ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บารามอส ภาคพิเศษ

    ลำดับตอนที่ #15 : ฉบับรีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 750
      1
      2 พ.ย. 51

    บารามอส ภาคพิเศษ ตอนนางรำแห่งซาเรส

     

    ในงานเทศกาลประจำปีที่ซาเรส สิ่งที่ดึงดูดผู้คนคงเป็นลานประลองการต่อสู้ และลานประกวดการร่ายรำ

    ในงานประลองการต่อสู้  เด็กหนุ่มร่างผอมบางกับฝีมือที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะพลังทำลายที่มาจากมังกรดำที่แขนซ้ายของเด็กหนุ่ม  ส่งผลให้เขาเป็นผู้ชนะการประลองในปีนี้ เดท ไฟเออร์

    ชาวซาเรสเป็นนักสู้ การต่อสู้ดูจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำตัวของพวกเขา นอกจากนี้แล้วความบันเทิงก็ดูจะเป็นสิ่งที่ชาวซาเรสชอบไม่น้อยไปกว่าการต่อสู้ สิ่งสวยงามถือเป็นหนึ่งในความชอบของซาเรส แต่ก็ไม่ใช่ความสวยงามฟู่ฟ่าแบบฟรานส์

    ที่ลานประกวดการร่ายรำ เหล่านักร่ายรำจากที่ต่างๆของเมืองกำลังประชันฝีมือกันอย่างดุเดือดไม่แพ้ลานประลอง ผู้ชนะของปีนี้กลับเป็นสองพี่น้องฝาแฝดจากตระกูลนางรำอันดับหนึ่งของซาเรส เซร่า เซเลน เปอร์ซีย์

     

    หลังการประลองทั้งสองแบบจบลง งานเต้นรำและงานเลี้ยงของเทศกาลก็เริ่มขึ้น

    สองสาวเปลี่ยนชุดร่ายรำออกมาเป็นชุดกระโปรง เพื่อเที่ยวงาน บิดาและมารดาของเธอกำลังคุยกับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันนานอย่างถูกคอ ส่งผลให้สองพี่น้องตัดสินใจเดินเที่ยวงานกันตามลำพัง

    ทั้งคู่ชอบงานเทศกาล เพราะมักมีขนมหายากของโปรดพวกเธอมาขาย ที่สำคัญมันจะมีขายเฉพาะหน้าเทศกาล ขนมเกล็ดหิมะ  สีขาวราวกับหิมะและรสชาติหวานหอม

    "ปีนี้ก็ยังอร่อยเหมือนเคยนะเซเลน" เซร่าบอกอย่างมีความสุขกับรสชาดของขนมโปรด ซึ่งพวกเธอสองคนซื้อมา และเอามานั่งทานกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ริมทางข้างงาน มองดูผู้คนที่เริ่มจับคู่เต้นรำกัน

    "ไม่ไปงานเต้นรำเหรอเซร่า" เซเลนหันไปถามอีกฝ่าย

    "แค่ซ้อมเต้นก็พอแล้ว ฉันไม่คิดจะเต้นรำอีกหรอกคืนนี้" เด็กหญิงหันไปบอกฝาแฝดของตน แน่ล่ะก่อนงานประกวดพวกเธอซ้อมเต้นกันทั้งวันมาเกือบเดือน ตอนนี้ขอสนุกกับงานก็พอ ไม่คิดว่าจะไปเต้นรำกับใครหรอก ที่สำคัญก็ไม่มีคู่เต้นรำด้วย

    เสียงชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ประมาณห้าคนเดินมาตามทางก่อนสะดุดตากับนางรำคนสวยสองพี่น้อง ที่ถึงแม้จะยังดูเป็นเด็กอยู่ แต่ความสวยของทั้งคู่ก็ทำให้คาดหวังได้ว่าต้องโตเป็นสาวสวยอย่างไม่ต้องสงสัย

    ชายหนุ่มคนหน้าที่ดูจะเป็นหัวโจก เดินเข้ามาหาสองคนพี่น้องอย่างหมายมาด

    "น้องสาวให้เกียรติไปเต้นรำกับพวกพี่หน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มผมสีดำคนหน้าเอ่ยชวน

    "พวกเราไม่ว่าง" เสียงเซเลนปฎิเสธอย่างตัดเยื่อใย

    "พวกพี่อุตส่าห์ชวนแล้วนะ" ชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างหลังเอ่ยเสียงห้วนอย่างไม่พอใจ ทั้งกลุ่มจึงเดินล้อมวงรอบสาวน้อยฝาแฝด

    "เฮ้ยนี่มันนางรำที่ชนะการประกวดปีนี้นี่" ชายหนุ่มอีกคนบอกตาวาวเมื่อจำได้

    ทำให้ชายหนุ่มหัวโจกตรงเข้ามาจับแขนของสองฝาแฝดให้ออกเดินไปด้วยกัน

    "ปล่อยมือนะ " เซร่าร้องบอกอย่างตกใจ

    "ช่วยด้วย " เสียงเซเลนร้อง

    พลังสีดำกระแทกเข้าที่หน้าอกของชายหนุ่มหัวโจกทันที ส่งผลให้ร่างใหญ่กระเด็นออกไป ร่างของสองฝาแฝดเซเสียหลัก แต่แขนของใครบางคนก็รับร่างพวกเธอไว้ได้ทันก่อนหกล้ม

    มังกรสีดำปรากฏตัวล้อมร่างสามร่างไว้อย่างปกป้อง ส่งผลให้เหล่าวัยรุ่อันธพาลมองหน้ากันสักพักก่อนวิ่งจากไปเมื่อมังกรขยับเข้าใกล้พวกเขา

    ร่างสองร่างที่จำได้ว่าเป็นบิดาและมารดาวิ่งตรงมาหาสองฝาแฝด

    "เซร่า เซเลนไม่เป็นอะไรใช่มั้ยลูก" เสียงมารดาถามอย่างตกใจ

    "ไม่เป็นไรค่ะ พี่ชายคนนี้ช่วยพวกเราไว้ค่ะ" สองฝาแฝดตอบพร้อมกันอย่างตื่นเต้น

    "ขอบใจมากเลยนะจ๊ะ อ้าวเดทนี่เอง" มารดาของสองฝาแฝดหันไปขอบคุณผู้ช่วยเหลือ ก่อนจำได้ว่าเด็กชายเป็นลูกของเพื่อนข้างบ้าน

    "สวัสดีครับท่านน้า เรล่า" เดททักทายยิ้มๆ

    "อ้าวแล้วไปเจอกันอย่างไรล่ะ" บิดาของสองฝาแฝดถามเด็กหนุ่ม

    "ผมนอนพักอยู่บนต้นไม้พอดี เลยช่วยไว้ได้ทันนะครับ น้าทอม" เด็กชายร่างผอมเล่า

    "งั้นก็รู้จักลูกลุงแล้วสินะ นี่เซร่า แล้วนี่เซเลน ส่วนนี่เดท" บิดาหันไปแนะนำให้เด็กๆได้รู้จักกัน

    "ขอบคุณค่ะ ท่านพี่เดท" สองสาวประสานเสียงกัน

    "ยินดีที่ได้รู้จัก เซร่า เซเลน" รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้สองสาวฝาแฝด สร้างความประทับใจให้กับทั้งคู่เป็นอย่างมาก

     

    และตั้งแต่นั้น สถานที่สองสาวฝาแฝดมักจะไปประจำหลังจากเสร็จการเรียนและการซ้อมเต้นรำแล้วก็คือสวนหลังบ้านตระกูลไฟเออร์ ที่ทั้งคู่รู้ดีว่าจะหาท่านพี่เดทเจอได้อย่างไร

     

    ***

     

    นางรำแห่งซาเรส2

     

    ในสวนหลังบ้านไฟเออร์ เด็กหนุ่มนั่งกึ่งเอนหลังที่ใต้ต้นไม้ มองดูสองสาวน้อยฝาแฝดที่เกาะติดเขาแจตั้งแต่งานเทศกาลเป็นต้นมา ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน พวกเขาสามคนก็อยู่ด้วยกันจนเป็นของชินตาของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย

    "ซ้อมเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง เซร่า เซเลน" เดท ทักสองสาว หลังดูมาห้ารอบตั้งแต่เช้า

    "ไม่ซ้อมให้ดี เดี๋ยวจะเสียชื่อนักร่ายรำแห่งซาเรสหมด " เซร่าบอก

    "ใช่ค่ะ ท่านพี่เดท คราวนี้เป็นการร่ายรำร่วมกับนักร้องอันดับหนึ่ง แห่งโรงละครเอกของฟรานส์เชียวนะค่ะ พวกเราไม่ยอมขายหน้าเด็ดขาด ด้วยเกียรติของซาเรส" เซเลนบอกสำทับมาอีกคน

    เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง เมื่อเด็กทั้งสามหันไปมองก็แทบคุกเข่าไม่ทัน

    คิงกาเบรียลเสด็จมาพร้อมกับพ่อแม่ของพวกเขา  แน่นอนพวกเขามีกำหนดการจะเดินทางจากซาเรสไปฟรานส์ เพื่อร่วมงานฉลอง และเพื่อเป็นเกียรติของงาน จะมีการแสดงร่วมระหว่างนักร้องอันดับหนึ่งแห่ง ฟรานส์กับนักร่ายรำแห่งซาเรส

    และวันนี้ก็เป็นวันเดินทาง แต่สองสาวยังคงซ้อมต่ออย่างไม่ยอมหยุด ส่วนเดทก็เดินทางไปด้วยในฐานะพี่ชายของสองสาวพ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ด เพราะทั้งคิงและเจ้าชายขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ ถึงแม้สองสาวจะเป็นเด็กก็ไม่น่าไว้วางใจ

    " น่าดีใจจริง ที่สาวน้อยทั้งสองสู้เพื่อซาเรสขนาดนี้" เสียงคิงรูปงามตรัสชมอย่างพึงพอใจ กับสปิริตของนักร่ายรำตัวน้อย

    ทั้งสามทำความเคารพคิง และเดินตามออกไปที่ขบวนมังกรเพื่อออกเดินทางไปฟรานส์

    เหล่าคณะเดินทางต่างตื่นเต้นกับงานฉลองต้อนรับมากกว่าเนี้อหาของข้อตกลงที่จะทำสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งงานนี้เจ้าชายอาเทอร์ไม่ได้มาร่วมงานเพราะโรงเรียนยังเปิดเรียนอยู่

    "ลูกเจ้าอายุเท่าไรแล้วไฟเออร์" คิงกาเบรียลตรัสถามองครักษ์คู่ใจ

    "จะสิบสามปีเต็มแล้วพะยะค่ะ" บิดาของเดทตอบ

    "อีกไม่กี่ปีก็จะเข้าเรียนที่เอดินเบริ์กแล้วสินะ จะได้เป็นรุ่นน้องอาเทอร์ด้วย" คิงกาเบรียลพยักหน้ารับ นึกถึงลูกชายที่ปีนี้อยู่ปีสองแล้ว

    พวกเขาเดินทางด้วยมังกรอย่างรวดเร็ว ไม่ช้ามาถึงฟรานส์ ซึ่งคิงของฟรานส์ออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง ทั้งสองคิงพูดคุยกันอย่างถูกคอ และคณะต้อนรับได้พาสองสาวน้อยไปพบกับนักร้องที่จะร่วมการแสดงคืนนี้ ที่โรงละครหลัก

     

    ในห้องซ้อมของโรงละครหลัก สาวน้อยฝาแฝดได้พบกับสาวสวยน่ารัก ผู้มีเสียงหวานใส

    "สวัสดีฉันชื่อโรส " เสียงหวานทักทายกับสาวน้อยผู้น่ารักทั้งสอง

    "พวกเราเซร่า เซเลนคะ ฝากตัวด้วยนะค่ะ" สองสาวประสานเสียงพร้อมกัน

    ทั้งสามเริ่มซ้อมการร่ายรำประสานกับบทเพลงของนักร้อง สะกดผู้ร่วมซ้อมให้หยุดนิ่ง เมื่อการซ้อมจบลง เสียงปรบมือดังไปทั่วห้องซ้อม และคาดหวังถึงความสำเร็จของการแสดงหน้าพระที่นั่งในคืนพรุ่งนี้

    เวลาพักทั้งสามนั่งคุยกันอย่างถูกคอเพราะมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีของนักร้องคนสวย

    "พี่โรส มีคนที่ชอบหรือยังค่ะ" เซร่าถามอย่างอยากรู้

    "ก็มีเหมือนกันนะ แล้วพวกน้องๆล่ะจ๊ะ " สาวน้อยผมสีน้ำตาลตอบรับ นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายอย่างนึกสนุก

    "มีแล้วคะ ท่านพี่เดทนะทั้งเก่ง ทั้งเท่ พวกเราตั้งใจว่าตอนโตจะต้องเป็นเจ้าสาวของท่านพี่ให้ได้ "เซเลนบอกเสียงหวาน

    "เป็นเจ้าสาวทั้งคู่เลยเหรอจ๊ะ" นักร้องเจ้าปัญหาเริ่มคิ้วขมวดกับคำตอบ

    "ค่ะ" เสียงรับคำอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาคนฟังเอามือกุมหน้าผากอย่างกลุ้มใจแทน กับความไร้เดียงสาของสองสาวน้อย

    "แล้วถ้าท่านพี่คนเท่เขาชอบแค่คนใดคนหนึ่งล่ะ" เสียงถามอย่างหวังดี กับสิ่งที่อาจเกิดในอนาคตข้างหน้า

    "ถ้าท่านพี่ชอบแค่คนใดคนหนึ่งพวกเราก็ยอมได้ ถ้าเป็นความสุขของท่านพี่เดท" เสียงสองสาวบอกปนเศร้าเล็กน้อย

    "แต่พี่คิดว่าในโลกนี้ยังมีคนที่เหมาะสมกับพวกน้องอีกก็ได้" เสียงให้ความหวังบอก

    "ไม่มีใครในโลกจะเท่เกินท่านพี่เดทหรอกค่ะ" เสียงยืนยันอย่างหนักแน่นจากสองนักร่ายรำแห่งซาเรส

    "จ๊ะ แล้วอย่าลืมเชิญพี่ไปงานแต่งงานของพวกน้องๆด้วยก็แล้วกันนะ" เสียงหวานบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

    "แน่นอนค่ะ พวกเราสัญญา" สองฝาแฝดบอกพร้อมรอยยิ้มอย่างจริงใจ

    งานเลี้ยงต้อนรับคิงกาเบรียล เป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยความสวยและเสียงหวานของนักร้องอันดับหนึ่ง สะกดแขกผู้มาร่วมงานได้เป็นอย่างดี

    "สวยขนาดที่เราอยากพากลับไปซาเรสด้วยจริงๆ" เสียงพึงพอใจของคิงกาเบรียลบอกกับคิงแห่งฟรานส์ที่นั่งเคียงข้าง

    "ไม่ได้หรอก รายนี้นะเล่นยาก ขนาดข้ายังถูกปฎิเสธมาแล้วเลย " คิงแห่งฟรานส์บอกเสียงหนักแน่น

    "น่าเสียดายจัง" เสียงบ่นเมื่อไม่ได้ดังพระทัย

    แต่เมื่อลองเอ่ยชวนเมื่อพระราชทานดอกไม้ให้นักแสดงสาว  ก็ได้คำปฎิเสธ พร้อมรอยยิ้มหวานกระชากใจแทน ส่งผลให้ไม่กระเทือนอารมณ์คิงแห่งซาเรสเท่าไร เพราะนักร้องสาวมานั่งรินเหล้าเสริฟให้เป็นการแก้ตัว

    หลังงานเต้นรำผ่านพ้น สองฝาแฝด จูงมือพี่สาวคนงาม ชี้ให้เห็นท่านพี่คนเท่ จากหลังม่านการแสดง

    "อีกสองปีข้างหน้าท่านพี่ก็จะไปเรียนต่อที่เอดินเบริ์กแล้ว" เสียงสองสาวบ่น

    "แล้วพวกน้องไม่ไปเรียนด้วยหรือจ๊ะ" โรสถามเสียงอ่อนหวานอย่างนึกเอ็นดู

    "พวกเราต้องไปเรียนโรงเรียนนาฏศิลป์" เซร่าบอกอย่างเสียดาย เพราะผู้หญิงไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้ชิงตำแหน่งคิง ไม่จำเป็นต้องจบโรงเรียนพระราชา

    "ไม่เป็นไร ไว้พี่ไปเรียนเมื่อไหร่ จะคอยเฝ้าท่านพี่ของเซร่า เซเลนไม่ให้นอกใจให้เองก็แล้วกัน" เสียงสัญญาหนักแน่นบอก

    "ท่านพี่โรสก็จะไปเรียนด้วยเหรอค่ะ" เซเลนถาม

    "เห็นท่านพ่อของพี่บอกไว้ ตอนนี้ก็ทำงานหาเงินไว้เสียค่าเทอมก่อนไงจ๊ะ" โรสบอกยิ้มๆ

    "จริงสิ แล้วคนสำคัญของท่านพี่เท่ไหมค่ะ" เซร่าถามเมื่อนึกขึ้นได้

    "เท่ไหมเหรอ พี่ชอบนัยน์ตาที่สีเหมือนท้องฟ้า ดูเยือกเย็นราวกับไร้ความรู้สึก แต่พี่อยากให้นัยน์ตานั้นสะท้อนภาพของพี่" เสียงรำพึงแผ่วเบาบอก

    "ถ้าเป็นท่านพี่โรสต้องทำได้แน่" สองสาวบอกอย่างเห็นด้วย เพราะเห็นทั้งสองคิงต่างก็มองพี่สาวคนงามไม่วางตากันทั้งนั้น

    "แล้วพี่จะเชิญไปงานแต่งงานของพี่แล้วกันนะ" โรสยิ้มหวานบอก นึกในใจว่าถ้าเจ้าชายขี้เก็กนั่นยอมแต่งงานกับผู้ชายน่ะนะ

    ทั้งสามต่างร่ำลากันพร้อมสัญญา หลังจากนั้นไม่นานสองฝาแฝดก็ได้ข่าวว่าพี่สาวคนสวยได้อำลาเวที ออกเดินทางต่อ

     

    อีกสองปีต่อมาท่านพี่เดทก็ไปเรียนต่อที่เอดินเบริ์ก เวลาที่จะได้เจอท่านพี่ก็แค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้นเอง แต่ก็จะมีจดหมายส่งมาจากโรงเรียนเสมอทั้งของท่านพี่เดท และท่านพี่โรส ที่เขียนมาเล่าความประพฤติที่แสนเรียบร้อยของท่านพี่ให้สองสาววางใจ

    "มีจดหมายจากท่านพี่โรส" เซร่าวิ่งเอาจดหมายมาให้ฝาแฝด เพื่อจะได้เปิดอ่านพร้อมกัน

    "ไหนเขียนมาว่าอย่างไรบ้าง" เซเลนรับมาอย่างตื่นเต้น

    "ถึงน้องสาวที่น่ารัก พี่มีข่าวดีจะบอกท่านพี่ของเรา เขาได้รับงานไปส่งของที่ซาเรส คงจะไปถึงในอีกสองวันข้างหน้า ไว้รอพบหน้าให้หายคิดถึงนะจ๊ะ ด้วยรัก   พี่โรส"

    "ว้าว ท่านพี่เดทจะแวะมาซาเรส " สองสาวยิ้มกับข่าวที่ได้รับ พร้อมตั้งตารอท่านพี่ที่จะมาทำธุระของโรงเรียน

    ตอนเย็นของวันที่สองสาวเฝ้า พวกเธอแต่งตัวด้วยชุดที่ดูดี วิ่งไปบ้านตระกูลไฟเออร์ เมื่อเห็นเกวียนแปลกหน้าจอดที่หน้าบ้าน

    "ท่านพี่เดท" เสียงหวานร้องเรียกพร้อมกัน ก่อนหยุดชะงักเล็กน้อยกับผู้ติดตามของท่านพี่

    เสียงทักทายและแนะนำ ทำให้ทั้งหมดเริ่มทำความรู้จักกัน

    "ท่านพี่ไม่ไปไม่ได้เหรอค่ะ" เสียงอ้อนวอนปนอ้อนเล็กน้อย

    "ไว้ปิดเทอมพี่ก็กลับบ้านอีก" เสียงเดทบอกอย่างอ่อนโยนมือลูบหัวสองสาวอย่างเอ็นดู

    "ท่านพี่ต้องรีบกลับนะค่ะ อย่างแวะเที่ยวอย่างปีที่แล้วนะค่ะ" เสียงทวงอย่างไม่แน่ใจ เพราะปีที่แล้วพวกท่านพี่แวะเที่ยวกันจนเพลิน กว่าจะกลับถึงซาเรสก็เกือบเปิดเทอมแล้ว

    "สัญญาจ๊ะ" รอยยิ้มยืนยันหนักแน่น ส่งผลให้เดทถูกสามหนุ่มที่เหลือล้อเลียนไปตลอดทาง

     

    ***

     

    นักร่ายรำแห่งซาเรส 3

     

    หลังร่ำลากับเพื่อนในวันปิดเทอม คณะเดินทางไปซาเรสก็รวมตัวกันที่เกวียนของเดท ประกอบด้วย เดท ซอร์โร อาชูร่าและทิวดอร์ (ไม่มีคิล เพราะรายนั้นไปส่งหวานใจที่คาโนวาล )

    เสียงพูดคุยที่เน้นเรื่องอาหารเป็นหลักดังไปทั่วเกวียนที่เดทเป็นคนขับ

    "ไอ้เดท ป่านนี้หัวใจมันไปถึงข้างบ้านแล้วมั้ง" ซอร์โรแซว พลางเล่าถึงสองฝาแฝดข้างบ้านให้เพื่อนๆฟังอย่างสนุกสนาน

    "ฉันเคยเห็นอยู่สองฝาแฝดนักร่ายรำคนดังแห่งซาเรส" อาชูร่าบอก

    "สวยมากไหม" ทิวดอร์ถามอย่างสนใจ

    "สวยสิ แต่พวกนายคงหมดสิทธิ เพราะดูท่าจะติดท่านพี่เดทกันมาก" ซอร์โรบอก ในใจรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย แน่นอนเขาก็ติดใจกับแววตาสีแสดงความดีใจออกนอกหน้าเวลาเจอเดท อยากให้มีใครสักคนทำสีหน้าอย่างนั้นเพื่อเขาบ้าง

    "แล้วตกลงเป็นแค่พี่ชายน้องสาว หรือแฟนกันแน่" ทิวดอร์ถามต่อ

    "ไว้พวกนายคอยดูกันเองก็แล้วกัน" ซอร์โรบอกยิ้มๆ

    สองสหายที่เหลือพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แถมต่อในใจให้ว่าเพื่อนต้องช่วยเพื่อนอยู่แล้ว

    เดทแวะส่งเพื่อนๆที่บ้านของอาชูร่าก่อน โดยที่ทิวดอร์จะพักอยู่กับอาชูร่า ส่วนซอร์โรจะนอนบ้านเขา

    "พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปเจอกันที่จตุรัสกลางเมืองก็แล้วกันนะ" อาชูร่านัดแนะ

    "อย่าลืมพาคนสวยไปด้วยนะเดท" ทิวดอร์แซว

    ทั้งสองที่เหลือออกเกวียนไปบ้านเดทต่อ โดยที่พ่อแม่ของเดทออกมารอรับลูกชายคนเดียวและเพื่อนร่วมโรงเรียน

    "สวัสดีครับ" สองหนุ่มทักทายพร้อมกัน แถมสายตาก็สอดส่ายหาใครบางคน

    "พวกน้องๆเขาไปเที่ยวเมืองกัน เดี๋ยวก็คงจะกลับ" มารดาบอกลูกชายอย่างรู้ใจ พลางไล่ให้พวกหนุ่มๆไปอาบน้ำกันก่อนอาหารเย็น

     

    ในตลาดกลางเมืองซาเรส

    สองสาวสวยในชุดรัดกุม เดินซื้อของกันอย่างเพลิดเพลิน

    "นี่เซร่าไปดูหมอดูตรงหัวมุมนั้นกันไหม" ฝาแฝดคนน้องเอ่ยชวน

    "นี่ยายพวกเราอยากดูดวงนะค่ะ" เสียงหวานของสองสาวบอก

    "ก็ได้ อยากรู้เรื่องอะไรล่ะสาวน้อย" เสียงยายเฒ่าถาม

    "เราอยากรู้ว่าใครจะได้แต่งงานกับท่านพี่ของพวกเรานะค่ะ" เซร่าถาม

    "เรื่องนี้ง่ายมากไม่ต้องถามยายหรอก แต่ถามพ่อหนุ่มคนนั้นจะดีกว่า" เสียงหญิงชราแนะนำ

    "แต่พวกเราไม่กล้าถามตรงๆนี่ค่ะ" เซเลนบอก

    "เอายานี่ไปสิ แค่พวกเจ้าทานก็จะทำให้มีไข้สูง และให้มารดาของพวกเจ้าบอกอาการแก่พ่อหนุ่มคนนั้น แค่นี้พวกเจ้าก็จะรู้คำตอบที่อยากรู้ แต่ยายขอเตือนให้ทำใจไว้ก่อน เพราะเมื่อมีคนสมหวังก็ต้องมีคนผิดหวัง แต่นั่นก็เพราะพวกเจ้าไม่ใช่เนื้อคู่ที่แท้จริงกัน แต่ไม่ต้องเสียใจ เพราะเนื้อคู่ที่แท้จริงของเจ้า คนๆนั้นก็กำลังรอให้เจ้าหันไปมองเขาอยู่เช่นกัน จงอย่าปิดกั้นตัวเองจากความรักสาวน้อย" หลังส่งยาสองห่อให้สองสาว ยายเฒ่าก็เดินหายไปทันที โดยไม่รอเก็บค่าดูหมอ

    สองสาวยืนนิ่งไปสักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ รีบวิ่งตามไปแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของยิปซีเฒ่า

    "เอาไงดีเซเลน" พี่สาวหันไปถามน้อง

    "ทำอย่างที่ยายท่านแนะนำสิ แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจอีกคนที่เหลือ " เซเลนหันไปส่งยิ้มให้พี่สาวอย่างเข้มแข็ง

    ทั้งสองพยักหน้าให้แก่กันอย่างเข้าใจ

    อีกมุมบนหลังคาของตึกสูง ร่างโปร่งบางผมสีน้ำตาลสลวย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยนมองดูสองสาวพี่น้องอย่างเอ็นดู "พี่รักษาสัญญาเสมอ"

     

    ที่บ้านไฟเออร์ หลังทานอาหารเย็นเสร็จ เดทก็นั่งไม่ติดเมื่อไม่เห็นหน้าสองสาวที่มักจะเห็นเป็นประจำทุกครั้งที่เขากลับจากโรงเรียน

    "เดท เอาผลไม้ไปเยี่ยมไข้น้องหน่อยสิลูก" มารดาของเด็กหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยน

    "พวกเขาเป็นอะไรนะครับ" เดทถามอย่างเป็นห่วง

    "เห็นว่า พอกลับมาจากไปเที่ยวในเมืองก็ไข้สูง เพ้อไม่รู้สึกตัวนะจ๊ะ"มารดาบอกยังไม่ทันจบ เดทก็วิ่งออกไปข้างบ้านอย่างรวดเร็ว

    "เดี๋ยวผมเอาตะกร้าผลไม้ตามไปให้ครับ" ซอร์โรหันไปบอกคุณน้าคนสวย มารดาเพื่อน

    "ฝากด้วยนะจ๊ะ"

    เดทวิ่งไปบ้านสองสาวอย่างคุ้นเคย สวนกับแม่บ้าน ก่อนวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างคุ้นเคย ตรงไปห้องในสุดทางชั้นสอง เด็กหนุ่มผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว

    "เซร่าเป็นอย่างไรบ้าง" เสียงกระหืดกระหอบถามอย่างเป็นห่วง มือถือวิสาสะจับไปที่หน้าผากนวลของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าแดงก่ำ เมื่อรู้สึกถึงความร้อนของร่างบางที่นอนบนเตียง เด็กหนุ่ม หยิบผ้าชุบน้ำข้างเตียงมาซับใบหน้าหวานอย่างอ่อนโยน

    "ท่านพี่เดท" เสียงหวานเรียกพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาหวานรื่นด้วยน้ำตาทั้งดีใจ ทั้งสงสารเซเลน

    "ปวดหัวหรือเซร่า" เสียงอ่อนโยนถามอย่างเป็นห่วง

    ที่ห้องตรงข้าม ร่างบางของสาวน้อยอีกนางมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเข้าใจ ว่าใครเป็นผู้ที่ถูกเลือก น้ำตารื่นที่หัวตา มือหนาของใครบางคนซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เงยหน้ามองเห็นเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของท่านพี่ รู้สึกจะชื่อ ซอ อะไรสักอย่างนี่แหละ

    "ยังมีไข้อยู่นี่เซเลนใช่มั้ย" ซอร์โรถามเสียงนุ่ม ก่อนช้อนร่างบางพากลับไปส่งห้องส่วนตัวของสาวน้อย

    "เอ่อท่านพี่..." เสียงบอกปนเขิน

    "ซอร์โร" เสียงขรึมบอกชื่อตัวเองซ้ำ

    "ค่ะ ท่านพี่ซอร์โร เซเลนเดินเองได้" สาวน้อยบอกสีหน้าระเรื่อ

    ร่างสูงวางร่างเล็กบนเตียงอย่างนุ่มนวล ก่อนเดินที่หยิบอ่างใส่น้ำ และผ้าเช็ดตัวมาซับไข้ให้อย่างอ่อนโยน

     

    วันรุ่งขึ้นสองสาวก็หายไข้เป็นปลิดทิ้ง ด้วยเหตุที่มีบุรุษพยายาลชั้นยอดจากโรงเรียนพระราชามาคอยดูแล

    ทั้งสี่ตั้งวงปิกนิคกันที่สวนสาธารณะในเมือง รอทิวดอร์กับอาชูร่ามาพบ สองสาวจัดเตรียมอาหารว่างกันอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่สองหนุ่มเป็นซื้อขนมโปรดและน้ำมาเพิ่มเติม

    "ขอพี่นั่งด้วยคนได้มั้ยสาวๆ" เสียงไม่ชวนประทับใจดังขึ้น

    สองสาวมองดูผู้รบกวนอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะพวกเธอมักจะประสบกับเรื่องพวกนี้บ่อยๆ แต่มักจะเอาตัวรอดได้เสมอ

    "พวกเรามีคนนั่งด้วยแล้ว คงไม่ต้องรบกวนพวกท่านหรอก" เซร่าบอกเสียงแข็ง

    "สาวๆรู้ไหมว่าคนที่พวกเจ้าปฎิเสธนี่เป็นใคร" เสียงยะโสของชายผู้ติดตามบอก

    "นี่นะเจ้าชาย เฮรอทเชียวนะ" เสียงผู้ติดตามอีกคนอวดเบ่งต่อ

    "ซาเรสมีเจ้าชายออกเกร่อ แต่ตอนนี้กษัตริย์จริงๆคือกษัตริย์กาเบรียล และถึงเป็นเจ้าชายแต่เอาชนะในการต่อสู้ไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นคิงหรอก" เสียงเยือกเย็น ของชายหนุ่มร่างเล็กใบหน้าหวานบอก

    "อ้อที่แท้ก็เจ้าชายอาชูร่านี่เอง" เฮรอทบอกเสียงเหยียดๆเมื่อเห็นเจ้าชายน้อยหน้าหวาน ปรายตามองดูชายหนุ่มอีกคนที่เดินมาด้วยกัน ก่อนที่อีกสองคนจะเดินมาสมทบ

    "พวกนี่มาหาเรื่องเหรอ เซร่า" เดทถามเสียงเครียดมองดูเจ้าชายจากปราสาทขุนนางอย่างไม่พอใจ

    "ข้าไม่อยากยุ่งกับพวกป้อมอัศวินเลือดร้อนหรอก" เสียงบอกหยิ่งๆก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

    "ขี้ขลาด ดีแต่เบ่งนะไม่ว่า" เสียงอาชูร่าบอกอย่างไม่พอใจ

    "น่าเสียดายนะ นึกว่าจะได้ออกแรงยืดเส้นยืดสายเสียอีก" เจ้าชายแห่งวิทช์บ่นเล็กน้อย แน่นอนอย่าให้เขาเจอหน้าไอ้หมอนี่อีก เพราะเขาไม่ชอบสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองรูมเมทของเขา จริงสิไว้ค่อยบอกเฟรินขอแก้แค้นตอนศึกหมากกระดานดีกว่า

    ทั้งหกคนสนุกกับการปิกนิก ทิวดอร์ขยิบตากับอาชูร่า เมื่อเห็นสภาพอินเลิฟของเพื่อนทั้งสอง แน่นอนตอนเปิดเทอมต้องเป็นเรื่องสนุกของป้อมอัศวินอีกแน่ และพวกเขาก็ไม่พลาดที่จะรายงานเรื่องราวให้ชาวคณะทราบโดยทั่วกัน

    และที่สำคัญก็เรื่องไอ้เจ้าชายขี้เบ่งแห่งปราสาทขุนนางที่เพื่อนๆคงต้องเตรียมไว้ล้างแค้นให้แน่นอน

     

    สามปีผ่านไป เกวียนของชายหนุ่มแห่งป้อมอัศวินที่จบการศึกษาจากโรงเรียนพระราชาจอดหน้าบ้านตระกูลไฟเออร์

    เดทและเพื่อนขาประจำที่ทำตัวเป็นปาท่องโก๋กันมาทุกปี จนเหมือนลูกชายอีกคนของบ้านไฟเออร์แล้ว เดินหน้าเครียดกันลงมาจากเกวียน หลังเอาของไปเก็บห้องเดทและอาบน้ำกันเสร็จ

    สองนักรบหนุ่มก็ปรึกษากันเรื่องที่ถกกันมาตลอดทางตั้งแต่เอดินเบริ์กถึงซาเรส ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องการแต่งงานหมู่ของชั้นปีที่เจ้าเสธป้อมตัวดีวางระเบิดเอาไว้ก่อนจบ

    "นายพูดก่อน" เดทเกี่ยงเพื่อนทันที

    "พูดพร้อมกันเถอะ" ซอร์โรเลี่ยงเล็กน้อย เขาไม่เคยรู้ว่าการขอแต่งงานทำไมมันยากแบบนี้ ถ้าถามเรื่องดาบหรือประลองยังไม่ยากเท่านี้เลย

    "ฉันว่าไปขอให้เฟรินมันช่วยจะดีไหม" เดทเสนอไอเดีย

    "แล้วจะติดต่อมันอย่างไร มันยิ่งอยู่ไม่เป็นที่อยู่" ซอร์โรหันไปถามอย่างจนปัญญา

    "ส่งไปคาโนวาลสิ ไอ้คาโลต้องรู้อยู่แล้วว่าคู่เลิฟของมันอยู่ที่ไหน หรือเฟรินก็ต้องแวะไปหามันแน่" เดท บอกตาเป็นประกาย

    ทั้งสองจึงเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือทันที หลังผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ร่างโปร่งบางของหัวขโมยจอมยุ่งก็มาปรากฏตัวหน้าบ้านของสองนักรบราวกับพระเจ้ามาโปรด

    "พวกนายมีปัญหาอะไร แฟนก็มีแล้วนี่" เฟรินถามเสียงใสอย่างไม่เข้าใจ

    "ก็การจะขอใครสักคนแต่งงานมันพูดยากนี่" เดทบอกเหตุผล โดยมีนักดาบแห่งแกรนด์ไลน์พยักหน้ารับเป็นลูกคู่อยู่ข้างๆ

    "งั้นก็ไม่ยาก พวกนายก็รอให้สองสาวนั่นมาขอพวกนายแต่งงาน แล้วพวกนายก็ตอบตกลงก็ได้" เจ้าตัวยุ่งเสนอไอเดียให้อย่างไม่เดือดร้อน

    "อย่างนั้นมันจะไม่ผิดธรรมเนียมไปหน่อยเหรอ" ซอร์โรท้วงอย่างไม่แน่ใจ

    "ไม่หรอก พวกนายก็แค่เตรียมแหวนหมั้น ให้พร้อม ชนิดที่ขอเมื่อไรก็สวมแหวนให้พวกเธอทันทีไง" เฟรินบอกสีหน้ายิ้มดูบริสุทธิ์เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา

    "อย่างนั้นจะดีเหรอ" เดทถามอย่างไม่แน่ใจ

    "ก็ในเมื่อพวกนายพูดไม่ออก ก็ให้อีกฝ่ายพูดก็สิ้นเรื่อง เดี๋ยวฉันไปบอกพวกเธอให้เอง พวกนายเตรียมแหวนทันไหมล่ะ" เฟรินถามสองหนุ่มร่วมป้อมนัยน์ตาเจ้าเล่ห์เป็นประกาย

    "พวกเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" เดทตอบตามจริง

    เฟรินมองดูทั้งคู่อย่างปลง พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พวกมันต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก หวังว่าคนอื่นคงไม่ยุ่งเท่านี้ทุกคู่หรอกนะ

    "ฉันพอจะรู้จักร้านเครื่องประดับชั้นหนึ่ง พวกนายตามฉันมาก็แล้วกัน" เฟรินเดินนำอย่างรวดเร็ว

     

    ที่ร้านอัญมณีแห่งซาเรส สามหนุ่มเดินเข้าไปอย่างเป็นจุดสนใจไปทั่ว โดยเฉพาะหนุ่มน้อยหน้าหวาน เฟรินเดินดูตู้วางโชว์ไปทั่วก่อนเลือกแบบให้อย่างรวดเร็ว

    "เอานี่ฉันคัดเอาแบบที่น่าจะเหมาะกับสองสาวของพวกนายให้แล้ว พวกนายมาเลือกอีกทีว่าชอบแบบไหนที่สุด" เฟรินหันไปออกคำสั่งกับสองเพื่อนอย่างรวดเร็ว

    ทั้งเดทและซอร์โรมองดูแหวนหลายแบบที่เฟรินเลือกให้ ก่อนส่ายหน้าอย่างหนักใจ พวกมันก็ดูเหมือนๆกันไปหมด

    "พวกนายต้องคิดว่าแบบไหนที่พวกเธอน่าจะชอบมากที่สุด เพราะถ้าพวกนายเป็นคนเลือกเอง พวกเธอจะดีใจมาก" เฟรินเน้นเสียงดีใจให้เป็นพิเศษ

    ในที่สุดทั้งสองหนุ่มป้อมอัศวินก็เลือกแหวนจากกองที่เฟรินคัดมาให้อีกที พร้อมกับคำโฆษณาของเจ้าของร้าน ว่าเพื่อนของพวกเขาตาถึงเป็นที่สุด เลือกแต่ของชั้นหนึ่งทั้งนั้น

    เดทนึกในใจว่ามันแน่อยู่แล้ว ก็หมอนี่มันลูกราชาหัวขโมยนี่ ถ้าดูของมีค่าไม่เป็นแล้วมันจะเป็นขโมยชั้นหนึ่งได้อย่างไร แต่ก็ยอมรับว่าแบบและสีที่เฟรินเลือกให้เหมาะกับสีตาและสีผมของสองสาวเป็นที่สุด

    "โอเค ที่เหลือพวกนายก็แค่รอที่สวนหลังบ้านเย็นนี้ เดี๋ยวฉันไปหาสองสาวนั่นให้เอง" เฟรินออกคำสั่งอย่างคนใจร้อน

    หลังเฟรินจากไปได้สักพัก เดทก็หันไปถามเพื่อนซี้อย่างแปลกใจว่าอีกฝ่ายรู้จักสองสาวตั้งแต่เมื่อไร ก็ในเมื่อพวกเขาไม่เคยพาเฟรินมาที่บ้าน หรือแนะนำให้เฟรินรู้จักสองสาวเลยสักครั้ง

    "เฟรินพูดราวกับเคยเจอทั้งคู่มาก่อน แถมรู้กระทั่งสีผม สีตา" ซอร์โรเสริมอย่างเห็นด้วย

    "หมอนั่นไม่เคยมาบ้านฉันสักครั้งนี่น่า" เดทว่า

    "สงสัยอาชูร่ากับทิวดอร์คงไปเล่าให้ฟังมั้ง" ซอร์โรสันนิษฐานต่อ

    ทั้งสองพยักหน้าอย่างเข้าใจกันดีว่าไม่มีความลับใดในป้อมอัศวินจะลอดพ้นจากสายตาของหัวขโมยตัวดีกับเจ้าห้องสมุดเคลื่อนที่ไปได้ และที่สำคัญกิจวัตรประจำของป้อมคือการยุ่งเรื่องเพื่อนอยู่แล้ว

     

    ที่บ้านตระกูลเปอร์ซีย์ แม่บ้านมารายงานว่ามีแขกมารอพบสองนายน้อย ทำให้สองพี่น้องเดินลงมาจากห้องมาที่ห้องรับแขก เห็นสาวน้อยหน้าหวานผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลหวานนั่งอยู่ที่กลางห้อง

    "ท่านพี่โรส" สองสาวร้องทักอย่างดีใจ ระดมถามสารพัดเรื่องของพี่สาวคนสวยอย่างดีใจที่ได้เจอหน้า หลังพวกเธอติดต่อกันทางจดหมายมาตลอด

    "พอๆก่อนเลย มาเข้าเรื่องกันดีกว่า พวกน้องอยากแต่งงานกันไหมจ๊ะ" เสียงหวานถามเข้าประเด็นทันที

    "แน่นอนอยู่แล้วค่ะ" สองสาวบอกพร้อมกันดวงตาเป็นประกาย

    "งั้นก็ฟังเรื่องสำคัญให้ดีๆนะจ๊ะ ชั้นปีของท่านพี่ของเรานะ เขาตกลงจะจัดงานแต่งงานหมู่กันในอีกหนึ่งปีข้างหน้า พวกพี่ชายเราเขาไปซื้อแหวนกันแล้ว แต่ไม่กล้าขอแต่งงานสาวสวยนะ" เฟรินเล่าเรื่องนัยน์ตาเป็นประกายระยิบอย่างนึกขัน

    "งั้นไม่ยาก พวกเราเป็นฝ่ายขอเองก็ได้ ดีกว่าต้องรอจนเหงือกแห้ง" เซร่าบอกอย่างห้าวหาญ โดยมีน้องสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    "ดีมากสมเป็นยอดหญิงแห่งซาเรสจริงๆ" เสียงชมเชยปนยอเล็กน้อยให้น้องสาวคนสวยทั้งคู่ขยิบตาให้อย่างรู้กัน กระซิบบอกแผนการณ์และสถานที่นัดหมายให้เสร็จสรรพ

    "ท่านพี่โรสอย่าลืมไปงานแต่งงานของพวกเรานะค่ะ" เซร่าบอกย้ำ

    "แล้วก็ให้พวกเราไปงานแต่งงานของท่านพี่กับเจ้าชายตาสีฟ้าด้วยนะค่ะ" เซเลยเสริมต่อ

    เฟรินหอมแก้มของน้องสาวทั้งคู่อย่างเอ็นดู " ตามสัญญา แน่นอนจ๊ะ"

    ร่างโปร่งบางของหนึ่งในสองฝาแฝดเดินไปใต้ต้นไม้ต้นโปรดของท่านพี่ ที่มักจะมานอนงีบเสมอ นัยน์ตาสีม่วงเป็นประกายแห่งความสุข

    "ท่านพี่เดทค่ะ" เสียงหวานเรียกบุรุษที่นอนรออยู่บนต้นไม้ต้นโปรด ชายหนุ่มมองเห็นหญิงสาวที่เฝ้ารอ สะดุ้งตกใจกระโดดลงมาจากต้นไม้แทบไม่ทัน

    "เอ่อ เซร่า.." เดททักเสียงตะกุกตะกัก สีหน้าแดงเรื่ออย่างตื่นเต้น หัวใจราวกับจะกระโดดออกมานอกอก

    "ท่านพี่จะกรุณาแต่งงานกับเซร่าได้มั้ยค่ะ" เสียงหวานถามใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มหวาน

    "แน่นอน" เดทบอกเสียงหนักแน่น คุกเข่าจับมือเรียวสวมแหวนที่เตรียมมาทันทีอย่างไม่รอช้า ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก

    "คิสด้วยสิค่ะท่านพี่" เสียงหวานกล่างเตือน

    "อืม" เสียงรับคำก่อนปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แขนเรียวโอบรอบคอร่างสูงไว้เป็นหลักยึด ก่อนดื่มด่ำไปกับบรรยากาศยามเย็นของสวนอันสงบเงียบ

     

    อีกมุมของสวนสวยข้างสระน้ำ ร่างสูงของนักดาบแห่งแกรนด์ไลน์ยืนเดินวนไปวนมาอย่างไม่อาจสงบใจได้

    "ท่านพี่เดินจนจะไปถึงแกรนด์ไลน์อยู่แล้ว" เสียงหวานทักทาย

    "เซเลน" เสียงทักปนประหม่าเล็กน้อย ด้วยความคิดที่ว่าจะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายขอแต่งงานก่อนดูจะเสียศักดิ์ศรีนักดาบไปหน่อย

    "ท่านพี่/เซเลน จะแต่งงานกับพี่/น้องไหม" สองเสียงประสานถามพร้อมกันราวกับนัดหมาย ก่อนหัวเราะให้แก่กันอย่างมีความสุข

    "แน่นอน" คำตอบรับพร้อมกันพร้อมรอยยิ้ม ซอร์โรสวมแหวนหมั้นให้สาวสวยที่ใฝ่ฝันถึงทันที โอบแขนรอบเอวบางอย่างถือสิทธิ์ ยืนดูพระอาทิตย์ตกลับริมสระน้ำกันอย่างมีความสุข

    สายลมอ่อนโยนพัดอวยพรให้คู่รักทั้งสองคู่ นึกในใจว่าเสร็จเรื่องไปสองคู่ ค่อยยังชั่ว แต่อย่างน้อยคู่ที่ไม่น่าจะต้องยุ่ง คงเป็นคู่คิงอาเทอร์กับพระคู่หมั้น เพราะปราสาทขุนนางคงไม่ต้องการความช่วยเหลือของป้อมอัศวินหรอกมั้ง?

     

    ***

     

    ลายแทงสื่อรัก

     

    หลังพระราชวังตระการตาแห่งบารามอสเป็นตึกหินอ่อนสีขาว รูปทรงสวยงามน่าเกรงขาม เป็นที่ตั้งของวิหารหลวงแห่งบารามอส และเป็นไม่กี่ที่ ที่ศาสนจักรไม่มีปัญหากับราชวงศ์ ด้วยนโยบายอันชาญฉลาดของไฮคิง

    ในห้องทำงานของมหาสังฆราชแห่งวิหารหลวงบารามอส เสียงเคาะประตูดังก่อนที่เด็กหนุ่มหน้าหวานทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม ก่อนเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของห้อง

    "ท่านอาจารย์เรียกหา ไม่ทราบว่ามีกิจอะไรให้ผมรับใช้ครับ"

    "มาพอดี ซิบิล มีเรื่องให้เจ้าทำนิดหน่อยนะ" ชายวัยกลางคน ร่างสูงมีสง่า ใบหน้าส่อความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม ที่หย่อนไปเล็กน้อยด้วยความสูงวัยขึ้น ส่งรอยยิ้มเอ็นดูให้ผู้เป็นศิษย์เอก

    "เรื่องอะไรครับ" เสียงถามอย่างสุภาพตามนิสัยของเจ้าของ

    "เจ้าเคยได้ยินชื่อ คัมภีร์พระวจนะไหม" เสียงสุขุมถามต่อ

    "ข่าวลือว่าเป็นคัมภีร์ที่เป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ประทานให้มวลมนุษย์ เพื่อธำรงสันติสุข แต่ก็สูญหายไปหลายปีแล้วนี่ครับ" ซิบิลบอกในสิ่งที่เคยทราบมาก่อน

    "ใช่แต่บังเอิญว่ามีท่านผู้มีจิตศรัทธาท่านหนึ่งได้ลายแทงน่าสนใจมา และฉันอยากให้เธอไปตรวจสอบดูว่าลายแทงนี้เป็นความจริงแค่ไหน" มหาสังฆราชบอกจุดประสงค์

    "ครับ ผมจะรีบเตรียมตัว ไม่ทราบว่าจะให้เดินทางเมื่อไรครับ" ซิบิลรับคำ

    "พรุ่งนี้คณะที่เหลือจะมารวมตัวกันที่ห้องสมุดของวิหารตอนเช้าเก้าโมง" มหาสังฆราชบอก

     

    เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาว เครื่องแบบของนักบวชแห่งบารามอส เดินไปตามระเบียงกว้างที่ทอดยาวไปสู่ห้องสมุด ผ่านซุ้มประตูกว้าง เข้าไปในห้องสมุดกว้างใหญ่ที่ไม่มีคน เพราะยังเช้าเกินไป  เขาเดินสำรวจไปทั่วก็ไม่พบใคร

    ก่อนนึกขึ้นได้ว่า ห้องสมุดรวมคนมักพลุกพล่าน ไม่น่าจะเป็นที่นัดพูดคุยเรื่องความลับ หรือเรื่องสำคัญอะไรได้ เด็กหนุ่มจึงเดินย้อนกลับไปที่วิหารส่วนใน อันเป็นห้องสมุดส่วนพระองค์สังฆราช ที่ต้องใช้รหัสผ่านถึงจะเข้าไปได้

    เสียงพูดคุยดังลอดออกมาจากในห้อง ทำให้เด็กหนุ่มเผลอแอบฟังโดยไม่ได้เจตนา

    เสียงหวานดังเอ็ดใครสักคน

    "นายอย่าตะกละให้มากนักสิ เจ้าของเขายังไม่อนุญาตเลย"

    "โธ่ ของพวกนี้เขาตั้งไว้ต้อนรับแขก และเราก็เป็นแขก จะเอาแอปเปิ้ลหน่อยมั้ย" เสียงหวานอีกเสียงร้องตอบ

    ซิบิลเคาะประตูสองครั้งเป็นสัญญาณให้รับรู้ก่อนเด็กหนุ่มจะเปิดประตูเข้าไปอย่างมีมารยาท มองเข้าไปเห็นเป็นเด็กสาวสองคน คนที่สูงกว่าผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลหวาน และกำลังอร่อยกับแอปเปิ้ลสีแดงสดที่จัดไว้บนโต๊ะกลางห้อง

    กับเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่า ผมสีทอง ดวงตาสีดำ ในชุดแบบเด็กผู้ชายดูทะมัดทะแมงทั้งคู่ที่คนหนึ่งใส่สีชมพูหวาน อีกคนก็หวานไม่แพ้กันด้วยสีเขียวอ่อน ทั้งสามมองหน้ากันอึดใจ

    "สวัสดี ฉันเฟริน เดอเบอโรว์ เดอะทีฟออฟบารามอส แล้วนี่ ไดแอน คีตัน เดอะฮีลเลอร์ออฟบารามอส" เสียงหวานของเด็กหน้าหวานผมสีน้ำตาลเอ่ยแนะนำตัวก่อน พร้อมส่งรอยยิ้มหวานอย่างผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีให้ก่อน

    "สวัสดีครับ ผม ซิบิล สเวน เดอะพรีสต์ออฟบารามอส ยินดีที่ได้รู้จักครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท นึกในใจว่าหัวขโมยมาทำอะไรที่วิหารหลวงล่ะนี่ คงไม่ได้มาขโมยอะไรตอนเช้าๆอย่างนี้หรอกนะ

    เสียงฝีเท้าของท่านเจ้าของห้องเดินเข้ามาพร้อมเสียงทักทาย

    "อ้าว รู้จักกันแล้วเหรอ" เสียงนุ่ม เป็นกันเอง กับสายตาอ่อนโยนเมื่อมองเด็กทั้งสาม ที่ทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม

    หลังทักทายเสร็จ มหาสังฆราชก็นั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะ ร่ายคาถาล็อคประตูและคาถาเก็บเสียง ก่อนเริ่มเรื่อง

    "แล้วพ่อเราเขาไม่มาด้วยหรือเฟริน" เสียงทักทายอย่างเป็นกันเองเริ่มต้นบทสนทนา

    "พ่อบอกว่าติดธุระฮะ เลยให้ผมเอาแผนที่มาให้ลุงไมเคิ่ลแทน" เสียงคุ้นเคยตอบอย่างสนิทสนม พร้อมหยิบเอาแผนที่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มากางแผ่บนโต๊ะ

    นักบวชหนุ่มได้แต่อ้าปากค้าง กับการสนทนาของหัวขโมยกับมหาสังฆราช นึกสงสัยเบื้องหลังของหัวขโมยหน้าหวาน แต่เดี๋ยวก่อน เด็กนั่นแทนตัวเองว่า ผม เอ่อ หมายความว่า...

    "นายจะอ้าปากค้างอีกนานไหม จะถามอะไรก็ถามมาตรงๆก็ได้" เสียงหวานของเด็กสาวผมสีทองที่นั่งตรงข้ามเขาเอ่ยต่อ

    หลังจากหายอึ้ง ซิบิลถึงได้ถามอย่างสงสัย

    "คุณเฟริน เป็นใครเหรอครับ"

    "ฉันก็หัวขโมยแห่งบารามอสสิ ส่วนนี่ก็เด็กข้างบ้าน" เฟรินหันไปตอบแบบไม่เพิ่มความกระจ่างให้อีกฝ่าย พร้อมรอยยิ้มแบบเจ้าเล่ห์

    "อาจารย์และพ่อของเฟรินเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียน สมัยอยู่เอดินเบิร์กนะ ร่วมกับพ่อของไดแอน และไฮคิงนะ" มหาสังฆราชเล่าเรื่องพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน อดขำกับลูกศิษย์เอกไม่ได้ ที่เข้าใจผิดกับเพศของคนตรงหน้าทั้งที่ความจริงแล้วตัวเองก็หน้าหวานเหมือนกัน ไม่น่าจะเข้าใจอีกฝ่ายผิดได้

    แต่ไอ้หลานรัก ลูกไอ้เพื่อนตัวดีนี่ก็เหมือนกัน ที่แต่งตัวไม่บอกเพศ แถมยังเป็นสีชมพูอ่อนเสียอีก ก็สมควรที่ซิบิลจะเข้าใจผิดอยู่หรอก แต่ดูๆไปก็ไม่น่าจะใช่ชุดของเฟรินเองสักเท่าไร มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย

    "แล้วทำไมวันนี้เราถึงได้ใส่ชุดสีชมพูได้ล่ะเฟริน" ผู้เป็นลุงถามอย่างสงสัย

    "อ้อ เมื่อเช้าตอนไปปลุกใครบางคนที่กำลังนอนฝันว่าจะเจอเนื้อคู่อยู่ แล้วไปขัดจังหวะฝันที่กำลังไปได้สวย ก็เลยถูกเวทบ้าๆ ทำเอาเปียกไปหมด จนต้องใส่เสื้อแม่ตัวดีแทนน่ะสิฮะ" เฟรินบอกพร้อมเผาเพื่อนสมัยเด็กข้างตัวทันที

    ดวงตาสีดำจัดตวัดค้อนให้

    ซิบิลฟังเรื่องราวอย่างตกตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าสาวน้อยตรงหน้าจะทำเรื่องอย่างว่าได้ ดูไม่เข้ากับหน้าหวานๆนั่นเลย

    "นายก็อย่ามองคนแต่ภายนอกสิ เห็นหวานๆสวยๆแบบนี้ เวลาดุก็เอาเรื่องนะ ก็ช่วยไม่ได้ พ่อเป็นนักเยียวยา แต่แม่นะนักดาบเก่าจากอเมซอนเชียวนะ"เฟรินบรรยายสรรพคุณเพื่อนให้อย่างนึกสนุก

    มีดคมตวัดพาดคอขาวของหัวขโมยปากอยู่ไม่สุขทันที

    "โอ๊ะ โอ๋ อย่างสร้างบาปที่วิหารสิ เดี๋ยวตายแล้วจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรอกนะไดแอน" เสียงหัวเราะปนยั่วอย่างสนุกสนาน

    "พอๆ เข้าเรื่องกันต่อแล้วกัน ที่เรียกพวกเธอสามคนมาวันนี้ ก็เพราะเรื่องนี้ต้องการให้เป็นความลับ ไม่ให้ทางวิหารอื่นล่วงรู้ ถ้าใช้ผู้ใหญ่ก็จะเป็นที่สังเกตได้ง่าย แถมพวกเธอแต่ละคนฝีมือก็การันตีได้ ดังนั้น จึงขอมอบหมายงานนี้ให้พวกเธอสามคนไปจัดการดัวยก็แล้วกันนะ" เสียงเรียบบอกตัดบท

    "อะไรนะครับท่านอาจารย์ หมายความว่าคณะเดินทางนี่มีแค่เด็กสองคนนี่กับผมหรือครับ" เสียงสุภาพร้องถามอย่างตกตะลึง ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

    "ว่าคนอื่นเด็กนะ นายอายุเท่าไรกัน" เสียงห้วนตวัดถามอย่างไม่พอใจดังมาจากเด็กสาวผมสีทอง ขณะที่อีกคนกำลังเริ่มแทะแอปเปิ้ลลูกใหม่ พร้อมส่งเสียงเชียร์เพื่อนสาวอยู่ในใจ เพราะปากไม่ว่าง

    "สิบสี่ แล้วเธอล่ะ" ซิบิลถามอย่างอดโมโหไม่ได้

    "ก็สิบสี่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ฉันเกิดปลายปี คงขาดทุนตอนที่อายุไม่ถึงสิบห้าในวันเปิดเรียนของเอดินเบิร์ก คงทำให้เข้าช้ากว่าพวกนายสองคนไปปีหนึ่ง" เสียงบ่นอย่างเสียดาย

    "อ้าวไม่ทะเลาะกันต่อแล้วเหรอ" เสียงช่วยจุดไฟดังมาจากหัวขโมยจอมซ่าและตะกละ

    "เข้าเรื่องต่อแล้วกันนะ เฟรินจะเป็นคนนำทางและพวกเธอสองคนจะเป็นผู้คุ้มกัน บวกกับความสามารถในการเยียวยาระดับแนวหน้าของไดแอนคงทำให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น" เสียงสงบออกคำสั่ง นึกในใจว่างานนี้จะไปรอดหรือเปล่านะ แต่มาดัสคงคอยดูอยู่ห่างๆมั้ง เจ้านั่นมันไม่ปล่อยลูกให้อยู่ในอันตรายหรอก คนสำคัญของไฮคิงทั้งทีนี่

    "ครับ/ค่ะ" สามเสียงประสานกันอย่างพร้อมเพรียง

    เกวียนคันเล็กออกเดินทางจากมหาวิหารหลวง โดยมีหัวขโมยเป็นคนขับ ผู้โดยสารอีกสองคนต่างก็แยกกันนั่งคนละมุมเกวียน พร้อมหนังสือในมือ ชนิดที่อาณาเขตของใครของมัน

    หลังจากอดทนต่อความเงียบมานาน นักบวชก็ตัดสินใจชวนหัวขโมยคุยดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ผู้ชายเหมือนกัน คงพอคุยกันได้ ส่วนผู้หญิงนะเป็นเพศที่เข้าใจยาก อยู่ห่างๆนะดีแล้ว

    "คุณเฟรินไปได้แผนที่นี้มาจากไหนเหรอครับ" เสียงถามอย่างเกรงใจ

    "อ้อ พ่อไปได้มาจากบ้านเศรษฐีแถวซาเรสนะ" เสียงเล่าอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

    "หมายความว่าไปขโมยมาเหรอครับ" ซิบิลถามอย่างตกใจ

    "ก็แค่หยิบมาจากบ้านคนอื่นเอง พวกฉันเป็นขโมย ไม่ใช่นักบวชนะ จะได้ไปขอบริจาคเอาซึ่งๆหน้านะ" เสียงตอบพร้อมยักคิ้ว

    "แล้วแน่ใจได้อย่างไรครับว่าเป็นของจริง" เสียงสงสัยดังมาจากนักบวช ก็ไอ้แผนที่นะความจริงมันมีตั้งเยอะ ที่ผ่านมาก็เจอแต่ของปลอม

    "ก็เพราะอย่างนี้พวกเราถึงต้องไปพิสูจน์ดูนะสิ " เฟรินแจงอย่างไม่เดือดร้อนอะไร ก็ไอ้คัมภีร์ที่กินไม่ได้นี่ ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากได้อะไร แต่พ่อบอกว่างานนี้ไฮคิงกับลุงไมเคิ่ลขอร้องมาถึงขัดไม่ได้ แถมยังต้องมาดูแลเพื่อนข้างบ้านอีกถึงได้ต้องมาด้วย

    ซิบิลพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าของจริงหรือมั่ว ถึงได้ส่งแต่เด็กๆไปแบบนี้ ถือว่าไปเที่ยวก็แล้วกัน

    ตกเย็นเกวียนก็แวะจอดที่โรงแรม ทั้งสามเดินเข้าไปทานอาหารกัน เฟรินเดินเข้าไปเลือกโต๊ะนั่งก่อนอย่างรวดเร็ว เพราะคุ้นเคยกับการเดินทางเป็นอย่างดี ไดแอนเดินตามมานั่งข้าง ทั้งคู่เริ่มเปิดเมนูสั่งอาหารกันอย่างเพลิดเพลิน ซิบิลเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างมือก่อนอาหารตามสุขนิสัยอันดี

    เด็กหนุ่มเดินชนกับผู้ชายตัวสูงในชุดคลุมสีน้ำตาล เด็กหนุ่มเอ่ยปากขอโทษ และเดินกลับมาที่โต๊ะ มองดูอาหารที่เพื่อนร่วมทางสองคนสั่งอย่างแปลกใจ

    ไดแอนสั่งอาหารสลัดและน้ำซุปซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กสาว แต่เฟรินนี่สิ ไม่มีเนื้อในเมนูของเฟริน แถมด้วยผลไม้อีกจาน

    "คุณเฟรินไม่กินเนี้อหรือครับ" ซิบิลถามอย่างสงสัย ขณะที่เริ่มจัดการกับอาหารของตน

    "อ้อฉันแพ้เนื้อนะ ทานแล้วมักปวดท้อง" เฟรินตอบ

    ทั้งสามทานอาหารกันเสร็จ ซิบิลล้วงกระเป๋าจะจ่ายค่าอาหารให้เพราะถือว่าทั้งสองมาทำงานให้วิหาร ทางวิหารควรเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ เด็กหนุ่มนิ่วหน้าอย่างสงสัย พยายามล้วงกระเป๋าหากระเป๋าใส่เงินแต่ก็ไม่พบ

    "เกิดอะไรขึ้น" เฟรินมองหน้าถามอย่างสงสัย

    "กระเป๋าใส่เงินของผมหายครับ" ซิบิลบอกอย่างตกใจ "สงสัยผมคงทำตกที่ไหน เดี๋ยวผมไปหาก่อนนะครับ"

    "ฉันว่านายไม่ต้องไปหาหรอก นายคงไม่ได้ทำตก แต่ถูกล้วงกระเป๋ามากกว่า นึกดูสิว่าไปเดินชนกับใครมาบ้างไหม" เฟรินถาม

    "ผมเดินชนกับคนใส่ชุดคลุมสีน้ำตาลที่หน้าห้องน้ำเมื่อกี้" ซิบิลอุทานอย่างตกใจ

    "อ้อ หมอนั่นฉันเคยเห็นหน้า ดึกนี้พวกเราค่อยไปเอาคืนก็แล้วกัน" เฟรินบอกเสียงเรียบ ก่อนจ่ายค่าอาหารให้แทน และทั้งสามก็เอาของไปเก็บที่ห้องพัก ทั้งหมดตัดสินใจอยู่ห้องเดียวกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเพื่อความปลอดภัย รวมกันดีกว่าแยกกันอยู่

    ห้องพักมีสองเตียง โดยไดแอนนอนหนึ่งเตียง และเฟรินนอนกับซิบิล

    หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ซิบิลก็เอ่ยถาม

    "คุณเฟรินรู้จักบ้านของเขาหรือครับ"

    "ใครว่าหมอนั่นนะติดการพนันต่างหาก ได้เงินก็คงเอาไปต่อโชคในบ่อน เดี๋ยวเราก็ค่อยไปแก้มือคืนมาต่างหาก เนอะไดแอน" ตอบเสร็จพร้อนหันไปส่งยิ้มหวานให้เพื่อนสนิท

    ดวงตาสีดำเปล่งประกายไม่แพ้กันอย่างรู้ไส้รู้พุงกันดีอสำหรับเพื่อนตั้งแต่เด็กคู่นี้

    ซิบิลได้ท่องประโยคที่อีกฝ่ายบอก ว่าคนเรามองดูแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ แต่เดี๋ยวบ่อนที่ไหนเขาจะให้เด็กเข้ากันล่ะ

    "เอ่อคุณเฟรินผมว่าพวกเราอายุไม่ถึงนะครับ" ซิบิลต่อความ

    "นายมัวแต่อยู่ในวิหารนะสิ บ่อนที่ไหนเขาทำตามกฏกันบ้างล่ะ ขอแค่มีเงิน จะเด็กหรือผู้ใหญ่เขาก็ให้เข้าทั้งนั้นแหละ" ไดแอนต่อความให้นักบวชแสนซื่ออย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้

    "นักบวชไม่มั่วอบายมุขนะไดแอน" เสียงบอกสโลแกนอย่างอดสงสารนักบวชหน้าหวานไม่ได้ ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงได้ถูกไดแอนจ้องเขม่นแบบนี้ แต่ก็น่าแปลกนะ ปกติไดแอนมักทำตัวเรียบร้อยอ่อนหวานต่อคนแปลกหน้าอยู่เสมอ แต่มาเผยธาตุแท้แบบนี้ มันแปลกจริงๆ สงสัยต้องรอดูต่อไป นัยน์ตาสีน้ำตาลพราวอย่างเจอเรื่องถูกใจ

     

    ที่หน้าอาคารหลังใหญ่ที่เป็นร้านอาหารบังหน้า และหลังร้านเปิดเป็นบ่อน ร่างเด็กหนุ่มที่สูงขึ้นด้วยการเสริมรองเท้า ในชุดคลุมสีดำเหมือนบอดี้การ์ดให้สองสาวที่แต่งตัวสวยด้วยชุดกระโปรงสีแดงและสีดำ แต่งหน้าเข้มจัดทั้งคู่

    ทั้งสามเดินผ่านยามหน้าดุหน้าประตูเข้าไปอย่างไม่ถูกขัดขวาง หลังส่งยิ้มหวานให้ยามที่มองตาค้างกันไป เฟรินมองหาเป้าหมาย หันไปมองซิบิล เด็กหนุ่มพยักหน้ารับว่าเป็นคนที่เดินชนเขาจริงๆ

    หญิงสาวในชุดสีดำ ส่งรอยยิ้มหวานทักทายให้ก่อน

    "ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติฉันสักตาได้มั้ยคะ"

    "โอ้ เชิญเลย แต่ผมไม่เกรงใจนะครับ" นักล้วงกระเป๋าบอกอย่างยินดีเมื่อเห็นสาวสวยมาท้าประลอง รีบจัดการเคลียร์ไพ่อย่างรวดเร็ว แน่นอนด้วยการโกง ทำให้เขาชนะไปได้ในตาแรก

    "อีกตาไหมครับคนสวย" รอยยิ้มเป็นต่อ ตายิ่งลุกวาว เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพิ่มเงินพนันอีกเท่าตัว

    "ผมต่อให้ด้วย" นักล้วงกระเป๋าเทเงินพนันลงไปเกทับอีกฝ่ายทันทีอีกเท่าตัว ( เราเล่นพนันไม่เป็น มั่วๆเอาก็แล้วกันนะ )

    ตานี้เฟรินเอาชนะไปได้ พร้อมรอยยิ้มหวาน

    "แหมโชคดีจังนะค่ะ"

    "อีกตานะครับ" นักล้วงกระเป๋าทุ่มสุดตัวทั้งเงินที่ล้วงกระเป๋ามาและยังเงินสำรองของตัวเอง เพื่อท้าให้หญิงสาวสวยที่ทำท่าว่าจะเลิก ให้เล่นกันต่ออีกตา

    เฟรินก็เอาชนะไปได้อีกครั้ง จนมีคนสนใจขอมาต่อคิวเล่นกับหญิงสาวสวย หวังเอาชนะให้ได้

    เฟรินเลิกเล่นหลังเก็บเงินของซิบิลคืนได้ทั้งหมดบวกกำไรอีกไม่น้อย ขยิบตาให้ไดแอนเป็นสัญญาณ ทั้งสามเดินออกมาจากบ่อนไปตามทางเปลี่ยว แน่นอนนักล้วงกระเป๋าดักรอทั้งสามอยู่แล้วพร้อมกับพวกที่เสียพนัน

    "หน้าที่นาย" เฟรินหันไปบอกซิบิล

    นักบวชหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจว่าถึงจะโปรดสัตว์ไป นักพนันพวกนี้ก็คงไม่รับฟังแน่นอน เด็กหนุ่มร่ายเวทอย่างรวดเร็วโซ่สีดำพันธนาการบรรดาอันธพาลทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ไอสีดำจะโจมตีคนทั้งหมด

    ทั้งสามกลับถึงที่พักอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน เฟรินคืนเงินให้ซิบิลบวกกำไรที่หาได้

    "ผมว่าคุณเฟรินเก็บเงินไว้จะดีกว่า เพราะผมอาจถูกล้วงกระเป๋าอีกก็ได้" ซิบิลออกตัว

    "งั้นนายก็เอาเฉพาะส่วนของนายติดตัวไว้ เผื่อเหตุฉุกเฉินผลัดหลงกันจะได้มีเงินติดตัว" เฟรินให้เหตุผลก่อนคืนเงินส่วนที่เป็นของซิบิลไป ที่เหลือค่อยเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

    ซิบิลพยักหน้ารับ ด้วยนิสัยรอบคอบจึงร่ายเวทเขตแดนปกปักษ์เอาไว้เพื่อความปลอดภัยตอนที่พวกเขาสามคนนอนหลับ เพราะเด็กหนุ่มได้บทเรียนแล้วว่าโลกภายนอกวิหารไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด

     

    ***

     

    ลายแทงสื่อรัก 3

     

    พวกเขาออกเดินทางกันต่อในตอนเช้า ซิบิลกางแผนที่ออกมาดูกับเฟริน เพราะวันนี้ไดแอนรับอาสาขับเกวียนให้

    "หมายความว่าเราต้องไปที่หมู่บ้านฟานเทียร์กันก่อน แล้วค่อยออกเดินทางเข้าไปในหุบเขา" ซิบิลถามเจ้าของแผนที่

    เฟรินอ้าปากหาวก่อนพยักหน้ารับ สายลมบอกเขาว่ากำลังถูกจับตามอง ไม่รู้เป็นพวกไหน แต่ไม่ใช่พ่อมาดัสอย่างแน่นอน

    ทั้งสามมุ่งหน้าไปตามแผนที่อย่างไม่รีบเร่ง นอกจากแวะพักข้างทาง แวะกินของอร่อย ตกเย็นก็เข้าเขตหมู่บ้านฟานเทียร์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆชายแดนบารามอสต่อกับคาโนวาล

    "ว้าวทิวทัศน์สวยมากเลยนะเฟริน" ไดแอนบอกอย่างประทับใจ

    "อืมเวลาพระอาทิตย์ตกมันก็ดูโรแมนติกอย่างนี้แหละ" เฟรินต่อให้

    นักบวชหนุ่มมองดูพระอาทิตย์ลับขอบเขาไป ท้องฟ้าสีส้ม ก้อนเมฆสีส้มอ่อน นกที่กำลังบินกลับรัง พวกผู้หญิงเขาชอบอะไรแบบนี้กันเหรอ

    ดวงตาสีน้ำตาลหันมาสบกับของนักบวช ส่งยิ้มหวานให้ "พระเจ้ามักประทานพรให้มนุษย์เสมอใช่มั้ยท่านนักบวช"

    "ครับ" ซิบิลรับคำพร้อมรอยยิ้มสงบสุข ซาบซึ้งให้พระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ทำให้หัวขโมยตัวดีต้องหันไปแอบหัวเราะทางอื่น เพราะความซื่อที่ไม่ได้รับมุขสุดโรแมนติกของไดแอนเลย

    ทั้งหมดหาที่พักกันในหมู่บ้าน ตกดึกซิบิลรู้สึกว่ามีใครกำลังพยายามฝ่าเข้ามาในเขตแดนของเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ ส่งผลให้เด็กหนุ่มนั่งหาวขณะเกวียนออกเดินทางยามเช้า

    "นายคงไม่ได้บ้านั่งเฝ้ายามมาทั้งคืนหรอกนะ" ไดแอนประชดถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายหาวเป็นครั้งที่สามของยามเช้า

    "ผมผิดที่ไปหน่อย เลยนอนไม่ค่อยหลับนะครับ " ซิบิลออกตัว

    "นายก็มานอนในเกวียนก่อนสิ " เฟรินบอกอมยิ้มเล็กน้อย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกางเขตมาตลอดคืน

    ขบวนเกวียนผ่านด่านเขตแดนไปได้อย่างราบรื่น ด้วยรอยยิ้มหวานของสาวน้อยนักเยียวยาที่จะไปเยี่ยมพี่สาวที่กำลังจะคลอดบุตรในเร็ววัน ทำให้ทหารยามไม่ซักอะไรมาก ปล่อยให้เกวียนพวกเขาทั้งสามผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

    "คุณไดแอนมีญาติที่คาโนวาลด้วยเหรอครับ ถ้าจะแวะไปเยี่ยมก่อนก็ได้นะครับ" นักบวชหนุ่มบอกอย่างเกรงใจที่อีกฝ่ายต้องมาทำงานของวิหาร

    "ฉันเป็นลูกคนเดียว" ไดแอนบอกเสียงห้วน

    "นั่นมันเป็นมุขอำนวยความสะดวกต่างหากซิบิล" เฟรินอธิบายให้นักบวชฟัง

    "อ้า ผมขอโทษครับ" ซิบิลรีบขอโทษสาวน้อยทันที

    "นายจะขอโทษไปทำไม นายไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย " ไดแอนบอกเสียงอ่อนโยนขึ้น เริ่มชินกับความซื่อของคนตรงหน้า บางทีเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่เพราะความซื่อต่างหาก

    ทั้งหมดแวะพักโรงแรมที่ถึงตอนค่ำ การเดินทางก็ราบรื่นดี ยกเว้นก็แต่ผู้ไม่ประสงค์จะแสดงตัวที่ติดตามมาตั้งแต่วันแรก ที่เฟรินและไดแอนตั้งใจว่าถ้าไม่มาซึ่งหน้าก็ยังไม่ต้องลงมือ รอดูไปก่อน

    แต่คุณนักบวชที่แสนดีก็เฝ้ายามไม่ขาดสักคืน

    "วันนี้เราจะนอนเอาแรงแล้วค่อยเดินทางเข้าหุบเขาตอนค่ำแทนนะซิบิล" เฟรินบอก

    "ทำไมล่ะครับ" ซิบิลถามอย่างสงสัย

    "ก็เพราะเครื่องหมายที่จะสังเกตนะมันเห็นเฉพาะตอนกลางคืนนะสิ" เฟรินบอก ชี้ให้ดูจุดหมายที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ กับคำกำกับสัญลักษณ์ที่จะเจอในการเดินทางว่าต้องรอให้สะท้อนแสงจันทร์ก่อน

    นักบวชหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนนอนเอาแรงไว้ก่อนตามคำสั่งของมัคคุเทศก์ ขณะที่ไดแอนนั่งอ่านหนังสือ เฟรินก็ไปจัดการดูแลเกวียนและเตรียมเสบียงไว้เผื่อ แน่นอนเพราะคติของเขากองทัพต้องเดินด้วยท้อง

    หัวขโมยหนุ่มร่ายเวทไว้รอบเกวียนและม้าของเขา กันใครมาอุตริเล่นไม่ซื่อ อย่างรอบคอบ บนห้องเขาไม่ค่อยห่วงเพราะเชื่อมือนักบวชหนุ่มและเพื่อนสาว เด็กหนุ่มปีนขึ้นเกวียน ก่อนหลับตานอนเงียบๆ

    เสียงฝีเท้าของคนสองคนที่เดินเข้ามาในโรงเก็บเกวียนของโรงแรม เดินตรงมาที่เกวียนของเขา เฟรินหรี่ตามองเงียบๆ

    "จัดการเกวียนของพวกมันเลยดีไหม" ชายคนแรกถาม

    "แต่พวกเรายังไม่ได้แผนที่เลยนะ"ชายคนที่สองบอกเหตุผล

    "งั้นจะตามมันไปเรื่อยๆอย่างนั้นเหรอ" ชายคนแรกถาม

    "ให้พวกมันหาของเสร็จแล้วค่อยแย่งทีหลังก็ได้" ชายคนที่สองบอก

    "แต่ยังมีพวกนักบวชแอเรียสอีกนะ" ชายคนแรกแย้ง

    "พวกนั้นก็ไม่มีแผนที่เหมือนกัน มันคงต้องตามพวกเด็กนี่ไปเหมือนกัน"ชายคนที่สองตอบ

    "แล้วถ้าเราแย่งแผนที่ตอนนี้ล่ะ"เสียงเสนอความคิดอย่างมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นดีด้วย

    "พวกนักบวชแห่งแอเรียสก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นพวกเราแทนนะสิไอ้โง่" ชายคนที่สองที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าบอก

    ทั้งสองจึงเปลี่ยนใจเดินกลับออกไปทั้งคู่

    สำเนียงเหมือนพวกซาเรส หัวขโมยแห่งบารามอสคิดในใจ ดูท่าจะเป็นพวกทหารเสียด้วย รอยยิ้มผุดที่มุมปากหัวขโมยตัวดีกับความคิดที่ผุดขึ้นมาว่าเจ้าชายแห่งซาเรสชอบสะสมของวิเศษต่างๆ

    ตกดึกขบวนเกวียนแห่งบารามอสก็ออกเดินทางเข้าหุบเขาซิลเวอร์

    เฟรินมองดูแผนที่ "ตะวันตกสามสิบองศา มองดูสัญลักษณ์แห่งพระเจ้า"

    "นั่นครับคุณเฟริน" ซิบิลชี้ให้อีกฝ่ายเห็นสัญลักษณ์ดาวหกแฉกอย่างดีใจ

    สองสหายคู่ซี้พยักหน้ารับ นึกในใจว่าถ้านักบวชไม่มาด้วย พวกห่างวัดอย่างพวกเขาคงไม่รู้จักสัญลักษณ์อะไรนั่นหรอก

    ลูกไฟสองลูกพุ่งเข้าหาเกวียนอย่างรวดเร็ว นักบวชหนุ่มร่ายเวทป้องกันอย่างรวดเร็ว

    "ฉันไม่ค่อยชอบอะไรที่จัดเข้าพวกเป็นผีได้เลย" ไดแอนบ่นปนขนลุกนิดหน่อย แต่ยังใจชื้นที่มีนักบวชชั้นสูงติดมาด้วย เพราะชั้นสูงน่าจะแปลได้ว่าไล่ผีเก่ง

    "ฉันก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน " หัวขโมยปอดแหกเสริม ชนิดไม่กลัวขายหน้า เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นลูกจ้าวปีศาจ

    ร่างโปร่งแสงอย่างที่สองคนนึกกลัวปรากฏเบื้องหน้า เล่นเอาคนขับเกวียนชักสีหน้าหันไปมองนักบวชทันที

    เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นความหมายว่าไม่ต้องห่วงก่อนร่ายบทสวดมนต์ศักดิ์สิทธิ์ทันที ทำให้ร่างอันไม่พึงประสงค์หายไปจากเส้นทางวังเวง

    "เฮ้อ ค่อยหายใจได้โล่งหน่อย" เฟรินบอกยิ้มๆ

    "คุณเฟรินกลัวผีเหรอครับ" ซิบิลถาม

    "นายจะช่วยหาคำพูดที่ฟังรื่นหูกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอไง พูดซะตรงเชียว" เฟรินบ่นกระปอดกระแปด

    ซิบิลหันไปมองนักเยียวยาสาว

    "ฉันแค่ไม่ชอบ อะไรที่จับต้องไม่ได้" ไดแอนออกตัวเสียงอ่อน หน้าซีดเล็กน้อย

    นักบวชหนุ่มยิ้มรับอย่างให้กำลังใจ "ไม่ต้องห่วงครับ"

    ทั้งหมดแกะรอยแผนที่มาสุดที่หน้าถ้ำมืดสนิท ซิบิลจุดไฟเดินนำหน้าเข้าไปก่อน

    เฟรินหันมากระซิบข้างหูม้าตัวโปรด "ไปหาพ่อมาดัสนะคุณโรซี่" ก่อนตบสะโพกคุณม้าเบาๆและเดินตามสองคนข้างหน้าไป และไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกสองคณะที่เหลือคงตามพวกเขาเข้าไปในถ้ำด้วยอย่างแน่นอน

    แต่ดูจากแผนที่แล้วเขาไม่จำเป็นต้องย้อนกลับทางเดิมให้ถูกจับทีหลัง ดูเหมือนถ้ำจะสามารถทะลุออกไปที่อื่นได้อีก

    ส่วนพวกที่มาทีหลังก็อย่าหวังว่าจะได้ชุบมือเปิบเลย ท่านเฟริน เดอเบอโรว์คนนี้ไม่มีวันยอมหรอก เสียเกียรติหัวขโมยแห่งบารามอสหมด

    แสงไฟนำทางไปเรื่อยๆ มืออุ่นของนักบวชกุมมือเย็นของสาวนักเยียวยาไว้อย่างให้กำลังใจ โดยมีหัวขโมยเดินตามมายิ้มๆ ไม่อยากขัดคอใคร

    ทั้งสามหยุดที่กองไฟสีดำเบี้องหน้า ร่างสูงทะมืนของปีศาจที่มีปีกสีดำยืนเฝ้าอยู่ปากทาง เบื้องหลังมีทางแยกไปสามทาง ที่เฟรินสงสัยว่าทางที่ผิดน่าจะมีกับดักที่ไม่น่าพิศมัยอยู่แน่

    "เราขอผ่านทางจะได้หรือไม่" เฟรินถามเสียงเรียบปนอำนาจอย่างน่าประหลาด

    ปีศาจยอมเปิดทางและชี้เส้นทางที่ถูกต้องให้เด็กทั้งสามอย่างอ่อนน้อม

    "คุณเฟรินทำได้ยังไงล่ะครับ" นักบวชหนุ่มถาม

    "อ้อหน้าตาฉันดีนะ เลยได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษ" เฟรินบอกปัดออกนอกเรื่องทันที ใครจะบอกว่าใช้เส้นพ่อเล่า

    ทั้งหมดเดินไปตามทางลับอย่างสะดวก จนสุดทางเดินมีผนังกั้นเป็นทางตัน

    เฟรินหยิบม้วนกระดาษออกมาอ่าน

    "นายรู้จักมนต์มหาปัญญาหรือเปล่านะ" เฟรินหันไปถามคนที่คิดว่าจะรู้ทันที

    "ครับ ทำไมเหรอครับ" ซิบิลถามอย่างสงสัย

    "นายก็ท่องออกเสียงสิ" เฟรินตอบทันที

    ซิบิลพยักหน้ารับแล้วท่องมนต์ศักดิ์สิทธิ์ทันที ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะภาษาที่เขียนไว้ในแผนที่นี้มีแต่เฟรินที่อ่านออก เขาไม่รู้ว่ามันเป็นภาษาอะไรเหมือนกัน

    เมื่อท่องมนต์จบบท ผนังหินก็เลื่อนขึ้น ปรากฏเป็นช่องสว่างทั้งสามเดินตรงเข้าไป และประตูหินก็เลื่อนลงมาปิดสนิททันที

    "แล้วเราจะออกได้อย่างไรล่ะครับ" ซิบิลสีหน้าเครียดทันทีอย่างเริ่มเข้าใจสถานการณ์

    "ไม่ต้องห่วงหรอกน่า มันยังมีทางออกอีกทาง" เฟรินบอกเสียงไม่ค่อยเดือดร้อน นึกในใจว่าดีเสียอีกจะได้ไม่มีคนตามหลังเข้ามาให้เดือดร้อน

    "นายไม่ต้องกังวลมากหรอก เดินหน้าต่อกันดีกว่า" ไดแอนบอกเสียงหนักแน่น สอดส่ายสายตาระแวดระวังกับดักที่อาจมี

    ซิบิลขยับขาก้าวเดินก่อนรู้สึกว่าพื้นมันยุบลงไปได้ แขนสองข้างเขาถูกคว้าไว้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือของผู้ร่วมทางที่เหลือที่ช่วยกันฉุดแขนเขาไว้คนละข้าง

    "ดีนะที่นายตัวเล็กพอๆกับพวกเรา" ไดแอนบอกปนหอบเหนื่อยหลังออกแรงฉุดนักบวชขึ้นมา

    "พวกนายเดินตามฉันมาดีๆก็แล้วกัน แล้วก็อย่าเหยียบอะไรที่ฉันไม่ได้เหยียบ" เฟรินบอกก่อนเดินนำหน้าอย่างระวัง

    "คุณเฟรินใช้อะไรเป็นหลักเหรอครับ" ซิบิลกระซิบถามอย่างสงสัยที่อีกฝ่ายไม่ได้เหยียบกับดักอะไรเลย

    "สัญชาตญาณหัวขโมยนะสิ" เสียงสะบัดเป็นคำตอบมาจากเพื่อนบ้านสาว ขณะที่เผลอเดินออกนอกเส้นทาง ทำให้มีมีดแหลมพุ่งตรงมาที่ทั้งสามทันที

    ซิบิลเอาตัวบังร่างสาวน้อยทันที เฟรินฉุดแขนนักบวชที่อุ้มเอาร่างเพื่อนสาวไว้แนบตัวออกวิ่งอย่างรวดเร็วจนพ้นด่านมีดบิน

    "นายบาดเจ็บนี่" นักเยียวยาสาวที่เท้าพึ่งได้สัมผัสพื้นหันมาสำรวจนักบวชตรงหน้าอย่างเป็นห่วง  ที่แผ่นหลังของคนที่หมดสติไปหลังพาเธอรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย มีมีดปักอยู่ตั้งสองด้าม

    "ฉันถอนมีด เธอร่ายเวทห้ามเลือด พร้อมนะ" เฟรินหันไปให้สัญญาณกับเพื่อน เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า ทั้งคู่ทำงานร่วมกันอย่างรวดเร็ว

    ไดแอนร่ายเวทรักษาเสร็จ หยิบย่ามส่วนตัว ผสมยาห้ามเลือดและสมานแผลอย่างรวดเร็ว

    "คนไข้เธอสลบไปแล้วไดแอน" เฟรินบอก แกล้งเดินออกไปสำรวจเส้นทางต่อ

    ไดแอนมองดูร่างที่นอนนิ่งอย่างตัดสินใจ คว้าถ้วยยาจ่อปากตัวเองดื่มรวดเดียวหมด ช้อนคออีกฝ่ายขึ้นมาก่อนป้อนยาให้ด้วยตัวเอง

    ความอุ่นที่ริมฝีปากและรสสัมผัสแสนหวานกลบรสขมของยาที่ผ่านลงคอไปได้เป็นอย่างดี ซิบิลนอนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    "เธอป้อนยาให้คนไข้ด้วยวิธีนี้เสมอเหรอ" เสียงนุ่มถามอย่างสงสัย

    มือเรียวตวัดใส่ใบหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทำเอาฝันหวานสลายไปในพริบตา เหลือแต่รอยแดงที่แก้มซ้ายของใบหน้าหวาน

    เฟรินโคลงหัวอย่างอ่อนใจ ไอ้นักบวชที่ไม่รู้กาละเทศะ ถามอะไรที่ไม่ควรถาม

    ไดแอนเดินจ้ำพรวดไปหาเพื่อนสนิททันที ไม่พูดอะไรต่อแม้แต่คำเดียว

    เฟรินโอบไหล่เพื่อนสาวปลอบใจ ก่อนพาเดิน นำทางต่อทันที

    เหลือแต่นักบวชหนุ่มที่ยังคงสับสนกับตัวเอง เขาทำอะไรผิดอีกแล้วเหรอ?

    ทั้งสามเดินมาจนสุดทางเดิน เป็นห้องโถงมีแท่นบูชาที่กลางห้อง แสงสว่างจากหลังคาด้วยลูกไฟสีสวย ส่องลงมาที่แท่น บนแท่นมีคัมภีร์เล่มหนึ่งวางไว้

    "มีคัมภีร์จริงๆด้วย" เสียงอุทานอย่างตื่นเต้นของซิบิล แต่ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ เฟรินก็คว้าไหล่เขาไว้ก่อน

    "ต้องทำอะไรก่อนใช่มั้ยครับ" ซิบิลถามอย่างเริ่มเข้าใจ

    "ตอนแรกนายต้องกล่าวมนต์ทำวัตรก่อนแล้วเข้าไปอ่านคัมภีร์ ท่องจำทุกคำ เพราะเราไม่สามารถหยิบคัมภีร์ไปจากแท่นได้ มันจะสลายทันทีที่ถูกหยิบออกไปจากแท่นเวทมนต์นั่น" เฟรินอธิบาย

    ซิบิลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลังเข้าถึงคัมภีร์เด็กหนุ่มถึงกับน้ำตาไหลด้วยความปิติ เขาท่องทุกคำที่เขียนไว้ในคัมภีร์ทันทีอย่างมีสมาธิ

    เฟรินหยิบเอาขนมออกมาแจกเพื่อนสาวอย่างใจเย็น ทั้งคู่นั่งทานเสบียงแห้งรอให้ท่านนักบวชท่องคัมภีร์เสร็จ

    "พวกนั้นจะผ่านด่านเข้ามาได้หรือเปล่าเฟริน" ไดแอนถามอย่างประเมินสถานการณ์ไว้เตรียมพร้อม

    "พวกนั้นไม่มีแผนที่อย่างเก่งก็ตามมาถึงผนังที่เป็นทางตัน แต่ไม่สามารถเปิดประตูหินได้หรอก คงต้องรอให้เราเอาคัมภีร์ออกไปก่อน แล้วรอแย่ง" เฟรินวิเคราะห์

    "นั่นก็เป็นเหตุผลที่นายให้นายนักบวชนั่นท่องคัมภีร์ล่ะสิ" ไดแอนดักคออย่างรู้ทัน

    "แหมก็อาจจะมีสักวัน ที่จะมีคนอื่นเข้ามาจะได้อีก เขาจะได้ไม่เสียเที่ยวเปล่าไง ฉันว่าจะสลักข้อห้ามหยิบคัมภีร์ไว้แถวฝาผนังถ้าจะดี เธอคิดว่าไง" เฟรินหันไปขยิบตากับเพื่อนซี้ อย่างน้อยคนรุ่นหลังก็จะได้อ่านโดยทั่วกัน ถ้าพวกเขาเข้ามาได้น่ะนะ

    เฟรินและไดแอนจึงช่วยกันสลักข้อความกันเป็นภาษาบารามอสไว้สำหรับคนที่ผ่านเข้ามาในอนาคต

    หลังซิบิลท่องจำคัมภีร์พระวจนะเสร็จ เฟรินส่งเสบียงเติมพลังให้อีกฝ่าย นอนหลับเอาแรงก่อนออกเดินทางต่อด้วยทางลับใต้แท่นบูชาที่พาพวกเขาออกมาใต้น้ำตกใหญ่

    หลังเฟรินตั้งหลักสักพักก็เห็นพ่อมาดัสมาดักรอรับกลับ พร้อมกับโรซี่ม้าแสนรู้และเกวียน เด็กทั้งสามนอนหลับเอาแรงโดยมีนายเกวียนคนใหม่เป็นราชาหัวขโมยขับผ่านทางลัดไปส่งถึงวิหารหลวงแห่งบารามอสได้ อย่างรวดเร็ว

    "แล้วพ่อมาได้อย่างไรล่ะฮะ" เฟรินงัวเงียถาม

    "เหาะมามั้ง" ราชาหัวขโมยตอบตามนิสัย

    "ทำไมเรามาถึงบารามอสเร็วจัง ทีขาไปใช้เวลาตั้งหลายวัน" เฟรินบ่นรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบยังไงไม่รู้

    "แกกับฉันมันคนละชั้นกันโว้ย ยังต้องฝึกฝนอีกมาก" เสียงหัวเราะอย่างสะใจของคนเป็นพ่อ ทำเอาลูกหัวขโมยหน้าย่น ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ สักวันหนึ่งเขาจะวัดรอยเท้าพ่อให้ได้

    เฟรินคว้าคอเสื้อนักบวชตัวดีก่อนแยกจากกัน กระซิบข้างหูอีกฝ่าย

    "นายขโมยเอาเฟริสคิสของไดแอนไปนะคุณนักบวช"

    ซิบิลหน้าแดงก่ำทันทีก่อนอ้อมแอ้มตอบ "นั่นก็เฟริสคิสของผมเหมือนกันครับ"

     

    ***

     

    ลายแทงสื่อรัก  4

     

    ที่เอดินเบิร์ก เหล่ารุ่นพี่ที่พึ่งขึ้นปีสองก็เริ่มต้องทำงาน

    เสียงประกาศ

    "ไดแอน คีตัน เดอะฮีลเลอร์ของเอดินเบริ์ก"

    ซิบิลหันไปมองร่างโปร่งบางผมสีทองอย่างตกตะลึง ดวงตาสีดำมองมาทางเขาแวบหนึ่ง ทำเอาเด็กหนุ่มแทบลืมหายใจ "สี่ปีแล้วสินะ

     

    งานเลี้ยงของปราสาทขุนนาง ซิบิลมองดูนักเยียวยาสาวไม่วางตา หลังคู่เต้นของเขาถูกเจ้าชายอาเทอร์ยึดขาด ไดแดนเต้นรำคู่กับรุ่นพี่ปีหก

    รุ่นพี่เดินไปเอาเครื่องดื่มมาให้เด็กสาว เจ้าชายยูรีซิสก็ต้องไปจัดการธุระของปราสาท ทำให้ซิบิลว่างพอสมควร ขาของนักบวชหนุ่มเดินตรงเข้าไปหานักเยียวยาร่วมเมือง

    นักดนตรีแห่งเอเธนส์ เห็นบริกรเดินถือถาดเครื่องดื่ม ทำให้เขาเดินเข้าไปหา ขณะเข้าไปใกล้ ถาดเครื่องดื่มได้คว่ำลง นิกซ์คว้าไว้ได้ทันก่อนที่เครื่องดื่มจะหกรดหญิงสาวที่มาร่วมงาน

     

    หญิงสาวปราสาทขุนนางหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน หันมาขอบคุณนักดนตรีหนุ่มที่ช่วยไม่ให้เธอต้องขายหน้า แต่ขณะที่กำลังขอบคุณ ร่างหนึ่งก็เข้ามาคล้องแขนนิกส์อย่างถือสิทธิ เจ้าหญิงเอฟีน่า

    รุ่นพี่เดินเอาเครื่องดื่มเข้ามาให้ไดแอนที่ยืนรออยู่ มองเห็นซิบิลเดินเข้ามา

    "พี่ฝากเราช่วยดูแลน้องไดแอนหน่อยนะ พี่มีธุระ " รุ่นพี่หันไปบอกซิบิลอย่างดีใจ เพราะกำลังคิดไม่ออกว่าจะต้องไปเฝ้าไอ้สองผู้คุมกฏที่กำลังจะก่อเรื่องอีกแล้ว

    "ได้ครับ ผมว่างอยู่แล้ว" ซิบิลรับคำอย่างสุภาพ

    เด็กหนุ่มหันไปส่งยิ้มให้นักเยียวยา

    "ให้เกียรติผมสักเพลงได้ไหม ไดแอน" เสียงอ่อนโยนถามก่อนโค้งให้เด็กสาว

    ร่างบางย่อตัวก่อนส่งมือให้นักบวชหน้าหวาน

    ทั้งคู่เต้นรำอย่างเพลิดเพลิน

    "นายเต้นรำเก่งนี่" สาวน้อยกล่าวชม

    "เธอก็เก่งเหมือนกัน" ซิบิลชื่นชมอย่างจริงใจ

    รอยยิ้มหวานส่งคืนสำหรับคำชมที่มาจากใจของอีกฝ่าย ที่เด็กสาวรู้ดีว่าอีกฝ่ายมักพูดแต่เรื่องจริง

    "นายมากับใครเหรอ" ไดแอนถามอย่างนึกขึ้นได้

    "โร นะเธอรู้จักไหม"ซิบิลตอบยิ้มๆ

    "คนสวยที่เต้นรำกับเจ้าชายอาเทอร์นั่นนะเหรอรุ่นพี่โร" ไดแอนทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

    "อือ ฝีมือเฟรินนะ " ซิบิลยิ้มกับอาการของสาวน้อยตรงหน้า

    "รู้อย่างนี้ ฉันให้เฟรินแต่งหน้าให้ก็ดีหรอก" ไดแอนบ่นอย่างเสียดาย

    "อย่าเลย แค่นี้เธอก็สวยมากแล้ว ขืนมากกว่านี้ พวกผู้ชายป้อมอื่นได้จ้องจนไม่ต้องทำอะไรกันพอดี" ซิบิลพูดตามที่คิดออกไปทันที

    ไดแอนมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ก่อนที่จะรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้ากับสายตาหวานที่จ้องมองมาของนักบวชคนซื่อ

    "ในงานนี้ก็มีคนสวยๆตั้งหลายคน" ไดแอนแก้ตัวอย่างเขินๆ

    "แต่เธอคือคนที่สวยที่สุดในสายตาฉัน" ซิบิลบอกสิ่งอยู่ในใจออกไปอย่างลืมตัว

    คงมีคนไม่กี่คนที่ยอมช่วยคนอื่น โดยยอมเสียจูบแรกเพื่อช่วยชีวิตเขา แต่เด็กสาวตรงหน้ามีความงามพร้อมทั้งน้ำใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ ทั้งที่ตอนแรกนั้นพวกเขาไม่ค่อยถูกกัน แต่เด็กสาวก็ยอมช่วยเขา ทำให้ซิบิลประทับใจเด็กสาวมาก

    ทั้งสองมองตากัน อยากจะมองให้ถึงส่วนลึกที่สุดในหัวใจของแต่ละคน

    "วันหยุดไปเที่ยวเมืองกันไหมไดแอน" เสียงนุ่มกระซิบข้างหู ก่อนที่พวกเขาจะแยกกันที่ชั้นล่างของป้อมอัศวิน

    เด็กสาวพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนเดินจากไป เหลือแต่รอยยิ้มอ่อนโยนของนักบวชหนุ่มที่มองส่งด้วยสายตา

    คืนที่เหล่าเพื่อนๆสนุกกับการกินและเรื่องของคิล ทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็นเรื่องราวเงียบๆของนักบวช นอกจากจอมสอดรู้อันดับหนึ่ง เจ้าหัวขโมยตัวดีที่รู้ความนัยของนักบวชและนักเยียวยาสาว มาก่อน

    ส่วนขอทานผู้รอบรู้ก็ตกข่าวนี้ เพราะผจญภัยกับเจ้าชายใจสิงห์อยู่

    เรื่องราวของรุ่นพี่ช่วยรุ่นน้องจึงไม่ได้สะกิดสายตาใคร และด้วยความมีน้ำใจของซิบิลทำให้ทุกอย่างดูเป็นเรื่องปกติ จนใครๆก็คิดไม่ถึง

     

    งานหมากกระดานเกียรติยศ โรชวนซิบิลไปดูปีหนึ่งแข่ง แน่นอนเพราะเป็นห่วงน้องสาว เมื่อไปถึงอัฒจันทร์ โรเดินไปนั่งกับเจ้าชายโรเวน โดยมีซิบิลนั่งอีกข้าง สาเหตุหลักก็เพื่อกันเจ้าชายอาเทอร์ที่มักมานั่งประกบเจ้าชายโรเวนอยู่แล้ว แต่ถึงรู้โรก็อยากมาเชียร์น้องสาว เลยชวนซิบิลมาคั่นข้างเพื่อความปลอดภัย

    สองเจ้าชายต่างก็มองเจ้าหญิงวิเวียนกันเป็นตาเดียว โดยมีเจ้าชายอาเทอร์ตามมาสมทบทีหลัง และต้องนั่งถัดจากซิบิลไปอย่างเสียไม่ได้

    ขณะที่นักบวชหนุ่มจับจ้องไปที่นักเยียวยาสาวอย่างเป็นห่วง เจ้าหญิงวิเวียนและดาบปักษาจันทร์เอาชนะคู่ต่อสู้ไปได้อย่างสวยงาม

    คิวต่อมาเป็นการะปะทะกันของนักเยียวยาสาวกับ สาวนักรบแห่งอเมซอน 

    นักเยียวยาสาวกับเพลงดาบสองมือที่คล่องแคล่วว่องไว  อาศัยเพลงดาบที่มีเทคนิคยอดเยี่ยมและความไวเอาชนะสาวร่างยักษ์คู่ต่อสู้ไปได้ไม่ยาก

    ส่งผลให้ปีหนึ่งป้อมอัศวินเอาชนะปีหนึ่งปราสาทขุนนางไปได้อีกคู่

    ทำให้สองสาวเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษเพราะทั้งสวยและมีฝีมือ

    ซิบิลเองก็นั่งลุ้นอย่างเป็นห่วงตลอดการแข่งขัน แน่นอนโรมัวแต่มองน้องสาวจึงไม่ได้สังเกตรูมเมทของตน

    ในห้องสมุดซิบิลมักมานั่งทำรายงาน พร้อมโรที่มักมาช่วยสอนการบ้านให้วิเวียนอยู่เรื่อย ทำให้พี่ชายสอนน้องสาว และเพื่อนพี่ชายก็ช่วยสอนเพื่อนน้องสาว

    เป็นภาพที่ทุกคนเห็นจนชินตา แต่ในชั้นปีก็รู้อย่างเป็นการภายในว่า ไอ้โร เป็นพี่ชายของเจ้าหญิงวิเวียน เพราะหน้าตาคล้ายกัน  ถึงไม่มีใครเอ่ยปากก็รู้อยู่ดี และที่สำคัญเจ้าชายโรเวนไม่มีท่าทีหึงอะไรกับโร ยิ่งเป็นข้อยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ว่าถูกต้อง

     

    หลังการประลองเลือกตำแหน่งในสภาจบลง

    ทุกอย่างเริ่มชัดมากขึ้นเมื่อท่านผู้คุมกฏหน้าหวานไปมาหาสู่ท่านผู้พิทักษ์ป้อมคนสวยที่ห้องเสธฝ่ายขวาบ่อยๆ และสาวเจ้าก็เตรียมขนมไว้รอต้อนรับอยู่เสมอ

    ทุกคนจึงได้แต่สงสัยปริศนาที่มาของเรื่องรักที่เพื่อนๆไม่ได้มีส่วนร่วม แน่นอนเพราะอดช่วย ( อดยุ่ง ) ทุกคนจึงได้แต่ทำตาปริบๆกับนักบวชมากฝีมือ ผู้ซ่อนคมไว้ในฝักอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึง

     

    ***

     

    โจรสลัดสาวแห่งไนล์ 1

     

    ยามปิดเทอมที่แสนสนุกของทุกคน ยกเว้นก็แต่ลูกชายคนเดียวของโจรสลัดแห่งไนล์ ที่กำลังตกที่นั่งลำบากเพราะความตะกละของตัวเอง

    สำหรับโจรสลัด เรือก็คือบ้าน   แต่สำหรับเขา กลางคืนกับความลับที่บอกใครไม่ได้ ทำให้เจคอยากหนีเที่ยวไม่กลับบ้านจริงๆ

    "เจค ฉันไปบ้านนายด้วยได้ไหม" ดวงตาเป็นห่วงของนักปราบผีแห่งกิลดิเรกมองดูเพื่อนสนิทของตนอย่างเป็นกังวลกับความลับของเพื่อน ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีสร้อยของเฟรินอยู่แล้วก็ตาม

    "นายไม่กลับบ้านเหรอ" เจคถามอย่างเกรงใจเพื่อน

    "ก็ไปบ้านนายก่อน แล้วค่อยไปบ้านฉันก่อนเปิดเทอมก็ได้" เอ็ดเวิร์ดบอกยกมือตบไหล่เพื่อนอย่างปลอบใจ

    "ขอบใจมาก" เจคบอกในที่สุด

     

    ในเรือโจรสลัดที่ปกติอยู่กันเป็นส่วนรวม แต่เฉพาะคนที่มีตำแหน่งสูงๆเท่านั้นที่จะมีห้องส่วนตัว แน่นอนห้องกัปตัน รองกัปตัน และนายน้อย ที่เหลือจะนอนรวมกันให้ห้องใหญ่ใต้ท้องเรือ

    ปิดเทอมปีนี้มีกฏใหม่ที่ห้ามไม่ให้ใครเข้าห้องนายน้อยโดยพลการ เพราะนายน้อยเอาเพื่อนที่เป็นหมอผีมาด้วย และเพื่อนของนายน้อยก็เลี้ยงพรายน้ำที่ดุมากเอาไว้ด้วย

    ทำให้ทุกคนได้รับคำสั่งว่าถ้าไม่อยากถูกผีหลอก จงอยู่ห่างจากห้องของนายน้อย และห้ามเข้าถ้าไม่ได้รับอนุญาต แน่นอนกฏทุกกฏต้องมีคนฝ่าฝืน ลูกเรือคนหนึ่งลืมตัวเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ผลก็คือเสียงร้องโหยหวนกับภาพที่ได้เห็น ผีสาวที่อยู่ในสภาพน่าสยดสยอง ขนาดที่ลูกเรือโจรสลัดที่ว่ากล้าแล้วยังต้องร้องโหยหวน วิ่งป่าแน่บ หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าเปิดประตูห้องนายน้อยโดยเฉพาะยามวิกาล ถ้าไม่ได้รับอนุญาตอีกเลย

    ส่งผลให้สองหนุ่มร่วมป้อมหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง กับมาตราการเชือดไก่ให้ลิงดู

    เอ็ดเวิร์ดนั่งอ่านหนังสือตรงมุมห้อง มองดูเพื่อนที่ค่อนข้างรักสะอาดมากกว่าเดิม เดินฮัมเพลงหลังอาบน้ำอย่างมีความสุข

    เจคจะถอดสร้อยออกก็เฉพาะเวลาอาบน้ำเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าไม่ถอดจะรู้สึกว่าอาบน้ำได้ไม่สะอาดเท่าที่ควร

    ดังนั้นเวลาอันตรายที่คนนอกไม่ควรเห็นคงเป็นตอนอาบน้ำของเจคเท่านั้น ที่เอ็ดเวิร์ดจะกางเขตแดนภาพมายาขวางไว้ ไม่ให้ใครทะเล่อทะล่าเข้ามา ให้ความลับของพวกเขาแตกได้

    ปรายตามองเพื่อนหนุ่ม? ที่กำลังนั่งเช็ดผมที่เริ่มยาวเลยไหล่อย่างสบายอารมณ์ ร่างโปร่งบางหอมกรุ่นที่ดูยั่วอย่างประหลาด ทำให้นักบวชหนุ่มต้องท่องคาถา เพื่อนต้องไม่จีบเพื่อนไปมาอยู่หลายรอบ มาตลอดปิดเทอม

    หลังผมแห้ง ร่างโปร่งจึงหยิบสร้อยออกมาสวมเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าคมตามเดิม

    "เอาเขตแดนออกได้แล้วเอ็ด" เจคหันมาบอกก่อนหยิบขวดเหล้ามาส่งให้เพื่อนสนิทอย่างอารมณ์ดี

    "แล้วช่วงนี้พวกนายมีแผนจะไปปล้นที่ไหน" เอ็ดถามต่อเพื่อชวนคุย

    "เห็นว่าจะออกทะเลแถวสกอร์ปิโอนะ" เจ็คบอกแผนของบิดา

    "งั้นพรุ่งนี้ก็น่าจะสนุกสินะ" เอ็ดพยักหน้ารับ

     

    วันรุ่งขึ้น ตอนดึกท้องฟ้ามีเมฆค่อนข้างมาก แต่ไม่ทำให้เรือโจรสลัดมองไม่เห็นเป้าหมาย เรือสินค้าตรงหน้า

    หลังกัปตันออกคำสั่ง พวกเข้าก็ชักเรือเข้าเทียบข้างและโจมตีอย่างรวดเร็ว เอ็ดเวิร์ดก็สนุกกับการรบเคียงข้างเพื่อนสนิท นักบวชหนุ่มร่ายคาถา ก่อนฟาดดาบใส่คู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว อีกด้านเจคก็สนุกกับคู่ต่อสู้ของตน

    ในไม่ช้าชัยชนะก็เป็นของโจรสลัดผู้ชำนาญการ

    กัปตันเรียกประชุมสรุปผลงานหลังออกเรือห่างจากเรือสินค้ามาได้สักพัก ในห้องประชุมกัปตันฟังการรายงาน โดยมีลูกชายยืนฟังอยู่ไม่ห่าง

    เอ็ดเวิร์ดขอตัวกลับห้องไปก่อน เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เกี่ยว สู้ไปอาบน้ำและอ่านหนังสือรอดีกว่า เพราะหลังประชุมเสร็จไอ้เพื่อนตัวดีก็คงยึดครองห้องน้ำนานอีกตามเคย

    การประชุมเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปตามห้องของแต่ละคน ท้องฟ้าที่ตั้งเค้ามาได้สักพักก็สำแดงฤทธิ์ ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว

    "บ้าจริง" เจคบ่นอย่างไม่ชอบความเปียกชื้น สิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือการอาบน้ำ

    เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้าห้องและร่ายคาถาล็อคอย่างรวดเร็วอย่างเป็นนิสัย แถมด้วยคาถาเก็บเสียง เพราะรู้ตัวดีว่าเวลาร้องเพลงเสียงที่ฟังดูหวานกว่าปกติ จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเอาได้

    เด็กหนุ่มถอดสร้อยออก สลัดเสื้อผ้าที่เปียกออกจากตัวอย่างรวดเร็ว เดินตรงเข้าห้องน้ำมองดูอ่างอาบน้ำที่ส่งควันร้อนออกมาตาเป็นประกาย ทั้งลมเย็นและน้ำฝนทำให้ร่างบางหนาวสั่น

    ร่างบางไม่ได้คิดอะไร เพราะเอ็ดมักร่ายคาถาทำน้ำอุ่นไว้ให้เขาอยู่เสมอ เนื่องจากอีกฝ่ายจะอาบน้ำก่อนเขาประจำ จะได้ไม่ต้องรอห้องน้ำเวลาที่เขาอาบนาน หลังส่งตัวเองลงไปในอ่างอาบน้ำ ร่างโปร่งบางก็หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขกับน้ำอุ่น

    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของนักบวชแห่งกิลดิเรกเบิกตากว้าง ไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาจากลำคอได้กับผู้บุกรุกที่ดูจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับน้ำอุ่นโดยไม่ได้สนใจอะไรกับเพื่อนร่วมอ่างที่แช่อยู่ก่อนแล้ว

    เจครับหลับพริ้มได้สักพักก่อนรู้สึกถึงความผิดปกติ อืมอ่างอาบน้ำรู้สึกว่าจะแคบกว่าปกตินะ เมื่อสมองประมวลเรื่องราวไปได้สักพัก เปลือกตาบางก็ลืมขึ้น มองฝ่าไอร้อนของน้ำไป

    ดวงตาสีฟ้าอมเขียวน้ำทะเลมองสบกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มของคนเป็นเพื่อนที่สีหน้าแดงก่ำ ใบหน้าหวานขมวดคิ้วสักพักก่อนเริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แขนสองข้างยกขึ้นมากอดบังหน้าอกไว้อย่างลืมตัว

    "ฉะ ฉันขึ้นก่อนนะ" เอ็ดบอกเสียงตะกุกตะกัก "นายหันหน้าไปทางอื่นก่อนสิ" นักบวชหนุ่มบอกอย่างขัดเขิน

    "นายรีบออกไปเลย" เจคบอกสีหน้าเข้มเล็กน้อย หันหน้าไปทางที่ไม่มีร่างสูงของเพื่อนสนิท รู้สึกประหม่าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขาของพวกเขาสัมผัสกันเล็กน้อยก่อนที่น้ำจะกระเพื่อนเมื่ออีกร่างลุกขึ้น

    ระดับน้ำที่ลดลงเผยให้เห็นเนินอกเนียนร่ำไร นักบวชหนุ่มเผลอมองอย่างลืมตัว ร่างบางหันมาสบตา ก่อนเบิกตากว้างกับร่างเปลือยของคนเป็นเพื่อน

    เอ็ดเวิร์ดเรียกสติกลับมาได้ รีบเอาผ้าเช็ดตัวพันกายและเดินออกไปอย่างเร็ว โดยไม่ยอมหันหลังกลับมามอง

    เจคสีหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นรัว นึกด่าตัวเอง "บ้า ร่างเปลือยของหมอนั่นก็ใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน อาบน้ำด้วยกันก็เคย จะมาใจเต้นแปลกๆทำไมตอนนี้นะ "

    หลังออกมาจากห้องน้ำ ร่างบางคว้าสร้อยใส่อย่างรวดเร็ว หันไปมองร่างเพื่อนสนิทที่นอนหันหลังให้อยู่ที่มุมห้อง ถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินกลับไปที่มุมของตนและหลับสนิทไปในเวลาไม่นาน

    เสียงหายใจที่สม่ำเสมอของร่างบาง ทำให้ร่างสูงที่นอนหันหน้าเข้าหาฝาผนังมาตลอด พลิกตัวกลับมามองร่างที่หลับสนิท สายตาสับสน

     

    อีกสัปดาห์ต่อมาเรือโจรสลัดก็เทียบท่าที่กิลดิเรก เพื่อส่งนายน้อยและเพื่อนสนิท

    ทั้งสองเดินทางต่อไปบ้านของเอ็ดเวิร์ด

    พ่อแม่ของเอ็ดเวิร์ดต้อนรับเพื่อนของลูกเป็นอย่างดี ทั้งสองแวะไปเยี่ยมโคลว์ที่วิหารหลวง

    ท่าทีสนิทสนมของเอ็ดเวิร์ดและเจคทำให้มหาสังฆราชสงสัย หลังทั้งคู่กลับไปแล้ว จึงได้เรียกโคลว์มาซักข้อสงสัย

    "เอ่อ พวกเขามีข่าวว่าคบกันนะครับ" โคลว์บอกเรื่องที่เอ็ดเคยมาปรึกษาปัญหาหัวใจให้บิดาฟัง

    มหาสังฆราชอ้าปากค้าง เห็นท่าการให้ลูกสาวอยู่ในร่างผู้ชายที่ป้อมอัศวินจะไม่ปลอดภัยซะแล้ว และเอ็ดเวิร์ดก็น่าจะไว้ใจไม่ได้ เกิดมองลูกเขาแปลกๆขึ้นมาจะยุ่งเปล่าๆ

    หลังคิดสักพัก ก็เหลืออยู่แค่ตัวเลือกเดียว ไอ้นักบวชเก๊ลูกของคู่อริตัวดีน่าจะปลอดภัยกว่า เพราะเจ้าชายรัชทายาทคงไม่มีรสนิยมเป็นเกย์แน่นอน ฝากโคลว์ไว้ให้เด็กหนุ่มหน้าสวยนั่นช่วยดูคงสบายใจได้มากกว่าฝากพวกเกย์ดูแลลูกสาวในร่างผู้ชาย

    และอีกไม่กี่ปีให้หลังที่มหาสังฆราชรู้ตัวว่าคิดผิดที่ฝากปลาไว้กับแมวเจ้าเล่ห์ แน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คัดค้านอะไรไม่ได้ ให้เมื่อลูกสาวสุดที่รักมอบหัวใจให้เจ้าชายหน้าสวยไปเรียบร้อยแล้ว

    ปิดเทอมปีหก เอ็ดเวิร์ดยังคงมานั่งเป็นต้นห้องให้รูมเมทเช่นเดิม ทั้งเรือเริ่มรับรู้ว่านายน้อยน่าจะมีความสัมพันธ์พิเศษกับเพื่อนสนิทเสียแล้ว

    เพราะดูจากสายตาคนนอกพวกเขาค่อนข้างสนิทสนมมากกว่าเพื่อนสนิททั่วไป และเวลาแวะท่าเรือ นายน้อยดูจะไม่ชอบใจเอามากๆเวลาที่มีสาวๆมาทักเพื่อนตน ดูจะหวงออกนอกหน้าไปหน่อย

     

    กัปตันแจ๊คผู้พ่อมองดูความสัมพันธ์ของลูกชายและเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ถือว่าเป็นความสุขส่วนตัวของคนเป็นลูก และเจ้าหนุ่มนักบวชก็ดูจะจริงจังกับลูกเขา

    ทำให้ทั้งเรือดูจะรับรู้กันเป็นการภายในว่านักบวชจากกิลดิเรกเป็นคนพิเศษของนายน้อย แน่นอนห้ามทักออกมาตรงๆเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากถูกนายน้อยโมโหใส่

    นกเหยี่ยวมาส่งจดหมายให้เจค

    "พบกันที่เกาะเวอร์จิเนีย" ลูคัส ซาโดเรีย แอนด์ เฟริน เดอเบอโรว์

    สองสหายร่วมป้อมมองหน้ากันอย่างสงสัยกับจดหมายสั้นๆ

    "พวกเขามีเรื่องอะไรกันนะ" เอ็ดเวิร์ดบ่น

    "บางทีพวกเขาอาจคิดยาแก้ได้แล้ว" เสียงเจคบอกอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นชื่อรุ่นพี่ลูคัส ในจดหมาย

    "แต่เล่นไม่บอกเวลาที่นัดให้ชัดเจน" เอ็ดเวิร์ดต่อเรื่องที่คาใจ ส่วนลึกเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนร่างกลับเลย

    "บางทีพวกเขาน่าจะอยู่ที่เกาะกันแล้วก็ได้มั้ง" เจคสันนิษฐาน เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องไปบอกบิดาเรื่องที่นัดเพื่อนไว้ที่เกาะส่วนตัวของเพื่อนที่บิดาเคยไป เพื่อให้บิดาช่วยไปส่งพวกเขาที่เกาะเวอร์จิเนีย

    เรือโจรสลัดเทียบท่าที่เกาะเวอร์จิเนีย ขณะที่เรือที่จอดเทียบท่าอยู่แล้ว ดูเหมือนเรือของแอเรียส ที่สำคัญดูเหมือนจะมีตราประจำราชวงศ์เสียด้วย กัปตันทั้งสองเรือต่างก็คุมเชิงดูกันทั้งสองฝ่าย

    "เรือนั่นเป็นแขกของเรา" เสียงหวานของสตรีร่างสูงโปร่ง ดวงหน้าหวานสวย ผมสีดำสนิท ยาวสลวย เดินออกมาจากในเรือ เหล่าทหารประจำเรือต่างก็ทำความเคารพร่างบางอย่างนอบน้อม

    "ท่านคงเป็นกัปตันแจ๊ค" เสียงหวานกล่างทักทาย

    "ถวายบังคมองค์ราชินีแห่งแอเรียส " กัปตันแจ๊คบอกเสียงเรียบ เขาพอจะเดาได้ไม่ยากว่าคนสำคัญบนเรือพระที่นั่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกสะใภ้คนสวยของอดีตคิงริชาร์ด  ราชินีของคิงลอเรนซ์

    "เราเชิญบุตรของท่านมาเป็นแขกของเรา ไว้เสร็จธุระเราค่อยพาพวกเขาไปส่งที่กิลดิเรกให้เอง" สุรเสียงหวานบอก พร้อมรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์

    "เป็นพระกรุณาพะยะค่ะ" กัปตันตอบ ก่อนส่งลูกชายและเพื่อนขึ้นฝั่ง

    ที่ท่าเรือร่างบางผมสีน้ำตาล ที่กัปตันจำได้ว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมป้อมของลูกชาย ยืนโบกมือยิ้มหวานให้อย่างร่าเริง ทำให้เขาพอจะวางใจได้ว่าคงไม่มีอันตรายอะไร หลังส่งลูกเสร็จกัปตันโจรสลัดแห่งไนล์ก็ออกเรือกลับสู่ทะเลต่อ

    ร่างโปร่งบางของราชินีองค์ใหม่แห่งแอเรียส เสด็จลงจากเรือเพียงลำพัง โดยให้ทหารและองครักษ์อยู่บนเรือ

    "ไม่ต้องตามมา เราดูแลตัวเองได้" เสียงทรงอำนาจบอก เดินตรงไปหารุ่นน้องทั้งสาม

    "เข้าบ้านก่อนนะฮะรุ่นพี่" เฟรินบอกเดินนำหน้าไปอย่างไม่ให้เสียเวลา

    เจคและเอ็ดเวิร์ดเดินตามมาอย่างงงๆ ยิ่งมองเห็นมังกรดำแห่งเดมอสที่อยู่ข้างๆบ้านอีก ยิ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้น ไอ้เฟรินมันจะทำอะไรของมันนะ แถมยังพ่วงราชินีของรุ่นพี่ลอเรนซ์เข้ามาอีก

    "เอ่อ "สองหนุ่มแห่งป้อมอัศวินรู้สึกประหม่าที่จะพูดคำราชาศัพท์ ที่สำคัญต่อหน้าคนสวยด้วย  ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่

    เสียงหวานหัวเราะอย่างขบขำ

    "เรียกพี่ลูคัสตามเดิมก็ได้ เจคกี้ เอ็ดดี้" เสียงหวานบอกปนหัวเราะ

    สองรุ่นน้องเบิกตากว้างหันไปมองไอ้หัวขโมยตัวดีเพื่อขอคำยืนยัน

    "รุ่นพี่ลูคัสเปลี่ยนเป็นผู้หญิงแล้วเข้าพิธีแต่งงานกับรุ่นพี่ลอเรนซ์ ส่งผลให้พวกรุ่นพี่เป็นคิงและควีนของแอเรียสแอนด์ทริสทอร์" เฟรินอธิบายสั้นๆ ได้ใจความ มองดูเพื่อนๆที่พึ่งรู้ความจริงอย่างสนุกกับท่าทีประหลาดใจของสองเพื่อนร่วมป้อม

    "พูดจริงนะ" สองเสียงประสานกันอย่างพร้อมเพรียง

    "เรื่องจริงสิ" เสียงหวานของราชินีคนสวยยืนยันขณะที่เหยี่ยวเวทย์บินมาเกาะไหล่

    "เอาเข้าเรื่องที่เรียกมาดีกว่า เดี๋ยวจะเสียเวลามากไปเปล่าๆ ไม่งั้นอาจต้อง รับเสด็จคิงลอเรนซ์อีก" เฟรินตัดบท เพราะไม่อยากเผชิญกับใบหน้าหงุดหงิดของหวานใจพี่ลูคัส

    "รุ่นพี่ทำยาแก้ได้แล้วเหรอฮะ" เจคถามอย่างดีใจ น้ำเสียงตื่นเต้น

    "ไม่ใช่ยาแก้โดยตรงหรอก" น้ำเสียงหวานบอก นัยน์ตาเปล่งประกายสนุกสนาน ที่ทำให้สองรุ่นน้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อย คงไม่ได้เอาพวกเขามาลองยาแปลกๆอีกหรอกนะ

    "แล้วมันเป็นยาอะไรฮะ " เอ็ดเวิร์ดถามแทนอย่างสงสัย

    "พี่ก็แค่เปลี่ยนการกระตุ้นจากแสงจันทร์เป็นอย่างอื่นแทนนะ" ลูคัสเริ่มเฉลย

    เฟรินส่งยิ้มหวานก่อนเริ่มอธิบายแทนเมื่อเห็นว่าพวกเพื่อนคงไม่เข้าใจ

    "คราวก่อนเราใช้ตัวยาอาบแสงจันทร์ ทำให้แสงจันทร์เป็นตัวกระตุ้นในการเปลี่ยนร่าง แต่ถ้าเพิ่มตัวยาเข้าไปอีกนิดหน่อย เพื่อให้แสงจันทร์ไม่อาจกระตุ้นได้ นายก็จะไม่เปลี่ยนร่างเวลาถูกแสงจันทร์

    ตราบที่ไม่ได้การกระตุ้นแบบพิเศษก็จะไม่เปลี่ยนร่าง ก็ถือว่านายหายได้เหมือนกัน" เฟรินขยายความอีกเล็กน้อย

    เจคพยักหน้ารับอย่างเริ่มมีความหวัง ขณะที่เอ็ดเวิร์ดเริ่มได้กลิ่นไม่ชอบมาพากล

    "แล้วอะไรคือการกระตุ้นแบบพิเศษล่ะเฟริน รุ่นพี่ลูคัส" เอ็ดเวิร์ดถามเสียงไม่ไว้วางใจ

    "อ้อเรื่องนั่นนะ ก็ไอเท็มยอดนิยม จูบไงจ๊ะ" เสียงหวานบอกอย่างชอบใจ

    "หมายความว่าถ้าผมจูบกับใครก็จะเปลี่ยนร่างเป็นผู้หญิงอย่างนั้นใช่มั้ยฮะ" เจคถามเมื่อเริ่มเก็ทไอเดียสุดพิเรนทร์ของรุ่นพี่ซาตานประจำป้อม

    "ไม่ใช่กับใครก็ได้หรอก เพราะยาตัวนี้มีสองสูตรที่ต้องกินร่วมกัน เธอจะกินสูตรหนึ่ง และอีกคนจะกินอีกสูตรหนึ่ง และคนนั้นเท่านั้นที่จะจูบแล้วทำให้เธอเปลี่ยนร่างได้ โดยมีข้อแม้ว่าคนๆนั้นจะต้องอยู่เคียงข้างเธอไปชั่วชีวิต" ลูคัสเฉลยยิ้มๆ

    "ทำไมต้องมีสองสูตรล่ะฮะ" เอ็ดเวิร์ดถามอย่างสงสัย นิ่วหน้าเล็กน้อย

    "เพราะเราจะใช้คนนั้นแทนแสงจันทร์ไงล่ะ"ลูคัสตอบเสียงเรียบ ใบหน้าดูซื่อบริสุทธิ์

    "เราเปลี่ยนการกระตุ้นจากแสงจันทร์เป็นแสงจากไข่มุกแสงจันทร์แทน และต้องเป็นเฉพาะคนด้วย มิฉะนั้นเวลานายเข้าใกล้พวกเชื้อพระวงศ์ที่ใส่ไข่มุกแสงจันทร์ก็จะเปลี่ยนร่างทั้งหมดนะสิ ถึงต้องผูกขาดไว้แค่คนๆหนึ่งเท่านั้น" เฟรินให้เหตุผล

    "หมายความว่าให้ฉันทานตัวยาเพิ่ม และให้ใครสักคนทานไข่มุกแสงจันทร์เข้าไปใช่มั้ย" เจคถามตามที่เข้าใจ

    "ใช่แล้วล่ะ นายต้องทานยาที่ผสมเลือดของคนนั้นเข้าไป ขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องทานไข่มุกแสงจันทร์ผสมเลือดของนาย ผูกพันธะให้พวกนายมีผลต่อกัน ถึงจะควบคุมการเปลี่ยนร่างของนายได้ ว่าแต่นายมีคนรักหรือยังล่ะ ถ้าเป็นคนรักกัน ยาจะส่งผลดีที่สุด" เฟรินบอกคอนเซ็บป์ของยาแก้

    สองเพื่อนซี้มองหน้ากันไปมา

    "ผมจะทานยาอีกสูตรเอง" เอ็ดเวิร์ดบอกเสียงหนักแน่นเมื่อตัดสินใจได้

    "แต่เอ็ด " เจคเอ่ยขัดอย่างเกรงใจเพื่อนสนิทที่ต้องเสียอิสระของตัวเองมาผูกติดกับเขา

    "ฉันเต็มใจจะอยู่กับนายไปชั่วชีวิต" เอ็ดเวิร์ดบอกเสียงจริงจัง แววตาสีน้ำเงินสบดวงตาสีเขียวอมฟ้าของเพื่อนสนิทอย่างเปิดเผยความรู้สึก

    "หมายความว่าต่อไปฉันก็ไม่ต้องเปลี่ยนร่างกลางคืนแล้วใช่มั้ย" เจคหลบตาเพื่อนสนิท แกล้งแก้เขินโดยการหันไปถามเฟรินให้แน่ใจ

    "ใช่ นายจะเปลี่ยนร่างเฉพาะเวลาที่จูบกับเอ็ดเวิร์ดเท่านั้น แต่ไม่จำกัดเฉพาะเวลากลางคืน ถ้าพวกนายจูบกันกลางวันนายก็เปลี่ยนร่างได้" เฟรินอธิบาย

    "แล้วทำยังไงถึงจะเปลี่ยนกับมาร่างเดิมได้ล่ะ" เอ็ดเวิร์ดถามอย่างติดใจ กับปัญหาบางอย่าง

    "ถ้าเปลี่ยนร่างแล้วก็ต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นใหม่ถึงจะเปลี่ยนร่างกลับคืนมาได้นะสิ เพราะฉะนั้นในตอนกลางคืนจะจูบกี่ครั้งก็ไม่เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นผู้ชายได้หรอก" ลูคัสอธิบายได้ตรงกับความสงสัยของนักบวชหนุ่ม ส่งผลให้คนถามสีหน้าเข้มจัดทันที

    เจคได้ฟังคำตอบถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเริ่มเข้าใจว่าเพื่อนถามคำถามนั้นทำไม สีหน้าเริ่มแดงตามเพื่อนรักไปอีกคน

    สองพี่น้องปีศาจมองดูสองหนูลองยาอย่างพึงพอใจ เดินนำเข้าไปในห้องปรุงยา

    "ยื่นแขนพวกนายมาสิ" เฟรินออกคำสั่ง มือถือมีดเล่มบางกับถ้วยใส่เลือดเตรียมพร้อม

    สองคนยืนแขนให้แต่โดยดี หลังเลือดผสมกับยาแต่ละสูตรเสร็จ ลูคัสก็ยื่นถ้วยยาให้สองหนุ่ม

    ทั้งคู่รับมาดื่มอย่างไม่ค่อยแน่ใจ กลั้นใจดื่มรวดเดียวให้หมด มองหน้ากันไปมา ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรนี่

    "พวกนายต้องรอตอนกลางคืนก่อน ถึงจะทราบว่ายาได้ผลไหม" เฟรินบอกอย่างเข้าใจความสงสัยของเพื่อน

    ทั้งสองหนูลองยาได้แต่พยักหน้าอย่างยอมรับ เอาของส่วนตัวไปเก็บที่ห้องพัก

     

    ตกค่ำดวงจันทร์สีเหลืองนวลปรากฏบนท้องฟ้า ร่างสองร่างเดินดูพระจันทร์อยู่ในสวน ขณะที่สองพี่น้องร่วมป้อมนั่งจิบน้ำชาแกล้มขนมอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงมองดูผลงานอย่างสนใจ

    "เดินตากแสงจันทร์มาตั้งนานก็ไม่เปลี่ยนร่างล่ะเอ็ด" เจคบอกอย่างยินดี

    "นายถอดสร้อยของเฟรินแล้วใช่มั้ย" เอ็ดเวิร์ดถามอย่างรอบคอบ เห็นเพื่อนรักพยักหน้า เปิดเสื้อให้ดูคอว่างเปล่าเป็นการยืนยัน

    ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ตราบที่พวกเขาไม่ได้จูบกัน เจคก็ไม่ต้องเปลี่ยนร่าง

    "พวกนายไม่ลองจูบกันหน่อยรึ ฉันอยากรู้ว่ายาได้ผลดีไหมนะ" เสียงใสของเสธฯป้อมถามมาจากระเบียงชั้นสองของบ้าน

    "เฟรี่ล่ะก็ อย่าไปบังคับเพื่อนอย่างนั้นสิ เรื่องแบบนี้มันต้องมีมู้ดก่อนสิ" นัยน์ตาซาตานสาวพราวระยับ แน่นอนสิ่งที่พวกเขาไม่ได้บอกสองหนุ่มข้างล่างคือ

    ในสูตรยามันผสมยาเสน่ห์เข้าไปด้วย

    เมื่อพวกเขาจ้องหน้ากัน พวกเขาก็อดที่จะจูบกันไม่ได้หรอก ก็มันเป็นยาของซาตานแห่งทริสทอร์นี่นา

     

    ***

     

    เจ้าสาวของซาตาน 1

     

    ที่แอเรียสและทริสทอร์กำลังวุ่นวายกับการสละราชบัลลังก์ของคิงริชาร์ด และพิธีแต่งงานและแต่งตั้งกษัตริย์และราชินีใหม่

    ข่าวลือว่าเจ้าสาวคนสวยเป็นรัชทายาทแห่งทริสทอร์ เสียงร่ำลือต่างๆ ทำให้ทุกคนต่างเฝ้ารอดูว่าที่ราชินีแห่งแอเรียสกันทุกคน

    ที่พระราชวังแห่งทริสทอร์ กษัตริย์และราชินีและทริสทอร์กำลังนั่งหารือเรื่องพิธีการต่างๆกับคิงริชาร์ด อย่างสนุกสนาน

    ในห้องส่วนตัวขององค์รัชทายาท สองสหายแห่งป้อมอัศวินกำลังนั่งจิบชา

    "นั่นคือยาที่นายคิดค้นใหม่หรือลูคัส" ว่าที่คิงแห่งแอเรียสถามอย่างสงสัย

    "อืม จริงสิ ฉันขออะไรหน่อยได้มั้ย ลอรี่" ซาตานแห่งทริสทอร์ถาม แววตาอ้อน

    "จะขออะไร ก็ว่ามาก่อนสิลูคัส" ลอเรนซ์ถามเสียงไม่ไว้ใจไอ้ซาตานเจ้าเล่ห์

    "ฉันอยากได้วันหยุดประจำปีนะ วันที่นายไม่ต้องออกว่าราชการ จะได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน แค่ปีละสามวันก็พอ ได้มั้ยลอรี่"  ซาตานเจ้าปัญหาถามเสียงอ่อน

    นักบวชแห่งแอเรียสมองหน้าเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนมาเป็นคนรักอย่างไม่ค่อยไว้ใจ เพราะรู้จักนิสัยซาตานกะล่อนดี แต่เท่าที่ฟังก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร  สงสัยฮอร์โมนมันคงแปรปรวนมั้งที่ขออะไรประหลาด

    ท่ามันจะฝึกนิสัยแบบผู้หญิงมั้ง แต่ก็คงไม่เสียหายอะไรนี่ ที่จะมีวันหยุดให้ตัวเองสักปีละสามวัน

    "แล้วนายอยากได้วันไหนล่ะ" นักบวชหนุ่มถอนหายใจก่อนถามว่าที่เจ้าสาว

    "ฉันอยากให้หยุดในวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืนและวันต่อจากนั้นอีกสองวันเป็นวันหยุดพักผ่อนสำหรับพวกเรา " ลูคัสบอกแววตาแสนซื่อ

    "ก็ได้ ฉันจะประกาศให้วันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืนและอีกสองวันต่อจากนั้นเป็นวันหยุดประจำปีของแอเรียสและทริสทอร์ " ลอเรนซ์ให้สัญญา ก่อนต้องรับมือกับซาตานเจ้าปัญหาที่โถมตัวเข้ามากอดเต็มแรง

    "ไอ้บ้าลูคัส ตัวก็ไม่เล็ก มันหนักนะ.." เสียงบ่นขาดหายไป เมื่อรู้สึกถึงส่วนต่างของน้ำหนัก และเนื้อนุ่มที่สัมผัสได้ ก่อนหน้าแดงขึ้น เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนชัดๆ

    ดวงหน้าหวาน ผมยาว กับดวงตาสีนิลคู่สวย หยุดทุกความคิดของว่าที่คิง ยิ่งได้กลิ่นหอมของคนในอ้อมแขน เหตุผลทุกอย่างก็ดูจะหายไป

    เสียงหวานครางประท้วงกับริมฝีปากที่ถูกรุกราน

    "พอแล้วลอรี่ เดี๋ยวมีคนมา"

    "อีกนิดนะลูคัส " เสียงแหบพร่ากับดวงตาสีอเมทิสต์วาวหวาน ก้มหน้าไปชิมความหวานจากริมฝีปากอิ่มอย่างไม่รู้พอ

    เสียงกระแอมดังมาจากคิงริชาร์ดอย่างทึ่งกับลีลาของลูกชายผู้เรียบร้อย ชนิดที่ไม่คิดว่ามันจะเอาเชื้อพ่อติดมาได้ จากประวัติอันขาวสะอาดเจ็ดปีที่เรียนเอดินเบิร์กมาของมัน อย่างน้อยมันก็ได้เชื้อข้าติดมาบ้าง ไม่เสียชื่อคิงริชาร์ดเสียทีเดียว

    ดวงตาสีม่วงออกอาการเสียดายปนขัดใจที่ถูกขัดจังหวะ

    "พ่อเอาแผนงานพิธีมาให้ แล้วแม่ยายเราเขาต้องการตัวลูกเขาไปลองชุดที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้นะลอเรนซ์" บิดาบอกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างเข้าใจความรู้สึกคนหนุ่มดี

    "งั้นฉันขอตัวก่อนนะ" ร่างบางในคราบหญิงสาวหมาดๆ บอกสีหน้าเขินเล็กน้อย

    นักบวชหนุ่มมองตามร่างของว่าที่เจ้าสาวไปสุดสายตา ราวกับวิญญาณจะออกจากร่าง ทำให้ผู้บิดาส่งเสียงในคออย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้

    "พรุ่งนี้เขาก็เป็นเจ้าสาวแกแล้วลอเรนซ์ไม่ต้องทำราวกับวิญญาณจะออกจากร่างอย่างนั้นก็ได้" คิงขี้ใจน้อยตวัดเสียงบอกก่อนส่งสายตาค้อนคนเป็นลูก

    "ก็หมอนั่นพึ่งจะยอมทานยาเปลี่ยนเพศเมื่อกี้นี่ท่านพ่อ" เสียงตัดพ้อดังมาจากว่าที่เจ้าบ่าวอย่างเสียดาย

    "ของดีก็ต้องอดใจรอหน่อย แกไม่ได้รอข้ามปีเสียหน่อย ความจริงแกควรจะขอบใจฉันที่รีบให้แกขึ้นครองราชย์ จะได้เชยชมหวานใจเสียให้พอ ไม่งั้นคงต้องรอแต่งพร้อมลูกไอ้บาโรแน่" คิงผู้มากแผนการเฉลย

    สองพ่อลูกสบตากัน ก่อนยิ้มให้แก่กัน

    พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นการภายในของสองอาณาจักร โดยเชิญแขกเฉพาะคิงที่รู้จักสนิทกันเป็นพิเศษ

    ที่ขาดไม่ได้ของทริสทอร์คือ ราชาปีศาจเอวิเดสและราชินีอลิเซียที่มาร่วมงานด้วย ของฝั่งแอเรียสก็ไม่พ้นสามทหารเสือแห่งเอดินเบิร์กที่มาร่วมงานแต่งของหลานคนแรกแห่งรุ่น

    จักรพรรดิวิลเลี่ยมไปคุยกับกษัตริย์แห่งทริสทอร์ในฐานะญาติและหัวอกเดียวกันที่อยู่ๆ ลูกชายรัชทายาทต้องเปลี่ยนเป็นลูกสาว ตอนนี้เขาก็พอจะทำใจได้อยู่ เกี่ยงก็แต่ว่า ชื่อเสียงของเจ้าชายอาเทอร์มักมีเรื่องเสือผู้หญิงติดมาด้วย ทำให้นึกเป็นห่วงแทนชาเบียน

    เพราะอย่างไร ลูกเจ้าริชาร์ดก็ไม่มีข่าวคาวกับผู้หญิงมาก่อน ทำให้วางใจได้มากกว่า เจ้าชายอาเทอร์

    พิธีการผ่านไปอย่างสวยงาม ไม่มีเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษ โดยกษัตรย์อาเทอร์เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ ขณะที่หญิงสาวคนสวยที่คล้ายราชินีอลิเซียเป็นเพื่อนเจ้าสาว

    ดวงตาสีเข้มของกษัตริย์แห่งซาเรส หรี่ตามองอย่างสงสัย แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นเฟรินอย่างไม่ต้องสงสัย นึกขำก็แต่ไอ้พวกนี้ไม่ยอมเชิญโรเวนมาร่วมงานด้วย

    เหตุผลของไอ้พวกบ้าก็ไม่พ้น รอไปเซอร์ไพรส์พวกมันทีเดียวในงานแต่งงานของโรเวนก็แล้วกัน

    อดีตคิงกาเบรียลยืนคุยเรื่องฮาเร็มอย่างสนุกสนานกับคิงริชาร์ดที่จะกลับไปสละราชบัลลังก์หลังพิธีแต่งงานเสร็จ ปล่อยให้ได้พวกลูกๆไปฮันนีมูนให้เรียบร้อยก่อน ไม่แน่เขาอาจได้อุ้มหลานให้เร็ววัน

    "ริชาร์ดมันหน้าบานเป็นจานเชิงเชียว" คิงบาโรบอกปนขำ

    "ก็มันมีลูกชายอยู่คนเดียว แถมยังไม่คิดว่าลูกชายจะหาคนรักได้อีก มันก็สมควรที่จะยิ้มไม่หุบอยู่หรอก" จักรพรรดิวิลเลี่ยนตอบ

    "ของนายก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่วิล" คิงบาโรบอก

    " ฉันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ " จักรพรรดิวิลเลี่ยมตอบ หรี่ตามองดูว่าที่ลูกเขยที่ยืนคุยกับเพื่อนเจ้าสาวอย่างไม่ค่อยพอใจ

    "ไม่ต้องคิดมากก็ได้วิล นั่นนะเฟลิโอน่านะ" เสียงหวานของราชินีแห่งเดมอสบอกปนขบขำ แน่ละอีกคนที่ไม่ค่อยพอใจคงไม่พ้นท่านพ่อที่หวงลูกสาวเล็กน้อยที่ส่งรังสีปิศาจเป็นระยะไปที่คิงแห่งซาเรส

    คิงบาโรหันไปมองสาวน้อยหน้าหวานอีกครั้งอย่างให้แน่ใจ อืมอย่างน้อยคาโลก็มีหวังได้แต่งงานแน่ เขาจะได้ไม่ต้องห่วงเหมือนไอ้ริชมัน

    อีกด้านที่ถูกรังสีปิศาจแผ่มาเป็นระยะก็ยังคงไม่สนใจสมชื่อกษัตริย์ใจสิงห์

    "ทำไมคาโลไม่มาด้วยล่ะเฟริน" เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์เวลาใช้คุยกับคนสวยถาม

    "ก็มันเป็นหัวหน้าป้อม ต้องรับผิดชอบดูแลป้อม ส่วนผม มหาปราชญ์ใช้งานบังหน้าทำให้ผมออกมาได้นะฮะ" คำตอบสไตล์เฟรินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ร่างกายจะเปลี่ยนก็ตาม

    "โร สบายดีไหม" เสียงจริงใจถามเข้าประเด็น

    "ความจริงผมก็ว่าจะพามันมาด้วย แต่ติดงานนะฮะ" เฟรินบ่นอย่างเสียดาย ก่อนกระซิบเบาๆ

    "ถ้าคืนนี้ท่านเปิดหน้าต่างรอ บางทีมันคงขี่มังกรมาได้มั้งฮะ แต่อย่าให้พ่อมันเห็นล่ะฮะ"

    "ขอบใจมาก" เสียงหัวเราะอย่างถูกใจตอบ แน่ล่ะพ่อตาเขาก็หวงลูกสาวไม่แพ้คิงเอวิเดส

    เฟรินขอตัวไปหาบิดาที่ส่งสายตาเขม่นมาเป็นระยะหลังคุยธุระเสร็จ แน่นอนไอ้โรมันต้องมาอวยพรวันแต่งงานให้ลูกพี่ลูกน้องอย่างรุ่นพี่ลูคัสอยู่แล้ว แต่ไม่อยากให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนรักกับท่านพ่อ แถมมันยังอยู่ระหว่างออกเดินทางจะมาแบบเปิดเผยก็ไม่ได้

    ตามแผนมันจะไปรอที่ห้องเจ้าสาวอวยพรให้แบบส่วนตัวก่อนไปหลบอยู่ห้องกษัตริย์แห่งซาเรส แล้วค่อยกลับพร้อมเขาพรุ่งนี้เช้า

    ในที่สุดเวลาที่ลอเรนซ์รอคอยก็มาถึง เวลาส่งตัวเข้าหอ หลังมองดูเจ้าสาวคนสวยข้างกายมาตลอดวันและทำได้แค่จับมือ

    เจ้าสาวคนงามยืนอย่างขัดเขินเล็กน้อยเมื่อต้องอยู่กันสองคนในห้องหอ

    ร่างสูงอุ้มร่างบางเดินตรงไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

    "อาบน้ำก่อนไหมลูคัส" เสียงทุ้มถามอย่างเอาใจ

    "ดีเหมือนกัน แต่ฉันเดินเองได้นี่ลอรี่" เจ้าสาวหมาดๆสีหน้าเข้มตอบ ไม่รู้ทำไมไอ้ร่างผู้หญิงนี่ถึงได้หน้าแดงบ่อยกว่าร่างเดิมได้ สงสัยเพราะฮอร์โมนผู้หญิงแน่เลย

    มือเรียวไล่ปลดพันธนาการบนร่างบางออกอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาการขัดขืนอะไรนอกจากสีหน้าแดงก่ำของอดีตเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนฐานะมาเป็นเจ้าสาวหมาดๆ

    อ่างน้ำอุ่นที่ส่งกลิ่นหอมของน้ำมันหอม ที่ทำให้บรรยากาศยิ่งเคลิบเคลื้ม กับร่างเปลือยสองร่างที่หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน

    ลูคัสใช้เวลาไม่นานก่อนเรียกเอาตัวตนเดิมกลับมาได้ แน่ล่ะ ไม่ใช่เขาไม่เคยเห็นร่างเปลือยของอีกฝ่ายมาก่อน ผิดกันก็แต่ว่าตอนนี้เขาเป็นฝ่ายรับก็เท่านั้น

    จุมพิตร้อนที่กระตุ้นอารมณ์ของคู่รัก กับมือที่ลูบไล้ไปทั่วผิวเนียน เสียงครางหวานดังรอดออกมาจากห้องหอ

    "นายคิดว่าคงไม่มีใครแอบดูพวกเราหรอกนะลอรี่" เสียงหวานถามอย่างไม่ไว้ใจ

    ร่างสูงคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนร่ายเวทกันการแอบดู แน่นอนคนที่ไม่น่าไว้ใจมันมีเยอะ แต่อันดับต้นๆคงไม่พ้นบิดาเขา กันไว้ดีกว่าแก้

    ร่างบางยิ้มหวานให้ก่อนมอบรางวัลด้วยจุมพิตหวาน

    "ไปที่เตียงนะลูคัส" เสียงพร่ากระซิบถามที่ข้างหู ก้มลงช้อนร่างบางขึ้นจะอ่างอาบน้ำ ห่อด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เดินตรงไปที่เตียงกว้าง

    แววตาหวามของซาตานตัวดี กับรอยยิ้มหวาน ทำให้ลูกชายของกษัตริย์นักรักลืมตัวได้ไม่ยาก

    เสียงพรอดรักสลับกับเสียงครางดังออกมาจากเตียงกว้างตลอดคืน แต่ไม่มีเสียงใดลอดออกจากห้องได้ ด้วยเวทของนักบวชแห่งแอเรียส

    อีกห้องก็ถูกร่ายด้วยเวทไม่ต่างกัน กษัตริย์หนุ่มแห่งซาเรสกับคู่หมั้นที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ร่างบางนั่งบนตักของคู่หมั้น ริมฝีปากถูกช่วงชิงด้วยริมฝีปากอุ่นของคนรัก

    "นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันเลยโร" เสียงพูดปนตัดพ้อ หลังปล่อยให้ร่างบางได้พักหายใจ

    "ก็ท่านทำงานไม่ค่อยว่างนี่ครับ" เสียงตอบปนหอบเหนื่อย ซบหน้าที่อกกว้างของร่างสูง

    มือใหญ่ทำงานอย่างต่อเนื่องในการปลดเสื้อผ้าของร่างบางในอ้อมกอด ที่อยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม สำหรับเขาจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ต่างกัน แต่สำหรับซาเรสที่ต้องมีรัชทายาทนั่นก็เป็นอีกเรื่อง

    ร่างกึ่งเปลือยของคนในอ้อมแขนทำให้เขารู้สึกได้ไม่ยาก ริมฝีปากที่เริ่มไล่ไปตามซอกคอเรียวบางอย่างหลงใหล มือหนึ่งโอบรอบเอวบาง ส่วนอีกมือก็รุกรานถึงไปถึงใต้กางเกงของอีกฝ่าย

    เสียงครางกับอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นด้วยฝีมือของผู้เชี่ยวชาญแห่งซาเรส แขนเรียวโอบรอบคอของร่างสูงไว้เป็นหลักยึด เมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดออกจากร่าง เขารู้สึกถึงแรงอุ้มที่ทำให้ตัวลอย กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับที่นอนนุ่ม

    ยังไม่ทันได้ขยับกายร่างสูงก็ตามลงมาสมทบอย่างไม่ปล่อยโอกาสให้หนี อารมณ์หวามครอบครองเขาจนทำให้คิดอะไรไม่ออก ปล่อยให้ร่างสูงเป็นฝ่ายชักนำไปจนสุดทาง

     

    สามปีผ่านไป

    กษัตริย์แห่งแอเรียสและทริสทอร์เยือนคาโนวาลอย่างเป็นทางการ

    ในห้องพระอักษร เจ้าชายแห่งคาโนวาลที่พึ่งจบการศึกษาจากเอดินเบิร์กไม่เกินเดือน กำลังยุ่งกับเอกสารกองโต เงยหน้ามองแขกผู้มาเยือน

    "ถวายบังคับพะยะค่ะ" เสียงเรียบกล่าวทักอดีตรุ่นพี่

    "ไม่ต้องมีพิธีการขนาดนั้นก็ได้คาโล เรียกรุ่นพี่อย่างเก่าดีกว่า" คิงลอเรนซ์บอกรุ่นน้อง

    "ครับ" เสียงตอบรับสั้นๆตามประสาคนพูดน้อย

    "จริงสิ พักนี้เจอเฟรินหรือเปล่า" คิงหนุ่มถาม แน่ล่ะเขามีเรื่องสำคัญต้องเตือนรุ่นน้อง เพราะอีกฝ่ายต้องดองกับรุ่นน้องปิศาจของซาตานเจ้าปัญหา

    "ไม่เจอครับ เฟรินกลับไปเดมอสตั้งแต่หลังเรียนจบ" เสียงเหงาบอกแผ่วเบา

    "เออ.." สีหน้าลำบากใจของคิงลอเรนซ์ทำให้ดวงตาสีฟ้ามองอย่างสงสัย

    "รุ่นพี่มีเรื่องอะไรกับเฟรินหรือครับ" เสียงเข้มถามต่อ

    "พี่ไม่มีเรื่องอะไรกับเฟรินหรอก เพียงแต่พี่อยากเตือนเรื่องยาแปลงเพศสูตรใหม่ของลูคัสมัน เอ่อ..." สีหน้าเข้มจัดของลอเรนซ์ กระตุ้นความอยากรู้ของคนพูดน้อย จนยอมเป็นฝ่ายถามต่ออย่างรวดเร็ว

    "มันมีผลข้างเคียงอะไรหรือครับ" เสียงเป็นห่วงถามต่อเพราะไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเฟริน ถ้ามันอันตรายเขาก็ไม่อยากให้หมอนั่นกินเหมือนกัน

    "มันมีผลข้างเคียงเล็กน้อย" เสียงอ้อมแอ้มตอบก่อนจะได้พูดอะไรต่อเสียงเปิดประตูตามมาด้วย ร่างโปร่งบางของราชินีคนงาม

    "หวัดดีคาลี่ อ้าวลอรี่ตามหาตั้งนานนึกว่าหายไปไหน" เสียงหวานทักทายนัยน์ตาเป็นประกายอย่างชอบใจ ปนเจ้าเล่ห์ เดินมาเกาะแขน

    เสียงซักถามสารทุกข์ ทำให้คาโลลืมเรื่องที่คุยค้างอยู่ ยิ่งรุ่นพี่คนสวยเปิดประเด็นการเมือง การค้า ทำให้เขาสานต่อเรื่องข้อพิพาททางการค้าของคาโนวาลและแอเรียสต่ออย่างสนใจ

     

    ***

     

    เจ้าสาวของซาตาน 2

     

    ที่พระราชวังนครจันทรา สองอาหลานรับจดหมายจากเหยี่ยวเวทของราชินีแห่งแอเรียส

    "แหม คิงลอเรนซ์กำลังคิดจะเตือนรุ่นน้องเหรอนี่" รอยยิ้มหวานของราชินีคนงามสบตาหลานรัก

    "ผมคงต้องรีบลงมือก่อนไอ้ตุ๊กตาหิมะนั่นรู้ตัวเสียแล้ว" แววตาเจ้าเล่ห์ของหัวขโมยตัวดีกับรอยยิ้มกริ่ม

    เสียงหัวเราะของสองอาหลานที่คนคาโนวาลได้ยินแล้วจะรู้สึกหนาวอย่างแน่นอน

    สองวันต่อมา ของฝากจากเดมอสก็ถึงมือเจ้าชายน้ำแข็ง

    คิ้วเรียวสวยขมวดอย่างสงสัยก่อนที่รอยยิ้มที่น้อยคนจะได้เห็นปรากฏที่ริมฝีปากเมื่ออ่านจดหมายของหัวขโมยตัวดี

     

    ถึงคาโล

     

    ฉันพึ่งหัดทำขนมน้ำตาพระจันทร์เป็นครั้งแรก ฝีมืออาจไม่ดีเท่าไร

    ฉันส่งมาให้นายลองชิม ไว้ค่อยทานพร้อมน้ำชาขณะที่นายทำงานก็ได้

     

    รัก

    เฟริน

     

    ปล. มันคงไม่อร่อย เพราะฉะนั้นนายกินคนเดียวก็พอ ไม่ต้องแบ่งให้ใครกินล่ะ ฉันจะได้ไม่ขายหน้ามากนัก

    ยังไงก็ติชมด้วยล่ะ ไว้คราวหน้าฉันจะได้ปรับปรุงฝีมือ

     

    เจ้าชายหนุ่มมองดูขนมสองชิ้นเล็กที่ส่งมาให้ นึกขัน นี่กะจะให้แค่สองชิ้นเองเหรอ ขี้เหนียวจริงๆ

    นางกำนัลเอาน้ำชามาเสริฟ ทำให้เจ้าชายหนุ่มถือโอกาสทานขนมฝีมือคนรัก

    อืมมันก็ไม่เลว ความจริงหมอนั่นก็มีฝีมือทำอาหารอยู่แล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องออกตัวแบบนั้นเลย

    เจ้าชายหนุ่มปัดความคิดออกไป ก่อนลงมือเขียนจดหมายขอบคุณขนมที่ได้รับ

     

    ถึงเฟริน

     

    ขนมอร่อยดี ฉันทานหมดทั้งสองชิ้น

    แต่นายค่อนข้างขี้เหนียวไปหน่อยนะที่ให้แค่สองชิ้นอย่างนี้

    ไว้ฉันจะส่งแอปเปิ้ลคาโนวาลไปให้

     

    คิดถึง

    คาโล

     

    ที่พระราชวังแห่งเดมอส

    หนุ่มน้อยผมสีน้ำตาลกำลังสนุกกับการขี่มังกร โดยมีโกโดมยืนบ่นอยู่ข้างๆเหมือนเดิม

    หลังทนฟังเสียงบ่นจนเบื่อ เฟรินถึงได้ยอมลงจากมังกรที่ฝึกการขี่ผาดโผนและตีลังกา กลับเข้าไปทานอาหารเย็นกับบิดาและมารดา

    "อ้าวเฟริน มีของฝากจากคาโนวาลแน่ะ" ราชินีคนงามบอกเสียงขบขัน

    "ไม่รู้ว่าคาโนวาลจะงกอะไรขนาดนั้น " เอวิเดสบ่น

    ดวงตาสีน้ำตาลมองดูตระกร้าใบสวยที่ใส่แอปเปิ้ลมาให้สองลูก ก่อนหัวเราะเสียงดัง หยิบจดหมายอีกฝ่ายมาอ่าน แววตาขบขันกับอารมณ์แก้เผ็ดของเจ้าชายบ้า

    แน่นอนเขาจงใจให้ขนมแค่สองชิ้นเพื่อกันการเกิดอุบัติเหตุ ให้บุคคลไม่พึ่งประสงค์ทานขนมพิเศษเข้าไป และรับประกันว่าหมอนั่นทานเข้าไปเองแน่ๆ

    ความจริงไม่ให้ชิ้นเดียวก็ดีเท่าไรแล้ว

    ไว้คราวหน้าค่อยส่งไปกล่องใหญ่ๆก็ได้ ขนมจริงๆ ไม่ปลอมปน?

    "เราไปทำอะไรไว้ล่ะเฟริน" คนเป็นมารดาถามอย่างสงสัย

    "ผมส่งขนมไปให้มันแค่สองชิ้น มันเลยส่งแอปเปิ้ลมาให้แค่สองลูกเป็นการประชดผมนะครับท่านแม่" เฟรินบอกเสียงขบขัน

    สามคนพ่อแม่ลูกหัวเราะกัน

    "จริงสิท่านน้ายูรีซิสบอกว่าจะให้ผมไปอเมซอนเป็นเพื่อนตอนไปขอแต่งงานมาทิลด้าล่ะฮะ" เฟรินเล่า

    "นั่นสิ ท่านพ่อก็ว่าจะขอตัวลูกไปช่วยราชการด้วย" อลิเซียบอก ทำเมินสายตาประท้วงของจ้าวเอวิเดส ที่อยากอยู่กับลูกนานๆ

    "แล้วพ่อมาดัสว่าจะมารับด้วยนี่ใช่มั้ยฮะ" เฟรินถามอย่างสงสัย ว่าพ่อมาดัสไม่ค่อยชอบผ่านด่านที่เดมอส ครั้งนี้ลงทุนมารับด้วยตัวเอง สงสัยท่านตาคงขอแกมบังคับแฮะ

    ทั้งสามนั่งคุยเรื่องราวกันอย่างสนุกสนาน

     

    เกวียนลำน้อยออกจากพระราชวังเดมอส สองพ่อลูกนั่งเล่นหมากรุกกันต่อหลังจากไม่ได้ปะทะฝีมือกันมานาน

    "รุกฆาต" เสียงใสประกาศ

    "พอ ไม่เล่นแล้ว" คนแพ้เริ่มพาลล้มกระดาน ก่อนถอนหายใจ มองดูคนเป็นลูกที่ต้องเริ่มรับภาระงานบ้านงานเมืองเสียทีอย่างเป็นห่วง

    "ไปเที่ยวกันสักพักดีไหมพ่อ" เฟรินชวน

    "ดีเหมือนกัน เริ่มที่ไหนก่อนดีล่ะ" มาดัสรับคำเสียงใส

    "ซาเรสก่อนดีไหมฮะ" เฟรินถามซาวน์เสียง

    "แกจะไปทำอะไรเมืองนักสู้นั่น"มาดัสถามอย่างสงสัย

    "ผมสังหรณ์ว่ามีใครสักคนสองคนคิดถึงนะสิฮะ" เฟรินว่า ยิ้มกริ่มที่ริมฝีปาก เมื่อคืนเขาฝันเรื่องประหลาด เรื่องปัญหาตลกของไอ้เดทและซอร์โรมัน เห็นทีคงต้องไปช่วยสักหน่อย

     

    ที่พระราชวังแห่งแอเรียส

    ซึ่งวันนี้เป็นวันหยุดที่จะมีปีละสามวัน และไม่อนุญาตให้ใครรบกวนยกเว้นก็แต่นางกำนัลคนสนิทเท่านั้น

    ในห้องบรรทมเสียงหวานหัวเราะอย่างสนุกสนาน กับภาพร่างของคิงที่ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นหญิงสาวผมสีทองสดใส แววตาสีม่วงเป็นประกายด้วยอารมณ์โมโห

    "สนุกนักใช่มั้ยลูคัส" เสียงหวานเค้นถามอย่างไม่สบอารมณ์

    "แหมลอรี่ แค่ปีละวันสองเท่านั้นเอง นายไม่น่าจะโมโหอะไรขนาดนั้น ฉันที่สามร้อยหกสิบกว่าวันเป็นผู้หญิงยังไม่บ่นอะไรสักคำ" ซาตานแห่งทริสทอร์ในร่างชายหนุ่มผมสีดำ ใบหน้าคมเข้มเหมือนเดิมตอบปนหัวเราะ

    "แล้วทำไม แค่หนึ่งวันในรอบปีที่นายบอกว่าเป็นวันเดียวที่จะมีโอกาสท้องได้ ต้องเป็นวันที่ฉันเป็นผู้หญิงด้วยเล่า" เสียงลอเรนซ์ตะโกนถามอย่างเจ็บใจที่เสียรู้ไอ้ซาตานตัวดี

    "แหมมันก็ยุติธรรมดีแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นผู้หญิงเกือบทั้งปี แค่ให้นายเป็นวันสองวัน เพียงแต่ตอนตั้งท้องนายต้องเป็นคนอุ้มท้องเอง ก็มันทำใจลำบากนี่ที่ฉันจะต้องเป็นคนคลอดลูกเอง ฉันได้ยินมาว่ามันเจ็บมากเลยนะลอรี่ นายไม่สงสารฉันเหรอ" เสียงอ้อนปนบีบน้ำตาที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าตอนเป็นผู้ชายเท่าไร

    "ไม่ต้องมาเรียกความสงสารเลยลูคัส ฉันผิดเองที่ไว้ใจนาย" เสียงหวานกล่าวอย่างเจ็บใจ นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เตือนคาโลเรื่องผลข้างเคียงพิเศษของยานี่เลย ที่ทำให้เขาเป็นผู้หญิงสองวันต่อปี แต่ที่น่าเจ็บใจ คือมันเป็นช่วงที่หมอนั่นจะกลับเป็นผู้ชายสามวันต่อปี สองวันแรกเป็นโอกาสของหมอนั่นที่กลับเป็นผู้ชาย ขณะที่เขาเป็นผู้หญิง ส่วนวันที่สามดันเป็นผู้ชายทั้งคู่ที่ลูคัสให้เหตุผลว่า เอาไว้รำลึกความหลังสมัยเรียน ที่มันมักอาศัยร่างกายที่ตัวใหญ่กว่าหากำไรจากเขาอีก

    "ไม่ต้องคิดเตือนคาลี่หรอกลอรี่ เพราะมันคงช้าไปแล้ว" เสียงทุ้มนุ่มนวลบอกอย่างรู้ดี ขณะเริ่มจัดการชิมอาหารหวานบนเตียงให้สมกับที่ต้องอดใจรอมาทั้งปี ช่วงสามวันนี้จะเป็นเวลาแห่งการแก้คืนทั้งปีของเขาเสียที

    "อือ ไม่เอาลูคัส ฉันยังไม่อยากท้อง" เสียงครางประท้วง หลังโดนจุมพิตร้อนของซาตานตัวดี

    "นายไม่อยากมีหลานให้พ่อนายอุ้มเล่นเหรอ" เสียงทุ้มถามยั่ว ก่อนปลุกเร้าอารมณ์สาวของสามีต่อ ริมฝีปากร้อนที่ไล่ไปทั่วผิวเนียนนุ่ม สลับกับเสียงร้องครางหวานของคิงแห่งแอเรียส

    ถือเป็นวันแห่งความสำราญของราชินีสองแผ่นดินเป็นอย่างมาก และถือเป็นความลับสุดยอดของคิงแห่งแอเรียสและทริสทอร์

     

    เสียงร้องฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ของหัวขโมยตัวดีหลังจัดการปัญหาของสองเพื่อนร่วมป้อมเสร็จ เด็กหนุ่มเดินแทะแอปเปิ้ลซาเรส มองดูร้านสองข้างทาง ก่อนปะทะกับร่างของใครสักคน

    "ขอโทษที" สองเสียงประสานพร้อมกัน

    "อ้าวเฟริน"

    "ทิวดอร์ มาทำอะไรที่ซาเรสล่ะ" เฟรินเปิดฉากถามอย่างสงสัย

    เจ้าชายแห่งวิทช์ที่หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย หลบสายตาค้นหาของเจ้าเสธป้อมตัวดี

    "อาชูร่าล่ะสิ" เสียงดักคอย่างรู้ทัน

    "นายก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ไปหาที่นั่งคุยกันดีไหม" เสียงห้าวชวนต่อ อย่างน้อยมันก็เป็นที่ปรึกษาที่ดี

    ทั้งสองเดินไปที่สวนสาธารณะ หามุมสงบที่ไม่ค่อยมีใครผ่านมา

    "นายรู้เรื่องยาใหม่ของพี่ลูคัสไหม" ทิวดอร์เข้าเรื่อง

    "ยาใหม่ ตัวไหน" เฟรินขมวดคิ้วอย่างสงสัย แน่นอนเพราะรุ่นพี่ตัวดีมียาใหม่อยู่เสมอ จนทำให้เขาไม่รู้ว่ายาที่ทิวดอร์หมายถึงนะ มันยาตัวไหน

    "ก็ยาที่เจคกับเอ็ดมันกินเข้าไปนะ" เจ้าชายหนุ่มเท้าความทันที

    "อ้อยาใหม่เมื่อปีก่อน" เฟรินพยักหน้ารับ ยิ้มหวานอย่างเข้าใจ

    "ฉันไม่ได้อยากกินยานั่นเหรอ เพราะรู้สึกว่ามันจะเปลี่ยนร่างบ่อยกว่าไม่กินเสียด้วยซ้ำ เพราะเจ้าสองคนนั่นจูบกันอยู่เรื่อยนี่" เสียงบ่นปนเสียดาย ก็ของเขามันยังไม่คืบหน้าไปถึงไหนนี่ จะรุกเร็วก็ไม่กล้า

    "อาชูร่าถึงจะตัวเล็ก แต่ก็ไม่ชอบเป็นอย่างมากเวลามีใครมาปฏิบัติกับเขาแบบผู้หญิงสินะ" เฟรินรำพึงอย่างเข้าใจปัญหา ก็ซาเรสเป็นเมืองนักรบไม่ใช่เมืองคุณหนู

    "นั่นแหละ แต่ฉันก็ชอบหมอนั่น เราเข้ากันได้ทุกเรื่อง หมอนั่นไม่เรื่องมากเหมือนพวกผู้หญิง แถมกินเก่ง คุยสนุก" ทิวดอร์เริ่มบรรยายความประทับใจต่อ

    "แล้วทำไมนายไม่ไปบอกมันเอง มานั่งรำพันให้ฉันฟังจะไปมีประโยชน์อะไร" เฟรินบ่นต่อ

    "ถ้าฉันพูดได้ ฉันพูดไปนานแล้วโว้ย ไม่ต้องมาเดินเกร่อยู่แล้วจตุรัสซาเรสอย่างนี้หรอก" เสียงโวยประท้วงบอก ก็มันไม่กล้าพูดต่อหน้านี่น้า

    "แค่ทำให้นายมีความกล้าที่จะพูดก็พอใช่มั้ย" รอยยิ้มหวานของลูกปีศาจปรากฏที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม สร้างความรู้สึกหนาวเยือกให้คู่สนทนา แต่จะคิดเปลี่ยนใจก็ดูจะไม่ทันแล้ว

     

    ที่ลานฝึกฝีมือของตระกูลเอพริล เด็กหนุ่มกำลังร่ายเวทกับภูตประจำตัวของตน

    เสียงตะโกนทักทายเรียกความสนใจของเด็กหนุ่มร่างบางเป็นอย่างมาก

    "พวกนายมาทำอะไรถึงซาเรสนี่" เสียงทักทายเพื่อนอย่างดีใจ

    "ว่าจะชวนพวกนายไปเที่ยว สนใจไหม " เฟรินเข้าเรื่อง

    "ไปไหน" อาชูร่าถามก่อน เพราะความจริงก็สนใจเหมือนกัน

    "ตะลุยกินอาหารตั้งแต่ซาเรสไปจรดอเมซอนเป็นไง" เฟรินบอกกำหนดการ เพราะเขานัดท่านตาและท่านน้าไว้เจอกันที่อเมซอน เพื่อไปสู่ขอมาทิลด้า

    "ว้าวยอดไปเลย" อาชูร่าบอกอย่างถูกใจ ถ้าเป็นเรื่องของกิน

    ทั้งสามเริ่มออกเดินทางประเดิมด้วยของกินอร่อยของซาเรส ต่อที่วิทช์ ไล่ไปเจมิไน ฟรานส์ ไนล์ จบที่ อเมซอน

    "พรุ่งนี้ฉันต้องแยกไปจัดการธุระส่วนตัว พวกนายเที่ยวกันไปก่อนก็แล้วกันนะ" เฟรินว่า ส่งยิ้มหวานก่อนหยิบเอาของดีออกมา

    "เฮ้ยเหล้าประหลาดฉันไม่เอาแล้วนะเฟริน" อาชูร่าบอกอย่างนึกเสียวไม่หาย เมื่อนึกถึงเรื่องสมัยก่อนที่ทำให้เขาต้องลำบากอยู่ทุกเดือน

    "ใช่ซะเมื่อไร อันนี้เหล้าของไนล์ และฉันผสมสูตรพิเศษของฉันเอง ระหว่างกินเรามาเล่นเกมทายปัญหากันดีกว่า" เฟรินว่า

    "เกมทายปัญหา" ทิวดอร์ถามอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ

    "ใช่ คนถามปัญหา ดื่มเหล้าก่อนหนึ่งแก้วแล้วถามหนึ่งคำถาม พวกนายตอบ ใครจนคำตอบก่อน แพ้ต้องทำตามคำสั่งคนชนะหนึ่งอย่างแล้วก็เวียนกันไปเรื่อยๆ" เฟรินบอกกติกา

    หัวขโมยตัวดีรินเหล้าแจก

    เฟรินยกเหล้ามาจิบก่อนเปิดประเด็น "พวกนายมีคนถูกใจกันหรือยัง"

    "มีแล้ว" ทิวดอร์บอก หันไปฟังคำตอบของร่างบาง

    "มีแล้ว" อาชูร่าบอกไม่ยอมสบตาเพื่อนร่วมห้อง

    "ดีมากต่อไปตาพวกนาย" เฟรินบอก

    "คนรักพวกนายนิสัยยังไง" ทิวดอร์ที่ดื่มเหล้าก่อนตามกติกาเอ่ยถามต่อ

    "ของฉันนิสัยเสีย พูดไม่เข้าหู ไม่โรแมนติก แล้วก็ชอบทำตัวเป็นวีรบุรุษไม่เข้าท่า" เฟรินว่า นึกในใจว่าป่านนี้คนที่ถูกพูดถึงคงจามน่าดู

    "เอ่อ ก็เป็นคนดี มีน้ำใจ แล้วก็คอยดูแลฉันอยู่เสมอ" เสียงเล็กตอบ สีหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย รีบหยิบแก้วเหล้ามาดื่มอย่างรวดเร็ว

    "พวกนายขอพวกเขาแต่งงานหรือยัง" เสียงเล็กถามรัวเร็ว มองหน้าเพื่อนสนิท

    "ยังเลย ว่าจะรอให้มันขอก่อนนะ" เฟรินว่า นึกในใจว่าเขาคงไม่ต้องรอเป็นสิบปีหรอกนะที่จะให้ไอ้คนพูดน้อยยอมเปิดปากพูดก่อน หรือว่าเขาต้องเป็นฝ่ายขอมันเองท่าจะดีกว่า นี่ดีนะว่าตราบที่เขายังไม่เปลี่ยนเป็นผู้หญิงหมอนั่นก็ยังไม่เปลี่ยน ทำให้ตอนนี้ยายังไม่ส่งผลอะไรทั้งนั้น

    "ฉันว่าจะขออยู่เหมือนกัน" ทิวดอร์ตอบก่อนหยิบเหล้ามาดื่มรวดเดียวหมดแก้วอย่างตัดสินใจ

    "นายจะแต่งงานกับฉันไหมอาชูร่า" เสียงเข้มกว่าปกติของเจ้าชายแห่งวิทช์ถามอย่างหนักแน่น แววตาจริงจัง ไม่มีเค้าของความเมาแม้แต่น้อย

    อาชูร่ามองหน้าอีกฝ่ายอย่งตกใจ เอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกัก " แต่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ แล้วนายก็เป็นเจ้าชายรัชทายาทนะ มันไม่เหมาะสม" หลังให้คำตอบร่างบางก้มหน้ามองพื้น

    หัวขโมยตัวดี ลุกออกไปอย่างเงียบๆ หลังได้ยินคำถามเด็ด

    "ฉันยังไม่ได้ฟังคำตอบที่ถามเลยนะ อาชูร่า" ทิวดอร์ทวง

    "ฉันขอถามนายก่อนแล้วค่อยให้คำตอบ นายคิดยังไงกับฉัน" เสียงถามอย่างไม่แน่ใจ ดังขึ้นหลังดื่มเหล้าเป็นแก้วที่สาม

    "มันก็แน่อยู่แล้ว ฉันรักนาย" เสียงจริงจังตอบ ดวงตามองอีกฝ่ายคาดหวัง  ดื่มเหล้าอีกแก้ว ก่อนถาม "แล้วนายคิดอย่างไรกับฉัน"

    "ฉันก็คิดเหมือนนาย แต่.." อาชูร่าบอก

    "งั้นเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ ถ้านายใจตรงกับฉัน ฉันก็ไม่เห็นเหตุผลว่าจะมีใครเหมาะกับฉันยิ่งไปกว่านาย" ทิวดอร์พูดขัดอีกฝ่าย หยิบเอาสร้อยไข่มุกแสงจันทร์คล้องคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

    "คำตอบของฉันล่ะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะกอดนายทั้งคืนเป็นการลงโทษนะอาชูร่า" เสียงนุ่มถาม ใบหน้าแดงเล็กน้อย ที่แยกไม่ออกว่าเมาหรือเขินกันแน่

    "ก็ต้องตกลงอยู่แล้ว ไอ้บ้า" รีบให้คำตอบก่อนจะถูกลงโทษ

    "เล่นเกมตอบคำถามต่อไหม" เสียงนุ่มกระซิบถามที่ข้างหูอีกฝ่าย

    "นายอยากถามอะไร" เงยหน้ามองอีกฝ่าย ก่อนรับคำถามด้วยริมฝีปากและส่งผ่านคำตอบด้วยริมฝีปากเช่นกัน ดูเหมือนคำพูดจะไม่จำเป็นสำหรับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว

     

    ยามเช้าที่ห้องรับรองของคิงแห่งอเมซอน

    ไฮคิงและหลานรัก มองหน้ากัน ขณะที่เจ้าชายยูรีซิสเดินกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดเพราะตื่นเต้น

    "ดูเหมือนหลานจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ" เสียงสัพยอกดังมาจากผู้เป็นตา เพราะหลานรักดูจะอารมณ์ดีผิดกับลูกชายบุญธรรมที่ดูกังวลจนน่าสงสาร

    "ก็ดูเหมือนเพื่อนๆจะหาคนแต่งงานได้กันเกือบหมดรุ่นแล้วนะครับ" เฟรินว่า

    คิงเฮลด้าเดินออกมา พร้อมกับลูกสาวผู้เป็นจุดประสงค์หลักของการมาเยือนครั้งนี้

    สองคิงเริ่มการเจรจาอย่างเป็นพิธีการ เฟรินนั่งมองดูท่านตากับเพื่อนท่านแม่ต่อรองกันอย่างไม่มีใครเป็นรองใคร

    หันไปมองดูสองคู่รักที่ต่างก็นั่งตัวแข็ง ดูตื่นเต้นไม่ต่างกัน นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา แต่ก็ลอบชำเลืองดูกันเป็นระยะ เด็กหนุ่มจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์

    เรื่องคนอื่นมันก็ดูสนุกดีอยู่หรอก ไว้ถึงตาเขาอาจตื่นเต้นกว่าท่านน้าและมาทิลด้าก็ได้

     

    ***

     

    ขอแต่งงาน 1

     

    หลังปิดเทอมครอบครัว โรมานอฟ มีกำหนดการเที่ยว เป็นการฉลองการเรียนจบของลูกสาวคนเล็กของตระกูลโดยจะไปพักบ้านญาติฝ่ายแม่ที่ฟรานส์ ที่สำคัญมีหวานใจของลูกสาวเป็นบอดี้การ์ดกิตติมศักดิ์ตลอดการเดินทางตั้งแต่วิทช์ถึงฟรานส์

    และว่าที่ลูกเขยยังเชิญพวกเขาไปเที่ยวต่อที่ไนล์ โดยเจ้าตัวแอบกระซิบกับว่าที่พ่อตา แม่ยาย ว่าอยากให้เจอพ่อแม่ของเขาด้วย

    สองผู้ใหญ่ได้แต่ยิ้มให้กับนักรบหนุ่ม เพราะพวกเขาได้ทราบเรื่องการแต่งงานหมู่ที่มีไฮคิงเป็นเจ้าภาพ

    ทั้งหมดพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศของราชวงศ์ที่ฟรานส์ เพราะพวกเขามีความเกี่ยวดองกัน ยายของแองเจลีน่า เป็นเชื้อพระวงศ์

    ครี้ดไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นกับบรรยากาศหรูหราของวังเท่าไร ชายหนุ่มทำตัวเหมือนปกติเวลาอยู่โรงเรียน ยังคงกวนประสาทคู่หมั้นอยู่ตลอด

    ขบวนเกวียนของครอบครัวโรมานอฟออกเดินทางจากฟรานส์เพื่อไปไนล์ต่อ

    "ครี้ด นายว่าเกวียนนั่นคุ้นตาไหม" เสียงใสของหวานใจถาม

    "อืม ดูโทรมเหมือนเกวียนของเฟรินมันเลยนี่" ครี้ดว่า จ้องมองเกวียนคันน้อยที่วิ่งอยู่ข้างหน้าอย่างสนใจ

    พวกเขาจอดตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านตรวจของไนล์

    "เฮ้อ พวกมันจริงๆด้วย แถมยังมีทิวดอร์กับอาชูร่าอีกแองจี้" เด็กหนุ่มบอกอย่างตื่นเต้น

    "ว้าว เฟริน " แองจี้ตะโกนเรียกอดีตหวานใจอย่างลืมตัว ทำเอาหวานใจคนปัจจุบันนิ่วหน้าอย่างไม่ค่อยชอบใจ

    "อ้าวครี้ด แองจี้" สามเสียงประสานกัน โดยปล่อยหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองให้ท่านมาดัสเจ้าของเกวียนจัดการไป

    ทั้งสามเข้ามารุมสองเพื่อนร่วมป้อมทันที หันไปเห็นพ่อแม่ของแองจี้ ทั้งสามยักคิ้วให้ครี้ดอย่างมีนัย

    "ไวเหมือนกันนี่ครี้ด จะเจรจาแล้วเหรอ" เฟรินกระซิบข้างหูเพื่อน อีกสองสหายพยักหน้ารับ เรียกเอาใบหน้าขึ้นสีให้นักรบหนุ่มทันที

    "พวกแกนี่" ครี้ดบ่น รู้สึกอึ้งพูดไม่ออกทันที ทิวดอร์ตบไหล่เพื่อนให้กำลังใจ

    "เจ้าชายทิวดอร์ " สองพ่อแม่ของแองจี้ทำเคารพเด็กหนุ่ม

    "เรียกแค่ชื่อก็พอท่านน้า เพราะพวกท่านเป็นพ่อแม่ของเพื่อนของผม" เด็กหนุ่มออกตัว

    ทั้งสองเกวียนแยกย้ายกันไป เพราะเฟรินให้เหตุผลว่าจะออกตะเวณหาของเด็ดกิน ครี้ดแอบกระซิบว่าจะมารายงานผลคืนนี้ที่บาร์ชื่อดังของไนล์

    "พยายามเข้า" สามเสียงของเพื่อนร่วมป้อมให้กำลังใจนักรบหนุ่ม

    เกวียนของครอบครัวโรมานอฟที่ขับโดยนักรบเจ้าถิ่นเล่นตรงเข้าไปในเขตตัวเมืองชั้นใน และผ่านประตูหน้าวังหลวงเข้าไปอย่างง่ายดาย

    ทั้งหมดถูกพาตัวเข้าไปในห้องรับรองส่วนพระองค์ของพระราชวัง

    องค์กษัตริย์และราชินีเสด็จออกมา

    ครอบครัวโรมานอฟทำความเคารพกษัตริย์และราชินีแห่งไนล์อย่างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

    "ไม่ต้องมาพิธีหรอก เราคนกันเอง " เสียงตอบอย่างคนอารมณ์ดีของกษัตริย์

    "ยังไงพวกเรามาเข้าเรื่องธุระสำคัญของพวกลูกๆกันดีกว่า " เสียงหวานของราชินีตรัส

    "อืม จริงด้วย เราอยากขอลูกสาวท่านให้แก่ลูกชายของเรา" เสียงเป็นงานเป็นการกล่าว

    "ลูกสาวเรากับลูกชายของท่าน แต่ลูกสาวเรามีคนรักแล้ว" เสียงบิดาของแองจี้กล่าวอย่างสับสน

    "ใช่ลูกสาวท่านเป็นคนรักของลูกชายเรา" เสียงองค์กษัตริย์ตรัสตอบอย่างใจเย็น

    "ครี้ดนายเป็นเจ้าชายงั้นเหรอ" แองจี้ที่ฟังอยู่นานสรุปประเด็น

    "อือ" นักรบหนุ่มพยักหน้ารับอย่างอึดอัดเล็กน้อย กลัวปฏิกริยาของสาวเจ้า ก่อนตัดสินใจจูงมือหวานใจไปตกลงกันต่อที่ห้องส่วนตัว

    "ฝากท่านพ่อท่านแม่ตกลงรายละเอียดนะพะยะค่ะ หม่อมฉันพาแองจี้ไปทัวร์วังก่อน" ครี้ดบอกก่อนพาร่างบางหายไปอย่างรวดเร็ว

    "ยังใจร้อนไม่เปลี่ยนจริงๆ" เสียงเอ็นดูของคนเป็นแม่บ่น

    ผู้ใหญ่ทั้งสี่จิบน้ำชา ขนม ก่อนคุยธุระอย่างสบายใจ ปล่อยให้หนุ่มสาวคุยกันเอง

     

    ที่ห้องนอนของเจ้าชาย

    "นายไม่เคยบอกฉันสักคำว่าเป็นเจ้าชาย ทั้งที่ไนล์ก็ไม่มีธรรมเนียมให้รัชทายาทออกเร่รอนสักหน่อย" แองจี้แหวใส่คนรักทันที

    "ก็มันไม่เห็นจะแปลกอะไร ใครๆก็บอกอยู่เสมอว่าฉันดูไม่เหมือนเจ้าชายในนิทานอยู่แล้ว ที่สำคัญฉันอยากให้เธอเห็นฉันที่เป็นตัวฉันจริงๆมากกว่า" ครี้ดบอกเหตุผล

    "อืมแล้วทำไมไม่บอกก่อนมา" แองจี้ถามกลับ

    "ก็กลัวเธอไม่เชื่อหาว่าฉันอำเล่นนะสิ" ครี้ดให้เหตุผล แถมหน้าประตูยังเจอไอ้พวกเพื่อนๆอีก เลยไม่ได้พูด

    "เธอจะแต่งงานฉันมั้ยแองจี้" ครี้ดถามเสียงจริงจัง

    "แน่นอนฉันจะแต่งงานกับนายครี้ด ธันเดอร์ ตราบเท่าที่ยังให้ฉันตีหัวนายได้" เสียงเหี้ยมของนางฟ้ากระบองวิเศษประจำป้อมตอบ

    "ขอบใจ" หนุ่มนักรบคอย่นบอกทั้งรอยยิ้ม

    " แต่ฉันคงเป็นเจ้าสาวที่ขี้เหร่ที่สุดในงานมั้ง" เสียงบ่นของสาวน้อย นึกเปรียบเทียบตัวเองกับเจ้าหญิงคนงามแห่งคาโนวาล หรือ เจ้าหญิงแห่งอเมซอนที่เวลาแต่งตัวก็ดูดีมีสง่า

    "ไม่เป็นไรหรอก ถึงเธอจะขี้เหร่ยังไงก็เหมาะสมกับเจ้าบ่าวแสนเท่ สไตล์เถื่อนๆอย่างฉันคนนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง" ครี้ดบอกปนหัวเราะ

    "ใครว่านายเท่ ฮะ" เสียงหวานโวยวายอย่างไม่เห็นด้วย

    "ก็เธอคิดดูสิว่าพวกเพื่อนในป้อมมีใครแมนเกินฉันบ้าง ไอ้คิลก็หน้าเด็ก ไอ้คาโลก็หน้าสวย ไอ้กัสก็ผมยาวยิ่งกว่าผู้หญิง ไอ้เฟรินยิ่งหน้าหวาน ในบรรดาเพื่อนๆในป้อม ฉันดูเป็นผู้ชายมากที่สุดอยู่แล้ว" ครี้ดโอตัวเล็กน้อย ละเว้นบางคนไว้ในฐานที่ไม่อยากเอ่ยถึง เช่น ซอร์โร นิกส์ หรือเดท

    "ของนายนะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ฉันสิ เจ้าบ่าวบางคนยังสวยกว่าเสียอีก" แองจี้โอดครวญอย่างท้อแท้

    "ก็เธอไม่ได้แต่งกับพวกมันสักหน่อย คนที่ควรกลุ้มใจ น่าจะเป็นเจ้าสาวของไอ้พวกนั้นมากกว่า เธอนะยืนคู่กับฉันหรอก" ครี้ดย้ำความมั่นใจให้คนรัก

    "จริงด้วยสิ ขอบใจนะครี้ด" รอยยิ้มหวาน ก่อนอ้าปากค้างกับสร้อยไข่มุกแสงจันทร์ที่อีกฝ่ายประดับให้

    ตกดึก เจ้าชายหนุ่มก็แอบดอดออกนอกรั้ววังโดยการปีนกำแพงออกไป อย่างสมศักดิ์ศรี?

    ที่บาร์ชื่อดังของเมือง สามหนุ่มนักท่องเที่ยวกับกำลังนั่งรอเพื่อนร่วมกวนมาเป็นเจ้าภาพ

    "ทางนี้ ครี้ด" เสียงเรียกของทิวดอร์เมื่อเห็นเพื่อนเจ้าถิ่น

    "ผลเป็นไงบ้างท่านเจ้าชาย กับการขอแต่งงานสาว" เสียงแซวของไอ้หัวขโมยรู้มาก

    "แกรู้ได้ไง" ครี้ดมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย

    "ง่ายมากฉันเคยเห็นนายออกพิธีการก่อนเข้าโรงเรียนนะสิ" เฟรินบอกอย่างอารมณ์ดี

    "ส่วนฉันก็เคยเห็นนายในงานพิธีการตอนไปเยือนวิทช์ อย่าคิดว่าเพื่อนจะจำเพื่อนไม่ได้สิ" ทิวดอร์บอก

    อาชูร่านั่งยิ้มกับความลับของเพื่อนที่ไอ้สองคนรู้ดีแอบกระซิบบอกเขาตั้งแต่เข้าเมือง

    "คำตอบล่ะ ขอแต่งงานเสร็จแล้วใช่มั้ย" เฟรินทวงคำตอบอย่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายเลี่ยง

    "เออสิ" ครี้ดตอบอย่างขอไปที เพราะเขินที่พวกเพื่อนๆรู้มาก

    "งั้นอย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อย" ทิวดอร์บอก รินเหล้าใส่แก้วให้เพื่อน ทั้งสี่ชนแก้วกันอย่างรื่นเริง

    เฟรินที่ยังคงความสามารถให้การดื่มเหล้าไม่ต่างจากน้ำมองดูเพื่อนๆที่หมดสภาพ ดูเหมือนเหล้าของไนล์จะมีประสิทธิภาพเยี่ยมยอด เพราะเจ้าภาพอย่างครี้ดยังเมาได้

    "ไอ้ครี้ด แกยังปีนกำแพงกลับบ้านได้มั้ย" เฟรินถามอย่างสงสัย กลัวว่ามันจะคอหักตายก่อนได้แต่ง

    "หวาย ฉานยังหวาย.." เสียงลากยานคางตอบ

    หัวขโมยส่ายหัว อย่างอ่อนใจ กับสภาพของเหล่าเพื่อนๆที่หมดสภาพ ก็พอเข้าใจทิวดอร์อยู่หรอก มันเห็นไอ้ครี้ดที่ขอแต่งงานสำเร็จแล้ว แต่ของมันยังไปไม่ถึงฝั่ง

    ไว้ถึงอเมซอนก่อนค่อยจัดการธุระให้ก็แล้วกัน เด็กหนุ่มสั่งเหล้ารสชาดเยี่ยมติดไปด้วย ก่อนร่ายเวทย้ายร่างหมดสภาพทั้งสามไปใส่เกวียนมุ่งหน้ากลับโรงแรม

    "หวังว่าแองจี้คงไม่สั่งสอนว่าที่เจ้าบ่าวรุนแรงจนความจำเสื่อม ก่อนแต่งนะ" เสียงพึมพำบ่น อย่างเดาเหตุการณ์ได้ว่าครี้ดจะโดนอะไรตอนเช้าที่กลับไปในสภาพแบบนี้

     

    ***

     

    การขอแต่งงาน 2

     

    ที่พระราชวังแห่งบารามอส ในห้องส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาท

    หญิงสาวผมสีดำสนิทกำลังสนทนาอย่างสนุกสนานกับเด็กหนุ่มหน้าหวานผมสีน้ำตาล

    "ตกลงจะจัดงานแต่งงานกันวันไหนนะ" เสียงหวานถาม

    "ผมว่าจะจัดก่อนวันหยุดประจำปีของแอเรียสสักสามวันนะฮะ" เฟรินตอบนัยน์ตาส่งประกายเจ้าเล่ห์

    "แหมพอแขกกลับกันหมด เจ้าบ่าวก็กลายเป็นเจ้าสาวสินะ"เสียงหวานหัวเราะอย่างชอบใจกับการคำนวณเวลาของน้องสุดที่รัก

    "แต่ไอ้น้ำแข็งเดินได้นั่นไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นเลย" เสียงหวานตัดพ้อปนน้อยใจ

    "คงยุ่งมั้ง เห็นว่าคิงบาโรคงสละราชบัลลังก์ไม่นานแล้ว คงต้องเริ่มรับผิดชอบงานแทนนะ" ราชินีแห่งแอเรียสบอกอย่างรู้ดี

    "แต่ถ้าหมอนั่นแพ้การประลอง ก็อดเป็นคิงสินะฮะ" เสียงเจ้าเล่ห์ถาม

    "ถ้าอย่างนั่นท่านเจ้าชายคงฆ่าตัวตายแน่" เสียงเยือกเย็นตอบ

    "อืม หมอนั่นมันรักศักดิ์ศรียิ่งชีพนี่นะ " พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ สงสัยเขาคงต้องไปการันตีผลการประลองเสียหน่อย เพราะหมอนั่นมันขี้ใจอ่อนเสียด้วย

    "ป่านนี้คู่อื่นเขาจัดการเรื่องขอแต่งงานกันหมดทุกคู่หรือยังเฟรี่" ลูคัสถามอย่างสงสัย

    "เท่าที่รู้ดูเหมือนพวกมันจะจัดการได้เรียบร้อยแล้ว ขนาดเจ้าคิลมันยังให้พ่อมันไปคาโนวาลแล้วเลย เหลือแต่ท่านหัวหน้าป้อมนี่ล่ะ ที่ป่านนี้ยังไม่เคยไปเดมอส หรือโผล่มาบารามอสเลย" เสียงแผ่วเบาก้มหน้าตอบ

    ลูคัสมองดูน้องรักที่เริ่มทำท่าน้อยใจท่านว่าที่คิงแห่งคาโนวาล

    "แล้วเฟรี่ส่งข่าวบอกคาลี่หรือยังว่ามาบารามอสแล้ว" ลูคัสถามเสียงอ่อนโยน

    "ถ้ามันสนใจผม ก็ควรจะรู้นี่ฮะ สายข่าวของคาโนวาลออกจะเยอะ" เฟรินบ่นต่อ แน่นอนด้วยเหตุนี้ เขาก็เลยไม่ส่งจดหมายไปหาไอ้บ้านั่นมาสองเดือนแล้ว แต่มันคงเพลินกับงานจนไม่ได้สนใจเขาตามเคย

    "จริงสิ ทำไมวันนี้รุ่นพี่ถึงมาบารามอสคนเดียวได้ ผู้คุมไปไหนฮะ" เฟรินถามเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเรื่องผิดปกติที่ไม่เห็นคู่หูปาท่องโก๋ของรุ่นพี่

    "อ้อ วันนี้คิงท่าน ถอดยศ เปลี่ยนตัวเองเป็นนักบวชรับหน้าที่คุ้มกันอดีตคิงริชชาร์ดไปเยี่ยมให้กำลังใจคิงวิลเลี่ยมนะ" ลูคัสเฉลย

    "อืม รายการเสือปะทะสิงห์สินะฮะ" เฟรินพยักหน้ารับอย่างรู้ดี ว่าวันนี้ทั้งคิงอาเทอร์และคิงโรเวนต่างก็ตบเท้าเข้าวังแห่งเวนอลเพื่อไปสู่ขอสองเจ้าหญิงแห่งเวนอลกันทั้งคู่

    "แน่นอน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่อยากเสียเปรียบ ยิ่งซาเรสมีแนวโน้มว่าจะรวมประเทศกับเวนอลหลังพิธีอภิเษกกับเจ้าหญิงรัชทายาท ยิ่งทำให้เจมิไนอยู่เฉยไม่ได้ เลยเลือกเข้าไปสู่ขอพร้อมๆกันซะเลย" ลูคัสอธิบายปนหัวเราะ

    "งานนี้ปะป๋าริชของท่านพี่จะช่วยทำอะไรได้ฮะ" เฟรินถามอย่างสงสัย ว่าคิงนั่นจะใช้เวทมนต์อะไรช่วยการเจรจาได้

    "เพราะฉะนั้นก็เลยต้องพาลอรี่ไปด้วยไง ถ้าเห็นท่าไม่ดี คงหวังให้ลูกชายตัวดีส่งมีดบินเข้าไปทดสอบความหนาของผนังพระราชวังเวนอลเล่นมั้ง" เสียงหวานปนขบขันบอก

    " แล้วมีดบินของรุ่นพี่ลอเรนซ์ก็อาจพลาดไปถูกหนึ่งในสองว่าที่เจ้าบ่าวเดี้ยงได้สินะฮะ" เฟรินผสมโรงต่ออย่างไม่เดือนร้อน

    สองเสียงหัวเราะประสานกันอย่างสนุกสนาน

    "ไว้หลังงานแต่งงานของโรเวน พี่จะมาเล่าเรื่องสนุกให้ฟังต่อก็แล้วกันนะ" ลูคัสให้สัญญาก่อนโบกมือลารุ่นน้องที่รัก

     

    ที่พระราชวังแห่งเวนอล

    คิงวิลเลี่ยมต้อนรับสองว่าที่ลูกเขยในห้องพระอักษร ขณะที่เพื่อนสนิทและองครักษ์หน้าบูดนั่งจิบน้ำชาอยู่อีกด้านของห้องทรงพระอักษร

    "ตกลงพวกเธอมาวันนี้จะมาขอลูกสาวฉัน หรือจะมาขอสัญญาเรื่องสัมปทานเหมืองกันแน่" เสียงเรียบถามอย่างสงสัย เพราะฟังมาตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นคืบหน้าไปถึงไหน

    "พวกกระหม่อมก็มาขอแต่งงานนั่นแหละพะยะค่ะ" เสียงคิงโรเวนบอกสีหน้ายิ้มๆ แต่แน่นอน เจมิไนก็ไม่อยากเสียเปรียบซาเรสเหมือนกัน ในเมื่ออีกฝ่ายมาขอเจ้าหญิงรัชทายาททั้งที เจมิไนจะให้เสียประโยชน์ได้อย่างไร

    "นั่นสินะ ความจริงฉันยังไม่ได้เรียกร้องสินทอดทองหมั้นอะไรเลยนี่ จะยกให้เปล่าๆ ก็คงเสียชื่อเมืองแห่งการค้าหมดสินะ" รอยยิ้มเยือกเย็นของนักปราชญ์แห่งเอดินเบริ์กส่งให้กษัตริย์แห่งเจมิไนรู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง ส่วนกษัตริย์ใจสิงห์ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ เพราะรู้ดีว่าไม่ใช่สนามรบของเขาที่จะเอาชัยชนะได้โดยง่าย ปล่อยให้โรเวนมันลงสนามก่อนก็แล้วกัน

    "พระองค์ต้องการอะไรบ้างพะยะค่ะ" เสียงแผ่วเบาถามหยั่งเสียง

    "ท่าเรือสักท่าดีไหม" รอยยิ้มเยือกเย็นเหมือนกำลังสนุกกับการเดินหมากที่เตรียมรุกฆาต

    ความนิ่งเงียบเป็นคำตอบสำหรับกษัตริย์แห่งเจมิไน ที่มองเสือผู้เปี่ยมด้วยเขี้ยวเล็บตรงหน้า

    สองวันที่การสนทนากึ่งเจรจาจบลงด้วยสนธิสัญญาการค้าระหว่างเวนอลและเจมิไน กว่าที่กษัตริย์โรเวน จะได้ขอแต่งงานเจ้าหญิงวิเวียนได้ก็ต้องให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่สินค้าหลายประเภทของเวนอล

    ส่วนคิงแห่งซาเรสยังไม่อาจบรรลุในข้อตกลงรวมประเทศได้ ต้องรอเจรจารอบหน้าต่อไป

    งานแต่งงานของคิงโรเวนและเจ้าหญิงวิเวียนนายีน่าจัดขึ้นหลังเจ้าหญิงจบการศึกษาจากเอดินเบิร์ก ด้วยสาเหตุว่านี่เป็นอย่างเดียวที่จะตัดหน้าคิงอาเทอร์ได้ เพราะได้แต่งงานเร็วกว่าอีกฝ่ายที่ยังตกลงข้อสัญญาไม่สำเร็จเสียที

    ลอเรนซ์และลูคัสไปร่วมงานในฐานะเพื่อนร่วมป้อมโดยไม่ยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงเสียที ด้วยเหตุว่าให้พวกมันรู้ทีหลังมันสนุกดี (ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นความคิดของใคร )

    หลังจากงานแต่งงานของเจ้าหญิงวิเวียน บรรดากษัตริย์แห่งเอเดนก็ตบเท้ากันสละราชบัลลังก์เริ่มด้วยจักรพรรดิวิลเลี่ยม ไฮคิง จบท้ายด้วยคิงบาโร

     

    คิงใหม่ที่ขึ้นครองบัลลังก์ต่างก็เป็นที่หมายตาของเจ้าชายและคิงของประเทศที่ยังโสด เพราะรูปโฉมของจักรพรรดินีแห่งเวนอล และกษัตรีแห่งบารามอสเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเอเดน ยิ่งไม่เคยมีใครได้เห็นโฉมหน้ามาก่อน งานแต่งตั้งจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างก็ฮือฮามากเป็นพิเศษ

    ทั้งความงามและเสน่ห์ รวมทั้งอำนาจของสองกษัตรี ทำให้ทั้งคู่เป็นที่หมายปองของชายทั่วทั้งเอเดน ส่งผลให้ใครบางคนแถวซาเรสและคาโนวาลไม่อาจสงบใจได้

    งานประลองที่คาโนวาลจบลงตามความคาดหมาย เจ้าชายคาโลได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากคิงบาโร

    ในงานเลี้ยงของงานฉลองคิงองค์ใหม่แห่งคาโนวาล

    สามทหารเสือแห่งเอดินเบิร์ก นั่งประชุมเครียด

    "แล้วตกลงเรื่องเฟลิโอน่าล่ะ" คิงริชชาร์ดถามอย่างเป็นห่วง เพราะรู้มาว่าเจ้าหลานชายคนโปรดยังไม่ได้ไปเจรจาด้วยตัวเองเลยสักครั้ง

    "ฉันว่าเสร็จงานนี้จะให้คาโลไปเดมอสนะ เพราะอลิเซียกับเอวิเดสน่าจะพูดด้วยง่ายกว่าไฮคิง" คิงบาโรบอก จากที่ได้ยินเรื่องชั้นเชิงในการต่อรองของวิลเลี่ยมกับคิงอาเทอร์มาแล้วทำให้เขาขยาด กว่าจะเจรจากันได้ก็เล่นไปครึ่งปี ขืนส่งคาโลที่เถรตรงไปเจอกับไฮคิง รับรองผลได้เลยว่า ให้รอปีหน้าก็คงไม่ได้แต่งงาน

    "แล้วทางบารามอสล่ะ" จักรพรรดิวิลเลี่ยมถามต่ออย่างสงสัย เพราะอีกฝ่ายเป็นหลานของไฮคิง และยังเป็นกษัตรีของบารามอสอีกจะไม่ไปสู่ขอจากบารามอสก็เสียมารยาท

    "ฉันว่าจะเดินทางไปบารามอสด้วยตัวเองนะ" คิงบาโรตอบพลางถอนหายใจยาว

    "ต้องการกำลังสนับสนุนไหมเพื่อน" คิงริชชาร์ดอดหยอกเพื่อนไม่ได้

    ทั้งสามสบตากันอย่างหนักใจ งานนี้สามเสือปะทะ สิงห์เฒ่า

     

    คิงใหม่แห่งคาโนวาลได้แต่กลุ้มใจ สายข่าวที่ส่งไปบารามอสแจ้งว่าทุกวันจะมีของบรรณาการและจดหมายรักกองเป็นภูเขาส่งมาให้เฟริน เขาเองไม่เคยส่งอะไรไปให้หมอนั่นนอกจากแอปเปิ้ล แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่แอปเปิ้ลจะออกเสียด้วย ของชอบอื่นของหมอนั่นเขาก็ไม่รู้ แถมช่วงหลังหมอนั่นก็ไม่ยอมเขียนจดหมายส่งมาให้เขาเลย

    กษัตริย์หนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ยิ่งตอนงานประลองหมอนั่นก็มาแป๊บเดียว แถมไม่รอเจอหน้าเสียอีก เดาได้ว่าหมอนั่นคงโกรธเขาแน่ๆ       

    คิงบาโรยืนมองดูคนเป็นลูกชายถอนหายใจเกือบครบร้อยรอบแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวหรือทำหน้าตาผ่อนคลายลงบ้าง ความจริงก็เป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่งที่ทำให้คาโลยุ่งจนไม่มีเวลาไปหาคนรัก แถมช่วงหลังเฟลิโอน่าก็น่าจะยุ่งพอกัน ก็เลยยิ่งห่างกันเข้าไปใหญ่

    สงสัยว่าเขาควรจะไปเดมอสด้วยก่อนแล้วค่อยพาเจ้าลูกตัวดีไปหาหวานใจที่บารามอสต่อคงจะดีกว่า

    เสียงฮัมเพลงยามเช้าที่พระราชวังแห่งคาโนวาล ช่างขัดกับอารมณ์ของเจ้าของวังเป็นที่สุด เมื่อเงยหน้ามองเห็นเพื่อนรักนักฆ่าสมองนิ่ม ก็ยิ่งหมั่นไส้มันที่ยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้

    "เรื่องของนายเรียบร้อยแล้วเหรอคิล" เสียงเรียบของกษัตริย์ใหม่ถาม

    "แน่นอน ท่านพ่อของเรนอนเป็นรุ่นพี่ร่วมป้อมกับพ่อฉันคุยกันไม่เท่าไร ก็ตกลงยกลูกสาวให้" คิลบอกตามจริง แน่นอน ความจริงก็เพราะอานิสงฆ์ที่เขามาคาโนวาลแทบทุกปิดเทอม ยิ่งตอนหลังผ่านมาทำงานที่คาโนวาลทีไรเป็นต้องแวะมาให้เรนอนและครอบครัวเห็นหน้าเสมอ ทำให้ขึ้นแท่นคนโปรดของว่าที่แม่ยาย ตอนขอลูกสาวเขาก็เลยสบายไป

    ดวงตาสีม่วงมองดูเพื่อนสนิทก่อนเริ่มเอะใจ

    "อย่าบอกนะว่า ตั้งแต่กลับมาคาโนวาล นายยังไม่เคยไปเยี่ยมเฟรินมันสักครั้งนะ" คิลดักคอ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทแล้ว ทำให้เขายิ่งใจแป๋ว

    "แต่อย่างน้อยนายก็คงส่งจดหมายคุยไม่ได้ขาดใช่มะ" เสียงพยายามให้กำลังใจถามต่อ ก่อนเริ่มรู้สึกถึงลางที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของท่านอดีตหัวหน้าป้อม

    "คาโล " นักฆ่าหน้าเด็กเริ่มรู้สึกอยากได้ยาแก้ปวดหัวขนานแรงสุดของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลขึ้นมารำไร เมื่อเห็นสีหน้าราวกับถูกฝังทั้งเป็นของเพื่อนสนิท

    "นายก็รู้ว่าเฟรินมันขี้โมโห ขี้น้อยใจนะคาโล" เสียงยานคางของคิลยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายนักกว่าเก่า

    "ฉันรู้ แต่ฉันยุ่งไปหน่อย" เสียงแผ่วเบาแก้ตัวดังตอบมาจากคิงแห่งคาโนวาล

    "งั้นนายจะมัวรอเฉยทำอะไร ขึ้นมังกรไปบารามอสสิ อย่างเก่งเฟรินมันก็อัดนายสักทีสองที แล้วก็จะดีเอง" คิลแนะนำอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร ก็เขานึกถึงวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกนี่ เขาเองก็ไม่ใช่นักแก้ปัญหาหัวใจด้วย ที่สำคัญอีกฝ่ายเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการจับคู่และยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียด้วย ลูกไม้ตื้นๆก็ใช้กับมันไม่ได้ ก็คงต้องเข้าทางตรง ยิ่งคนตรงหน้ายิ่งทื่อๆอยู่ด้วย น่าหนักใจจริงๆ

    "หรือนายจะจ้างฉันไปฆ่าคู่แข่งทุกคนของนายแทน" คิลหยั่งเสียงถาม กะยั่วต่อมหึงของเพื่อนรัก ที่รู้ว่ามันจะของขึ้นเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเฟรินเสมอ

    ดวงตาสีฟ้ามองสบตาเพื่อนสนิทอย่างสงสัย

    "ก็ตอนผ่านบารามอสมา ฉันเห็นว่ามีของขวัญกับจดหมายรักกองเป็นภูเขาให้ราชินีเฟลิโอน่านี่" คิลบอก มองสีหน้าคนฟังอย่างประเมินความรู้สึก

    เสียงฝีเท้าวิ่งมา ก่อนมีเสียงเคาะประตูห้อง

    "เข้ามาได้" คาโลเอ่ยปากอนุญาต มองดูเห็นเป็นเรนอนที่เข้ามาอย่างรีบร้อน

    "เกิดอะไรขึ้นเรนอน" คิลรีบถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นคนรักดูรีบร้อน

    "ฝ่าบาท คิงบาโรให้มาเชิญเสด็จไปต้อนรับ ท่านจ้าวปีศาจเอวิเดสและพระชายาที่เสด็จเยือนคาโนวาลเป็นการส่วนพระองค์ และพึ่งถึงพระราชวัง ตอนนี้ประทับที่ห้องพักรับรองทิศเหนือเพคะ" เรนอนรายงานรวดเดียวปนหอบ เพราะรีบเดินมาอย่างเร็ว

    คาโลได้ยินก็รีบเดินไปห้องรับรองทันที เห็นบิดากำลังคุยติดลมกับสองท่านพ่อแม่ของเฟริน ทำให้เขารีบทำความเคารพ

    "ไม่ต้องมากพิธีหรอกจ๊ะ แค่ผ่านมาเยี่ยมเท่านั้น" เสียงหวานของชายาคนงามแห่งจ้าวปีศาจบอก

    "ไม่ทราบว่าพวกท่านจะมา ทางคาโนวาลจึงไม่ได้จัดการต้อนรับ" คาโลบอก

    "พวกเราก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเฟลิโอน่า เลยแวะผ่านคาโนวาลก่อนนะ เพราะเฟรินชอบแอปเปิ้ลของคาโนวาล เลยว่าจะหาไปฝากเจ้าตัวดีเสียหน่อย" ยอดคุณพ่อบอกปนหัวเราะ

    "จริงสิไหนๆพวกเจ้าก็มาแล้ว ข้าว่าจะพูดธุระของพวกเด็กๆเลย" คิงบาโรผู้ใจร้อนเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว

    "เรื่องพวกนั้นข้า อลิเซียกับไฮคิง ยกให้เฟริโอน่าตัดสินใจเอาเองนะ" จ้าวปีศาจตรัสตอบอย่างรู้ดี ปรายตามองว่าที่ลูกเขยเล็กน้อย

     

    ในสวนสวยที่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศสงบของแมกไม้ และรูปปั้นนักบุญ ร่างในชุดขาวของนักบวชสองคนกำลังสงบกับบรรยากาศส่วนตัว

    นักบวชผมสีเงินกำลังคลอเคลียผมสีน้ำตาลอ่อนของนางไม้ในอ้อมแขนอย่างถูกใจ

    "วันนี้ท่านพ่อจะมาวิหารหลวง มาพูดเรื่องสู่ขอนะ" เสียงเรียบบอก มองดูอาการสะดุ้งของคนรัก

    "แต่ฉันยังไม่บอกท่านพ่อเลย" เสียงหวานบอกอย่างเป็นกังวล

    "ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาสองคนทะเลาะกันมาตลอดชีวิต แค่เพิ่มเรื่องทะเลาะขึ้นอีกเล็กน้อย" เสียงหัวเราะอย่างสบอารมณ์ของคนเป็นลูกเมื่อนึกถึงสีหน้าของผู้เป็นบิดาที่เขาขอให้มาพูดเรื่องสู่ขอให้

     

    ในทางเดินใหญ่ของวิหารหลวง ร่างในชุดหรูขององค์กษัตริย์ที่มีทหารองครักษ์เป็นผู้ติดตามเดินตรงไปยังห้องส่วนพระองค์สังฆราช

    นักบวชถวายบังคมอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นหน้าแขกผู้มาเยือน ก่อนเปิดประตูให้องค์ราชาได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนสนิทเป็นการส่วนพระองค์

    "มาวันนี้จะมาต่อรองอะไรอีกล่ะ บอกไว้ก่อนว่างบประมาณซ่อมแซมวิหารของฉัน ฉันไม่ยอมยกให้นายเอาไปเพิ่มให้กองทัพแน่" เสียงเข้มงวดบอกดักคอเมื่อหน้าคู่อริร่วมเมือง

    "ฉันไม่ได้มาพูดเรื่องงบประมาณอะไรนั่น แค่มาขอลูกสาวนาย" เสียงเรียบตอบมองดูสีหน้าเพื่อนสนิท แน่นอนเมื่อคืนเขาก็แทบช็อคเมื่อรู้ว่าตัวจริงของเจ้าลูกชายตัวดี ดันเป็นลูกสาวสุดหวงของไอ้นักบวชบ้านี่ ทำเอาเขาอ้าปากค้างไปหลายนาที เมื่อดูสีหน้าตื่นตะลึงตรงหน้ายิ่งรู้สึกสนุก

    "แกจะมามุขไหนกันแน่" เสียงเข้มถาม

    "ฉันมาสู่ขอลูกสาวนายให้แต่งงานกับลูกชายฉันนะสิ" องค์กษัตริย์ตรัสทวนต่อ พยายามรักษาสีหน้าจริงจังสุดชีวิต

    "ล้อเล่นหรือเปล่า ลูกสาวฉันไปรู้จักลูกชายนายตอนไหน" องค์สังฆราชที่เริ่มตั้งตัวติดเริ่มถามอย่างสงสัย

    "ก็ตั้งแต่สมัยเรียนนะสิ นี่ก็เกือบแปดปีเข้าไปแล้วมั้ง" เสียงเรียบเฉลยอย่างใจเย็น

    "ลูกนายเป็นเกย์หรือ?" ดวงตาคมมองหน้าคู่อริอย่างสงสัย

    อาการปลาสำลักน้ำ ไอแค่กๆ สักพัก ก่อนหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่

    "นายส่งลูกสาวไปเรียนในร่างผู้ชายแล้วคิดว่าลูกฉันเป็นเกย์นี่น่ะนะ" เสียงสรวลอย่างถูกพระทัย

    "แล้วจะให้คิดว่าอย่างไร ในฐานะที่เป็นพ่อ ฉันก็ต้องถามให้แน่ใจว่าลูกนายไม่ได้มีรสนิยมอย่างว่า" เสียงแก้ตัวของท่านนักบวช

    "ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปรู้จักตัวจริงกันตอนไหน แต่ขอบอกว่า นายฝากปลาย่างไว้กับแมวเสียแล้วเพื่อนยาก" หนุ่มใหญ่ผมสีเงินบอก

    "นั่นสิ เป็นการประเมินพลาดอย่างมากของฉัน" เสียงยอมรับจากชายผมสีน้ำตาล

    "งั้นก็เป็นอันว่าตกลงสินะ" เสียงทุ้มโน้มน้าวต่อ

    "แค่เรื่องเด็กๆ เท่านั้น เรื่องอื่นไม่เกี่ยว" เสียงตัดบทบอกอย่างหวาดระแวงกับมุขขององค์กษัตริย์ตัวดี

    "แหมนึกว่าจะแถมเรื่องงบประมาณด้วยเสียอีก" เสียงโอดปนยั่ว

    "มากไปแล้วไอ้บ้า แล้วเรื่องสินสอดล่ะ" เจรจาต่ออย่างไม่ยอมแพ้

    เสียงเจรจาของสองท่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งกิลดิเรก ทำให้เหล่าผู้ติดตามด้านนอกส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ กับสภาวะปกติของสองคู่อริที่กว่าจะตกลงกันได้ ก็กินเวลาไปถึงเย็น

     

    ***

     

    ขอแต่งงาน 3

     

    กระดาษสีฟ้าอ่อนกับตัวหนังสือเป็นระเบียบสวยงาม แต่ข้อความที่ปรากฏทำให้ใบหน้าหวานที่อ่านจบต้องขมวดคิ้ว มันเอาสมองส่วนไหนคิดเนี่ย ไอ้บ้า

                           

                             "คืนนี้เราจะมาขโมยจุมพิตของท่าน 

                                                     จอมโจรหิมะ"

     

    เล่นกับใครไม่เล่น แน่นอนไม่รู้จักตระกูลเดอเบอโรว์เสียแล้วที่ดันส่งสารท้าทายมาแบบนี้ ไอ้โจรมือใหม่เอ๋ย

    ท่านเฟรินคนนี้จะต้อนรับให้สมเกียรติอย่างแน่นอน

    ร่างโปร่งบางจัดการกับงานเอกสารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะมีเรื่องสนุกรออยู่

    แสงไฟส่องสว่างเป็นระยะไปทั่วเมือง ร่างหนึ่งกระโดดมาที่กำแพงสูง

    จะว่าไปในเมืองยังดูสว่างกว่าในวังหลวง ไม่รู้มันจะขี้เหนียวขนาดประหยัดไฟตามทางเดินขนาดนี้ แถมทหารยามก็ยังบางตาเสียอีก

    ร่างสูงในชุดทะมัดทะแม่ง คิดก่อนกระโดดลงจากกำแพง มองหาที่หมายสักพัก

    หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ร่างสูงวิ่งไปตามทางเดินยาว ดูจากภายนอกมันไม่น่าวกวนแบบนี้นะ เขารู้สึกว่าเดินมาตั้งไกลแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงสักที

    พระราชวังแห่งบารามอสเขาก็เคยติดตามบิดามา แผนที่เขาก็ศึกษามาจนชำนาญแล้ว ห้องนอนของเฟรินเขาก็รู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่ทำไมมันถึงได้ใช้เวลานานกว่าที่คิดก็ไม่รู้

    ร่างสูงเรียกคทาพิพากษาออกมาร่ายเวทย์ เพื่อหาทางออก คิ้วเรียวสวยขมวดมากกว่าเก่าเมื่อคทาไม่แสดงทางออกให้เขา คทาตรวจไม่พบการใช้เวทมนต์ทำให้หลงทาง แสดงว่าทางมันวกวนเองเหรอ เมืองอะไรกันเนี่ย

    ร่างสูงปาดเหงื่อสักพักก่อนหาทางออกต่อ หลังงมทางสักพักอีกหนึ่งชั่วโมงก็ไม่มีความคืบหน้า

    จะว่าไปเขาไม่เคยหลงทางมาก่อน เสียงฝีเท้าดังอยู่ด้านหน้า ทำให้ร่างสูงกระโดดหลบข้างทางอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีฟ้ามองดูร่างที่กำลังเดินเข้ามาใกล้

    ชายในชุดเครื่องแบบพ่อบ้านเดินถึงตะเกียงมาตามทางเดินยาว เสียงฝีเท้าสะท้องกำแพงเป็นจังหวะ

    คาโลตัดสินใจถามทางดีกว่า เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว เดี๋ยวเขาต้องกลับไปทำงานต่ออีก ร่างสูงตัดสินใจเดินออกมาจากที่ซ่อน

    "ท่านลุง ไม่ทราบช่วยบอกทางออกหน่อยได้มั้ย" เสียงสุภาพถาม

    ดวงตาสีเทาของพ่อบ้านมองดูแขกยามวิกาลสักพักก่อนชี้มือไปทางซ้าย

    "เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย เดินตรงต่อไป จะเจอประตูออกสวน" เสียงใจดีบอก

    "โชดคีนะพ่อหนุ่ม"

    คาโลพึมพำขอบคุณก่อนเดินหายไปตามทางที่บอก เมื่อเดินออกมาจากสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ก็เห็นน้ำพุสวย ที่มีละอองน้ำเป็นฝอย สะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายสีเงินยวง

    ร่างสูงถอนหายใจเฮือก เขาไม่เข้าใจว่าตนเองหลงทางได้อย่างไร

    บางทีพรุ่งนี้ เขาเตรียมตัวมาใหม่คงไม่หลงทางแบบคืนนี้ ร่างสูงผิวปากเรียกมังกรคู่ใจ บินกลับคาโนวาล เพราะพรุ่งนี้เช้าความจริงก็วันนี้ เพราะมันเลยเที่ยงคืนมาแล้ว เขายังต้องทำงานต่อ

     

    ในห้องพระอักษรของพระราชวังแห่งคาโนวาล ดวงตาสีม่วงมองดูเพื่อนสนิทที่นั่งทำงานไปหาวง่วงไป

    "ตกลง เมื่อคืนสำเร็จไหมว่ะ" นักฆ่าแห่งซาเรสถามอย่างคาดหวัง

    "ฉันหาห้องของเฟรินไม่เจอ" คาโลสารภาพกับเพื่อนสนิท

    "มันเป็นไปได้ยังไง นายไม่ได้ดูแผนที่ก่อนไปหรือ" คิลถามอย่างสงสัย

    "ฉันดูแล้ว นี่ก็ว่าทำงานนี้เสร็จจะดูใหม่อีกรอบ" คิงแห่งคาโนวาลเซ็นต์เอกสารก่อนบอกให้เพื่อนหยิบแผนที่มาให้

    ทั้งสองกางแผนที่ดูกันไปมา

    "ฉันเดินไปตามแผนที่ตลอด แต่มันไม่ถึงห้องเฟรินสักที" คาโลเล่า

    "นายติดกับดักหรือเปล่า" คิลวิเคราะห์ต่อ

    "ฉันตรวจดูแล้ว ไม่พบกับดักอะไร ดีที่เจอพ่อบ้านให้ถามทางเลยออกมาได้" คาโลบอกสีหน้าเหนื่อย

    "มันเป็นไปได้อย่างไร งั้นคืนนี้ฉันไปกับนายด้วยก็แล้วกัน" คิลบอกอย่างเป็นห่วง เพราะเวลาก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ไอ้เพื่อนตัวดียังไม่ได้ขอสาวแต่งงานเลย

    "ขอบใจ"

    คาโลบอกอย่างจนใจ เพราะถ้าเป็นตอนปกติเขาคงไม่ยืมมือเพื่อน แต่ตอนนี้รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เฟรินคงโกรธเขาแน่ ไม่อย่างนั้นคงยอมให้พบง่ายๆ

     

    ที่พระราชวังแห่งซาเรส คิงอาเทอร์กำลังต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง รุ่นน้องร่วมป้อม

    "รุ่นพี่สบายดีไหมเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เจอรุ่นพี่มาตั้งแต่เรียนจบ" เสียงหวานทักทายอย่างยินดีเมื่อได้เห็นหน้ารุ่นพี่อดีตหัวหน้าป้อม

    "สบายดี แล้วเธอล่ะ จะแต่งงานพร้อมกันไหม" คิงแห่งซาเรสถาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้ม

    "แหม หม่อมฉันคงไม่เร็วเท่ารุ่นพี่หรอกเพคะ" เสียงหวานบอก ใบหน้าสีจัดเล็กน้อย

    "อ้าว นี่นิกซ์ไม่ได้บอกเรื่องงานแต่งงานของรุ่นที่ไฮคิงเป็นเจ้าภาพหรือ" เสียงเข้มถามกลับทันที

    "เรื่องอะไรเพคะ รุ่นพี่อาเทอร์" เจ้าหญิงแห่งเอเธอนส์ถามเสียงเริ่มจริงจังขึ้น

    "ก็ไฮคิงรับเป็นเจ้าภาพแต่งงานให้พวกรุ่นเธอป้อมอัศวินทั้งรุ่นพร้อมกันในสองเดือนข้างหน้านี้ ที่บารามอสนะสิ ทุกคนที่มีคนรักแล้วแค่พาไปแต่งงานพร้อมกันทั้งรุ่น ทำให้ฉันต้องรอคู่หมั้นฉันให้แต่งพร้อมเพื่อนจนต้องยอมให้เจ้าโรเวนมันแซงหน้าไปก่อน" คิงอาเทอร์เล่าปนเจ็บใจเล็กน้อย

    "ราชินีของรุ่นพี่เป็นพวกป้อมอัศวิน?  นี่ถ้าปราสาทขุนนางทราบเข้าคงเสียใจแย่" เจ้าหญิงเอฟีน่าตรัสแซวรุ่นพี่

    "ใช่ แต่เขาเป็นคนพิเศษนะ" เสียงทุ้มบอกใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย ทำให้รุ่นน้องคนงามเข้าใจได้ว่ารุ่นพี่หลงคู่หมั้นมากแค่ไหน

    "หม่อมฉันคงต้องรีบกลับไปถามนิกซ์แล้วล่ะเพคะ" เจ้าหญิงแห่งเอเธนส์บอกก่อนขอลากลับ

    "แล้วค่อยเจอกันในงานก็แล้วกันเอฟีน่า" คิงอาเทอร์บอก

    "แน่นอนเพคะ ด้วยเกียรติของปราสาทขุนนาง" รอยยิ้มอย่างมั่นใจของเจ้าหญิงคนงาม

     

    ในสวนของพระราชวังแห่งบารามอส

    ร่างสองร่างยืนปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด ใกล้กับน้ำพุ

    "ฉันว่ามันแปลกๆนะคาโล ไม่รู้สึกถึงไอเวทมนต์ก็จริง แต่มันก็กดดันอยู่ดี" คิลวิจารณ์

    "ฉันรู้ แต่ก็เข้าไปลุยกันเถอะ" คาโลชวนอย่างใจร้อน เพราะเขามีเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องกลับไปทำงานที่คาโนวาลต่อ

    ทั้งสองเดินหาทางไปห้องบรรทมองค์ราชินีกันต่อ ผ่านไปสักพักทั้งคู่ก็รู้ถึงความผิดปกติ แน่นอนเมื่อเดินยังไงก็ไม่ถึงจุดหมายสักที

    "มันเหมือนเมื่อคืนเลยคิล" คาโลบอกสีหน้าหงอย เพราะอย่างนี้ก็หมายความว่าเฟรินไม่ต้องการเจอหน้าเขา เขาอุตส่าห์ส่งจดหมายมาให้ก่อน อีกฝ่ายแทนที่จะรอกลับสร้างทางวกวนแบบนี้แกล้งเขา

    "เป็นไรไป "คิลหันมาถามเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนสนิท

    "ฉันคิดว่าหมอนั่นคงโกรธจนไม่อยากเจอหน้าฉันแล้ว" เสียงท้อแท้ของคิงแห่งเมืองนักรบบอกแววตาเศร้า

    "นายคิดมากไปหรือเปล่า ไปเหอะ เดินหากันต่อ" คิลกระตุ้นเพื่อนให้หาทางกันต่อ

    แสงไฟลอดออกมาจากห้องทำให้สองผู้บุกรุกดีใจเป็นอย่างมาก

    ทั้งคู่เดินไปเปิดประตูอย่างแผ่วเบาเดินเข้าไปในห้องเห็นหญิงชรานั่งถักนิตติ้งอยู่หน้าเตาผิง

    คิลพยายามมองดูอย่างจับผิดก็ไม่เห็นพิรุธอะไร คาโลมองอย่างผิดหวังเมื่อไม่ใช่คนที่เขาปรารถนาจะเจอ

    "ท่านยาย ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ" เสียงคิลถามต่อ เรียกให้หญิงชราเงยหน้ามองดูผู้มาเยือนยามวิกาล

    "มีอะไรหรือพ่อหนุ่ม มาจากไหนล่ะ ยายไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน" เสียงหญิงชราถามช้าๆ

    "พวกเราหลงทาง เลยอยากถามทางไปห้องราชินีเฟลิโอน่าหน่อยนะฮะ" คิลว่า

    "อ้อห้องราชินีหรือ ห้องเดิมขององค์หญิงอลิเซียไง" เสียงหญิงชราบอกอย่างใจดี

    "เอ่อ แล้วมันอยู่ตรงไหนหรือท่านยาย" คาโลเริ่มถามต่ออย่างสงสัย

    "เดินออกจากห้องนี้ไป เลี้ยวขวาไปสองล็อก ก่อนเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปห้องที่สิบทางซ้ายมือ" หญิงชราบอกเสียงมีเมตตา

    "ขอบคุณมากครับ" คาโลบอกบอกก่อนเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เพื่อตามหาเป้าหมายต่อ

    พวกเขาเดินจนมาถึงห้องบรรทมของราชินีแห่งบารามอส ทั้งสองเปิดประตูเข้าไป

    ดวงตาสองคู่กวาดตามองหาเป้าหมาย พบแต่ห้องว่างเปล่า

    ทั้งคู่เดินค้นหาสักพักก็ไม่พบแม้แต่เงาของเฟริน

    คาโลได้แต่ยืนนิ่งที่ข้างหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

    คิลมองดูกระดาษสีฟ้าอ่อนบนโต๊ะ ก่อนเบิกตากว้างมองดูข้อความในกระดาษ หันกลับไปมองร่างสูงของเพื่อนสนิท

    "นายส่งไอ้นี่ให้เฟรินใช่มั้ย" นักฆ่าแห่งซาเรส ที่เริ่มเห็นสัจธรรมของเรื่องทั้งหมดรำไรถามอย่างข้องใจ

    "ใช่ ฉันคิดตั้งนานว่าจะเขียนแบบไหนดี" คาโลรับสีหน้าซื่อ แน่นอนเขาไม่ถนัดเขียนจดหมายรัก ยิ่งจดหมายง้อสาวยิ่งยากเข้าไปใหญ่ คิดตั้งนานกว่าจะส่งจดหมายนี่มาที่บารามอส

    "นาย" คิลจนคำพูดไปชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าดูจะไม่ได้รับรู้ว่าคนรับคิดอย่างไร

    "เฟรินมันลูกใคร" คิลเริ่มเกมยี่สิบคำถามหวังว่าคงทำให้อีกฝ่ายถึงบางอ้อจนได้

    "จ้าวเอวิเดสกับราชินีอลิเซียไง" คาโลตอบทันที ขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าเพื่อนรักเล่นอะไร

    "ไม่ใช่  เฮ้อ ใครที่เลี้ยงหมอนั่นมาล่ะ" คิลเปลี่ยนคำถามใหม่

    "อ้อ มาดัส เดอเบอโรว์" คาโลตอบเมื่อเข้าใจคำถามเพื่อน

    "แล้วฉายาล่ะ" คิลถามเหมือนเริ่มสอนเด็กอนุบาล ตั้งแต่เขาคบกับเรนอนเขารู้สึกว่าตัวเองเซ้นส์ซิทีฟขึ้นเยอะ เมื่อเทียบกับไอ้น้ำแข็งเดินได้ตรงหน้า

    "เดอะทีฟออฟบารามอสไง" คาโลตอบไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะให้เขาทวนประวัติเฟรินไปทำไม

    "นายนี่น้า นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าไอ้จดหมายรักแสนน่าภาคภูมิใจของนายน่ะ มันสารท้ารบชัดๆ" คิลโพล่งออกมาอย่างสุดกลั้น

    คาโลอ้าปากค้างเป็นครั้งแรก เขาคิดว่าการขอจุมพิต ก็เหมือนกับการขอสัญญารักชั่วนิรันดร์ มันก็ฟังดูโรแมนติกดี

    "ไอ้เฟรินมันถึงได้ทำพิธีรับน้องใหม่ จอมโจรหิมะไง" คิลเฉลย เพราะคิดว่าถ้าไม่บอกตรงๆคาโลคงไม่เข้าใจ

    เสียงเคาะประตูเรียกให้สองหนุ่มหันไปมองเห็นเป็นสาวใช้เดินถือถาดน้ำชาและขนมนำเข้ามาเสริฟ

    "องค์ราชินีให้มาทูลว่า ติดต้อนรับแขกอยู่ อีกเดี๋ยวคงกลับเพคะ" สาวใช้รายงานถอนสายบัวก่อนออกจากห้องไปทันที

    คิลนั่งรอที่เก้าอี้ชุดรับแขกจัดการกับน้ำชาและขนมทันที เพราะใช้แรงงานในการติดเขาวงกตอยู่เกือบชั่วโมงแล้วกำลังหิวพอดี

    คาโลมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยที่อีกฝ่ายยอมพบเขาเสียที ชายหนุ่มจิบน้ำชาร้อนรอ

    ประตูเปิดขึ้นอีกครั้ง ร่างโปร่งบอบบาง ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลรับกับใบหน้าหวานรูปไข่เดินเข้ามาส่งยิ้มให้แขกทั้งสอง

    เฟรินวางถาดแอปเปิ้ลไว้กลางโต๊ะ เอ่ยทักทาย

    "สวัสดีคิล คาโล รอนานไหม บังเอิญแขกคืนนี้น่ะเกินจะปฏิเสธได้" เสียงหวานส่อเลศนัยเล็กน้อยทำให้ร่างสูงที่นั่งรอต้องขมวดคิ้ว

    ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหยิบแอปเปิ้ลมากัดอย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งทำให้อารมณ์เขาขึ้นอย่างรวดเร็ว

    "คนที่เอาแอปเปิ้ลมาฝากเป็นใคร?" เสียงเข้มถามอย่างสงสัย?

    (แค่สงสัยนะ ไม่ได้หึงเลยแม้แต่น้อย)

    คิลมองดูอย่างเฉยๆ ชินเสียแล้ว เพราะเป็นเรื่องปกติที่พวกนี้จะคุยกันไปทะเลาะกันไป ยิ่งเฟรินอยู่ด้วยน้ำแข็งยิ่งหลอมละลายง่ายอยู่แล้ว

    ดวงตาสีน้ำตาลปรือมองดูอีกฝ่ายก่อนล้มคว่ำเกือบตกเก้าอี้ ถ้าร่างสูงไม่ไวพอ คว้าร่างบางไว้ทัน

    คาโลเขย่าเรียกร่างบางสักพักก็ไม่เห็นอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว เขาช้อนร่างขึ้นพาไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว

    เรียกหมอเทวดาออกมาจากคทา หมอเฒ่าตรวจคนไข้ที่นิทราไม่ตื่นสักพักก่อนหันมารายงานผล

    "นายท่านต้องหาเจ้าของยาเพื่อถามวิธีแก้ เพราะมันจะเป็นวิธีเฉพาะที่คนวางยากำหนดไว้ถึงจะแก้พิษได้"

    เมื่อได้ฟังคำตอบ คาโลหันไปออกคำสั่งคิลทันที เพราะเขาไม่อยากปล่อยเฟรินไว้คนเดียว

    "นายไปถามดูว่าใครเป็นแขกคืนนี้"

    คิลพยักหน้ารับ วิ่งออกไปจากห้อง ก่อนชนเข้าอย่างจังกับร่างหนึ่ง

    ดวงตาสีม่วงสองคู่สบกัน

    "รุ่นพี่" เสียงเรียกอย่างคิดไม่ถึง

    "เอานี่ให้คาโล ส่วนวิธีแก้พิษก็คือ จุมพิตของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาล" ลอเรนซ์บอกยัดสิ่งหนึ่งใส่มือคิลแล้วเดินหันหลับกลับไปทันที

    คิลมองดูของในมือ นิ่งคิดสักพักก่อนยิ้มอย่างเข้าใจ เดินผิวปากกลับเข้าไปในห้อง

    "เอานี่ไป ส่วนวิธีแก้พิษนะ ใช้จุมพิตของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาล" คิลว่าก่อนเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็วพอกัน

    คาโลนิ่งงงสักพัก นี่เขาต้องกลับไปคาโนวาลพาเรนอนมาหรือ ดวงตาสีฟ้ามองดูของที่เพื่อนสนิทให้ก่อนหายหัวไป

    นี่มันจะมาล้อเล่นยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เหรอ หลังนิ่งคิดสักพักว่าเขาไม่มีทางเลือก ร่างสูงตัดสินใจสวมสร้อย เปลี่ยนร่างเป็นผู้หญิง

    ใบหน้าคมหวาน ผมสีเงินยาว ก้มหน้าไปหาเจ้าหญิงที่นิทราบนเตียงนุ่ม

    ริมฝีปากสัมผัสกันเนิ่นนาน

    ดวงตาสีน้ำตาลลืมตาขึ้นสบดวงตาสีฟ้า อย่างอ่อนหวาน

    "ฉันรักนาย"

    "ฉันก็รักนายเหมือนกัน"

    "เราแต่งงานกันนะ" เสียงเจ้าหญิงผมเงินถาม

    "มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเป็นเจ้าภาพนี่ กะว่าถ้าวันงานยังไม่มีเจ้าบ่าวล่ะก็ ฉันจะฉุดแขกที่มาจากคาโนวาลสักคนแต่งด้วยเหมือนกัน" เสียงหวานตอบกวนตามสไตล์เดิม

    ทั้งสองผลัดกันแลกเปลี่ยนจุมพิตกันไปมาอย่างเพลิดเพลิน จนไม่ได้สังเกตว่าใครบางคนยังไม่ได้เปลี่ยนร่างกลับ

    ที่ห้องรับรองแขกกิตติมศักดิ์นั่งจิบชากันอย่างสนุกสนาน มองดูภาพสวยงาม?ของเจ้าหญิงผมเงินจุมพิตสัญญาแต่งงานกับเจ้าหญิงผมสีน้ำตาล ผ่านลูกแก้วของอดีตซาตานแห่งป้อมอัศวิน

    "แหมคาลี่จังนี่ก็น่ารักดีนะ เหมาะกับเฟรี่เลย" ราชินีผมดำบอกเสียงเป็นปลื้มกับผลงานตรงหน้าปรายตามองดูสามีเล็กน้อย ส่งยิ้มหวานปนเลศนัยที่ทราบความหมายกันแค่สองคน

    "พวกรุ่นพี่มาได้ยังไงฮะ" คิลหันไปถามรุ่นพี่หน้าบูดแทน เพราะไม่อยากเข้าหน้าซาตานสาวที่กำลังอารมณ์ดีเกินเหตุตรงหน้า รู้สึกสยองพิกล

    "ก็ท่านพ่อนะสิ ขอร้องให้ลูคัสมาช่วยคาโลหน่อย ด้วยเหตุผลว่าถ้าไม่ช่วย ท่าเรื่องจะยาว" ลอเรนซ์บอกเหตุผลที่มา และเขาก็ไม่ไว้ใจที่จะให้ลูคัสมาคนเดียว กลัวว่าคาโลจะแย่กว่าเก่าจากฝีมือของซาตานตัวดีทำให้เขาต้องตามมาคุมมันด้วย

    คิลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ นี่ขนาดผู้คุมมาด้วย ยังไม่ยอมช่วยแบบปกติเลย เฮ้อแต่ก็ดีที่เรื่องจบสักที

     

    ที่บ้านของนักดนตรีผู้เนื้อหอม

    วันนี้แขกประจำที่พึ่งกลับจากซาเรสมาเยือน

    "นิกซ์ ฉันให้ช่างเสื้อมาวัดตัว" เสียงหวานออกคำสั่ง

    นักดนตรีหนุ่มแห่งป้อมอัศวินมองดูเจ้าหญิงคนงามอย่างสงสัย ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อเห็นชาวคณะที่มาด้วย บรรดาช่างตัดเสื้อ

    "ตัดไปทำไม เจ้าหญิงเอฟีน่า" เสียงเรียบถามอย่างสงสัย

    "ก็ไปร่วมพิธีในอีกสองเดือนข้างหน้าไง เราขอออกคำสั่งให้ท่านแต่งงานกับเราซะ"  เสียงหวานออกคำสั่ง

    "เอ่อ.... "นักดนตรีหนุ่มอึ้งเป็นครั้งแรก เขาไม่รู้จะเริ่มถามว่าอะไรดี

    "ทรงทราบจากไหนเจ้าหญิง" หลังตั้งตัวได้ คำถามที่สงสัยก็นำออกมาก่อน

    "รุ่นพี่อาเทอร์บอกนะสิ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ทราบ" แววตาวาวคาดคั้นจ้องมาทำให้ชายหนุ่มต้องหลบสายตา

    "หม่อมฉันก็คิดว่าเราไม่คู่ควรกันก็เท่านั้น" เสียงเรียบตอบ

    "เรื่องพวกนั้นเราตัดสินเอง ไม่มีใครดีกว่านิกซ์หรอกในสายตาของเรา " เสียงหวานกึ่งอ้อนบอก

    "จะทรงแต่งงานกับหม่อมฉันไหม" ร่างสูงที่คุกเข่าข้างหนึ่งถามเสียงทุ้มนุ่ม รอยยิ้มบางประดับที่ใบหน้าหล่อเหล่า ปนแผลเป็นแสนเท่ ในความรู้สึกของใครบางคน

    มือเรียวยื่นมาให้คนตรงหน้าจุมพิตแทนคำสัญญากับรอยยิ้มหวานทั้งน้ำตา

     

    ***

     

    งานแต่งงาน

     

    เหล่าคู่รักแห่งป้อมอัศวินเริ่มเดินทางมาเจอกันที่บารามอสอย่างตื่นเต้น เพราะจะได้แต่งงานเสียที และที่สำคัญจะได้เห็นหน้าหวานใจของเพื่อนฝูงด้วย นั่นเป็นเหตุผลหลัก

    สามนางฟ้าแห่งป้อมทักทายกันอย่างสดใส

    แองจี้ นั่งคุยกับเรนอนและมาทิลด้า ขณะที่แฟนของสามสาว หายไปกับฝูงเพื่อน

    เจ้าชายยูรีซีส คุยกับคิงอาเทอร์

    คิลหายหัวไป ซึ่งสงสัยคงไปหาคิงคาโล

    ส่วนครี้ดกำลังทักทายเดทและซอร์โร และเปรียบเทียบการเป็นเจ้าบ่าวแสนเท่แห่งปี

    "แล้วพวกเพื่อนๆคนอื่นหายไปไหนกันหมดนะ" แองจี้ถามอย่างสงสัย

    "อืม บางส่วนคงยังมาไม่ถึงมั้ง " มาทิลด้าสันนิษฐาน หันไปถามเจ้าหญิงเรนอน

    "อ้อ เจ้าหญิงเอฟีน่า กับนิกส์จะมาถึงช่วงบ่าย ส่วนซิบิลเห็นว่ายุ่งกับการช่วยเตรียมงาน ในฐานะที่เป็นคนเมืองเจ้าภาพ" เจ้าหญิงเรนอนจารนัย

    ไดแอนเดินคู่มากับเจ้าหญิงวิเวียนน่ายีน่า และสองนางรำแห่งซาเรส

    "เชิญพวกท่านพี่หญิงไปแต่งตัวกันได้แล้วค่ะ" ราชินีสาวแห่งเจมิไนบอกเสียงหวาน โดยมีว่าที่เจ้าสาวทั้งสามเดินตามมาด้วย ทำให้สามนางฟ้าของป้อมลุกเข้าไปห้องด้านใน ที่เตรียมไว้สำหรับเหล่าเจ้าสาว

    "แล้วเจ้าสาวคนอื่นๆล่ะ" แองจี้ถามอย่างติดใจ

    "พวกเขาคงเตรียมตัวตอนมืดนะค่ะ เพราะงานเลี้ยงเริ่มกลางคืน" ไดแอนเล่าให้พวกรุ่นพี่ฟังเสียงหวาน

    "เห เจ้าสาวของพวกนั้นขี้อายจัง" มาทิลด้าวิจารณ์อย่างแปลกใจ เพราะยังไม่เห็นหน้าแฟนเพื่อนอีกหลายคน

    "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ไว้ถึงเวลางาน พวกพี่หญิงก็จะได้เห็นเอง" วิเวียนเสริมเพื่อนสาวเสียงขบขัน เพราะความจริงว่าที่เจ้าสาวอีกหลายคนที่จะมาปรากฏตัวแบบกะเซอร์ไพรส์เพื่อนๆ นั้น รวมตัวกันอยู่อีกห้องหนึ่ง

     

    ในห้องส่วนพระองค์ของราชินีเฟลิโอน่า ที่กำลังนั่งเสวยน้ำชากับจักรพรรดินีชาเบียน  โดยมีนางไม้แห่งกิลดิเรก โจรสลัดสาว และอดีตเจ้าชายแห่งซาเรสมองตาค้าง

    "พวกนาย?" เจคมองโรสลับกับเฟรินไปมาอย่างไม่แน่ใจ

    "พวกเราทำไมเหรอจ๊ะ เจคกี้ อาชี้ โคลลี้" เฟรินถามเลียนแบบรุ่นพี่ลูคัส

    "นั่นสิ ฉันนึกว่าแยกห้องกับพวกสาวพวกนั้น พวกนายจะรับได้ง่ายหน่อยนะเนี่ย" โรเปรยขณะจิบน้ำชาด้วยมาดขอทานผู้รอบรู้ต่อเหมือนเดิม

    "พวกนายก็โดนยาของรุ่นพี่ลูคัสเหมือนกันหรือ" เจคหันไปถามเพื่อนๆอย่างสงสัย

    "ของโคลว์นะ เป็นผู้หญิงมาตั้งแต่แรกแล้ว แค่พ่อมันหวง ส่วนที่เหลือก็ผลผลิตของยา จะรุ่นไหน สเป็คพิเศษแบบไหน ก็อีกเรื่อง" เฟรินตอบพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    "รุ่นพี่ลูคัสมียาหลายแบบมากเลยเหรอ" โคลว์ถามเสียงไม่แน่ใจ สรุปว่าพวกเพื่อนๆไม่ได้เป็นโฮโมกันใช่มั้ย แต่เป็นผู้หญิงได้

    "ใช่หลายเวอร์ชั่นมากเลย ของฉันกับเจคตอนแรกก็โดนเวอร์ชั่นเดียวกัน แต่ตอนหลังพวกเรากินยาเข้าไปคนละแบบ เลยออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน" อาชูร่า ที่เปลี่ยนเป็นผู้หญิงถาวรแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เลยขอยาพี่ลูคัสแบบถาวรไปเลยตอบ

    "ของฉันนะไม่ใช่ยาของรุ่นพี่ลูคัส แต่เป็นยาในตำนานที่เจ้าชายอาเทอร์หลอกให้ฉันกินตอนพวกเราไปเที่ยวซาเรสกันทั้งชั้นปีไง" โรเล่าเสียงเรียบ กะเผาว่าที่สามีเล็กน้อยอย่างหมั่นไส้

    เพื่อนที่ยังไม่ทราบเรื่องอ้าปากค้างกับยุทธวิธีของเจ้าชายใจสิงห์

    "ของนายล่ะ เฟริน" เจคถามอย่างสงสัย เพราะอีกฝ่ายเป็นคนโปรดของรุ่นพี่ลูคัส ไม่น่าจะเผลอกินยาเหมือนพวกเขา

    "ก็คล้ายๆกับของรุ่นพี่ลูคัสนะ" เฟรินยิ้มหวานตอบแววตาระยับ ส่งผลให้เพื่อนๆมองอย่างสงสัย

    โรขมวดคิ้วอย่างรู้สึกไม่ไว้วางใจด้วยความที่รู้นิสัยของพี่ลูคัสดี แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะคนที่ต้องรับมือเฟรินไม่ใช่เขา แต่เป็นคาโลต่างหาก

    นางกำนัลนำชุดเจ้าสาวมาให้ ขณะที่เฟรินรับอาสาช่วยแต่งหน้าทำผมให้เพื่อนๆร่วมก๊วนอย่างใจดี

    "เอาให้สวยนะ" เจคบอกอย่างเขินเล็กน้อย กลัวสู้พวกสาวๆตัวจริงไม่ได้

    "มือชั้นนี้แล้วน้า" เฟรินบอกยิ้มก่อนลงมือแปลงโฉมเพื่อนๆสุดฝีมือ

    โรมองอย่างไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะสวยเกินหน้าพวกผู้หญิงตัวจริงไปหน่อยมั้ยเนี่ย แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะคืนนี้เป็นคืนแต่งงานของพวกเขานี่น้า เอาให้คนๆนั้นมองตาค้างก็คงไม่เลวเหมือนกัน

    ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายพอใจ เมื่อเห็นเจ้าบ่าวของเขายืนนิ่งอย่างตกตะลึง

     

    เสียงประกาศเรียกชื่อพวกเขาเป็นชื่อแรก ส่งผลให้เหล่าผู้มาร่วมงานเลี้ยงมองอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะเหล่าเพื่อนๆที่เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ของจักรพรรดินีแห่งเวนอล แต่ไม่เคยเจอตัวจริง

    กษัตริย์อาเทอร์จับมือน้อยกุมไว้แน่น ก่อนพาเดินเข้าไปทำพิธีก่อนใครเพื่อน

    หลังทั้งคู่สาบานรักและทำพิธีเสร็จ กษัตริย์ตาคม พาเจ้าสาวแสนสวยไปนั่งรอที่โต๊ะที่จัดไว้อีกด้าน

    เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกชื่อคู่แต่งงานคนต่อไป

    เจ้าชายรัชทายาทแห่งกิลดิเรก และเจ้าสาวคนสวยผู้ลึกลับ

    กษัตริย์อาเทอร์มองดูรุ่นน้องป้อมอัศวิน เจ้าชายแห่งกิลดิเรกผมสีเงินยาวกับเจ้าสาวผมสีน้ำตาลยาวไม่แพ้กัน ที่ดูน่ารักสมกันดี

    "ฉันคิดว่า ฝีมือการแต่งหน้าของเฟรินนี่ทำให้เธอสวยที่สุดในงานเลย โร" เสียงทุ้มกระซิบข้างหูร่างบางข้างตัว มองดูผิวแก้มชมพูอย่างถูกใจ

    "นั่นท่านคงต่อรอดูคู่ต่อไปก่อน" โรบอกเสียงเบามองดูบาทหลวงทำพิธีแต่งงานให้กัสและโคลว์ที่ฝ่ายเจ้าบ่าวก็มองเจ้าสาวคนงามไม่วางตาเช่นกัน

    พิธีเสร็จสิ้น กัสจูงมือโคลว์มานั่งข้างๆพวกเขา มองดูเพื่อนๆทำพิธีกันต่อ

    เจ้าชายยูรีซีส พาเจ้าหญิงแห่งอเมซอนมายืนต่อหน้าบาทหลวง และสาบานรักเสียงมั่นคง และทั้งคู่เดินอย่างสง่างามมานั่งข้างๆเพื่อนๆรอลุ้นคู่ต่อไป

    เจ้าครี้ดที่วันนี้แต่งตัวเท่ในชุดเจ้าชายเต็มยศกุมมือแองจี้แน่น และกล่าวคำสาบานเสียงดังฟังชัด ทำให้แขกหลายคนอมยิ้มกันไปทั่ว

    "ดีนะที่แองจี้ไม่ได้พกคทามาในวันนี้" มาทิลด้ากระซิบบอกเจ้าชายยูรีซีส ถึงนิสัยน่ารักของสองคนนี้

    "พวกเขามาโน้นแล้ว " เจ้าชายยูรีซีสบอกเจ้าสาว และทั้งคู่ส่งยิ้มให้เพื่อนๆ เพราะครี้ดนั่งลงก็หยิบแก้วเหล้าขึ้นดื่มย้อมใจทันที ขณะที่เจ้าสาวส่งสายตาเขียวมาเตือนแทนคทาในวันนี้ เพราะไม่อยากขายหน้าเลยฝากคทาไว้ที่เรนอนแทนก่อนเริ่มพิธี

    "เฮ้ ทิวดอร์จะออกมาแล้ว" ครี้ดบอกเสียงตื่นเต้น เพราะอยากเห็นเจ้าสาวของเพื่อนเต็มแก่ ก่อนหน้านี้ถามเท่าไร มันก็ไม่ยอมบอก ทำให้พวกเขาต้องมารอดูเอาเอง

    เหล่าเจ้าบ่าวที่ทำพิธีเสร็จแล้วต่างก็อ้าปากค้าง เมื่อเห็นหน้าเจ้าสาวของเจ้าชายทิวดอร์

    "หน้าเหมือนอาชูร่าเลย แต่สวยกว่าแฮะ หรือว่าจะเป็นน้องสาวของอาชูร่า" ครี้ดหันไปถามกัสอย่างสงสัย

    "ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" อดีตเสธที่มีแฟนปลอมตัวเป็นผู้ชายมาเรียนไม่ขอออกความเห็น

    ทั้งกัสและครี้ดหันไปหาห้องสมุดเคลื่อนที่แทนด้วยความอยากรู้

    "พวกนั้นทานยาเปลี่ยนเพศของรุ่นพี่ลูคัสไปนะ" จักรพรรดินีคนสวยให้คำตอบที่เพื่อนอยากรู้

    "แล้วของนายล่ะ" ครี้ดหันไปถามกัสต่ออย่างสงสัย เมื่อมองดูดีๆ เจ้าสาวคนสวยของเพื่อนก็หน้าคล้ายโคลว์เหมือนกัน

    "ของฉันแค่พ่อหวง แต่โคลว์เป็นผู้หญิงมาตั้งแต่แรกแล้ว" กัสตอบเสียงเรียบ ส่งสายตาห้ามจ้องมากมาให้นักรบแห่งไนล์

    "เอ่อ ฉันว่าไม่ใช่แค่พ่อหวง แฟนก็หวงด้วย"  ครี้ดพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนทักทายทิวดอร์ที่พาอาชูร่ามานั่งร่วมโต๊ะด้วย โดยนั่งข้างกษัตริย์อาเทอร์ ทำให้เขาคุยด้วยลำบาก ไอ้นี่สงสัยหวงแฟนด้วยเหมือนไอ้กัส

    ครี้ดอ้าปากค้างอีกรอบเมื่อเห็นแฟนของเอ็ดเวิร์ดชัดๆ ครั้งนี้นักรบแห่งไนล์ นั่งนิ่งเงียบไม่วิจารณ์อะไรอีกเลยด้วยความตกตะลึงสองชั้น

    เอ็ดเวิร์ดพาเจคมานั่งข้างอาชูร่า รอดูคู่ของนักฆ่าแห่งซาเรสกับเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลที่ทำพิธีเป็นอันดับต่อไป

    เจ้าหญิงเรนอนเดินมานั่งข้างๆแองจี้และมาทิลด้า ทำให้ครี้ดได้โอกาสหันไปถามคิล

    "นายคงไม่บอกฉันนะว่า ท่านหัวหน้าป้อมและท่านเสธของพวกเราจะแต่งงานกันเหมือนพวกเอ็ดเวิร์ด" ครี้ดหันไปถามคิลเพื่อทำใจก่อน

    "นายก็รอดูต่อไปสิ ครี้ด"  คิลบอกเสียงไม่เดือดร้อน ขณะที่แองจี้เริ่มตาเขียวและหันไปขอคทาคืนจากเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลเพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้กำหราบก่อนแฟนที่รักจะโรคบ้ากำเริบและทำให้เสียพิธีของเพื่อนๆ

    ราชินีแห่งเอเธนส์ควงคู่นักดนตรีหน้าบากกล่าวคำสาบานเสียงมั่นใจ และเดินเชิดหน้ามานั่งใกล้ๆรุ่นพี่ร่วมป้อมอย่างกษัตริย์อาเทอร์และเจ้าชายยูรีซิส ขณะที่นิกส์หันไปคุยกับเพื่อนๆร่วมป้อมที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันตั้งแต่เรียนจบ

    ราชินีเอฟีน่าแอบมองดูเจ้าสาวของพลพรรคป้อม โดยเฉพาะราชินีคนงามของรุ่นพี่อาเทอร์ ก่อนทำคอแข็ง ทำไมสาวๆป้อมอัศวินถึงได้ดูสวยๆกันทั้งนั้น ก็ยังดีที่สมัยเรียนทำตัวเป็นผู้ชายไปเสียส่วนใหญ่ไม่อย่างนั้นคงแย่งเรทติ้งกับป้อมอื่นน่าดู

    ซิบิลทำพิธีแต่งงานกับไดแอน ซึ่งคู่นี้เพื่อนๆไม่แปลกใจเท่าไร เพราะเห็นท่าทีมาหลายปีแล้ว จึงไม่ทำอะไรให้เพื่อนๆต้องตกใจอะไรอีก

    ถัดมาเป็นคู่ของเดท และซอร์โรกับสองฝาแฝดพี่น้อง นักร่ายรำจากซาเรส

    แต่ที่ทำให้เพื่อนๆต้องตาโตเป็นพิเศษคงไม่พ้นคู่ของท่านหัวหน้าป้อม กับเจ้าสาวคนงามของมัน

    คิงคาโลวานและควีนแห่งบารามอส

    ดวงตาของเหล่าเพื่อนร่วมป้อมที่ยังไม่เคยเห็นควีนเฟลิโอน่าแห่งบารามอสมาก่อน โตเท่าไข่ห่าน เมื่อเห็นเจ้าสาวผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลหวานที่เดินเคียงคู่มากับร่างสูงของคาโล

    เหล่าคู่แต่งงานแห่งปีทำพิธีเสร็จก็ถึงเวลาฉลองสำหรับพวกเพื่อนๆที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันตั้งแต่จบจากโรงเรียน

    แขกเหรื่อก็แยกไปสนทนากันตามวงอายุ พวกลูกๆที่ยังคงเอกลักษณ์ของป้อมอัศวินที่หลังหมดพิธีการ เสียงทักทายอย่างเป็นกันเองก็เริ่มขึ้น ประเดิมด้วยคำถามคาใจของเหล่าเพื่อน ที่นำโดยนักรบผู้กล้าแห่งไนล์

    "ตกลงพวกแกไม่ได้เป็นโฮโมกันใช่มั้ย" เจ้าชายแห่งไนล์ถามอย่างสงสัย มองดูทั้งท่านหัวหน้าชมรมและเพื่อนร่วมชมรม ส่งผลให้พระชายาเรียกคทาคู่ใจออกมาจัดการกับคำถามไม่ได้เรื่องทันที

    "นายไม่มีคำถามที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง ครี้ด" เสียงแหลมของพระชายาดังพร้อมเสียงคทาคู่ใจ

    "โธ่ ก็คนมันสงสัยนี่ แองจี้" ครี้ดที่คลำรอยโนป้อยๆแก้ตัวเสียงอ่อน

    "อืม มันก็แล้วแต่จะคิดนะครี้ด แต่ฉันคิดว่า นายไม่สนใจเป็นประธานชมรมหน่อยหรือ" เฟรินในร่างผู้หญิงถามเสียงหวาน

    "ชมรมอะไรหรือ" ครี้ดถามอย่างสนใจ

    "ชมรมเคารพภรรยาไง" รอยยิ้มของปีศาจบอกขณะยักคิ้วกับนางฟ้าที่รักของท่านประธานชมรม ที่ถือคทาขนาบอยู่ข้างๆ

    ครี้ดคอย่น เลิกถามคำถามไอ้หัวขโมยตัวดีทันที

    เหล่าเพื่อนๆหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน กับบรรยากาศที่ไม่แปรเปลี่ยน ไม่ว่าพวกเขาจะมีฐานะที่แท้จริงเป็นอะไรก็ตาม แต่มิตรภาพก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

     

    ***

     

    หลังงานแต่งงานภาคพิเศษ ติดเรท

     

    คาโลมองดูเจ้าสาวคนสวย ขณะอุ้มร่างบางวางที่เตียงนอนอย่างอ่อนโยน

    "ฉันรักนายเฟริน" เสียงทุ้มสารภาพก่อนแนบจุมพิตลงบนริมฝีปากสีสดแนบแน่น ท้าวแขนคร่อมศีรษะได้รูป มือลูบผมนุ่ม และเริ่มชิมรสหวานของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมปล่อยให้ร่างบางได้ทันตั้งตัว

    "ฉันก็รักนายคาโล" เสียงหวานตอบรับ แขนเรียวโอบรอบคอร่างสูง ยิ้มหวานตอบรับคำบอกรักของคนพูดน้อย

    มือร้อนเริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์สวยหรูของชุดเจ้าสาวออก มองผิวนวลอย่างหลงใหล จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอขาว ไล่ลงมาตามลาดไหล่นวล ก่อนหยุดที่ตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่าย

    จุมพิตร้อนประทับรอยประกาศความเป็นเจ้าของบนผิวนวล

    เสียงหวานครางเครือตอบรับการรุกรานของร่างสูง วงแขนสองคู่กระหวัดเกี่ยวราวกับจะไม่ยอมแยกจากกัน

     

    ยามเช้าในห้องบรรทมของราชินีแห่งบารามอส  ยิ้มหวานตอบรับจุมพิตอุ่นของคนรัก

    "อาบน้ำก่อนไหม" เสียงทุ้มถามมองดูใบหน้างัวเงียของเฟรินอย่างเอ็นดู

    "ก็ได้ แล้วพวกเราค่อยไปดูพวกเพื่อนๆ"  เสียงใสตอบรับ พร้อมรอยยิ้มพราว

    คาโลอุ้มร่างบางเดินหายเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที

    "ไม่ต้องไปแอบดูคนอื่นหรอก " คาโลก่อนระดมจุมพิตไปทั่วใบหน้านวลที่นึกสนุกจะไปแอบดูพวกเพื่อนๆจู๋จี๋กัน

    เสียงหวานครางประท้วงร่างสูงเมื่อไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาว่างไปสืบหาข่าวความเป็นอยู่ของเหล่าเพื่อนๆเลย ฝากไว้ก่อนเถอะคาโล เพราะมะรืนนี้ก็จะเป็นวันหยุดประจำปีของแอเรียสและทริสทอร์แล้ว

    ในที่สุดคิงแห่งคาโนวาลและควีนแห่งบารามอสก็ได้ฤกษ์ออกจากห้องบรรทมไปส่งเพื่อนๆกลับบ้านเมืองของแต่ละคน

    คิงคาโลออกจากแปลกใจที่แขกเจ้าแรกที่ลากลับคือรุ่นพี่ลอเรนซ์และรุ่นพี่ลูคัส ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องรีบกลับไปสะสางงานก่อนวันหยุดยาวประจำปีของแอเรียส ตามด้วยกษัตริย์และราชินีแห่งซาเรสแอนด์เวนอล

    หลังงานแต่งงานสองวัน เหล่าเพื่อนๆก็เริ่มทยอยกลับบ้านของแต่ละคนจนหมด โดยเขาได้รับอนุญาตให้หยุดพักต่อได้หนึ่งสัปดาห์ถือเป็นช่วงฮันนี่มูนที่บิดาบอกว่าจะดูแลราชกิจแทนให้เขา

    คาโลมองราชินีคนสวยข้างกาย อย่างแปลกใจที่เฟรินดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งๆที่ไม่มีเพื่อนเหลือให้ถ้ำมองอีกต่อไปแล้ว  ( เพราะเขาทำให้อีกฝ่ายยุ่งจนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องเพื่อน )

    "พรุ่งนี้เราไปปิกนิคกันดีกว่า"  เสียงหวานชวน

    "ไปที่ไหนหรือ" ร่างสูงหันมาถามชายาคนงามอย่างแปลกใจ

    "ไปที่ตำหนักบนเขาก็แล้วกัน ฉันให้คนไปเตรียมการไว้แล้ว"  เฟรินตอบชวนร่างสูงไปเก็บของออกเดินทางเที่ยวเหมือนสมัยเรียน

    คาโลยิ้มเล็กน้อย กับอาการรื่นเริงของเฟริน ไม่ว่าเมื่อไรอีกฝ่ายก็ดูจะมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ

    หลังอาหารค่ำพวกเขาก็ออกเดินทางท่ามกลางแสงจันทร์ไปตำหนักบนเขาที่ขี่มังกรไปไม่นานก็ถึง และฉลองฮันนี่มูนแสนหวานกันต่อในห้องนอน

     

    แสงแดดยามเช้าปลุกคู่รักใหม่ให้ลืมตาตื่น

    "คาโลตื่นเถอะ" เสียงปลุกที่ฟังดูห้าวกว่าปกติ ทำให้ดวงตาสีฟ้ามองอย่างสงสัย ก่อนแปลกใจกับภาพที่เห็น จนทำให้เขาต้องขยี้ตาซ้ำ

    ชายหนุ่ม ผมสีน้ำตาล ใบหน้าหวานดูคุ้นเคย แต่หน้าอกแบนราบ กับ...........

    "นายเป็นใคร ?"  คาโลถามก่อนขมวดคิ้วกับเสียงที่เปลี่ยนไปของตัวเอง ดวงตาสีฟ้าก้มลงมองดูตัวเองอย่างแปลกใจ ก่อนอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ควรมี และไม่เห็นสิ่งที่ควรมี

    "เฟริน?" ดวงหน้าสวยเงยหน้าขึ้นถามคนร่วมเตียงอีกครั้ง

    ใบหน้าหวานที่ดูยียวนพยักหน้ารับยิ้มๆ

    "มันเป็นไปได้ยังไง" เสียงหวานตวาดถามอย่างลืมตัว หลุดมาดเจ้าชายน้ำแข็ง

    "อืม มันก็เป็นผลข้างเคียงของยาแปลงเพศไง รุ่นพี่ลอเรนซ์ไม่ได้บอกนายหรือ"  เสียงซื่อถามพร้อมแววตาใส

    "ผลข้างเคียง? " เสียงหวานถามซ้ำช้าๆ ราวกับกำลังแปลภาษามนุษย์ต่างดาว นึกลำดับภาพรุ่นพี่ลอเรนซ์ที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรมาตลอด แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดสักที เพราะดูเหมือนรุ่นพี่ลูคัสจะดักคอได้ทันเสมอ ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง เมื่อเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมรุ่นพี่ลอเรนซ์ถึงได้รีบร้อนกลับประเทศก่อนวันหยุดประจำปี??

    "ใช่ ผลข้างเคียง ที่จะมีสามวันในรอบปีที่พวกเราจะกลับร่างเดิม และส่งผลให้คนรักของพวกเราเปลี่ยนเพศแทน แต่ไม่ต้องห่วงไม่นานหรอก แค่สองวันต่อปีเอง" เฟรินบอกน้ำเสียงปลอบใจเต็มที่

    "หมายความว่าฉันจะอยู่ในร่างนี้ไปสองวัน ส่วนนายจะเป็นผู้ชายไปสามวัน" คาโลที่เริ่มตั้งสติได้ถามย้ำ ก่อนขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจ

    "ยังมีอะไรที่นายยังไม่ได้บอกฉันอีกไหม เฟริน" เสียงเย็นถาม ขณะที่ไอเย็นแผ่ไปทั่วห้องหอ

    "อืม ก็ไม่มากอะไรหรอก แค่ร่างนี้ของนายก็อาจท้องได้ เหมือนผู้หญิงทั่วไป ก็แค่นั้นเอง" เฟรินบอกสีหน้าประจบเต็มที่ ขยักความจริงเรื่องที่อีกฝ่ายต้องคนตั้งท้องร้อยเปอร์เซนต์ไว้ในใจ บอกแค่ข้อเท็จจริงเล็กๆน้อยๆแทน

    คาโลนั่งนิ่งอย่างตกตะลึง

    "นายเป็นผู้หญิงแค่สองวันเอง ขณะที่ฉันเป็นตั้งสามร้อยกว่าวันต่อปี ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสีย หน่อย" เฟรินบ่น

    "แล้วถ้าฉันมีงานด่วนล่ะ" คิงบ้างานถาม

    "นายก็ใช้สร้อยเปลี่ยนเพศก็ได้ แต่นานๆที นายก็น่าจะหยุดพักบ้างนะ" เฟรินส่งสายตาอ้อนมาให้คนรัก

    "แค่สองวันเท่านั้นใช่มั้ย" คาโลหันมาคาดคั้นอีกรอบ

    "ใช่แค่สองวันเอง " เฟรินบอกก่อนก้มไปจุมพิตยุติบทสนทนาทั้งหมด

    คาโลจะประท้วง แต่จุมพิตของอีกฝ่ายที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาตั้งตัว ทำให้เขารู้ว่า เวลาแห่งการเอาคืนของเฟรินเริ่มแล้ว

     

    คาโลที่เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นผู้ชายเหมือนเดิม มองร่างของเจ้าหัวขโมยที่ยังคงเป็นผู้ชายวันที่สามต่ออย่างหมั่นไส้ที่เสียรู้มัน

    "ปีหน้า พวกเราไปฉลองครบรอบวันแต่งงานที่แอเรียสดีไหม จะได้ไปเยี่ยมพวกรุ่นพี่ด้วย" เฟรินหันมาถามเสียงใส

    "ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไม วันที่สาม พวกเราถึงต้องเป็นผู้ชายทั้งคู่" คาโลถามอย่างติดใจ

    "นั่นก็เพราะรสนิยมส่วนตัวของรุ่นพี่ลูคัสไง แต่ถ้านายอยากรู้คำตอบมากกว่านี้ ฉันจะสาธิตให้ก็ได้" เฟรินบอกขณะเขยิบเข้ามาใกล้ร่างสูงกว่าทันที

    "ฉันไม่อยากรู้เสียหน่อย ไม่ต้องบอกก็ได้" คาโลหน้าแดงก่ำเมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะเข้าโหมดสาธิตแบบถึงเนื้อถึงตัว

    "คาโล" เสียงอ้อนปนยั่ว ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลออกประกายหวานส่งมาหลอมละลายน้ำแข็งตรงหน้า ทำให้เสียงประท้วงเงียบหายไปกับสายลม

     

    ***จบจ้า***

     

    แถมท้าย

     

    ในห้องบรรทมของคิงและควีนแห่งแอเรียส

    ร่างสูงของชายหนุ่มผมสีทอง ดวงตาสีม่วง ที่นอนเคียงข้างร่างสูงของอดีตซาตานแห่งป้อมอัศวิน

    " ป่านนี้ คาลี่ คงได้รู้ความจริงแล้วสินะ" เสียงอารมณ์ดีของซาตาแห่งทริสทอร์เกริ่น

    ดวงตาสีอเมทิสต์ปรายตามองคนรักตัวดีอย่างไม่ชอบใจที่ต้องเสียรู้ไอ้ซาตาน แถมยังไม่สามารถช่วยอะไรคาโลได้

    "ไว้ปีหน้าพวกเราชวนคาลี่กับเฟรี่มาเที่ยวดีไหม ลอรี่"

    เสียงมีดบินแทนคำตอบรับของคิงแห่งแอเรียส ขณะที่ซาตานแห่งทริสทอร์ยังคงยิ้มหน้าระรื่นอย่างไม่เดือดร้อน แถมดูจะซาบซึ้งกับบรรยากาศแบบเก่า และสนุกกับสามวันหยุดประจำปีอย่างคุ้มค่าทุกนาที...

     

    ***แฮปปี้เอนดิ้ง***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×