรมากหรือเปล่า น้ำเสียงนั้นแสดงอาการร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด

    ไม่แล้วล่ะ ตอนนี้หมอเขาแค่ขอดูอาการต่ออีกระยะ ถ้าไม่มีอาการปอดบวมแทรกก็คงกลับบ้านได้ พอประตูลิฟท์เปิดออก ธนพตน์ก็เดินนำไปยังรถองเขาที่จอดอยู่ใกล้ๆ นั้นทันที เพราะรู้สึกอยากพักขึ้นมาเต็มทน

    นายกลับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันแวะไปเยี่ยมแพรก่อน บอกเพียงเท่านั้นร่างสูงของพี่ชายก็เปลี่ยนทิศทางตรงไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็วจนธนพตน์ต้องยกมือเกาหัวยิกอย่างไม่เข้าใจ เลยว่าพี่ชายเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ก็เมื่อกี้ยังดูเหนื่อยๆ อยู่เลยนี่หน่า

    ช่วงขายาวแข็งแรงก้าวซวบๆ ออกจากเคาเตอร์พยาบาล ไปตามทางเดินภายในโรงพยาบาลประจำที่ครอบครัวเขาใช้บริการอยู่อย่างรีบร้อน ถึงจะรู้ว่าแพรลดาไม่เป็นอะไรมาก แต่เขาก็อยากมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง ห่วงอย่างที่เคยห่วง แต่ดูเหมือนจะมากมายเสียจนไม่สามารถบังคับจิตใจให้สงบลงได้เลย

    ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษที่ร่างสูงเปิดประตูผ่านเข้ามานั้นมืดสลัว เนื่องจากโคมไฟที่ข้างห้องน้ำได้ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ดวงตาเข้มจับจ้องไปยังเงาลางๆ ในความมืดของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงยาวกลางห้องนั้นทันที เหมือนหัวใจของเขาได้ถูกกระชากไปถึงตรงนั้นเสียตั้งแต่แง้มประตูเข้ามา

    โคมไฟเล็กๆ ที่หัวเตียงผู้ป่วยถูกเปิดขึ้นในทันที เมื่อร่างสูงเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง แพรขนยาวราว ยังคงเรียวตัวสวยปิดสนิทอยู่บนใบหน้าเรียวยาวของผู้ป่วย ริมฝีปากบางเผยอน้อยๆ ซีดจางไม่มีสีสันอย่างที่เคยเป็น ผิวแก้มเนียนเป็นสีขาวจัดเหมือนดูไม่มีชีวิตชีวานั้น ทำให้คนมองรู้สึกชาวูบไปทั้งใจ

    ถ้าวันนั้นเขาไม่ได้กลับมาที่บ้าน แล้วเขาไม่บังเอิญได้ยินเสียงประหลาดๆ ที่จากสระว่ายน้ำ เขาคงไม่สามารถพาตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้เหมือนกัน แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไมเขาต้องรักผู้หญิงคนนี้ด้วย นี่คือน้องสาวของแกนะ แกกล้าหักหลังคนที่รักและเชื่อถือเหมือนแกเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอได้ยังไงกัน ดนุพัตน์กรนด่าตัวเอง เรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาอย่างยากเย็น เพราะตอนนี้มันร่ำร้องทุรนทุรายด้วยความเป็นห่วงคนตรงหน้าเสียอย่างที่สุด

    ทั้งๆ ที่เหนื่อย ทั้งๆ ที่อ่อนล้าแทบหมดแรง แต่ยามนี้ชายหนุ่มไม่สามารถจะตัดใจเดินกลับออกไปได้เพราะเจ้าของใบหน้านวลที่ยังคงหลับตาพริ้ม แต่หายใจติดขัดเป็นระยะบนเตียงนั้น ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน เกรงว่าถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียวแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เขาคงไม่สามารถทนรับสภาพนั้นได้อย่างแน่นอน เขาพอใจที่จะได้เห็นแพรลดามีความสุข แย้มยิ้มให้เขา เหมือนเช่นวันก่อนๆ มากว่า ถึงแม้จะเห็นเขาเป็นแค่พี่ชายคนหนึ่งก็ตาม มันคงยังดีเสียกว่าที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกลับเวลาที่เหลืออยู่โดยปราศจากรอยยิ้มของเธอ

    ชายหนุ่มนั่งมองใบหน้าเนียนของแพรลดาอย่างไม่ยอมละสายตาไปไหน ถึงแม้มันจะเป็นช่วงความสุขอันแสนเงียบเหงา ราวกับนั่งมองปฏิมากรรมไร้ชีวิต แต่เขาก็พอใจที่จะให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไป ความรู้สึกทั้งหมด ทั้งมวลที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจ เผยตัวผ่านดวงตาสีน้ำตาลเข้มในเงาสลัวของห้อง อย่างไม่ต้องการให้ใครได้รับรู้ เขายินดีจะเก็บมันไว้เช่นนี้เพียงผู้เดียว

    ดนุพัตน์นั่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยท่ามกลางอาการสะลืมสะลือจนกระทั่งเช้า เขาลืมตาตื่นขึ้น เมื่อเริ่มได้ยินเสียงล้อรถเข็ญบนไปพื้นด้านนอก บอกเวลาที่พนักงานทำความสะอาดจะต้องทำงานของตนบ้างแล้ว และอีกไม่นานก็คงจะมาถึงห้องของแพรลดา ชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าของคนป่วยที่ยังคงหลับสนิทด้วยแววตาที่อ่อนโยนที่สุด ก่อนจะละมือเกลี่ยไรผมที่ปกหน้านวลให้ทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างทนุถนอม แล้วจึงลุกเดินออกไปเงียบๆ

    เมื่อพยาบาลเข้ามาตรวจเช็คร่างกายในตอนเช้าเดินออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว แพรลดาก็หันไปหยิบหมอนที่ใช้หนุนนอนมาหลายคืนนั้น ขึ้นตั้งกับหัวเตียงแล้วค่อยๆ เขยิบถอยหลังเข้าไปใกล้ แล้วเอนร่างลงพิงอย่างเนือยๆ

    ดวงตาคู่สวยเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างเช่นทุกวัน ตั้งแต่เข้ามานอนอยู่ที่นี่ เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไป มันช่างยาวนานเสียจนเธอรู้สึกเบื่อหน่าย ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไปแค่สี่วัน แต่มันเป็นสี่วันที่ทุกข์ระทมเสียเหลือเกิน และก็เป็นสี่วันที่เธอไม่เคยได้เห็นหน้าของดนุพัตน์เลย ใจร้ายที่สุด ถ้อยคำตัดพ้อหลุดออกมาจากเรียวปากบางอย่างเหลืออด ถึงแม้เธอจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อเขามากมาย แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะใส่ใจใยดีเธอในฐานะน้องสาวบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยกันอย่างนี้ หญิงสาวบ่นกำตัวเองอย่างไม่ชอบใจเลยสักนิด และในทันทีที่การรอคอยสิ้นสุด มือบางก็หันไปคว้าโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียงกดหาพี่ชายคนโตทันที

    ขอโทษค่ะ…ยังไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ Sorry……. เสียงตอบรับอัตโนมัติเจื่อยแจ้วกลับมา จนคนฟังต้องถอนหายใจเฮือกอย่างไม่รู้จะทำยังไง ใบหน้าเหมือนโกรธๆ อยู่เมื่อครู่ ดูซีดเซียวลงไปถนัดตา

    จนกระทั่งประตูห้องถูกเปิดออกในเวลาต่อมา หญิงสาวจึงยิ้มจางๆ ออกมาได้ เมื่อคุณเพียงพรกับธนพตน์ก้าวเข้ามาภายใน คุณเพียงพรส่งยิ้มหวานอบอุ่นมายังหลานสาวในทันที

    ตื่นแต่เช้าเลยคนป่วย แสดงว่าหายดีแล้วสิท่า ธนพตน์หยิกแกมหยอกตามปกติวิสัย ก่อนจะหย่อนตัวลงบนโซฟาข้างพนังห้อง แล้วหยิบรีโมทกดเปิดทีวีตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ แถมยังล้มตัวลงนอนราวกับจะปักหลักอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนอีกแล้ว

    วันนี้ป้าทำข้าวต้มปลา กับซุปเห็ดหอมมาให้ หนูต้องทานเยอะๆ นะ ไม่งั้นท่านฑูตใหญ่กับแม่เราเขาบินมาเล่นงานป้าแน่เชียว เมื่อคืนก็โทรมาดึกๆ ดื่นๆ ถามว่าลูกสาวเป็นยังไงบ้าง ป้าล่ะคิดผิดไม่น่าหลุดปากบอกเขาไปเลย คุณเพียงพรว่าเหน็บน้องเขยที่กินตำแหน่งฑูตไทยประจำสถานฑูตไทยในประเทศอังกฤษ กลับญาติผู้น้องอย่างนึกหมั้นไส้ แค่ลูกสาวป่วยไข้นิดหน่อยก็ทำเป็นขู่ว่าจะเอาตัวกลับอังกฤษกันให้ได้ ถ้านายอัศรากับคุณพราวนภาทำอย่างนั้นจริงๆ มีหวังคุณเพียงพรต้องนั่งร้องไห้อาลัยหลานน้ำตาเป็นเถาเต่าแน่ๆ

    คุณพ่อกับคุณแม่โทรมาหรือคะ ใบหน้าซีดเซียวเมื่อครู่ยิ้มดีใจขึ้นทันที

    ก็เมื่อวันก่อนเขาโทรหาหนู ป้าก็เลยหลุดปากบอกไปว่าหนูไม่สบายยังหลับอยู่ เท่านั้นแหล่ะ ยายพราวมันซักป้าซะ อย่างกับจะตัดสินโทษประหารเสียให้ได้ คุณเพียงพรบ่นญาติผู้น้องอย่างอ่อนใจ แต่เมื่อคนที่ตั้งท่ารอฟังอย่างตั้งใจนั้น หัวเราะคิกออกมา ท่านก็ยิ้มตามอย่างโล่งอก เพราะตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลมา แพรลดาดูเศร้าๆ ซึมๆ เสียจนท่านรู้สึกห่วง

    แล้วคุณป้าทำยังไงคะ หญิงสาวถามอย่างนึกภาพมารดาตนเองออก

    ทำยังไงได้ล่ะ ก็บอกเขาไปตรงๆ น่ะสิ ว่าหนูไข้ขึ้นช็อคหมดสติไป เท่านั้นล่ะ…แม่เราเขาโวยป้าจนหูแทบแตก โชคดีที่วันนั้นพ่อเราเขาไม่อยู่ด้วย ไม่งั้นป้าคงรอดอยาก เพราะไอ้ตอนไปวิงวอนขอลูกเขามา รับปากไปสารพัดว่าจะดูแลให้อย่างดี จนนายอัศมันใจอ่อนยอมให้มาอยู่ด้วย แต่ก็ยังไม่วายนะ……พอเขารู้เรื่องจากแม่เราเท่านั้นล่ะ สายตรงไทยแลนด์-ลอนดอนตอนเที่ยงคืนทันทีเลย แพรลดาฟังผู้เป็นป้าสาธยายความห่วงใยของบิดามารดาเธออย่างออกรสออกชาตินั้นด้วยรอยยิ้มมีความสุข

    นี่ถ้าหนูอาการไม่ดีขึ้น มีหวังสองคนนั่นต้องตีตั๋วกลับมากับแทบไม่ทัน คุณเพียงพรยังไม่วายจิกๆ กัด ๆ ญาติผู้น้องกับสามีอย่างมันเขี้ยว

    มีหวัง….ถ้าน้าพราวกับน้าอัศมาเห็นสภาพลูกสาวเขาวันนั้น แพรคงได้กลับไปปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นที่ลอนดอนเหมือนเดิมแน่ ธนพตน์ที่นอนลงหลักปักฐานอยู่หน้าทีวีหันมาบอกอย่างรู้นิสัยน้าทั้งสองดีไม่แพ้คุณเพียงพร

    แพรดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือคะ หญิงสาวถามอย่างไม่รู้ตัวว่าตอนที่เธอหมดสติไปนั้น มันน่าเป็นห่วงขนาดไหน

    ไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง ก็แค่หน้าขาวๆ ซีดๆ ไม่ต่างจากศพแค่นั้นเอง พี่ชายตัวแสบเปรียบเทียบเสียจนเห็นภาพ แต่มันคือความรู้สึกแรกที่ธนพตน์คิดตอนที่เห็นหน้าน้องสาวหลังจากที่ออกมาจากห้องฉุกเฉินในวันนั้น

    ในวันนี้คุณเพียงพรกับธนพตน์สามารถอยู่เป็นเพื่อนแพรลดาได้ทั้งวัน เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะแพลนที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัดถูกล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากแพรลดายังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ จนกว่าหมอจะแน่ใจว่าไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ อีก

    วันนี้แพรลดาสามารถแย้มยิ้มได้มากขึ้น หลังจากที่ได้โทรหาบิดามารดา ตามคำยุยงของธนพตน์ ที่เขาสังเกตุเห็นว่าน้องสาวดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที ที่มารดาเขาพูดถึงครอบครัวที่อยู่ที่อังกฤษ และก็จริงอย่างที่คิด แพรลดาที่ซึมเศร้าไม่ปรากฏให้เห็นเลยในยามนี้ นอกจากน้องสาวคนเดิมที่สามารถยิ้มแย้มได้อย่างสดชื่นทั้งปากและแววตา จนคนรอบข้างหายห่วง

    ในช่วงบ่ายขณะที่ทั้งสามคนกำลังสนุกอยู่กับหนังตลกที่ธนพตน์หยิบติดมานั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกแล้วปรากฏร่างของคนที่ทำให้รอยยิ้มของแพรลดาสดใส สดชื่นได้อย่างที่สุด นับจากในรอบสี่วันที่ผ่านมา แต่แล้วก็ต้องหุบฉับลงอย่างงอนๆ น้อยใจขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×