คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : INTRO
INTRO
นานแค่ไหนแล้วที่คิมอินนาไม่ได้นอนหลับอย่างปกติสุข
สองวัน...
สองเดือน...
ไม่สิ่...สองปี...
"เฮ้ย..."
"..."
"กินยาดิ่วะ..." คิมจงอินออกแรงดึงผ้าห่มที่คลุมหัวน้องสาวออกและโยนออกไปอีกฝั่งของเตียงขนาดคิงไซส์ ร่างสูงเบะปากอย่างเอือมระอากับสภาพน้องสาวที่ไม่ค่อยจะต่างกับผีดิบสักเท่าไหร่
"อือ...เดี๋ยวกิน ออกไปก่อนดิ้" อินนายกมือขึ้นโบกอากาศก่อนจะฟาดลงไปที่หน้าท้องคนเป็นพี่โดยไม่ได้ตั้งใจ มาปลุกให้กินยาไม่พอ ดันเปิดผ้าม่านจนแสงจะแยงก้นอยู่รอมร่อ ก็รู้อยู่ว่าน้องเป็นไมเกรน ยังจะเปิดทำหอยสังข์หอยขมอะไรก็ไม่รู้
"ไม่เว่ย...คือมึงปวดหัวมาเป็นปีแล้วนะ คิดว่าเป็นไมเกรนกินแค่ยาแล้วก็จบหรอ" พล่ามไปไม่น้อยแต่มันเสือกนิ่ง นี่คือสิ่งที่พี่ชายผู้แสนดีอย่างคิมจงอินคนนี้ควรจะได้รับหรอ... "มึงจะตื่นไม่ตื่น!!!"
"โอ้ย!!! เออตื่นแล้ว พอใจยัง!!" คนตัวเล็กเด้งตัวขึ้นมาส่งสายตาค้อนใส่พี่ชาย ไอ้เรื่องบังคับให้ไปหาหมอนี่ไม่ต้องรอให้จบประโยคคิมอินนาก็รู้ว่าจงอินจะพูดอะไร แล้วถามว่าพูดไปทั้งหมด เขายอมไปมั้ย...ก็ไม่ แล้วจะตื้อทำห่าไรวะ!!
"ตื่นแล้วก็กินยา!! ในฐานะที่กูเป็นพี่และยังไม่อยากจะจัดงานศพน้องตอนนี้ มึงต้องไปหาหมอ"
"เออๆ ไว้ว่างแล้วจะไปแล้วกัน ช่วงนี้ยุ่งๆ จะสอบแล้ว" อินนายกมือปัดๆ เป็นเชิงว่าช่างมันก่อน อันที่จริงก็ไม่ใช่จะดื้อดึงไม่ยอมไปหาหมออะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ไอ้โรคนี้มันมีคนรักษาหายที่ไหนกันหล่ะ เห็นก็แค่อาการทุเลาลง สุดท้ายก็กลับมาเป็นใหม่ เสียเงินรักษาไปตั้งเยอะแต่ไม่หาย สู้เอาเงินมาซื้อยากินให้หายปวดดีกว่า ตรรกะนรกๆ ล้วนๆ
"สัญญาก่อน!!" คิมจงอินยกนิ้วก้อยขึ้นมาให้น้องเกี่ยวก่อนจะขยับขึ้นลงเหมือนเด็กๆ ใช่ว่าสัญญาไปแล้วมันจะยอมไปหาหมอแน่ๆ หรอกนะ แต่ก็ดีกว่าพูดปากเปล่าแล้วมันมาตอบว่า 'สัญญาไปตอนไหน' อีกอย่างที่เขากลับมาคะยั้นคะยอน้องสาวให้ไปหาหมออีกครั้งก็เพราะไปเจอหมอเก่งๆ มา
ไม่แน่ใจหรอกว่าเก่งมั้ย เพราะไอ้หมอที่ว่าก็คือเพื่อนสนิทของเขาที่เพิ่งกลับจากอเมริกามาได้ไม่นาน เห็นตอนนี้เป็นหมอเฉพาะทางระบบประสาทอยู่
ที่ว่าไม่แน่ใจเพราะไม่คิดเหมือนกันว่าคนสันดารแปลกๆ อย่างโอเซฮุนจะไปเรียนหมอ ไม่พอมันยังเรียนเฉพาะทางด้านระบบประสาทอีก เรียกง่ายๆ ว่าจบมานี่ดูฉลาดกว่าคิมจงอินเยอะอ่ะครับ ทั้งๆ ที่สมัยม.ปลายก็เที่ยวเล่นทำตัวห่าแดกด้วยกันอยู่แท้ๆ ชีวิตมันดันเจริญได้ซะขนาดนี้ ในขณะที่เขาต้องมานั่งเป็นสถาปนิกออกแบบตึกไปวันๆ มันก็ไม่ได้แย่หรอกแต่มันใช้สมองเยอะกว่าหมอที่ตรวจคนไข้แบบมองนิดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นอะไร อันนี้คือคิดเอาเอง...
จะว่าไปมันก็มีแววฉลาดมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนะ เพียงแต่มาคบคนอย่างเขาเนี่ยแหละ ถึงได้มีแต่ทำตัวเหี้ยกันไปวันๆ ตกใจชิบหายตอนที่มันโทรมาหาเมื่อเดือนก่อนแล้วบอกว่า 'ไอ้สัดมึงควรเปลี่ยนเบอร์ได้แล้ว หาตัวง่ายไปนะ' คือนี่กูไม่เปลี่ยนเบอร์โทรก็ผิดใช่ไหมหล่ะ คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่ามันเพิ่งกลับมาไม่กี่วันในตอนนั้น ว่างจากธุระอะไรแล้วก็โทรหาเขาคนแรกเลย นี่ควรจะภูมิใจที่มันยังไม่ลืมเพื่อนเหี้ยๆ คนนี้
คุยจนไปถึงเรื่องพ่อเรื่องแม่มันก็วกกลับมาถามว่าน้องเขาโตหรือยัง แม่งก็ถามแปลกๆ น้องเขาเป็นคนนะไม่ใช่ตัวประหลาดที่จะหยุดโตตั้งแต่ไม่กี่ขวบ นี่ก็เลยนึกได้เหมือนกันว่ามันจะถามทำไมทั้งๆ ที่มันก็เคยเห็นอินนาอยู่แค่สองสามครั้งตอนมาค้างที่บ้านเขา แถมสมัยนั้นน้องสาวตัวดีก็ไม่ค่อยจะโผล่ออกมาจากห้องเลยตอนที่มันติดซีรี่ย์ เรียกได้ว่ามีน้องเหมือนมีกุมารทอง ผลุบๆ โผล่ๆ สุดท้ายก็เลยเล่าเรื่องโรคที่แทบจะกลายเป็นโรคประจำตัวของน้องให้เพื่อนฟัง มันเลยตบปากรับคำให้พาน้องไปหามันจะช่วยดูให้ จะได้รักษาแบบยาวๆ ถึงจะไม่หายขาดแต่ถ้าร่างกายปรับตัวได้ ไอ้คำว่าไม่หายก็เหมือนกับหายนั่นแหละ นี่ก็คิดนะว่าเป็นไมเกรนหรือมะเร็ง
"ถ้าไม่ไหวจะกลับก็โทรมาหากูละกัน..."
"เออ ขอบใจนะ ถ้าไม่มีพี่ขี้เสือกอย่างมึงกูคงแห้งตายอยู่ที่ห้องไม่ได้มาเรียนแบบนี้"
"นี่มึงจะด่าว่ากูเขาห้องมึงโดยไม่บอกก่อนหรอ" จงอินขมวดคิ้วถามอย่างหาเรื่อง นี่เพื่อนบางคนถึงกับคิดว่าเขามีน้องเป็นผู้ชายไปเสียแล้ว ไอ้คำพูดน่ารักๆ ระหว่างน้องสาวกับพี่ชายนี่ไม่มีหรอก เขานี่แหละปลูกฝังความเป็นชายบนตัวน้อง ก็เป็นผู้ชายเหี้ยๆ คนนึงจะให้ไปคะขากับน้องก็กระดากปากเกิน
"แล้วแต่จะคิดละกัน...เอาเป็นว่าเย็นนี้ขออะไรให้มันอิ่มท้องหน่อยนะ พวกพิซ่งพิซซ่าอ่ะ จัดมาเลย"
"อ้วนตายแล้วมึงหน่ะ ผู้หญิงห่าอะไรแดกอย่างกับโจรปล้น แม่มึงไม่เคยให้แดกหรือไง" จงอินเคาะฝ่ามือลงกับพวงมาลัยรถตามจังหวะเพลง ปากก็บ่นว่ามันอ้วนนะ แต่ถามว่าพี่ชายอย่างเขาหาให้น้องแดกมั้ย ก็หาแหละ ทำไงได้ มีน้องอยู่คนเดียวแม่ก็บอกให้รักกันไว้ แต่แม่นี่สิ่รักลูกมากถึงขนาดขายบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับพ่อที่แคนนาดา ทิ้งลูกสองคนหาแดกกันเองที่เกาหลี นานทีปีหนจะกลับมาหา
"มีหน้าที่หาให้กูกินก็หาไปเถอะหน่า เอาเป็นว่า คิดซะว่าวันนี้ฉลองวันเกิดพ่อละกันนะ"
"วันเกิดพ่อ...มึงหนิ่..."
"ฮูเร่!! คนโทรหาพ่อคนแรกเราจะได้กิ๊ฟวอลเชอร์หนึ่งล้านวอน ซึ่งเมื่อกี้ก่อนออกจากบ้านกูโทรไปแล้วเท่ากับสิทธิ์นั้นเป็นของกูนะพี่ชาย"
"ทีงี้อ่ะเร็วนักนะ กูจะถือว่ากูมีงานทำแล้วเสียสละให้มึงแล้วกัน ล้านวอนมึงอ่ะมันก็แค่เศษเงินเดือนกู"
"มึงดูถูกล้านวอนของพ่อ กูจะฟ้อง!! ฟานฟานงอนมึงแน่นีนี่"
"นีนี่บ้านพ่อมึงสิ่..." จงอินแสยะยิ้มใส่คนเป็นน้องเพราะชื่อที่ถูกเรียก นี่ดีนะอยู่กันสองคน ถ้าคนอื่นได้ยินรู้ถึงไหนอายถึงนั่น แม่นี่ก็ช่างสรรหาชื่อมาเรียกลูกเรียกผัว ฟานฟาน นีนี่ นานา คือไงแล้วตัวเองมีใครกล้าหือตั้งชื่อให้แบบนี้บ้าง นี่คิดแล้วก็สงสารพ่อนะ หน้าตาก็ดี มีธุรกิจใหญ่โต เสือกกลัวเมีย ขนาดมีลูกลูกยังต้องใช้นามสกุลเมียอ่ะคิดดู นี่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้ามีเมียขึ้นมาจะไม่ทำตัวกลัวเมียแบบพ่อแน่นอน
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็น ถ้าคนทั่วๆ ไปป่วยเขาก็คงจะกลับไปนอนที่บ้านกัน ไม่ค่ะ...ไม่ใช่คิมอินนา ต่อให้ป่วยขนาดไหนเรื่องเพื่อนก็มาก่อนเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ตอนนี้เลยมานอนกลิ้งอยู่ที่เตียงของเพื่อนสนิทอย่างเยริเพื่อรอเวลาออกไปงานวันเกิดจูฮยอน ตั้งแต่จำความได้ก็สนิทกันอยู่สามคน จะให้พลาดได้ไง แต่ถามหน่อยว่าวันนี้ก็วันเกิดพ่อมั้ย...ใช่ แต่พ่อมีแม่อยู่แล้วไง ปล่อยเขาไปเถอะ อยู่กันคนละซีกโลกคงไม่ต้องไปงานวันเกิด
มีก็แต่พี่ชายนี่แหละที่ง้องแง้งตอนเขาโทรไปบอกว่าจะไปงานวันเกิดเพื่อนก่อน ทำเป็นงอนที่ไม่กลับไปกินพิซซ่า สุดท้ายก็บอกว่าจะกลับให้โทรไปบอก ส่วนตัวเองจะไปหาเพื่อน นี่จะทำงอนตั้งแต่แรกทำไมก็ไม่เข้าใจ
“ไปอาบน้ำสิ่มึง...จะใส่อะไรก็เลือกเอา” เสียงแม่คนที่สองและแรงที่ยวบลงบนฟูกทำให้คิมอินนาที่นอนกดโทรศัพท์อยู่ปล่อยให้โทรศัพท์ตกลงไปกองบนเตียงเหมือนคนไม่มีแรง หนังท้องตึงหนังตามันก็เริ่มหย่อน ยิ่งเสียงเรียกไปอาบน้ำแบบเวลาแม่เรียกแล้วยิ่งทำให้ขี้เกียจ แต่จะให้ไปงานวันเกิดเพื่อนด้วยชุดที่ใส่มาตั้งแต่เช้าก็กระไรอยู่
“เลือกให้หน่อยดิ่...ขี้เกียจอ่ะ” คนขี้เกียจหันหน้ากลับไปอ้อนเพื่อนสนิทด้วยสายตาเป็นประกาย นี่คนมันขี้เกียจจะแต่งตัว เสื้อผ้ามีเป็นร้อยก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะใส่อะไร
“กูเป็นแม่หรือเป็นเพื่อนมึงกันแน่วะ...” เยริกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย ให้มันมาอาบน้ำที่ห้องยังต้องเลือกชุดให้มันด้วยนะ สภาพคนเพิ่งดีขึ้นจากการป่วยก็ยังไม่ค่อยจะต่างกับศพเสียเท่าไหร่ยังจะดึงดันไป ขนาดจูฮยอนเจ้าของวันเกิดยังบ่นเลยว่าถ้าสังขารไม่เอื้อก็อย่าฝืน
แต่ก็นั่นแหละ...ห้ามอะไรก็ห้ามไปเถอะ แต่เรื่องเหล้ากับคิมอินนาปล่อยให้มันเป็นคู่ชีวิตกันต่อไป ด้วยความที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ คิมเยริเลยได้เห็นความเป็นไปของอินนามาตลอด ยัยนี่เซย์ฮายทำความรู้จักกับแอลกอฮอล์มาตั้งแต่อายุ 12-13 เพราะคุณพ่อที่มีสไตล์การเลี้ยงลูกแปลกๆ อย่างอู๋อี้ฟาน ‘แม่ท้องจงอินก็เพราะเหล้า ฉะนั้นแกเป็นผู้หญิง ก็ต้องทำความรู้จักมันเอาไว้ จะได้ไม่โง่โดนใครหลอกแบบแม่” เป็นประโยคที่ทำเอาเด็กม.ต้นสองคนถึงกับอ้าปากหวอ แต่ที่หนักกว่านั้นก็คงจะเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิท ที่ช็อคหน้าดำไปเลยทีเดียวหลังจากได้ยินคำพูดของคนเป็นพ่อ ไอ้ที่พ่อของเพื่อนสนิทพูดมานี่แทบจะไม่ต่างกับการบอกว่าคิมจงอินทะลุถุงยางมาเกิดกันเลยทีเดียว
‘พ่อเขาให้ลองเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่เอาไว้แดกเป็นเพื่อน!!’ นี่คือสิ่งที่เยริพยายามจะบอกอินนาหลายต่อหลายครั้งเมื่อเริ่มเห็นเพื่อนสนิทกินเหล้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เข้ามหาลัย แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ‘กูไม่อยากให้มิตรภาพระหว่างกูกับมันต้องจบลงหว่ะ’
เป็นคำตอบที่เพื่อนสนิทรู้สึกซึ้งใจเป็นอย่างมาก...ไม่ใช่ว่าเขาไม่กินนะ แต่เยริไม่ใช่พวกแอลกอฮอล์ลิซึมแบบคิมอินนาค่ะ ที่เตือนเป็นประจำก็เพราะห่วง ในตอนนี้ก็คงมีแต่ไอ้โรคไมเกรนที่เพื่อนสนิทเป็นเนี่ยแหละที่น่าเป็นห่วงมากกว่า ในความคิดของเขาก็คิดอยู่ว่าเหล้านี่แหละตัวกระตุ้นไมเกรนของคิมอินนาเลย แต่ทำไงได้ มันเป็นเพื่อนรักกันค่ะ แยกมันออกจากกันไม่ได้หรอก
ในที่สุดสัญชาติญาณความเป็นเพื่อนก็บอกให้เยริรีบไปเลือกชุดให้อินนาดีกว่า กว่าจะขุดมันจากที่นอนได้ก็หลายนาทีอยู่ นี่ยังไม่คำนวณถึงความอืดอาดยืดยาดในการอาบน้ำสระผมของเพื่อนสนิท กว่าจะเสร็จก็คงจะสองทุ่มกว่าๆ ถึงตอนนั้นการจะไปงานวันเกิดจูฮยอนก็คงจะไปถึงที่หมายในเวลาที่ไม่ช้าและเร็วจนเกินไป
“โหย....ใครเปลี่ยนศพเป็นคนได้วะ” เสียงแซวจากจูฮยอนดังขึ้นทันทีที่อินนาและเยรินั่งลงบนโซฟาขนาดย่อมในโซนวีไอพีของผับ เวลาสามทุ่มกว่าๆ นี่กำลังครึกครื้นด้วยกลุ่มเพื่อนของจูฮยอนทั้งเพื่อนต่างคณะและเพื่อนต่างมหาลัย นี่ยังไม่รวมรุ่นพี่ที่สนิทกันอีกหลายต่อหลายคน สาวมั่นดาวนิเทศหรี่ตามองเพื่อนสนิททั้งสองที่เพิ่งมาอย่างต้องการคำตอบ ถึงจะแซวเล่นๆ แต่การที่เพื่อนสักคนเอ่ยตอบเขาก็ยังดีกว่าการมองด้วยสายตาเอือมๆ หลังจากที่เห็นเขายืนคุยกับรุ่นพี่คนสนิท
“นี่มึงจริงจังกับพี่แทมินหรอวะ...มึงก็รู้ว่ากลุ่มเขามันกรังกันขนาดไหน”
“อย่าเอามาตรฐานของพี่ชายมึงมาวัด ถึงเขาจะสนิทกันแต่พี่แทมินเขาก็ดีกว่าที่มึงคิด ไม่สิ่...พี่ชายมึงก็ไม่ได้แย่ มึงแค่ยัดเยียดความแย่ให้พี่ชายมึงเอง” อินนาเบ้ปากเล็กน้อยหลังจากฟังประโยคสุดน่ารำคาญของเพื่อนสนิท จูฮยอนนี่เป็นบุคคลที่ไม่เคยเข้าข้างกันเลยสักนิด มันเริ่มมาตั้งแต่จูฮยอนไปรู้จักกับแทมินที่เป็นเพื่อนสนิทของจงอิน หลังจากนั้นยัยนี่ก็เอาแต่ชื่นชมทั้งพี่แทมินและกลุ่มเพื่อนของเขา ซึ่งรวมไปถึงจงอินด้วย
“นี่อย่าบอกนะว่าจงอินอยู่ที่นี่...” เพิ่งนึกได้เพราะพี่ชายบอกว่าจะออกไปหาเพื่อน ไอ้เพื่อนที่ว่าก็คงจะไม่พ้น แทมิน ชานยอล และแบคฮยอนเป็นแน่ และถ้าแทมินอยู่ที่นี่แล้ว จงอินจะไปไหนได้...
“ถูก” คำตอบของเยริที่ดังขึ้นพร้อมสายตาที่มองไปยังโซฟาที่ไม่ใกล้ ไม่ไกลกันนัก ทำให้คิมอินนาต้องมองตามไปด้วย สุดท้ายก็พบพี่ชายที่มองมาพอดีและพยักเพยิกให้เหมือนเป็นการบอกว่าเขาอยู่ตรงนี้นะ
ตามจองล้างจองผลาญจริงๆ
“เออ ไม่ต้องห่วงหรอก กูไม่ได้ชวนพวกพี่เค้ามางานวันเกิด พี่เขามาเลี้ยงต้อนรับเพื่อนในกลุ่ม กลับจากเมกา ได้ข่าวว่าเป็นหมอ”
“เอาจริงกลุ่มนั้นดูไม่น่าฉลาดกันเลยหว่ะ...” เป็นเยริที่พูดขึ้นและเข้าหูคิมอินนามากที่สุด เรื่องจริงที่หน้าตาและการกระทำของพี่ชายและผองเพื่อนดูไม่น่าจะฉลาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกนั้นฉลาดกว่าที่คิด อย่างลีแทมินที่เป็นผู้กำกับชื่อดัง หรือปาร์คชานยอลที่เป็นสถาปนิกแบบพี่ชายของเขา ส่วนบยอนแบคฮยอนก็เป็นหมอฟัน ใครจะเชื่อว่าไอ้พวกกรังๆ ที่มานอนกินบ้านกินเมืองอยู่ที่บ้านเขาสมัยก่อนมันจะมีชีวิตดีกันขนาดนี้
“หล่อมั้ยวะอินนา...” จูฮยอนหันมาสนใจเพื่อนสนิทเผื่อจะได้รู้ว่าคนเป็นหมอที่ลีแทมินว่าจะหล่อเหมือนคนอื่นๆ ในกลุ่มนั้นไหม
“กูไม่เห็นรู้เลย...ว่ามันมีเพื่อนเป็นหมอนอกจากแบคฮยอน”
“กั๊กป่ะเนี่ย...พี่แทมินบอกว่าสนิทกับพี่จงอินมากที่สุดเลยนะ เป็นไปได้หรอว่ามึงไม่รู้จัก ชื่อเซฮุนอ่ะ” ยิ่งพูดคิมอินนาก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ สาบานได้เลยว่าไม่เคยรู้จักคนชื่อเซฮุน นอกจากพี่ชายจะไม่เคยพูดถึงแล้ว คิมอินนาก็เข้าใจมาตลอดว่าแทมินคือคนที่สนิทกับจงอินมากที่สุด
“บอกชื่อมากูยังไม่รู้จักเลย แล้วกูก็เข้าใจว่าไอ้จงอินสนิทกับพี่แทมินของมึงมากที่สุด ไม่ใช่คนชื่อเซฮุนอะไรนั้น”
“หรอวะ...งั้นเดี๋ยววันนี้ก็ได้เห็นเองมั้ง พี่แทมินบอกว่าถ้ามาแล้วจะพามาให้รู้จัก” จูฮยอนยักไหล่อย่างเซ็งๆ นอกจากจะไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นปัญหาคาใจคนขี้สงสัยอีกว่าทำไมอินนาถึงไม่รู้จักคนที่สนิทกับจงอินมากที่สุด แต่ก็นั้นแหละ มันคงไม่รู้จักเหมือนกันจริงๆ
เวลาประมาณห้าทุ่มกว่าๆ ความวุ่นวายรอบๆ ตัวกำลังเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ จูฮยอนและเยริออกไปเต้นกันอย่างสนุกสนานที่กลางฟลอร์ ส่วนคิมอินนาก็ขอบายเพราะเริ่มมีอาการมึนหัวและปวดเบ้าตาขึ้นมาอีกครั้ง หันไปทางโต๊ะที่พี่ชายเคยนั่งก็เห็นเพียงแบคฮยอนและชานยอลนั่งคุยกันอยู่สองคน นอกจากแทมินและจงอินจะหายไปแล้ว บุคคลปริศนาอย่างเซฮุนก็ยังไม่มีท่าทีที่จะปรากฏตัว
แหม่...ก็ต่อมเสือกมันทำงานอัตโนมัติ
กลิ่นเหล้าคละคลุ้งทำให้อินนาเริ่มรู้สึกปวดตึ้บที่หัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกก็ดื่มไปไม่กี่แก้ว แต่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้ปวดหัวและอยากจะอ้วกนี่มาจากแอลกอฮอล์ ทั้งรสชาติเฝื่อนลิ้นในปาก และกลิ่นจากรอบๆ จึงได้หยุดกิน ถึงจะติดเหล้าแค่ไหนแต่ก็ใช่ว่าจะดึงดันกินทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ไหว จากความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ เขาควรจะรีบไปห้องน้ำให้เร็วที่สุดก่อนจะอ้วกออกมากลางผับ นอกจากจะอายสายตาทุกคนแล้ว ถ้าจงอินมาเห็นคงโดนด่าเละแน่
“อึก...” ของเหลวทั้งหมดในท้องรวมตัวกันตีขึ้นมาตั้งแต่อินนาเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว คนตัวเล็กเอามืออุดปากทันที แต่ถ้าก้าวออกไปอีกก้าวเดียวเขาต้องพุ่งของเหลวในปากออกมาทั้งหมดเป็นแน่
“อินนา...เป็นไร” ร่างสูงของแทมินเดินแทรกเข้ามาตรงที่อินนายืนอยู่ จะถือว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ถ้าอ้วกต่อหน้าแทมินตอนนี้ต้องอายมากแน่ๆ แต่ถ้าไม่ เขาก็ต้องอ้วกต่อหน้าคนอื่นอีกอยู่ดี แต่ถามจริง คนจะอ้วกนี่ยังจะต้องห่วงภาพลักษณ์ตัวเองอยู่อีกหรอ คิดได้ดังนั้นคิมอินนาก็คว้าข้อมือของแทมินและดึงเข้ามาให้ใกล้ตัวเองเข้าไปอีก ร่างบางชี้เข้าที่หน้าของตัวเองทั้งๆ ที่ มืออีกข้างก็ยังปิดปากสนิทอยู่
“อะอื้อ” จะอ้วกคือสิ่งที่คนตัวเล็กพยายามจะบอกแต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทของพี่ชายจะไม่เข้าใจ ไม่พอยังขมวดคิ้วยุ่งอีก นี่ไม่เข้าใจคนจะอ้วกหรือไง เป็นผู้กำกับไม่เคยกำกับฉากอ้วกหรอ!!
“จะอ้วก?” แทมินตาโตขึ้นเมื่อจับใจความที่อินนาต้องการจะบอกได้ คนตัวสูงหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอะไรมารองรับของเหลวทันที กระป๋องใส่น้ำแข็งที่คว้าได้ถูกยื่นมาให้คนตัวเล็กพร้อมช่วยลูบหลังให้ แต่แทบไม่จำเป็นต้องลูบหลัง ของเหลวในปากก็พุ่งลงถังไปแล้วเรียบร้อย
“อึก....โอ๊กกกกก”
“ไหวมั้ยเนี่ย...” แทมินถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง นี่ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กไปอัดเหล้ามาขนาดไหนถึงได้อ้วกแตกอ้วกแตนขนาดนี้ อินนาไม่ใช่คนที่ยอมแพ้เหล้าง่ายๆ ไม่ใช่หรอ มือบางยกขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่ไหวแล้ว ร่างเล็กจับต้นแขนของแทมินเพื่อยึดเอาไว้ ขาที่หยัดอยู่กับพื้นตอนนี้แทบจะหมดแรงและล้มลงไปกองอยู่กับพื้นอยู่รอมร่อ
“อะไรกันวะ...” ร่างสูงโปร่งของคนที่อินนาไม่คุ้นหน้าเดินเข้ามาถามแทมินที่พยายามจะพาคนตัวเล็กไปเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ได้คำตอบอะไรคนตัวสูงก็เข้ามาพยุงอินนาเอาไว้เสียก่อนเพราะคนตัวเล็กทำท่าเหมือนจะล้มทั้งๆ ที่อีกฝั่งก็มีแทมินช่วยพยุงอยู่แล้ว โชคดีที่ตรงนี้เป็นมุมลับตาคนอินนาเลยไม่ค่อยอายเสียเท่าไหร่ ไอ้ผู้ชายที่เข้ามาช่วยเขาอีกคนคือใครก็ไม่รู้หรอก สภาพตัวเองตอนนี้ไม่พร้อมจะสงสัยอะไรแล้วจริงๆ
“น้องจะอ้วกหว่ะ มึงอุ้มไปห้องน้ำดิ้ ยืนไม่ไหวแล้วกูว่า” แทมินตอบทำให้คนตัวสูงทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะรวบตัวคนตัวเล็กเข้าไปในอ้อมกอดและอุ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการถามไถ่ความต้องการของคนจะอ้วกเลยสักคำ
“ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ” คนตัวสูงพูดขึ้นขณะเดินไปห้องน้ำ ระหว่างนั้นก็ขอทางกลุ่มคนที่ยืนขวางทางอยู่ ทำให้คิมอินนาแทบอยากจะซุกหน้าเข้ากับอะไรก็ได้เพราะความอับอาย เกิดมาเพิ่งเคยโดนอุ้มในที่สาธารณะก็วันนี้ แทมินที่เดินตามหลังมาแทรกตัวไปเดินนำหน้าเพื่อขอทางไว้ให้ก่อน นี่อย่างกับขบวนอะไรที่ต้องมีคนนำหน้า ให้ตายเถอะ
“...”
“ฉันชื่อเซฮุน เผื่อเธอจะได้ทำหน้าตื่นน้อยลงหน่อยที่ใครก็ไม่รู้มาอุ้มไปอ้วก”
TBC
สวัสดี เราชื่อแทมมี่ไม่มีอะไรมากฝากติดตามพี่หมอด้วย555555555
ความคิดเห็น