ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #2 : ดอกไม้กลีบที่ 1 : ในวันนั้นที่พวกเราได้พบกัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.6K
      40
      4 ก.ย. 60

    Title:  Statice

    Genre: BL,Comedy, Romance

    Rating:  PG

    Pairing: Kai x Aichi



     

    ดอกไม้กลีบที่ 1 : ในวันนั้นที่พวกเราได้พบกัน

     

    ฤดูร้อนถือเป็นช่วงที่เขาสุดแสนจะเกลียดมัน เพราะด้วยอากาศที่ร้อนเกินทนทำให้อารมณ์ของเขาหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะทำอะไรก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง แล้วเพื่อสงบอารมณ์ของตัวเองที่ถูกปั่นป่วนด้วยความร้อนเหล่านั้น

    เด็กชายตัดสินใจหลบอากาศร้อนเข้าไปในป่าเพราะคิดว่ามันคงจะทำให้เย็นขึ้นมาได้บ้าง แต่แล้วเขาก็คิดผิดเพราะดูเหมือนยิ่งเข้ามาในนี้ จะยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่กว่าเดิมเสียอีก ทั้งอากาศที่ร้อนจนทำให้เหงื่อไหลเต็มไปหมด จนเริ่มรู้สึกเหนียวตัวจนอยากไปอาบน้ำ เสียงจักจั่นดังร้องเสียจนน่าหนวดหู

    ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนร่าเริง ไม่ได้ขี้หงุดหงิดง่ายอะไรขนาดนั้น แต่ด้วยความเบื่อที่ต้องตามพ่อแม่มาเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด ทำให้เขาไม่มีเพื่อนเล่นสักคน ไม่มีอะไรทำให้ลืมความร้อน สุดท้ายก็มาเดินเล่นในป่าที่พึ่งคิดได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ว่ามันถูกสั่งห้ามเข้าเพราะอันตราย

    บางก็บอกว่ามันมีปีศาจอยู่บ้างล่ะ บางก็บอกว่าเข้าไปแล้วจะไม่ได้กลับออกมาเพราะจะถูกเทพลักไปซ่อนแล้วก็เรื่องอื่นๆ ที่คิดหาเรื่องมาหลอกเด็ก ทว่ากับเขาไม่เชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้น แล้วเลือกเดินเข้ามาในป่าลึกเรื่อยๆ หวังเจอเรื่องตื่นเต้นหรืออะไรก็ได้ที่ทำแก้เบื่อได้บ้าง จนแล้วจนรอด เขาได้ยินเสียงหนึ่งที่นอกเหนือจากเสียงของเหล่าแมลงดังแว่วมา

    ตุบ!

    อาจจะหูฝาดไปเองหรือไม่ก็เป็นเพราะอากาศร้อนจนทำให้เขาเริ่มนึกจินตนาการไปเอง ว่าตัวเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตก เด็กชายหันซ้ายหันขวาหาที่มาของต้นเสียงเป็นการด่วน แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เขากลับไม่พบอะไรสักอย่างนอกจากสีเขียวของผืนป่า

    ...คิดไปเองงั้นเหรอ...

    ไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อยเท่าไรนักว่าเสียงที่ได้ยินมันเป็นสิ่งที่คิดไปเองหรือว่าเป็นของจริงกันแน่ แต่หลังได้กวาดสายตาสำรวจดูแล้วก็ไม่พบที่มาของต้นเสียง มันทำให้ใจเขาตัดสินไปเช่นนั้นเกินกว่าครึ่งแล้วและในขณะที่คิดกำลังออกเดินไปต่อ เขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันชัดเจนมาก

    โครม!

    เสียงนี้ทั้งดังทั้งชัดขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว เขาไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอน สายตาเริ่มกวาดมองรอบตัวด้วยความระแวงอีกครั้ง ใจก็เริ่มนึกไปถึงเรื่องเล่าที่พวกผู้ใหญ่เคยเอ่ยเล่าให้ฟังด้วยใจที่เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    ...หรือว่าที่นี่จะมีปีศาจอยู่จริงน่ะ...

    เรื่องเล่าเกี่ยวกับภูเขาแห่งนี้มีเป็นร้อย เช่นว่าอาจะภูตผีจับกินหรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้เด็กชายเริ่มรู้สึกเชื่อขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

    ...รีบกลับดีกว่า...

    ต่อให้ใจมันบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่ก็พึ่งคิดได้ว่าตัวเองไม่รู้ทางกลับไปนี่น่า ในเมื่อตัวเขาในตอนนี้กำลังหลงทางอยู่ ดูเหมือนว่าวันนี้คงจะเป็นวันซวยมหาชาติของเขา เริ่มจากอากาศร้อนทำให้หงุดหงิดไม่พอยังต้องมาหลงป่าอีก หลงป่าไม่พอตอนนี้อาจจะถูกผีหรือปีศาจจับกินอีก

    ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนี่ช่างโชคร้ายได้โล่เสียจริง แล้วในระหว่างที่เอาแต่คิดฟุ้งไปเรื่อย ก่อนหน้านี้ได้ยินเพียงเสียงอะไรก็ไม่รู้ดังแว่วมา ครั้งนี้มันมาเป็นเสียงพูดเลย

    “เจ็บ...”

    “ผีหลอก!” ตะโกนออกไปลั่นด้วยความหวาดกลัวแล้วหลับหูหลับตาวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศ โดยไม่คิดสนใจว่าการทำแบบนี้มันจะยิ่งทำให้เขาหลงป่ามากกว่าที่เป็นอยู่ แล้วกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรหลับหูหลับตาวิ่งมั่วแบบนี้ มันก็ใช้เวลาไปอีกพักใหญ่

    กึก!

    คิดแล้วหยุดฝีเท้าตัวเองลงอย่างกะทันหันและเริ่มกวาดสายตาตัวเองสำรวจสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ในทันที ทว่ายามเงยหน้าขึ้นมอง ราวกับได้เป็นภาพลวงตาไปชั่วครู่หนึ่งเพราะทันทีที่เขากระพริบตา สถานที่ที่เขายืนอยู่เป็นเพียงลานโล่งไม่ใช่ทุ่งดอกไม้สีม่วง

    “ใคร...” เสียงหวานใสแต่กลับฟังดูไร้ความรู้สึกดังเอ่ยถามมา ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เด็กชายหันไปมองตามเสียงที่เอ่ยทักมานั่น ก็พบว่าเบื้องหลังที่ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ที่ดูร่มเย็น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น เส้นผมของเธอเป็นสีฟ้าครามยาวสยายจรดพื้นดูยุ่งไม่เป็นทรง ใบหน้ามอมแมมและเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ไปหมด

    ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเผลอคิดไปว่าคนตรงหน้ายังน่ารักอยู่ดี สองขาก้าวเดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้าทว่าเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายได้เพียงไม่กี่ก้าว นัยน์ตาสีฟ้าครามที่ตวัดมองมา ดูว่างเปล่าไร้ความรู้สึก บรรยากาศรอบตัวบ่องบอกได้อย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้เข้าใกล้

    “นี่... เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่เหรอ” เว้นระยะห่างอยู่พอประมาณแม้ใจนึกอยากจะเดินเข้าไปหลบในร่มกับอีกฝ่ายก็ตาม เพราะจุดที่เขายืนอยู่ในตอนนี้แดดกำลังส่องลงมากลางหัวจนรู้สึกร้อนไปหมดแล้ว แต่ด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า อย่าเข้ามาใกล้ แบบนั้นของเด็กหญิง เด็กชายถึงได้ตัดสินใจทนยืนร้อนไปอยู่แบบนั้น

    “อย่ามายุ่งกับผม” นอกจากจะไม่ตอบคำถามเขาแล้วยังประกาศออกมาถึงความตั้งการของตัวเองอย่างชัดเจนเสียอีก เด็กชายถึงกับยืนนิ่งค้างหยุดอยู่กับที่ไปสามวิ ในหัวก็เริ่มประมวลคำพูดคำจาอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนได้ข้อสรุปสำหรับตัวเองออกมาว่า...

    “อ้าวเป็นผู้ชายหรอกเหรอ โทษทีๆ เห็นนายตอนแรกนึกว่าเป็นผู้หญิงน่ะ” รู้สึกข้อสรุปที่ได้มันจะผิดประเด็นไปเสียหน่อย คนที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงเพียงหันมามองเขาอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่พูดว่าอะไร แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายเอือมเขาอยู่ก็ไม่รู้

    “แล้วตกลงนายมาทำอะไรอยู่ที่นี่ล่ะ มีอะไรสนุกให้เล่นเหรอ” ไม่ว่าเปล่ายังเดินเข้าไปในร่มอย่างไม่คิดขออนุญาตอีกฝ่าย สายตาก็มองซ้ายมองขวา สำรวจสถานที่โล่งแทบไม่มีอะไรเลยแบบนี้ด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายมาทำอะไรในสถานที่แบบนี้

    “ในที่สุดก็ได้พบ...”   

    เหมือนได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างถึงได้หันกลับมามองหน้า ทว่าสีหน้าที่เคยดูไร้อารมณ์เหล่านั้นกลับดูสับสนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งดีใจและเสียใจไปในขณะเดียวกัน แต่แล้วในขณะที่เขากำลังนึกงงถึงปฏิกิริยาของอีกฝ่าย คนตรงหน้ากลับลุกขึ้นพรวดและทรุดลงไปนั่งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

    ตุบ...

    มือเล็กที่เต็มไปด้วยรอยถลอกยกขึ้นกุมข้อเท้าของตัวเองเอาไว้แน่น สีหน้าดูเจ็บปวด เห็นแค่นี้ก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บ เด็กชายเตรียมรุกเข้าไปช่วยดูอากาศให้ทว่าเพียงยื่นมือไปหา มือบางกลับปัดมือเขาทิ้งแล้วตวาดออกมาเสียงดังลั่น

    “อย่ามายุ่งกับผม!” เป็นปกติเขาคงจะหงุดหงิดจนทิ้งอีกฝ่ายไปนานแล้ว แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เด็กชายถึงได้ตัดสินใจนั่งลงข้างอีกฝ่ายแล้วยื่นมือไปจับข้อเท้าข้างที่คาดว่าคงจะเจ็บอย่างเบามือ

    “เจ็บมากไหม” สองมือประคองเท้าบางอย่างเบามือด้วยความกลัวว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บ สายตาก็คอยกวาดมองสำรวจอาการภายนอกไปด้วยก็พบว่ามันเริ่มเป็นรอยช้ำเสียแล้ว ดูท่าทางคงจะข้อเท้าแพลงอย่างแน่นอน แถมตามตัวยังมีรอยถลอก พอเดาได้เดาว่าอีกฝ่ายคงเล่นซนจนได้แผลมาประดับตัวเล่น

    “สภาพแบบนี้นายคงเดินไม่ไหว ขี่หลังฉันก็แล้วกันนะ” ความเงียบคือคำตอบรับ เด็กชายที่ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่เอ่ยบอกไปเช่นนั้นพร้อมหันหลังให้อีกฝ่ายขึ้นขี่ ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาถึงได้หันกลับมามองหน้าอีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง

    “ถ้ามายุ่งกับผม... นายอาจจะโชคร้ายก็ได้นะ” ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นทว่าด้วยสีหน้าและท่าทางที่ได้กล่าวพูดออกมา ทำให้รับรู้ได้ถึงความจริงจังของอีกฝ่าย เด็กชายเพียงนิ่งเงียบไปสักพักก่อนแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้าง

    “เขาว่ากันว่าโชคร้ายกับโชคร้ายมาเจอกันจะกลายเป็นโชคดีล่ะ วันนี้ฉันก็เจอแต่โชคร้ายมาทั้งวันแล้วด้วย ส่วนนายก็เจอมาทั้งวันเหมือนกันใช่ไหมล่ะ งั้นเอามารวมกันก็ต้องกลายเป็นโชคดีแล้วเนอะ” คนรับฟังได้แต่นึกตะโกนถามอยู่ภายในใจว่าไปฟังมาจากไหน แต่พอได้เห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสแบบนั้นแล้ว สุดท้ายเขาก็ยอมใจอ่อน

    เซ็นโด ไอจิ...”

    “เอ๋...” ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายแนะนำชื่อตัวเองออกมาอย่างกะทันหัน ก่อนท่าทางเหล่านั้นจะรีบเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพราะเริ่มรู้สึกได้จากสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายว่าหากเขาไม่รีบแนะนำตัวกลับ โอกาสที่อีกฝ่ายยื่นให้อาจจะสูญเปล่าไปโดยทันที

    ไค โทชิกิยินดีที่ได้รู้จักนะ แต่ตอนนี้ฉันควรพานายออกไปจากที่นี่ก่อนเนอะเซ็นโด” ว่าแล้วหันหลังให้อีกครั้งหนึ่งและในครั้งนี้เขารับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมา นั่นหมายถึงอีกฝ่ายยอมรับความช่วยเหลือจากเขาแล้ว

    “ไอจิ... เรียกผมว่าไอจิ” ได้ยินเสียงหวานดังเอ่ยบอกอยู่ข้างหู รู้สึกใจเต้นแบบแปลกๆ ก่อนจะสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดไร้สาระของตัวเองออกไป

    แต่ว่า...” นึกแปลกใจที่ยอมให้เรียกชื่อกันได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ ทั้งที่พึ่งพบเจอกันเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นแต่อีกฝ่ายกลับยอมให้เขาเรียกชื่อตัวเองเสียแล้ว ถ้าเป็นตามปกติแล้วกับคนที่ยังไม่สนิทกันก็จะเรียกกันด้วยนามสกุลแท้ๆ เขาถึงได้เตรียมกล่าวค้านออกไป

    “ไคคุง...” ทว่า... พอโดนเสียงหวานเอ่ยเรียกเสียงเศร้าแบบนั้น สุดท้ายเขาก็ยอมใจอ่อน ได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวแต่ก็พยายามไม่คิดมากอะไรนอกจากนึกไปว่าคงเป็นเพราะอากาศร้อน เขาถึงได้มีอาการแบบนี้มันก็เท่านั้น สองมือจับขาอีกฝ่ายเอาไว้ให้มั่นเช่นเดียวกับไอจิเองก็เริ่มกลัวตก ถึงได้ยกสองมือเล็กขึ้นกอดเขาเอาไว้แน่น

    สองขาเตรียมตัวก้าวเดินออกไปเบื้องหน้าเพื่อกลับออกไปจากป่า ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่เลยด้วยซ้ำ ไอจิก็เล่นทักเขามาซะเสียสูญเลย

    “ไคคุง... ไม่ใช่ว่าหลงทางอยู่หรอกเหรอ”

    กึก!

    ถึงกับหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ไม่ต้องรอคำตอบมาเป็นคำพูด ดูแค่การกระทำไอจิก็รู้แล้วว่าคำตอบมันคืออะไร ได้แต่นึกถอนหายใจเหนื่อยโดยไม่แสดงออก ส่วนมือบางเล็กก็ชี้ตรงไปข้างหน้าเพื่อบอกทางที่จะกลับออกไปให้คนที่ตัวโตกว่าได้รับรู้

    “ทางนั้นครับ”

    “ช่วยทีนะ” จากเป็นคนที่ถูกหวังพึ่งก็กลายเป็นต้องพึ่งอีกฝ่ายไปเสียแล้ว รู้สึกเสียหน้าแต่เพราะไอจิบาดเจ็บอยู่ ในตอนนี้มันจึงไม่ใช่เวลามารักษาภาพพจน์ให้เสียเวลาเล่น ไคยอมรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายแต่โดยดีและเดินไปตามทางที่อีกฝ่ายบอกมาเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็โผล่ออกมาจากป่าในที่สุด

    “เฮ้อ... ออกมาได้แล้ว บ้านนายอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง” ใช้เวลาไม่นานเท่าที่คิด พวกเขาก็สามารถออกมานอกป่าได้แล้วและดูเหมือนเวลาพึ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเอง ทั้งที่ตอนอยู่ภายในเขารู้สึกเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ทว่าดูจากพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางหัว ทำให้พอจะเดาได้ว่าเวลาในขณะนี้คงเที่ยงวันแล้ว

    ...รีบพาไอจิกลับไปส่งที่บ้านดีกว่า...

    เที่ยงแล้วอีกฝ่ายก็น่าจะหิวแม้เจ้าตัวจะไม่ได้พูดหรือบอกอะไรเขาเลยก็เถอะ หูก็คอยรอรับฟังคำตอบจากอีกฝ่ายว่าเขาต้องเดินไปทางไหนต่อ ทว่าต่อให้ตั้งใจฟังเสียงพูดอีกฝ่ายมากขนาดไหน เขาก็คงจะไม่ได้ยินเพราะไอจิไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับมา นอกจากชี้มือบอกทางไป

    “โอเค นี่ไอจิ ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว เป็นคนที่ไว้ใจได้ นายพอจะบอกฉันมาได้ไหม ว่าทำไมตามตัวนายถึงได้เต็มไปด้วยบาดแผลแบบนี้” ตอบรับกลับไปว่าตัวเองทราบแล้วพร้อมชวนอีกฝ่ายคุย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ จนไคเริ่มคิดหนักว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป

    “เอ่อคือ... ถ้าฉันเข้าใจผิด ต้องขอโทษด้วยนะ” เพราะให้เรียกด้วยชื่อ เขาถึงได้เข้าใจไปว่าพวกเขาคงจะเป็นเพื่อนกันแล้ว แต่ดูเหมือนไอจิจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับเขา ทว่าพอได้ยินประโยคที่เอ่ยพูดออกมา แม้เสียงจะเบาเสียจนแทบไม่ได้ยินแต่เพราะใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้กับเขามาก ทุกถ้อยคำที่กล่าวออกมา เขาถึงได้ยินมันหมดทุกถ้อยคำ

    “เพื่อน... ไคคุงเป็นเพื่อน จะไม่รังแกผมใช่ไหม” พอสรุปได้แล้วว่าไอจิคงโดนเพื่อนแกล้งถึงได้ไปอยู่ในสภาพแบบนั้น แม้จะนึกสงสัยก็เถอะว่าอีกฝ่ายโดนแกล้งแบบไหน ถึงได้มีบาดแผลตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้ได้

    “ไม่หรอก ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นด้วย” ว่าออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ตัวเอง ใบหน้าต่อให้อยากหันไปมองหน้าอีกฝ่ายมากก็เถอะ แต่เพราะต้องคอยมองทางตามที่มือของไอจิชี้บอกอยู่ตลอด จึงไม่อาจหันกลับไปมองได้

    “แล้วไคคุงเกลียดผมหรือเปล่า” แต่ละคำถามที่เอ่ยถามมา แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบเสียจนคาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ออกเลยก็เถอะ แต่ด้วยเนื้อความในคำถามเหล่านั้น ไคสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวอยู่

    “แล้วทำไมฉันต้องเกลียดไอจิด้วยล่ะ” สองขาก็ก้าวเดินไปตามทางด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย ถามว่าหิวข้าวไหมก็มีนิดหน่อยแต่เพราะมีเพื่อนคุยอยู่ด้วยแบบนี้ อาการเหล่านั้นก็แทบไม่มีผลกับเขามากเท่าไรนัก ที่สำคัญไปกว่านั้นเขาต้องเอาความสนใจทั้งหมดไปใส่ใจไอจิอีกด้วย เพราะฉะนั้นอาการพวกนั้นน่ะ เขาแทบลืมไปหมดสิ้นแล้ว

    “ทุกคนบอกว่าผมเป็นตัวประหลาด” ครั้งนี้ไอจิไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเสียจนคาดเดาความรู้สึกไม่ออก ในทางกลับกันเจ้าตัวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าเสียอีก ฝีเท้าที่ก้าวเดินหยุดชะงักลงพร้อมหันกลับไปมองใบหน้าอีกฝ่าย เป็นดังที่คาดไว้ ใบหน้าที่เคยดูไร้อารมณ์เริ่มทำหน้าเศร้าเสียจนใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มทน

    “เหรอ แต่ฉันไม่เห็นว่าไอจิประหลาดตรงไหนเลยนะ” พูดพร้อมกับจ้องตาตอบ นั่นเป็นการแสดงความจริงใจว่าเขาไม่ได้พูดโกหก ไอจิเองก็คงรับรู้ได้ผ่านทางสายตาเช่นกัน รอยยิ้มแรกนับตั้งแต่ได้รู้จักกันมาถึงได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั่น

    “อืม” แล้วขานรับเสียงแผ่วแต่กลับให้ความรู้สึกสดใสกว่าที่เคย เห็นท่าทางที่ดีขึ้นแบบนี้ไคถึงกับรู้สึกโล่งใจแล้วเริ่มออกเดินไปต่ออีกครั้ง ก่อนพึ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ว่าการไปพบเด็กชายหน้าตาสวยเหมือนเด็กผู้หญิง ไว้ผมจนยาวเท่าความสูงของตัวเอง ไปนั่งอยู่ในป่าในสภาพที่บาดเจ็บแบบนี้มันประหลาดหรือเปล่า ยังไม่ทันนึกคำตอบออก ก็พบว่าพวกเขาได้เดินมาถึงบ้านของไอจิกันแล้ว

    “อ้าว จากบ้านลุงมาบ้านไอจิก็ใกล้นิดเดียวเองนี่น่า พรุ่งนี้ฉันมาเล่นด้วยได้ไหม” ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าบ้านของไอจิจะอยู่ใกล้บ้านญาติตัวเองขนาดนี้ ระหว่างนั้นเขาก็ย่อตัวลงต่ำเพราะดูเหมือนไอจิอยากจะลงมาเดินด้วยตัวเอง

    “อืม” เพียงแค่ได้รับฟังเสียงขานรับแผ่วเบานั่น ไคถึงกับรู้สึกว่าวันนี้ทั้งวัน เขาคงจะยิ้มไม่หุบอย่างแน่นอน รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก บางทีการมาอยู่ในบ้านนอกแบบนี้โดยไม่มีเพื่อนเล่นเลยสักคน มันคงทำให้เขาเหงาจับใจ พอมีเพื่อนแบบนี้แล้วมันก็เลยทำให้เขารู้สึกดีใจจนออกนอกหน้าแบบนี้ สองมือก็ช่วยประคองอีกฝ่ายเดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน

    และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตลอดช่วงปิดเทอมหน้าร้อนเขาก็มักมาเล่นกับไอจิเสมอ จนได้รู้ความจริงว่าบ้านที่ไอจิอยู่เองก็เป็นเพียงบ้านของญาติ ส่วนบ้านจริงๆ อยู่ในตัวเมืองเดียวกับเขา มันยิ่งทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นไปอีกและนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ได้เกลียดหน้าร้อนอีกต่อไป ไม่สิ ถึงอยากจะเกลียดแต่ก็ไม่สามารถเกลียดมันได้แล้วต่างหาก...

     

    “ไค...”

    “ไคคุง...”

    “ไคคุงตื่นสิ!

    ตุบ!

    เสียงที่ไม่ได้ฟังดูหวานเสียจนเหมือนเสียงของเด็กผู้หญิงเหมือนสมัยก่อน แต่ถ้าเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันก็นับว่ายังฟังดูหวานมากอยู่ดี ดังปลุกให้เขาตื่นจากห้วงนิทราแต่พอไม่เห็นท่าทีว่าเขาจะตื่นขึ้นมาตามเสียงเรียก รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างหนักๆ มาทับตัวเขาที่บริเวณหน้าท้อง

    “ไคคุงตื่นได้แล้ว ผมทำอาหารกลางวันเสร็จแล้วนะครับ” สติน่ะ ตื่นขึ้นมาเต็มตัวแล้วหลังจากนอนหลับฝันถึงเรื่องราวสมัยเด็ก เพียงแต่เปลือกตายังคงไม่คิดลืมตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ไม่คิดสนใจมองเลยด้วยซ้ำว่าน้ำหนักที่มากดทับตัวเขาอยู่คือสิ่งใด

    “ไคคุงตื่นเถอะครับ” น้ำหนักที่กดทับจากบริเวณหน้าท้องเพียงจุดเดียวเริ่มรู้สึกลามไปทั้งตัวเสียแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขารู้มาก่อนว่าสิ่งที่ทับเขาอยู่คือสิ่งใด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะนึกว่าผีหลอกก็เป็นได้ เปลือกตายอมลืมขึ้นมาเล็กน้อย พอเห็นใบหน้าที่ยังดูหวานยังไงในสมัยเด็ก โตขึ้นมาก็ยังดูหวานอยู่แบบนั้นเข้า

    “ไคคุง!” ตัดสินใจหลับต่อหน้าตาเฉย ไม่สนใจคนที่ขึ้นมานอนทับตัวเขาและยื่นหน้าเข้ามาในระยะประชิดแต่อย่างใด ส่วนคนที่พยายามปลุกแล้วปลุกอีกถึงกับเริ่มขึ้นเสียงกับเขาขึ้นมาหน่อย แต่ในน้ำเสียงเหล่านั้นไม่ได้ฟังดูหงุดหงิดแต่อย่างใด ในทางกลับกันมันฟังดูสับสนเหมือนคิดไม่ออกว่าควรทำอะไรดีเสียมากกว่า

    ...ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ดีกว่ามาก...

    น้ำเสียงที่ฟังดูมีอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่เรียบเฉยจนยากต่อการคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่าย แล้วพอลืมตาขึ้นมอง ใบหน้าที่เคยมีบาดแผลอยู่ทั่วบัดนี้กลับหมดจด ไร้ซึ่งรอยแผลใดอยู่อีกต่อไป เส้นผมสีฟ้าครามที่เคยไว้ยาวและไม่เคยใส่ใจที่จะดูแลรักษามัน

    จนเป็นตัวเขาเองนี่แหละที่รู้สึกทนไม่ได้กับผมที่ปล่อยยาวและไม่ได้รับการดูแลดีๆ เลยแบบนั้น จำใจไปหาซื้อริบบิ้นที่กว่าจะเลือกสีได้ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันมาให้ ต่อให้สุดท้ายแล้วผมที่เคยยาวก็ถูกตัดสั้นไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนริบบิ้นที่เคยซื้อให้ดูเหมือนเจ้าตัวจะให้ความสำคัญกับมันเป็นอย่างมาก

    ถึงได้เอามันไปพันรอบแขนข้างซ้ายเพื่อพกติดตัวเอาไว้ตลอดและด้วยสีของมันที่เป็นสีขาว ทำให้มันดูเหมือนเป็นผ้าพันแผล ต่อให้เป็นแบบนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้คิดสนใจแถมยังดื้อที่จะผูกเอาไว้แบบนั้นเสียอีก

    “เฮ้อ... ไคคุงไปกินข้าวเถอะ” เอาแต่ใจลอยไปถึงไหนต่อไหน คนด้านบนถึงกับเริ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจขึ้นมานิดหน่อย แต่แทนที่ไคคิดจะลุกไปกินข้าวตามที่ไอจิบอก กลับกลายเป็นว่าพลิกตัวหนีไปดื้อๆ ส่งผลให้คนที่นอนทับเขาอยู่ด้านบนต้องกลิ้งตกไปด้วย

    “อ๊ะ” ได้ยินเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ ไคคุงเพียงลืมตาขึ้นเล็กน้อยเห็นอีกฝ่ายลงมานอนกลิ้งอยู่ข้างตัวเขา พอเห็นอีกฝ่ายยังดูสบายดีถึงได้แกล้งหลับตาต่อ

    “แกล้งกันนี่น่า” รู้สึกได้ว่าคนข้างตัวขยับลุกขึ้นนั่งแล้ว แถมกำลังจ้องตรงมาที่เขาด้วยความไม่พอใจเสียด้วย เท่านั้นแหละไคเริ่มรู้สึกว่าควรเลิกแกล้งอีกฝ่ายได้แล้วถึงได้ยอมลืมตาขึ้นมาแต่โดยดี

    “เปล่าสักหน่อย ไอจิผมนายเริ่มยาวแล้วนะ” ยื่นมือออกไปจับเส้นผมที่เคยยาวสวย บัดนี้สั้นเพียงไหล่และดูเหมือนมันจะเริ่มยาวเลยไหล่มาหน่อยแล้ว

    “จริงด้วย เดี๋ยวค่อยไปตัดที่ร้านก็แล้วกันครับ” พอเขาทักออกไปแบบนั้น ไอจิก็ยกมือขึ้นลูบผมตัวเองด้วยเช่นกัน ถึงได้รู้สึกว่าผมมันเริ่มยาวแล้ว

    “ไม่คิดไว้ผมยาวแล้วเหรอ” พอเขาทักออกไปแบบนี้ สีหนาของไอจิเริ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหันมาส่งรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มันก็เป็นการฝืนปั้นแต่งขึ้นมาให้

    “ไม่ล่ะครับ ไว้ผมยาวเดี๋ยวโดนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงอีกที่สำคัญ... ไคคุงเองก็บอกว่าแบบนี้เหมาะกว่า” รู้สึกจุกไปอยู่ไม่น้อยพอได้ยินคำพูดนี้หลุดจากปากของไอจิ ก่อนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หนึ่งในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน

    วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนอีกเช่นเคย ไอจิมาขอร้องให้เขาช่วยตัดเอาความยาวของผมออกให้แต่เพราะเขาตัดพลาดไปหน่อย ทำไปทำมาจากเส้นผมที่เคยยาวถึงได้สั้นเหลือเพียงไหล่และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี เขาถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ใจจริงแล้วเขาค่อนข้างชอบเส้นผมที่ยาวของอีกฝ่ายมากกว่า

    ...บอกความจริงออกไปดีไหมนะ...

    “ไคคุงรีบลงไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมดนะ” ขณะเผลอคิดไปแบบนั้น เขาก็ถูกไอจิดึงให้ลุกขึ้นแล้วเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกันเสียแล้ว สายตาคอยเหล่มองใบหน้าทางด้านข้าง ก่อนตัดสินใจว่าอย่าบอกออกไปเลยน่าจะดีกว่า

    “ผมสั้นแบบนี้น่ะดีแล้ว”

    “เมื่อกี้ไคคุงพูดอะไรหรือเปล่าครับ” เผลอหลุดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไป ไครีบส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธแล้วเปลี่ยนเป็นคนเดินนำลงไปชั้นล่างแทน ระหว่างนั้นภายในใจก็ได้แต่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายยังไว้ผมยาวอยู่ มันคงจะดูเหมือนผู้หญิงมากจนเกินไป

    แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น การแต่งตัวของไอจิเองก็ยังติดไปทางผู้หญิงอยู่อีกด้วย ถึงตอนนี้กับสมัยก่อนจะดีขึ้นมากแล้วก็เถอะเพราะมีเขาอยู่ช่วย หากยังให้เอมิ น้องสาวของไอจิคอยแนะนำเรื่องการแต่งตัวให้อยู่ คาดว่าเจ้าตัวอาจจะยังคงหลงใส่กระโปรงอยู่ก็เป็นได้

    แม้ในตอนนี้เปลี่ยนมาใส่กางเกงแทนแต่ก็เป็นกางเกงขาสั้น เสื้อเปิดไหล่ดูใหญ่เกินตัวไปเล็กน้อย ข้างในใส่เสื้อทับสีดำอีกทีหนึ่ง ดูผ่านตาแล้วก็ยังเหมือนผู้หญิงอยู่แต่ถ้ามองดีๆ ก็พอจะมองออกว่าเป็นเด็กผู้ชาย

    “อืม แบบนี้ดีกว่า” เป็นอีกครั้งที่เผลอหลุดพูดสิ่งที่คิดอยู่ภายในใจออกไป ไอจิเพียงหันมามองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไรนอกจากเดินไปนั่งประจำที่

    “คุณแม่กับเอมิล่ะ” เดินเข้ามาในห้องครัวจนนั่งประจำที่แล้ว ไคพึ่งสังเกตเห็นว่าข้าวกลางวันมีเพียงสองชุดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ทั้งที่บ้านนี้ยังมีสมาชิกอยู่อีกสองคน

    “ออกไปซื้อของข้างนอกครับ” สรุปแล้วในตอนนี้พวกเขาก็อยู่บ้านกันสองคน ไคพยักหน้ารับแล้วเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้าในทันที จนเวลาผ่านไปได้สักพัก อาหารกลางวันฝีมือไอจิก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขานั่งรอให้อีกฝ่ายล้างจานให้เสร็จก่อน

    “ไคคุงจะกินแตงโมไหมครับ” ล้างจานไปได้สักพัก ไอจิก็หันมาเอ่ยถาม ไคเพียงพยักหน้ารับออกไป สายตาก็คอยมองอีกฝ่ายไปด้วย

    “ตั้งแต่วันนั้น นายดูเปลี่ยนไปเยอะนะ” นับตั้งแต่ฤดูร้อนที่ได้พบเจอกันครั้งแรก จนเวลาผ่านไปอีกสองปีเต็ม ไอจิก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย จนตอนนี้ดูร่าเริงสดใส ยิ้มแย้มได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ไม่มีท่าทีซึมเศร้าแบบสมัยก่อนให้เห็นอีกแล้ว ไคถึงเผลอไม่ได้ที่จะทักออกไปแบบนั้น

    “ไคคุงเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกันครับ” พอเขาทักถึงความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายออกไป ไอจิเองก็ทักความเปลี่ยนแปลงของเขาไปเช่นกัน จะบอกว่าพวกเขากำลังสับเปลี่ยนนิสัยของกันและกันอยู่ก็คงจะไม่ผิดมากเท่าไรนัก หากแต่ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองอีกสักหน่อย

    ว่าการไอจิยิ้มและดูร่าเริงมากขึ้น ก็เพื่อทดแทนในส่วนของเขาอยู่หรือเปล่าน่ะ?


     

    มุมน้ำชา

     

    หลังเสียเวลาไปนาน (มากกว่าหนึ่งอาทิตย์!) ในที่สุดตอนที่หนึ่งก็ปรากฏสู่สายตานักอ่านทุกท่านแล้วนะคะ! และก็ต้องขอขอบคุณคอมเม้นท์ของทุกท่าน ที่ช่วยเป็นกำลังใจให้เราวางพล็อตมันได้จบสักที ถึงในตอนแรกจะคิดว่าคงไม่มีใครมาคอมเม้นท์ให้เลยก็เถอะค่ะ

    เพราะคู่นี้มันไม่ค่อยจะดังสักเท่าไรนัก (มาจากการ์ตูนเด็กต้องทำใจ แม้สาววายจะดูแล้วสุดฟินเลยก็เถอะ) ส่วนตัวเราเองกว่าจะมารู้จักคู่นี้ได้ ก็ใช้เวลานานมากจนภาคสี่ออกแล้วเนี่ยแหละค่ะ ถึงพึ่งคิดมาดู (จริงๆ โดนคุณเพื่อนไซโคมาต่างหากล่ะ)

    ขอพูดถึง Ep. 169 หน่อย เห็นไคตอนนี้แล้ว ไคเอ๋ยพยายามเข้านะ เขาว่ากันว่ารักแท้มีอุปสรรคเยอะนะจ๊ะ ฮ่าๆ ไปชิงเจ้าสาว เอ๊ย ภรรยา เอ๊ยไม่ช่ายยย ไอจิ คืนมาจากพวกนั่นให้ได้นะ!

    สุดท้ายนี้ ขอฝากเรื่องสแตติสเอาไว้กับทุกท่านด้วยนะคะ ตอนหน้าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด มาอัพวันอาทิตย์หน้า อัพมันกันพร้อมๆ ตอนใหม่ของเมะออก แหะๆ (ขอโทษด้วยค่ะ คือมันหาเวลาว่างได้ยากมากค่ะ)

      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×