ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #3 : ดอกไม้กลีบที่ 2 : ฤดูร้อนที่นึกอยากจะเกลียด แต่ก็เกลียดไม่ลง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.6K
      24
      4 ก.ย. 60

    Title:  Statice

    Genre: BL, Drama, Romance

    Rating:  PG

    Pairing: Kai x Aichi


     

    ดอกไม้กลีบที่ 2 : ฤดูร้อนที่นึกอยากจะเกลียด แต่ก็เกลียดไม่ลง

     

    ห้องในตอนนี้ที่อยู่คือห้องนอนของเขาเอง ส่วนข้างหน้าคือแตงโมสีแดงสดสวยดูน่ากินวางตั้งอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น ข้างๆ คือเด็กหนุ่มที่เป็นคนหั่นมาให้เขากำลังนั่งกินแตงโมด้วยสีหน้ามีความสุข ไคเพียงหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดไปได้ไม่กี่คำ ตัดสินใจล้มตัวลงนอนกับพื้นห้องไปในทันที ส่วนแตงโมที่กินค้างไว้ก็วางกลับไปที่จาน

    ตุบ...

    “เอ๋... ไคคุงจะนอนอีกแล้วเหรอครับ เดี๋ยวช่วงกลางคืนก็นอนไม่หลับเอาหรอก” เป็นคำเตือนที่เต็มไปด้วยความหวังดีก็จริง แต่เวลานี้ไครู้สึกอยากกลับไปนอนอีกครั้ง ถึงได้พลิกตัวหนีไปดื้อๆ

    “เฮ้อ...” ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมา ดูท่าทางไอจิคงจะยอมตามใจเขาแล้ว ไคตัดสินใจหลับตาลงเตรียมหลับไปอีกครั้งแต่ก่อนจะได้กลับตาลง ความคิดบางอย่างก่อขึ้นภายในใจ จากที่หันหน้าหนีอีกฝ่ายก็พลิกตัวหันกลับมามอง เห็นไอจิยังคงหยิบแตงโมชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าปากไป ไม่ได้ให้ความสนใจเขาเลย แบบนี้แหละถือเป็นโอกาส

    ตุบ...

    “ไปหยิบหมอนมานอนไม่ดีกว่าเหรอครับ” จากนอนราบไปกับพื้น ไม่มีอะไรมารองหัวทำให้รู้สึกนอนไม่สบายเท่าไรนัก ตัดสินใจใช้ตักนุ่มของอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้กว่าหมอนบนเตียงเป็นสิ่งแทนหมอนไปเสีย

    “ขี้เกียจ” คำตอบสั้นง่ายหลุดออกจากปากพร้อมกับพลิกตัวไปมาเล็กน้อย หาท่าที่สบายที่สุดให้แก่ตัวเองและสุดท้าย เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง หูได้ยินเสียงแว่วของไอจิบ่นอะไรบางอย่างแต่เขาไม่คิดใส่ใจฟังเท่าไรนัก เพราะสติของเขาได้ล่องลอยหลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝันเสียแล้ว

     

    ...ที่นี่ที่ไหน...

    รู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าเขาได้หลงเข้ามาอยู่ในสถานที่แปลกตา เป็นสถานที่ซึ่งมืดมิดเสียจนมองไม่เห็นแสงสว่างใด บรรยากาศรอบตัวรู้สึกเศร้าสร้อยเสียจนอยากนึกอยากร่ำไห้ ไคได้แต่นึกสงสัยกับตัวเองว่าในตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ใด ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าตัวเองกำลังฝันเห็นสิ่งใดอยู่กับแน่ แต่ความรู้สึกที่แน่นหน้าอก ทรมานเหมือนมีอะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่ในหัวใจเช่นนี้

    เขาพอจะตอบได้แล้วว่ากำลังฝันเห็นถึงสิ่งใด เมื่อนึกได้ดังนั้นกลีบดอกไม้สีขาวลอยผ่านหน้าไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็จะพบกับดอกเบญจมาศสีขาวบานสะพรั่ง ณ ที่ตรงนั้น ตรงใจกลางของเหล่าดอกไม้ขาว ดอกไม้ที่มีเพื่อคนตายเหล่านั้น มีกรอบรูปทั้งสองตั้งวางอยู่ ภาพที่อยู่ในนั้นต่อให้ไม่ต้องมอง เขาก็ล่วงรู้ได้ว่ามันคือภาพของใคร

    “ไค นั่นเธอจะไปไหนน่ะ!” เสียงของคุณลุงดังตะโกนถามด้วยความตื่นตกใจเมื่อเด็กชายตัวน้อยตัดสินใจวิ่งออกมาจากงานศพพ่อแม่ตัวเองโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น ไคเพียงมองภาพเหล่านั้นเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่นทั้งที่มันเป็นเรื่องของตัวเอง

    “ฝันถึงมันทุกครั้งเลยนะ ทุกครั้งก่อนถึงช่วงปิดเทอมหน้าร้อน” พึมพำบอกกับตัวเองเสียงแผ่ว นัยน์ตาสีเขียวมรกตเพียงหันไปมองงานศพเบื้องหลังเป็นครั้งสุดท้าย แล้วตัดสินใจไล่ตามเด็กชายไป ทว่าเมื่อเขาหันกลับไปมองทางด้านหลัง

    ภาพทิวทัศน์แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สมกับที่เป็นความฝัน ตอนนี้เขาได้มาหยุดยืนอยู่กลางสวนสาธารณะใกล้บ้าน ตรงหน้าคือตัวเขาในสมัยเด็กนั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพัง ไม่มีใครเลยที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้นอกจากตัวเขา ไคตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

    “พ่อครับ แม่ครับ...” ต่อให้ร้องไห้มากเพียงใด ต่อให้ร้องเรียกเพียงใด การกระทำเหล่านั้นคงเป็นเพียงเรื่องเปล่าประโยชน์และไร้ค่า เรื่องนั้นต่อให้ยังเด็กแต่เขาก็โตมากพอแล้วที่จะรับรู้ความจริงเหล่านั้นได้ไม่ยาก แต่อีกใจก็ยังคงปฏิเสธ เขาถึงก็ยังคงร้องไห้ต่อไป ร้องเรียกเหล่าผู้ที่ล่วงลับไปแล้วต่อไป   

    “ทำไมถึงมีแค่ฉัน...” ในตอนนั้นเขาเองก็เคยคิด ว่าทำไมอุบัติเหตุรถคว่ำนั้นถึงมีเพียงตัวเขาที่รอดมาได้ ทำไมตัวเขาถึงไม่ตายไปด้วย แต่ก่อนที่จะเผลอคิดแง่ลบไปมากกว่านี้ สัมผัสอบอุ่นเข้าโอบอุ้มหัวใจ สองมือเล็กกอดตัวเขาในวันนั้นเอาไว้แน่น ไร้ซึ่งคำพูดใด มีเพียงการกระทำเท่านั้นที่ช่วยปลอบโยน

    เจ้าของสัมผัสแสนอบอุ่นนั่น ช่วยอยู่เคียงข้างเขาแบบนั้นจนตะวันลับขอบฟ้าไปก็แล้วแต่เด็กชายตัวน้อยก็ยังอยู่กับเขาแบบนั้นจนคนที่บ้านออกมาตามหา ทว่าเพราะตัวเขาในวันนั้นไม่ยอมกลับไป ไอจิที่มีคนมาตามกลับถึงได้ไม่ยอมกลับไปที่บ้านด้วย

    สุดท้ายถึงต้องยอมกลับไปกับไอจิในที่สุด เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่สบายเอาแต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ในตอนนั้นเขาก็รู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อย จากสถานะเป็นคนปกป้องอีกฝ่ายเพราะไอจิในสมัยเด็กชอบถูกเด็กรุ่นเดียวกันรังแกอยู่เรื่อย กลับกลายเป็นคนถูกปกป้องไปแทน

    ที่สำคัญในวันนั้นเขาคงก่อปัญหาให้บ้านเซ็นโดอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากจะไปนอนค้างอยู่ ยังให้คุณแม่ของไอจิเป็นธุระช่วยโทรไปบอกลุงของเขาให้เสียอีก รู้สึกเกรงใจแต่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวเช่นกัน สิ่งที่เขาทำจึงมีเพียงกล่าวคำขอบคุณอีกฝ่ายเท่านั้น

    “ขอบคุณนะครับ...”

    “ขอบคุณอะไรกันล่ะจ๊ะ แม่น่ะ เห็นไคเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลยนะ ทำตัวตามสบายเลยจ๊ะ มีอะไรอยากได้ก็บอก” ทว่าพอได้ฟังคำตอบจากแม่ของไอจิแล้ว ไคถึงกับรู้สึกอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก นอกจากยืนเงียบ แล้วสถานการณ์มันอาจจะแย่ไปมากกว่านี้ก็เป็นได้ ถ้าเขาไม่ได้ไอจิช่วยเอาไว้

    “หิวข้าว...” ด้วยคำพูดที่ฟังดูไม่มีอะไรเลยนั่นแหละ เขาถึงได้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกนั่นไปอย่างง่ายดาย แม้จะมารู้สึกอึดอัดอีกครั้งเมื่อต้องมาร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวเซ็นโด ถือเป็นมื้ออาหารที่น่าอึดอัดที่สุดเท่าที่เคยกินมา มันทำให้เขารู้สึกทานข้าวไม่ค่อยลงเท่าไรนักทั้งที่รู้สึกหิว

    บางทีคงเพราะเขาเห็นภาพซ้อนอยู่ล่ะมั้ง ภาพซ้อนของครอบครัวเขาที่นั่งทานข้าวอย่างมีความสุขกับครอบครัวของไอจิ สุดท้ายก็กินไปได้ไม่เท่าไร เขาตัดสินใจไปอาบน้ำแล้วกลับไปที่ห้องไอจิเพื่อเข้านอนให้เร็วกว่าปกติ ทว่าเจ้าของห้องกลับไม่อยู่ เขาถึงได้รู้สึกเกรงใจไม่กล้านอนไปด้วย ถึงได้ตัดสินใจนั่งรออยู่ในห้องแล้วได้แต่นั่งเงียบอยู่เช่นนั้นไปได้สักพักใหญ่

    ไอจิที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้องพร้อมนมอุ่นสองแก้ว แก้วหนึ่งส่งให้เขาส่วนอีกแก้วเป็นของตัวเอง ไคเพียงมองอีกฝ่ายเงียบด้วยความแปลกใจแต่ก็ยอมรับมันมาดื่มแต่โดยดี ทั้งที่ความรู้สึกอยากมันไม่มีเลยแท้ๆ ทว่าเพียงนมอุ่นได้สัมผัสเข้ากับปลายลิ้น

    “อร่อย...” ไครู้สึกว่านมแก้วนี้มันอร่อยกว่านมทุกแก้วที่เคยกินมา ทั้งที่คิดว่ารสชาติของนมก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากเท่าไร ทว่ากับแก้วนี้เขากลับรู้สึกต่างออกไป

    “ไคคุง... ทำไมถึงร้องไห้” นั่งดื่มกันไปได้สักพัก เสียงหวานเอ่ยถามเสียงแผ่วแต่กลับไม่ได้ไร้ซึ่งความรู้สึก ในทางกลับกันมันกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย มือเล็กยื่นเข้ามาใกล้ ช่วยเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างเบามือแต่ดูเหมือนยิ่งเช็ด น้ำตาก็ยิ่งรินไหลออกมามากเท่านั้น

    “เรื่องนั้น...” อยากจะตอบออกไปให้คนตรงหน้าได้เข้าใจ ทว่าเขากลับรู้สึกจนคำพูดขึ้นมาเสียเฉยๆ คำพูดที่เตรียมกล่าวออกไปจึงกลายเป็นความเงียบ

    “ไคคุงเจ็บเหรอ” คำถามแสนง่ายแต่คำตอบนั่นกลับยากยิ่ง ไคเพียงพยักหน้ารับออกไปทั้งที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยหยดน้ำตาเช่นเก่า ไอจิเองก็พยายามช่วยเช็ดมันให้กับเขา ทว่ายิ่งพยายามมากเท่าไรก็ดูไม่หมดไปเสียที สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กกว่าขยับเข้ามาใกล้และนั่งลงบนตักเขา ใบหน้าหวานเงยขึ้นสบตา

      “ผมจะรักษาไคคุงเอง คุงเจ็บตรงไหนบอกผมสิ ผมจะช่วยรักษาให้” ใบหน้านั่นแม้จะดูไร้อารมณ์แต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย นัยน์ตาสีฟ้าคู่โตที่เคยดูไร้ชีวา บัดนี้กลับส่องประกายเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาเสียขนาดนี้ เขาถึงได้ตัดสินใจที่จะเข้มแข็งขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วงเขาไปมากว่านี้

    “ไม่เป็นไร... ฉันไม่เป็นไร คืนนี้ไอจิช่วยอยู่ข้างๆ ฉันทีนะ” เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถกลับมาเข้มแข็งขึ้นได้อีกครั้งหากอีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง ถึงได้ร้องขอออกไปอย่างเอาแต่ใจเป็นครั้งแรกและคำขอที่ฟังดูเอาแต่ใจนั่น ไอจิเพียงหยักหน้ารับอย่างหนักแน่นเป็นการตอบรับเขากลับมา

    เพียงแค่นี้มันก็ทำให้เขารู้สึกพอจะยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว ทว่าหลังจากนั้นเมื่องานศพของพ่อแม่เขาได้สิ้นสุดลง ข่าวร้ายที่ได้รับฟังทำเอาเขารู้สึกหมดแรงเสียจนไม่อยากทำอะไร เพราะคุณลุงตัดสินใจแล้วว่าจะรับเขาไปเลี้ยงดูต่อ เช่นนั้นตัวเขาก็ต้องย้ายไปอยู่กับลุงที่ต่างจังหวัด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาอาจจะไม่ได้พบไอจิอีก

    ต่อให้อยากปฏิเสธออกไปมากเพียงใด ตัวเขาที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไรได้อยู่แล้ว แม้ใจจริงนึกอยากจะอยู่ที่นี่มากก็เถอะ ในวันที่คุณลุงมาบอกข่าวนี้กับเขาและเตรียมทำเรื่องย้ายที่เรียน ไม่รู้เป็นเพราะสีหน้าของเขามันฟ้องออกมาอย่างโจ่งแจ้งหรือไม่ คุณแม่ของไอจิถึงได้มาช่วยพูดให้

    จนไม่รู้ว่าไปตกลงกันยังไง มันถึงได้กลายเป็นว่าเขายังสามารถอยู่ที่นี่ได้ โดยมีข้อแม้ว่าเขาจะต้องอยู่ในความดูแลของบ้านเซ็นโด สรุปแล้วก็คือเขาได้มาอยู่บ้านไอจิทั้งที่ยังคงรู้สึกงงไม่หายนั่นแหละ แล้วในตอนที่เขาเตรียมปฏิเสธเพราะเกรงใจ

    “ตายจริงๆ ถ้าไคไม่อยู่แล้ว ไอจิคงเหงาแย่เลย ที่สำคัญนะจ๊ะ ถ้าไม่มีไคอยู่ ไอจิคงได้แผลเต็มตัวกลับมาบ้านทุกวันอีกแน่เลย” สรุปแล้วคุณแม่ของไอจิเห็นเขาเป็นองครักษ์ประจำตัวลูกชายหรือเปล่า เขาถึงได้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาคิดมันจะผิด

    “ก็ไคน่ะ เป็นพี่ชายของไอจินี่น่า” ไม่ว่าจะสถานะองครักษ์หรือพี่ชายก็ตามแต่ เขาเต็มใจอยู่ที่นี่ทั้งนั้นแหละ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เขายังได้อยู่ใกล้ๆ ไอจิล่ะน่ะ

    และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ช่วงหน้าร้อนที่เขาได้สูญเสียครอบครัวไปจนทำให้รู้สึกเกลียดมันแต่ก็ไม่อาจเกลียดมันได้ลง เพราะตัวเขาได้อีกสิ่งที่สำคัญมาทดแทนเช่นกัน นั่นคือการได้พบและอยู่เคียงข้างไอจิยังไงล่ะ...

     

    ยามเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพที่เห็นคือคนที่เขาอยู่ด้วยกันมาโดยตลอดกำลังนั่งหลับอยู่ เห็นแล้วก็อดนึกขำอยู่ไม่น้อยเพราะก่อนหน้านี้ตัวเองยังโวยวายไม่อยากให้เขานอนอยู่เลย รอยยิ้มบางคลี่ประดับบนใบหน้าพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แต่ดูเหมือนความพยายามของเขาจะสูญเปล่า

    “ไคคุงตื่นแล้วเหรอครับ” ท่าทางงัวเงียดูยังไม่ตื่นเต็มตาเท่าไรนัก มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นขยี้ตาไปด้วย ส่วนปากก็เอ่ยถามเขา

    “อืม” ขานรับเขาไปสั้นๆ แล้วยกมือขึ้นขยี้หัวอีกฝ่าย หวังช่วยปลุกให้ตื่นเต็มตาขึ้นมาบ้างและดูเหมือนมันจะได้ผลดีเกินคาด ไอจิตื่นเต็มตาแล้วแถมยังหันมามองเขาด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไร

    “ไคคุงเล่นอะไรน่ะ หัวผมยุ่งไปหมดแล้วนะครับ” ปากบ่นแต่ก็ยังปล่อยให้ทำตามใจชอบต่อไป ไคเพียงนิ่งเงียบเป็นคำตอบแล้วขยี้หัวไอจิเล่นไปสักพักก็ตัดสินใจเลิก เพราะดูเหมือนถ้าเขายังเล่นไม่เลิก บางทีหัวสีฟ้าๆ ของอีกฝ่ายคงได้กลายสภาพเป็นรังนกไปในไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน

    “งืม... ไคคุง ไม่ฝันร้ายแล้วใช่ไหม” ส่งเสียงแปลกๆ ออกมาแล้วถึงตามมาด้วยคำถาม นัยน์ตาสีฟ้าครามกลมโตเงยขึ้นจ้องหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมา

    “ฝันสิ” พอตอบคำนี้ออกไปเท่านั้นแหละ จากนัยน์ตาที่ดูกลมโตอยู่แล้วเขารู้สึกว่ามันจะโตขึ้นไปอีก ก่อนท่าทางดูร้อนรนจะตามมาและตบท้ายด้วยคำถามแสดงความห่วงใย

    “คะ...คือๆ ไคคุงไม่เป็นอะไรน่ะ ผมจะอยู่ข้างๆ ไคคุงเอง!” พูดจนแทบลิ้นพันกัน ไคเกือบหลุดขำออกมาแต่พยายามเก็บอาการให้มากที่สุด สายตาก็คอบแอบลอบท่าทางของอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่าถ้าเป็นตัวเขาสมัยก่อน คงหัวเราะออกมาเต็มเสียง ส่วนไอจิคงไม่พูดอะไรนอกจากเข้ามากอดเขาเอาไว้

    ...พวกเราเปลี่ยนไปมากจริงๆ...

    “นี่ไอจิ... ทำไมนายถึงยิ้มบ่อยขึ้น” ถามออกไปตามตรง ใจหนึ่งอยากรู้คำตอบจากปากของอีกฝ่าย ส่วนอีกใจกลับไม่คิดอยากรับฟัง อยากที่จะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ไปตลอดเสียมากกว่า ใบหน้าคมถึงได้เผลอหันหน้าหนีไป ไม่กล้าสบตามองอีกฝ่าย

    “เรื่องนั้น... ก็เพราะไคคุง...”

    ตึกๆ

    ได้ยินเสียงตอบแผ่วเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนเสียงฝีเท้าจะดังขึ้นตามมาติดๆ เมื่อหันกลับมามอง ปรากฏว่าคนที่เคยนั่งอยู่ตรงหน้าได้วิ่งหายออกนอกห้องไปเสียแล้วและดูเหมือนจะเร่งรีบมากเสียด้วย ถึงได้เผลอปิดประตูเสียเสียงดังขนาดนั้น

    ปัง!

    สรุปแล้ว... ไอจิกำลังเขินอยู่ใช่ไหม?


     

    มุมน้ำชา

     

    รู้สึกไหมค่ะว่าตอนนี้สั้นกว่าตอนที่แล้วไปพอสมควรเลย ซึ่งมันก็สั้นจริงๆ นั่นแหละค่ะ เรื่องราวในส่วนแนะนำเรื่องมันก็จบไปหมดแล้ว หมดมุกที่จะเอามาเล่นล่ะ ฮ่าๆ

    ตอนหน้าก็จะเข้าเรื่องจริงๆ กันแล้วนะคะ หลังปูพื้นให้ตัวละครให้เดินเล่น ? กันมาถึงสองตอนเต็ม ทั้งที่จริงแล้วคิดว่าแค่ตอนเดียวก็คงจะจบนะเนี่ย ทำไปทำมาต้องใช้ถึงสองตอน หลังจากนี้คงจะเริ่มเข้าเรื่องกันจริงๆ ปริศนาเกี่ยวกับจิก็คงจะเริ่มโผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ? ตัวร้าย... ปล่อยมันไปก่อน อีกชาติเศษกว่าจะออก (ทำงี้ได้ไง///แว่วเสียงจากตัวร้าย)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×