คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 MRI
Chapter 1
MRI
“ไหวมั้ยเนี่ย...” แทบจะเป็นครั้งที่ห้าที่แทมินเอ่ยถาม หลังจากถูกคนแปลกหน้าที่มารู้เอาเมื่อกี้ว่าชื่อเซฮุนซึ่งก็คือคนที่เพื่อนๆ เขาถามถึง อุ้มไปเข้าห้องน้ำ เกิดมายี่สิบสี่ปี คิมอินนาไม่เคยอายอะไรเท่านี้มาก่อน ร่างบางทรุดลงที่พื้นหน้าห้องน้ำโดยมีเพื่อนสนิทของพี่ชายนั่งยองๆ ดูอาการ
“ขาไม่มีแรง...” พูดไปก็หอบไปเพราะความเหนื่อยหลังจากใช้พลังงานเอาของเหลวในท้องออกมาแทบหมด คิมอินนารับผ้าขนหนูชุบน้ำที่เซฮุนยื่นให้มาเช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น เอาเถอะ คงไม่ต้องอายอะไรแล้วหล่ะ
“น้องจงอิน?” ร่างสูงยืนกอดอกถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่กับพื้น แทมินเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าเล็กน้อย ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเดาได้ไงแต่เดาถูกก็คือถูก ไม่มีอะไรต้องถามมาก
“กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวฉันโทรหาจงอินให้ มันออกไปทำธุระ” แทมินจับคนตัวเล็กและพยุงขึ้นมา ถึงจะบอกว่าขาไม่มีแรงแต่จะมานั่งกองอยู่หน้าห้องน้ำก็เกินไป คิมอินนาถอดรองเท้าส้นสูงของตัวเองออกและถือเอาไว้ แค่แรงเดินธรรมดายังแทบจะไม่มี ไอ้การเขย่งตัวอยู่บนส้นสูงนี่ลืมไปได้เลย
“กูว่านี่น่าจะเป็นอาการจากไม...”
“อินนา!!!!” ยังไม่ทันที่เซฮุนจะพูดจบแทมินก็โวยวายขึ้นดังลั่งเมื่อคนตัวเล็กหมดสติล้มลงไปอยู่กับพื้น
“เดี๋ยวกูจัดการเอง มึงโทรตามจงอินให้ไปที่โรงพยาบาล” ร่างสูงรวบตัวคนป่วยเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง นี่แหละเป็นสาเหตุที่เขาเดาได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือน้องสาวของจงอิน อาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง แถมไม่มีแรงเดิน แต่สติยังดีอยู่ ก็แสดงว่าไม่ได้เมา และแทมินรู้จัก จะเป็นใครไปได้นอกจากว่าที่คนไข้ของเขา ‘คิมอินนา’
“ให้น้ำเกลือแล้ว...คืนนี้ก็นอนพักก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้ากูจะมาดูอีกที” โอเซฮุนพูดขึ้นเรียบๆ หลังจากปิดแฟ้มประวัติคนไข้ที่แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรลงและหันไปปรับสายน้ำเกลือ คิมอินนาไม่ได้เป็นอะไรมาก จากที่ตรวจดูก็แค่เป็นลม ซึ่งก็เกิดจากที่อ้วกทุกอย่างในท้องออกมาจนหมดแรงนั่นแหละ เข้ามาที่แผนกฉุกเฉินตอนนี้ถึงกับต้องขมวดคิ้วเพราะมีหมอเวรอยู่แค่คนเดียวและก็ติดคนไข้อยู่ ทำให้เขาต้องเขาตรวจเอง นี่เป็นแพทย์เฉพาะทางไหมทำไมต้องมาตรวจคนไข้ตอนจะเที่ยงคืน
“สมน้ำหน้าแม่ง...มึงน่าจะปล่อยให้เป็นลมตายที่ผับ” เซฮุนทำเพียงยกยิ้มมุมปากให้เพื่อนสนิท ปากดีไปงั้นแหละ ใครๆ ก็รู้ว่าคิมจงอินรักน้องสาวคนนี้ขนาดไหน ถึงจะเคยเจออินนาไม่กี่ครั้งและก็จำหน้ากันไม่ได้แล้ว แต่ตั้งแต่รู้จักจงอินมาผู้หญิงที่เพื่อนสนิทของเขาเป็นห่วงที่สุดและรักที่สุดก็คือคิมอินนา
“กูไม่ปล่อยให้น้องมึงตายหรอกหน่า...เดี๋ยวคนแถวนี้มันจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเอา”
ดูจากสภาพคนไข้ของเขาแล้วเคสนี้คงไม่จบง่ายๆ เท่าที่รู้จากจงอินมาคร่าวๆ คิมอินนา น่าจะปวดหัวมาประมาณสองปีกว่าได้แล้ว ซึ่งก็ถือว่านานพอสมควร อาการทั่วๆ ไปก็คือการปวดหัวข้างเดียว ปวดเบ้าตา แต่เป็นมาถึงสองปีและวันนี้ถึงขั้นไม่มีแรงยืนและอ้วกออกมาทั้งหมดขนาดนั้น อาการน่าจะหนักพอควร
“ทานอาหารเช้าก่อนนะคะ...เดี๋ยวอีกสักครู่คุณหมอจะเข้ามาตรวจ” อินนาได้แต่พยักหน้ารับงงๆ เมื่อถูกพยาบาลปลุกตั้งแต่เช้า จำได้ว่าอ้วกแทบหมดไส้หมดพุง รู้ตัวอีกทีมานอนให้น้ำเกลืออยู่ได้ยังไงก็ไม่แน่ใจ
“กู้ดมอนิ่งครับ...คนไข้” เสียงหล่อพร้อมด้วยใบหน้าที่เพิ่งเห็นเมื่อคืนปรากฏขึ้นตั้งแต่อินนายังไม่ทันจะหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวเสียด้วยซ้ำ
“นาย...”
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ ฉันโอเซฮุน” คุณหมอหน้าหล่อยกมือขึ้นมาค้างตรงหน้าเป็นการทักทายทำให้คิมอินนาต้องยกมือขึ้นมาแตะอย่างงงๆ ก็เพิ่งรู้มาจากเพื่อนสนิทเมื่อคืนว่าพี่ชายมีเพื่อนเป็นหมอที่ไม่ใช่หมอฟันอย่างแบคฮยอน แต่ใครจะคิดว่าเขาจะต้องมาเป็นคนไข้ของเพื่อนสนิทพี่ชายด้วย
“ยังไม่ได้กินข้าวก็กินก่อนไม่ต้องรีบ” เซฮุนพูดขึ้นพร้อมหันหลังกลับไปนั่งที่โซฟาอย่างอารมณ์ดี เกิดมาอินนาเพิ่งเคยเห็นหมอทำท่าทางติสแตกสุดขีดก็วันนี้ หรือจริงๆ เขาเรียกว่าไฮเปอร์...
“อ่อ...จะตรวจเลยก็ได้นะฉันยังไม่หิว” อินนาเลื่อนโต๊ะทานอาหารออกไปเล็กน้อยให้พอมีที่ว่าง การที่มีใครมานั่งมองเขากินข้าวเช้าแบบนี้นี่ไม่ชินจริงๆ
“เอางั้นหรอ...โอเคตรวจก็ตรวจ” เซฮุนลุกขึ้นอีกครั้งและหยิบสเต๊ทที่คล้องคออยู่ออกมายัดใส่หู ให้ตายเถอะ ท่าเยอะไปไหนรีบๆ ตรวจแล้วก็รีบๆ กลับไปได้แล้ว ความจริงก็หิวอยู่แหละแต่ไม่ไหวกับการจะมีคนมานั่งเฝ้าจริงๆ
“...”
“ตกใจไรนักหนา...หัวใจเต้นอย่างกับคนโดนผีหลอก” คิมอินนาสะดุ้งเฮือกทันทีที่เสียงแหบๆ ของเซฮุนดังข้างหู นี่ตั้งใจจะแกล้งกันหรือยังไง ไอ้ที่หัวใจเต้นแรงขนาดนี้ก็เพราะไม่ชินกับการที่ต้องมาเจอหมอเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายนี่แหละ
“ก็นายเป็นเพื่อนจงอินไม่ใช่หรือไง...แล้วอยู่ๆ นายก็เอาไอ้นี่มาทาบที่หน้าอกฉันแล้วก็ฟัง จะไม่ให้ฉันตกใจได้ไงเล่า”
“ไม่เคยมาหาหมอหรือไง หมอเค้าก็ตรวจคนไข้แบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
“แล้วฉันหายยัง” คิมอินนาขมวดคิ้วยุ่งเพราะความกวนประสาทของหมอ เอากับเขาสิ่ไม่แปลกใจเลยที่สนิทกับจงอินได้
“ยังหรอก เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตรวจหน่ะ” เซฮุนคว้าเก้าอี้ใกล้ๆ ตัวมานั่งลงและยกยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนคนไข้ต้องอ้าปากค้าง
“อ้าวแล้วเมื่อกี้...”
“ฉันหลอกจับนมเธอเฉยๆ”
“ไอ้หมอ...” ยังไม่ทันจะพูดจบเสียงของอินนาหายไปพร้อมกับฝ่ามือที่ยืนมาปิดปากเขาไว้
“ฉันพูดเล่น...แล้วฉันก็อายุเยอะกว่าเธอด้วย อยู่กับจงอินเธอจะเรียกมันยังไงก็ไม่รู้หรอกนะ แต่อยู่กับฉันต้องเรียกฉันว่าเซฮุน หรือจะเรียกฉันว่าพี่หมอแบบคนอื่นก็ได้”
“เหอะ” ถึงกับต้องแสยะยิ้มให้คนเป็นหมอ นี่ต้องมั่นหน้าขนาดไหนถึงจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาได้ พูดก็พูดเถอะเพื่อนในกลุ่มของจงอินไม่มีคนไหนกล้าทำแบบนี้กับเขาหรอก
“โอเค เธอไม่เป็นอะไรแล้วหล่ะ ฉันให้น้ำเกลือเมื่อคืนเพราะเธอเป็นลมเดี๋ยวถ้าน้ำเกลือหมดจะให้พยาบาลมาถอดสายออกให้ แต่วันนี้เราจะมาจัดการไอ้อาการปวดหัวของเธอกัน”
“อ่อ...จงอินอีกแล้วสิ่นะ” คิมอินนาจับต้นชนปลายได้ทันทีที่เซฮุนพูดจบ นี่ถ้าเขาไม่ป่วยขนาดเข้าโรงพยาบาลอย่างเมื่อคืนก็คงไม่พ้นกับการถูกพี่ชายลากมาหาหมออยู่ดี
“ถูก ฉันเป็นหมอระบบประสาท อาการเธอมีอะไรบ้างพูดมาซิ้” เซฮุนยกขาขึ้นมาไขว้กันเอาไว้และทำหน้าตาตั้งใจฟังจนดูน่าหมั่นไส้ เอาเถอะถึงขนาดนี้แล้วคงจะหนีไม่ได้ หมอมานั่งจ้องก็คงต้องรักษาแล้วหล่ะ
“ก็ปวดหัวข้างเดียว เจอแดดนานๆ ไม่ได้ บางทีก็ปวดเบ้าตา”
“มีอาการอย่างอื่นมั้ย เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยวอะไรประมาณนี้”
“ฉันไม่ได้เอ๋อนะ!!! ไม่เคยเบี้ยว”
“หนิ่ ที่ฉันถามไม่ได้หมายความว่าเอ๋อ ฉันถามเพื่อป้องกันเผื่อเธอเป็นเนื้องอกในสมอง เข้าใจ?” เซฮุนละสายตาจากแฟ้มประวัติขึ้นมาตอบด้วยสายตาหาเรื่องสุดขีด จนอินนาได้แต่พะงาบปากเถียงไม่ออก “ทุกวันนี้กินยาอะไร กินครั้งละกี่เม็ด บ่อยแค่ไหน”
“ปกติก็กิน Cafergot ครั้งละสองเม็ด รู้สึกปวดก็กิน”
“ละเอียดกว่านี้...” คุณหมอพูดขึ้นเรียบๆ เป็นการบอกให้คนป่วยบอกรายละเอียดมากกว่านี้หน่อย
“ทุกหนึ่งชั่วโมงตอนเช้า บางครั้งก็กิน Ponstan”
“เลิกกิน เธอดื้อยาแล้ว เราต้องมาปรับที่การใช้ชีวิตและอาหาร” เซฮุนก้มหน้าก้มตาเขียนรายละเอียดทุกอย่างลงไปในแฟ้มประวัติก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอินนาอีกครั้ง
“อะไร...”
“ต่อไปนี้ห้ามกินเหล้า นอนตั้งแต่สามทุ่ม ตื่นหกโมงเช้า”
“นายห้ามฉันกินเหล้าไม่ได้นะ!!” คนตัวเล็กโวยวายขึ้นมาทันทีที่ถูกห้าม อะไรก็ได้ยอมหมด แต่ห้ามเขากินเหล้านี่ขอหล่ะ
“ลืมไป...ท่าทางจะเป็นพวกแอลกอฮอล์ลิซึม ค่อยๆ ลดเอาแล้วกัน แต่ถ้าเลิกได้ก็จะดีมาก มันเป็นตัวกระตุ้นอาการของเธอ”
“...”
“ไมเกรนเกิดจากการหดและขยายตัวของเส้นเลือดในสมองอย่างรวดเร็ว แอลกอฮอล์มันทำให้เส้นเลือดในสมองเธอขยายตัว ระวังจะเส้นเลือดในสมองแตกตาย” เซฮุนขู่คนไข้ที่มีท่าทีจะดื้อไม่เบา เขาผ่านคนไข้มานักต่อนักแล้ว แสบระดับเด็กมัธยมยันคุณลุงที่ดื้อเหมือนเพิ่งแตกหนุ่ม แต่นี่ท่าทางจะดื้อเป็นพิเศษ ขึ้นชื่อว่าน้องของคิมจงอินแล้ว ก็คงจะไม่ต่างกับพี่ชายเสียเท่าไหร่
“แล้วไงต่อ...”
“งดอาหารที่ไม่มีประโยชน์ กินให้ครบทุกมื้อ ห้ามอด กินผักเยอะๆ แล้วก็ควรออกกำลังกายอาทิตย์ละไม่ต่ำกว่าสามครั้ง”
“พ่อฉันยังไม่สั่งขนาดนี้เลยนะ!!”
“ก็แน่หล่ะ พ่อเธอเป็นคนสอนลูกสองคนให้กินเหล้าไม่ใช้หรือไง แล้วพ่อเธอก็ไม่ใช่คนที่นั่งรักษาเธออยู่ด้วย” โอเซฮุนยักไหล่ขึ้นตามสไตล์คนกวนตีน ใครมาเจอครอบครัวอู๋เข้าก็ต้องรู้สึกเหมือนเขากันทั้งนั้นแหละ ก็ครอบครัวนี้มันโคตรแปลก แปลกตั้งแต่นิสัยพ่อแม่ยันนิสัยลูก นี่ยังไม่รวมนามสกุล พ่อแม่ก็รักกันดีไม่ได้เลิกรากัน ทำไมลูกถึงต้องใช้นามสกุลแม่ด้วยก็ไม่เข้าใจ นี่มองแล้วก็หาความเป็นลูกครึ่งจีนของเพื่อนสนิทไม่เจอเลยตั้งแต่รู้จักกัน ไม่รู้มันไปเอาความดำมาจากไหน เพราะคิมฮยอนอาคนเป็นแม่ก็ขาวจั๊ว แต่ดูหน้าตาของคนน้องนี่ยังพอจะมีเคล้าความเป็นจีนหน่อยด้วยหน้าตาที่ได้พ่อมาพอสมควร
“ให้ตายเถอะ...” อินนาถึงกับต้องถอนหายใจพรืดกับประโยดสุดแสนจะกวนส้นตีนของคนเป็นหมอ เมื่อวานนี่ทำตัวอย่างกับเทพบุตร ทำไมวันนี้ถึงได้พลิกหน้ามือเป็นหลังตีนได้ขนาดนี้
“ทำไมปวดหัวอีกแล้วไง?”
“ถ้าหลังจากนี้ฉันจะปวดหัวฉันก็ปวดหัวเพราะนายนั่นแหละ...” พูดแล้วก็หงุดหงิด ตอนแรกไม่น่าชื่นชมอยู่ในใจลึกๆ เลย ว่าไอ้เพื่อนพี่ชายคนนี้ท่าทางจะเป็นคนปกติไม่กะโปกเท่าคนอื่นที่เขารู้จัก แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน โอเซฮุนไม่กะโปกแบบชานยอลหรือแทมิน แต่โอเซฮุนกวนตีนเหมือนแบคฮยอนเป๊ะ พจนานุกรมเล่มไหนเขาบัญญัติไว้หรือเปล่าว่าคนเป็นหมอต้องกวนตีน
“ว้าว...น่าดีใจจังถ้าฉันเป็นต้นเหตุการปวดหัวของเธอ” ยัง ยังจะมีหน้ามานั่งเท้าคางกวนส้นตีนอยู่ได้ สกิลการกวนตีนสูงขนาดนี้มึงอย่ามาเป็นหมอเลย
บอกแล้วคิมอินนามันผู้หญิงหยาบคาย...
“เอาแขนนายออกไปจากเตียงฉัน ถ้าตรวจเสร็จแล้วฉันจะได้กินข้าว”
“ทำไมต้องรังเกียจกันขนาดนี้ด้วยเนี่ย...” ร่างสูงยืนขึ้นพร้อมเอื้อมมือไปเลื่อนโต๊ะทานอาหารของคนไข้เข้ามาใกล้ๆ นี่ปกติก็ไม่ใช่คนต่อล้อต่อเถียงกับใครหรอกนะ ติดจะเป็นคนเงียบๆ ด้วยซ้ำ แต่คนไข้ของเขาก็ดูจะขี้หงุดหงิดง่ายเสียจนน่าแกล้งไปซะทุกอย่าง
“จะออกไปได้ยัง...”
“ก่อนจะไล่ฉันเธอไม่ถามถึงพี่ชายเธอหน่อยหรือไง” เซฮุนที่ตอนแรกกำลังจะเดินออกไปแต่ดันนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาถามคนป่วยอีกครั้ง
“มีอะไรก็พูดมา!!” เสียงช้อนที่กระแทกลงบนถาดอาหารทำให้คุณหมอสุดหล่อยกยิ้มอย่าพอใจที่กวนประสาทคนไข้ของเขาได้สำเร็จ มีใครเคยบอกคิมอินนาไหมว่าเวลาโมโหหรือหงุดหงิดแล้วน่ารัก สาบานว่าไม่ได้ชม แต่มันน่ารักจริงๆ หนิ่
“เดี๋ยวจงอินมันจะมารับเธอประมาณเที่ยงๆ ระหว่างนี้ก็นอนเล่นไปก่อนแล้วกัน อยากได้อะไรก็เรียกพยาบาลเอานะ”
“แล้วถ้าฉันอยากกินช็อกโกแลตหล่ะ...”
“ฝันไปนะครับ หมอไม่อนุญาต”
ก็ดี...เหล้าก็ห้าม ช็อกโกแลตก็ห้าม นี่มันปัจจัยหกรองจากโทรศัพท์เลยนะเว่ย!!
โอเซฮุนไม่รอให้คนป่วยได้โวยวายอะไรทั้งสิ้นร่างสูงทำเพียงโบกมือลาทั้งๆ ที่กำลังเดินออกไป เท่ห์มากสิ่มึงอ่ะ...
“แล้วนี่มันข้าวเหี้ยไรเนี่ย...โว้ย!!!!”
“กูแนะนำให้ลองทำ MRI ไม่ใช่อะไรนะ คนไข้หลายคนหาหมอมาเยอะแต่หมอก็ตรวจแล้วบอกแค่ว่าเป็นไมเกรน สุดท้ายรู้ตัวอีกทีเนื้องอกก็ลุกลามจนรักษาไม่ได้แล้ว กรณีน้องมึงก็มีโอกาสเป็นเพราะปวดหัวมานาน แต่ก็แค่เพื่อความสบายใจ อาการทั่วๆ ไปมันยังไม่เข้าข่ายเต็มที่”
“มึงว่ามันจะเป็นป่าววะ...” คิมจงอินถอนหายใจยาวหลังจากได้คุยกับเพื่อนสนิท ถึงเซฮุนจะบอกว่าเพื่อความสบายใจ แต่ไอ้การให้ไปทำ MRI แล้วมาลุ้นผลนี่มันก็น่าเครียดเหมือนกัน
“ก็แค่มีโอกาส กูถึงบอกให้ตรวจไง ตรวจเสร็จถ้าไม่เป็นอะไรก็สบายใจกันทั้งครอบครัวมึงและคนรักษาอย่างกู แต่ถ้ามีเนื้องอกเราก็จะได้รักษาทัน”
“’งั้นกูปรึกษาพ่อก่อน...”
“เออ เอาไงก็บอกกู วันเสาร์กูนัดมาดูอาการเพราะตอนนี้ลองให้ยาใหม่ไป แล้วก็สั่งให้เปลี่ยนกิจวัตรนิดหน่อย ดูด้วยละกัน”
“ขอบใจมึงมาก กูไปละ” จงอินโบกมือลาเพื่อนสนิทและเดินไปหาคนเป็นน้องที่นั่งรออยู่ในรถ คิดแล้วก็เครียดอยู่ดีถ้าน้องสาวเขาเป็นขึ้นมาอาจจะวุ่นวายกว่าเดิม พ่ออาจจะให้ไปรักษาที่อเมริกาเพราะเขากับน้องเกิดและถือสัญชาติอยู่
“เอาไป...แล้วถ้าเซฮุนมันบอกกูว่ามึงไม่มา เจอดีแน่” ใบนัดถูกฟาดลงบนหัวอินนาทันทีที่ประตูรถปิดลง คิมจงอินเพิ่งคิดได้ว่าก่อนจะไปปรึกษาพ่อควรจะปรึกษาคนป่วยก่อนว่ามันอยากทำหรือเปล่า
“มึงคุยอะไรกับเพื่อนตั้งนานวะ” คนเป็นน้องบ่นขึ้นอย่างติดนิสัยเวลาพี่ชายทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ
“มึงลองทำ MRI มั้ย เซฮุนมันแนะนำ...เผื่อเป็นอะไรมากกว่าไมเกรนจะได้รักษาทัน” จงอินไม่ตอบคำถามแต่กลับถามสิ่งที่ตัวเองต้องการคำตอบทันที นี่อยู่ๆ ความกลัวว่าน้องจะเป็นอะไรก็ครอบงำเขาจนไอ้พฤติกรรมปกติที่เคยทำกับน้องอันตรธานหายไปหมด
“มันแพงหนิ่ ไม่ต้องหรอก กูคงไม่เป็นอะไรขนาดนั้น เอาเงินเก็บไว้ไปเที่ยวกันดีกว่า มึงบอกจะพากูไปฝรั่งเศสไม่ใช่อ่อ” อินนาตอบปัดๆ อย่างไม่ได้คิดอะไร แค่ปวดหัวทำไมจงอินกับไอ้พี่หมอต้องคิดอะไรกันขนาดนั้นด้วย
“ไปเที่ยวอ่ะกูพาไปได้อยู่แล้ว แต่กูขอใช้เงินซื้อความสบายใจให้ตัวเองไม่ได้หรือไง”
“อะไรขนาดนั้นวะ...” อินนาหัวเราะกลบเกลื่อนท่าทีที่ดูซีเรียสของพี่ชาย เกิดมายี่สิบสี่ปีไม่เคยต้องตกอยู่ในฟิลซีเรียสของจงอินมาก่อน
ตั้งแต่เรียนจบและมีงานทำ จงอินก็ขอแบ่งเบาภาระของพ่อแม่โดยการดูแลค่ายใช้จ่ายของอินนาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายทั่วๆ ไปหรือค่าเทอม หลายปีมาแล้วที่ตัวเองเหมือนคุณพ่อยังหนุ่ม ที่มีอีกชีวิตต้องดูแล ถึงจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระบ่อยๆ แต่ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตก็ทำให้เขาและอินนาผูกพันธ์กันมากกว่าพี่น้องชายหญิงหลายๆ คู่ มันคงไม่แปลกใช่มั้ยที่เขาจะห่วงสุขภาพคนที่เขารัก
จงอินตั้งใจจะให้อินนารักษาไมเกรนอยู่แล้ว และถ้าเพื่อนสนิทเขาบอกว่าน้องของเขามีโอกาสเป็นเนื้องอกในสมองและควรทำ MRI เขาก็เต็มใจจะให้น้องทำ เพื่อความสบายใจของตัวเขาเอง นี่ยังไม่นับไปถึงพ่อแม่ถ้ารู้เรื่องนี้ก็คงจะเห็นด้วยเหมือนกัน
“ก็แล้วเพื่อความสบายใจของกูทำได้มั้ยหล่ะ ร่างกายมึงชีวิตมึงก็จริง แต่คนที่เป็นห่วงมึงเค้ายังมีชีวิตอยู่นะ”
“ก็กูกลัวหนิ่...”
“ถ้าไม่คิดถึงกู ก็คิดถึงพ่อกับแม่บ้าง”
ที่เขาพูดกันว่าผู้ชายที่มีลูกสาวจะรักและหวงลูกเป็นพิเศษ ‘อู๋อี้ฟาน’ เป็นหนึ่งในนั้น คิมอินนาเหมือนไข่ในหินของพ่อ ตั้งแต่น้องเกิดไม่ว่าน้องจะอยากได้หรือต้องการอะไรพ่อก็จะหามาให้หมด อย่างตอนเด็กๆ ที่พ่อต้องเป็นคนไปรับไปส่งและตัวติดน้องอยู่ตลอดเวลา คิมจงอินกับพ่อก็สนิทกันอยู่ในระดับหนึ่งตามประสาพ่อและลูกชาย แต่เขากับพ่อก็เหมือนเพื่อนกัน ต่างจากน้องที่ดูยังไงก็คือพ่อลูกแน่ๆ
ในทางกลับกันจงอินกับฮยอนอากลับเหมือนพี่สาวกับน้องชายมากกว่าแม่ลูก หลายครั้งที่ไปไหนมาไหนกับแม่แล้วถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพี่น้องหรือ แฟนสาว ก็แน่หล่ะ แม่ทั้งสาวทั้งสวยทั้งอึ๋มขนาดนั้น นี่อย่าให้พ่อรู้เลยว่าเขาเคยคิดอกุศลกับแม่อยู่เหมือนกัน
“เออ...ก็แล้วแต่มึงแล้วกัน” ยังไงค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่คนเป็นพี่จัดการด้วยความเต็มใจของมัน ต่อให้เถียงแทบตายมันก็คงหาวิธีให้เขาไปทำอยู่ดี คิมอินนาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาข้ออ้างอะไรมาใช้กับมันหรอก
“ถ้าปวดหัวน้อยลงก็แสดงว่าเปลี่ยนยาแล้วได้ผล ยาหมดหรือยัง” โอเซฮุนเอ่ยถามหลังจากตรวจคนไข้พิเศษของตัวเองเสร็จ คิมอินนาไม่ได้ดูดื้อหรือต่อล้อต่อเถียงเก่งเท่าวันที่ตรวจครั้งแรก เขาก็เลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกวนประสาทคนไข้เหมือนกัน
“จะหมดแล้ว...”
“ฉันจะสั่งยาให้เพิ่มแล้วกัน อย่าลืมว่ากินเฉพาะเวลาที่ปวดหัว ไม่ใช่กินเป็นยาแก้หวัดที่จะมานั่งกินทุกหกชั่วโมง” คิมอินนาทำหน้าล้อเลียนคุณหมอในขณะที่เซฮุนยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกการตรวจในแฟ้มประวัติอยู่จนพยาบาลที่ยืนอยู่ในห้องหลุดขำ
“เป็นอะไร ปากกระตุกหรอ” เล่นเอาทั้งคนไข้ทั้งพยาบาลหุบปากกันแทบไม่ทัน อินนาตีหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนคุณหมอก็ก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ
“เออ...เรื่อง MRI ฉันจะทำแล้วกัน” เซฮุนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง ไม่คิดว่าคนไข้ของเขาจะยอมทำง่ายๆ ขนาดนี้
“เดี๋ยวฉันให้พยาบาลจองคิวให้...จะถึงเดือนมั้ย” ประโยคหลังคนเป็นหมอหันไปถามพยาบาลที่เพิ่งถูกดุทางสายตาไปเมื่อกี้ คนถูกถามหายออกไปข้างนอกห้องตรวจไม่กี่นาทีก็กลับเข้ามาพร้อมคำตอบ
“ที่ศูนย์บอกว่าถ้าคุณหมอรีบ จะให้คนไข้ทำเลยก็ได้ค่ะ ไม่งั้นก็ต้องรออีกประมาณสี่เดือน”
“อืมทำเลยก็ได้...”
“ตอนบ่ายนี้นะคะ”
“อะไรนะ!!” ทั้งหมอและคนไข้ก็ตกใจพอๆ กัน ไอ้คำว่าทำเลยที่เซฮุนเข้าใจคือภายในวันสองวันนี้ แต่ดันกลายเป็นตอนบ่ายซึ่งก็ใกล้จะถึงแล้ว
“ไม่!! ฉันไม่ทำ ฉันมาคนเดียวนะ จงอินก็ไม่อยู่” อินนารีบหันไปโวยวายใส่คุณหมอทันทีที่พยาบาลพูดเสร็จ ตอนแรกก็กลัวแต่ก็แอบคิดไว้ว่าถ้ามีพี่ชายมารอหรือให้กำลังใจก็คงจะกลัวน้อยลงบ้าง แต่นี่อยู่ๆ จะให้ทำเลยทันทีมันยังไม่ได้เตรียมใจนะ
“พอดีคิวที่จะทำบ่ายนี้แคนเซิลค่ะ ว่างแค่บ่ายนี้จริงๆ ไม่งั้นก็อีกสี่เดือน” พยาบาลสาวก็ยังยืนยันคำเดิมทำให้อินนาแอบคิดโมโหอยู่ในใจ ทำไม่ต้องย้ำนักย้ำหนาว่าอีกสี่เดือน จะให้ทำปีหน้าเลยก็ยังได้แต่ไอ้คนเป็นหมอที่นั่งอยู่ข้างหน้านี่สิ่ สีหน้าแววตามันบ่งบอกว่าวันนี้เขาไม่รอดแน่ๆ
“โทรตามเพื่อนเธอมาอยู่เป็นเพื่อน เดี๋ยวฉันจะคุยกับจงอิน”
“อ่าว แล้วฉันไม่ต้องคุยกับมันบ้างหรือไง อยู่ๆ นายก็จะเอาฉันยัดเข้าไปในเครื่องที่เหมือนที่เผาศพอ่ะนะ”
“หรอ...แต่ถ้าเกิดเธอรออีกสี่เดือนเธออาจจะได้ไปอยู่ในโลงจริงๆ ก็ได้นะ”
“เซฮุน!!!” อินนาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะทำงานของคุณหมอก่อนจะได้รับสายตานิ่งๆ กลับมาเป็นเชิงว่าเพื่อนเล่นหรือไง
“เดี๋ยวพาคนไข้ไปเตรียมตัวนะ แล้วผมจะตามไปดู”
ต้องบอกมั้ยว่าตอนนี้คิมอินนาสวดวันทามารีอาไปกี่รอบ นับตั้งแต่โทรตามเพื่อนสนิทตอนนี้จิตใจของเขาก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ความรู้สึกมันเหมือนจะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่ตลอด
“ไม่ต้องกลัวหรอกมึง ก็แค่เข้าไปนอนในช่องที่มันตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าไม่ใช่หรอ” จูฮยอนที่เพิ่งมาถึงไม่กี่นาทีช่วยปลอบใจเพื่อนที่ดูจะฟุ้งซ่านหนัก โชคดีที่เขาตัดสินใจไม่ไปต่างจังหวัดกับครอบครัว ไม่งั้นอินนาคงจะไม่มีเพื่อนเพราะเยริดันติดธุระ และจงอินก็ไปต่างประเทศกับแทมินในสุดสัปดาห์นี้พอดี
“แต่ที่กูอ่านในเน็ตเค้าบอกมันเหมือนมีอะไรดังอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาเลยนะมึง แล้วกูต้องเข้าไปอยู่ในนั้นคนเดียวเกือบชั่วโมง”
“เออหน่าสู้ๆ แล้วพี่หมอสุดหล่ออ่ะ” จูฮยอนเปลี่ยนเรื่องทันทีที่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่เคยเจอตัวจริงของคนที่เป็นประเด็นให้เขากับเยริเม้ามาตลอดเกือบสองอาทิตย์นับตั้งแต่วันเกิด ตอนแรกไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพี่หมอจะหล่ออย่างกับไอดอลแต่พอเห็นแทมินลงรูปคู่กับพี่หมอในอินสตาแกรมเท่านั้นแหละ บอกได้คำเดียวว่าหล่อโลกลืม นับว่าเป็นเรื่องดีของเกาหลีจริงๆ ที่มีหมอหล่อขนาดนี้
“กูกำลังจะถูกไอ้พี่หมอสุดหล่อของมึงยัดเข้าไปในรูแคบๆ มึงยังจะถามหาเค้าอีกหรอ...ขอบคุณ” ก็รู้อยู่ว่าจูฮยอนอยากเจอเซฮุนขนาดไหน แต่มันใช่เวลาไหมหล่ะ เพื่อนกำลังจะตายแหล่ไม่ตายแหล่
“เดี๋ยวคนไข้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในเลยนะคะ” พี่พยาบาลคนใหม่ ที่เขามาเจอที่ศูนย์เชือดคน(ตั้งขึ้นเอง) เดินมาเรียกพร้อมผายมือเข้าไปข้างในห้องกระจก เอาแล้วไง ยังไม่ได้คุยกับพี่หรือพ่อแม่เลยนะ ถ้าเขาเข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมาจะทำไง
“กูรอตรงนี้นะ มึงคิดซะว่ากูรอมึงไปแดกเหล้าอยู่ละกัน” จูฮยอนชู้สองนิ้วขึ้นมาให้กำลังใจเพื่อนด้วยความเป็นห่วงผสมสมเพช ก็ตอนนี้สีหน้าเพื่อนจอมแสบนี่ไม่ต่างกับลูกหมากลัวน้ำเสียเท่าไหร่เลยจริงๆ นอกจากนี้เขาก็คงจะช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้มากเสียด้วย
“เดี๋ยวทำแบบสอบถามแล้วคุณหมอจะมานะคะ” อินนารับกระดาษมาอย่างงงๆ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ นี่จะเอาเขายัดเข้าไปในที่แคบๆ ยังจะสอบถามอะไรอีก คนตัวเล็กกรอกแบบสอบถามอย่างรวดเร็วโดยรวมแล้วก็ถามถึงข้อมูลสุขภาพทั่วไปว่าเคยผ่าตัดหรือมีโลหะอะไรในร่างกายไหม นี่คนหรือทรานฟอร์เมอร์
“เข้าไปก็นอนนิ่งๆ ห้ามขยับ ห้ามกลืนน้ำลาย ถือนี่เอาไว้ ถ้ามีไรผิดปกติก็กด” เซฮุนอธิบายพร้อมยื่นเครื่องมืออะไรสักอย่างมาให้ คงจะเหมือนเตียงคนไข้ที่มีให้กดเรียกพยาบาลหล่ะมั้ง ตอนนี้อินนาที่นั่งอยู่บนเตียงที่จะเลื่อนเข้าไปในเครื่อง พยายามทำใจดีสู้เสือสุดขีดแต่ในใจนี่กลัวยิ่งกว่าตอนลุ้นผลสอบเข้ามหาลัยสักสิบเท่าได้
“เคสพิเศษหรอคะคุณหมอ...ลัดคิวด่วนไม่พอ มาดูคนไข้ด้วยตัวเองเลย” พยาบาลสาวยังคนเอ่ยปากถามเชิงแซวอย่างต่อเนื่อง ก็ปกติการทำ MRI หมอเจ้าของไข้ไม่จำเป็นต้องมาดูคนไข้ถึงที่ขนาดนี้ก็ได้ แค่เจ้าหน้าที่ในศูนย์ก็เพียงพอต่อการทำงานแล้ว
“ครับ คนไข้พิเศษ ขอcontrast media ด้วย” เซฮุนตอบพยาบาลเรียบๆ โดยสายตายก็เหล่ไปเห็นคนไข้ตัวแสบแสยะยิ้มให้กับคำตอบของเขา “ทำไม ปากไม่หายกระตุกหรอ”
“หนิ่...” ยังไม่ทันที่อินนาจะพูดอะไรคุณหมอสุดหล่อก็รับเข็มฉีดยามาไว้ในมือแล้วจับแขนของเขาขึ้นมาจ่อตรงเข็มทันที
“สารทึบรังสี ต้องฉีดเอาไว้ระหว่างทำ” เซฮุนค่อยๆ ฉีดสารลงไปที่แขนของอินนาให้เบาที่สุดแต่ก็ยังได้รับแรงกระตุกที่แขนเสื้อคลุมที่คนไข้ของเขาแอบขยำเอาไว้
“...”
“ไม่ต้องกลัว เสียงอาจจะดังหน่อยแต่นี่ก็ช่วยได้อยู่” เซฮุนยัดเอียบัดใส่หูอินนาก่อนจะบอกให้นอนลง และกำลูกบีบฉุกเฉินเอาไว้ คุณหมอชี้นิ้วออกไปเป็นเชิงบอกว่าเขาจะอยู่ข้างนอกทำให้อินนาพยักหน้าช้าๆ รับชะตากรรม
ตี๊ดดดดดดดดดด
สัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นตั้งแต่อินนาเข้าไปยังไม่ถึงห้านาที คนตัวเล็กตกใจกับเสียงที่ดังเกินคาด จนเผลอทำอะไรที่ห้ามไปตั้งหลายอย่าง เขาหอบหายใจแรงมากอีกทั้งยังกลืนน้ำลายไปหลายที สุดท้ายมือมันก็บีบลูกบีบไปอย่างแรงจนเครื่องหยุดทำงานถึงได้รู้ว่าเซฮุนและพยาบาลเข้ามาดูกันเกือบห้าคน
“เป็นอะไร” เซฮุนรีบถามขึ้นทันทีที่เครื่องเคลื่อนตัวพาคิมอินนาออกมาข้างนอก สีหน้าคนไข้ตัวแสบก่อนจะเข้าไปก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว ไม่แปลกใจที่จะได้ยินสัญญาณฉุกเฉินเร็วขนาดนี้
“ฉันกลัว ข้างในเสียงมันดังมากกว่าที่คิด แล้วฉันก็เผลอกลืนน้ำลายด้วย” อินนาตอบคุณหมอทั้งที่น้ำตาก็เริ่มมาคลอเบ้า เซฮุนยกมือเป็นสัญญาณให้เหล่าพยาบาลออกไปก่อนจนเหลือแค่เขากับอินนา
“ดีแล้วที่กลืนน้ำลายแล้วเรียก ไม่งั้นเธอคงนอนเกือบชั่วโมงโดยเสียเวลาฟรีแล้วต้องทำใหม่” เซฮุนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้คนไข้ตัวแสบ ก่อนหน้านี้ก็เห็นปากเก่ง เถียงคำไม่ตกฟากอยู่ดีๆ แป้บเดียวมานั่งน้ำตาคลอเสียแล้ว “มันไม่มีอะไรหรอก แค่เสียงดัง เธอได้ยินแล้วเมื่อกี้คราวนี้ถ้าเข้าไปใหม่ก็ทำใจว่ามันดังแน่ๆ เดี๋ยวซักพักก็ชิน โอเคนะ”
“ฉันคิดว่านายเป็นจงอินได้มั้ย...” อินนาก้มหน้าลงเมื่อความกลัวเริ่มกลับมาอีกครั้งถ้าต้องอยู่ในนั้นคนเดียว คิดแล้วก็สมเพชตัวเองไม่น้อย ปากดีใส่ไอ้พี่หมอนี่ไว้เยอะ สุดท้ายก็ต้องพึ่งมันจนได้
“ฮะ...”
“ขอกอดที...”
TBC
ทำไมนางเอกแรดคะ5555555555
ไม่มีอะไรมากแต่เราเห็นคนกดเฟบเยอะกว่าที่คิดไว้ในตอนแรกขอบคุณมากๆ นะคะ จะดีมากถ้าจะเม้นเป็นกำลังใจให้เราด้วย เพราะเราแต่งแล้วมีคนเม้นอยู่ไม่กี่คนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแต่งให้ใครอ่าน หวังว่าเม้นจะเยอะขึ้นเป็นกำลังใจให้เราหน่อยนะ
ความคิดเห็น