ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yuri] 3 เรื่อง 3 รส +1 <<< ???

    ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องที่ 2: ต่างเผ่า (ภาค สาวน้อยแวมไพร์ผจญนักล่าสุดป่วน)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 237
      1
      8 ม.ค. 55

     
    ต่างเผ่า (ภาค สาวน้อยแวมไพร์ผจญนักล่าสุดป่วน)
     
     
    โรเนย์หลานสาวตัวแสบของนักล่าอัจฉริยะที่ไม่เคยคิดจะสนใจใยดีกับเรื่องปราบปีศาจเลยแม้แต่น้อย หากแต่วันหนึ่งดันไปเจอะกับเด็กสาวผู้หนึ่งเข้า และเธอกำลัง...



    หมายเหตุ  ชื่อเรื่องกับเนื้อหาในตอน ปฐมบท นี้อาจไม่เข้ากันอย่าตกใจ เพราะเรื่องราวจริงจริงของเรื่องจะเป็น อีก 15 ปี หลังจากตอนปฐมบทไปแล้ว




    ปฐมบท

    ณ คืนเดือนเพ็ญคืนหนึ่ง ปี
    19xx บริเวณป่าลึกของประเทศอังกฤษที่ไกลห่างจากชุมชน

    แซก แซก แซก
    … “แฮ่ก แฮ่ก... บ้าเอ้ย” เสียงฝีเท้าที่วิ่งผ่านหมู่ไม้ใบหญ้า เสียงหอบจากความเหนื่อยล้า และเสียงสบถที่ดังออกมาแผ่วเบาจากชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวขาวซีด ที่อยู่ในชุดดำทั้งชุด มือใหญ่ของเขาที่อาบไปด้วยของเหลวสีแดงสดเกาะกุมอยู่ที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง และบาดแผลหลายๆจุดตามร่างกายของเขาจนไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถวิ่งได้อย่างบ้าคลั่งอยู่ในขณะนี้ อย่าว่าแต่วิ่งเลยร่างกายที่อาบไปด้วยของเหลวสีแดงแทบจะทั้งร่างไม่ควรที่จะมีชีวิตแล้วด้วยซ้ำ
     
    ชายหนุ่มยังคงวิ่งต่อไป แววตาแห่งความมุ่งมั่นพุ่งตรงไปข้างหน้า เขาไม่สนใจบาดแผลตามร่างกายของเขา เพราะสำหรับเขามันไม่เจ็บนัก แต่มีเพียงส่วนเดียวที่เจ็บปวดและมันกำลังจะหยุดการทำงานลง และถ้ามันหยุดเขาก็จะสูญไปจากโลกแห่งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อยากให้อวัยวะที่เรียกว่าหัวใจหยุดทำงานในตอนนี้ เขาหยุดวิ่งและยืนอย่างสงบด้วยร่างกายที่สั่นเทาพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ ไม่ต่างจากการท่องมนต์หรือสวดคาถานัก ไม่ช้าต้นไม้ใบหญ้า ผืนดิน และสัตว์เล็กๆที่อยู่รอบกายเขาก็เหือดแห้ง และ...ดับชีพลง
     
    “ข้า ขอโทษ” ชายหนุ่มร่างใหญ่พึมพำออกมาเบาๆ ร่างกายของเขาที่เคยสั่นเทากลับนิ่งสงบ อวัยวะที่กำลังจะดับกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ เขารู้ดีถึงแม้ว่าร่างกายจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่มันก็ต่อชีพของเขาได้อีกไม่นานนัก แววตาที่มุ่งมั่นยังคงฉายไปในทิศทางเดิมพร้อมที่จะออกวิ่งอีกครั้ง หากแต่เขาก็ไม่ได้วิ่งร่างกายของเขากลับกลืนหายไปกับความมืดทันที ไม่สิเขากำลังวิ่งอยู่เพราะเสียงฝีเท้าที่กระทบกับใบหญ้าตามพื้น แต่ความเร็วในการวิ่งของเขานี่สิมันไม่เหมือนการวิ่งที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ มันเร็วกว่านั้นหลายสิบเท่า และ นั่นก็ไม่ใช่ความเร็วระดับที่มนุษย์จะทำได้

    ……………………………………………………………………………………….

    อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน ณ บริเวณป่าลึกที่ไม่ไกลกันมากนัก
     
    “ชิ บ้าจริง ดันหนีไปได้” หญิงสาวร่างสูงนางหนึ่งวัยประมาณ 25 ปี เอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อปล่อยให้ใครสักคนหรืออะไรสักอย่างหนีรอดจากการที่เธอกำลังจะปลิดชีพไปได้ ใช่ เธอกำลังจะดับชีพสิ่งมีชีวิตบางอย่างลง และสิ่งมีชีวิตนั้นก็ไม่น่าจะใช่สัตว์เล็กๆ สังเกตจากอาวุธครบมือที่เหน็บอยู่ตามร่างกายเพื่อล่าอะไรบางอย่าง ปืนพกด้ามทองสองกระบอกที่ถูกเหน็บอยู่ในซองข้างลำตัว มีดพกด้ามทองที่ถูกเก็บอย่างดีในซองที่เอวด้านขวา กับซองที่น่าจะใช้ใส่กระสุนปืนที่เอวด้านซ้าย
     
    หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ถูกถลกปลายแขนขึ้นเล็กน้อย ชายเสื้อถูกทับด้วยกางเกงสีดำ กับรองเท้าบูธหนังสีดำ เธอยืนนิ่งและมองออกไปรอบกาย แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจาก...
     
    “เจอรึเปล่า” นางเอ่ยออกมาเหมือนกล่าวขึ้นลอยๆให้กับความมืดที่เงียบงัน แต่เปล่าเลย เพราะเธอเอ่ยกับหญิงสาวอีกนางหนึ่งที่ค่อยๆปรากฎกายออกมาจากเบื้องหลัง แม้จะอยู่ในความมืดกับโค้ทคลุมแขนยาวสีดำที่เธอใส่อยู่ แต่ใบหน้าที่ขาวซีดกับผมยาวที่เป็นลอนสีทอง ร่างกายที่สูงสง่าถ้าเทียบกับอีกคนที่แม้จะสูงเพรียวแต่ก็ยังดูเล็กกว่า อีกทั้งแววตาสีน้ำตาลแดงก็ทำให้เธอเป็นจุดเด่นได้ไม่ยากในเวลากลางคืนเช่นนี้
     
    “ทางทิศ 10 นาฬิกา ห่างไปอีกประมาณ 2 กิโล เราพบรอยเลือดกับบริเวณซากที่แห้งตายรัศมีประมาณ 2 เมตรค่ะ ฉันให้ไบร์อันตามต่อแล้ว...ว่าแต่เลือดนั่น...” หญิงสาวผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นเรียบๆ แต่ก็ต้องสะดุดกับลอยคราบเลือดที่ติดอยู่บริเวณเสื้อสีขาวของหญิงสาวตรงหน้าเธอ 
     
    “ไม่ใช่ของฉันหรอก ไปกันเถอะ คิดว่าเราคงต้องใช้ฮอร์ เธอเตรียมให้ฉันแล้วนะเนล” เคียร์ราเอ่ยออกมาก่อนจะเดินนำหญิงสาวผู้มาใหม่ไปอีกทาง
     
    “ค่ะ แต่...ถ้าท่านจะไปกับฉัน...มันน่าจะเร็วก... ข...ขอโทษค่ะ” ดาเนลกล่าวอย่างอึกอักด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อยของร่างกาย ก่อนจะต้องเอ่ยคำขอโทษเมื่อเคียร์ราหันกลับมาจ้องมองที่เธอด้วยแววตาที่เยียบเย็น
     
    “ก็ดีเหมือนกัน ไม่เสียเวลา” “เอ๊ะ!?” เคียร์ราเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าของร่างสูงก่อนจะเอ่ยขึ้น ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับดาเนลนัก เพราะคนผู้นี้ปกติแล้วจะไม่ยอมให้เธอสัมผัสกายได้ง่ายๆหากไม่จำเป็น และถึงแม้จะแปลกใจอยู่แต่ดาเนลก็ยอมย่อตัวลงเพื่อให้ร่างที่เล็กกว่าขึ้นขี่หลังเธอได้ง่าย กลิ่นกายที่หอมหวานกับกายที่นุ่มหยุ่นเมื่อมันได้สัมผัสกับแผ่นหลังของเธอยิ่งทำให้ร่างกายของดาเนลเกิดอาการสั่นมากขึ้น เธอไม่แน่ใจว่าเธอคิดถูกหรือผิดที่เสนอตัวให้ผู้เป็นนายไปกับตนแทนที่จะเป็นเฮริคอปเตอร์ที่เธอเตรียมไว้ให้
     
    “ถ้าทนไม่ไหว้ ฉันก็ไม่ห้ามนะ เธอไม่ได้ดื่มมันมา 4 วันแล้วนี่ อีกอย่างเธอยังต้องช่วยฉันจับเจ้านั้น” ร่างเล็กเอ่ยออกมาขณะที่อยู่บนหลังของดาเนล ก่อนจะยื่นข้อแขนข้างซ้ายของตนที่มีรอยจุดแดงๆ 5-6 จุดไปตรงหน้าของร่างสูง ดาเนลที่เห็นดังนั้นถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเลยที่เดียว ความหอมหวานจากกายของคนด้านหลังสำหรับเธอไม่ใช่กลิ่นกายของหญิงสาว หากแต่เป็นกลิ่นเลือดที่อยู่ภายในกายของเคียร์ราต่างหากที่ทำให้เธอเกิดอาการสั่นเทาและกระหายขึ้นมา และจะเป็นเช่นนี้ดุจเช่นทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ แม้ท้องจะอิ่มก็ตาม
     
    “ข..ขอบคุณค่ะ” ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะเสนอเลือดของตัวเองให้เธอ แต่รอยบนข้อมือของคนผู้นี้ก็เกิดจากฝีมือของเธอทั้งสิ้น ดาเนลยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามรอยแผลอย่างอ่อนโยน ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มแต่สว่างต้องกับความมืดยามราตรี ริมฝีปากจุมพิตลงเบาๆที่ข้อแขน เรียวลิ้นตวัดตามรอยแผลเป็นอย่างต้องการชิมรสชาติก่อนที่คมเขี้ยวของตนที่ขยายใหญ่ขึ้นจากปกติจะฝังลงไปกับเนื้อนุ่ม ทำให้เคียร์ราถึงกับต้องหลับตาลงกัดฟันด้วยความเจ็บ มือเรียวอีกข้างทำได้เพียงขยุ่มคอเสื้อของร่างที่เธอเกาะอยู่ แม้จะเคยมาหลายครั้งก็ตาม แต่ความรู้สึกเจ็บแบบนี้ กับความรู้สึกที่เลือดภายในกายถูกสูบออกก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกชินกับมัน แม้มันจะให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกก็ตาม
     
    ดาเนลละคมเขี้ยวของตนออกจากข้อมือของร่างด้านหลังก่อนจะใช้ลิ้นเรียวของตนทำความสะอาดข้อมือที่เปรอะไปด้วยคาบเลือด และออกวิ่งไปด้วยความเร็วที่มนุษย์ไม่สามารถเทียมได้ไปทางทิศ 10 นาฬิกาตามที่ตนเคยรายงานไว้ พร้อมๆกับประคองผู้เป็นนายที่หลับลงจากการเสียเลือดไปอย่างเบามือ
     
    จากระยะทางที่คนผู้นั้นจะไปซึ่งเธอรู้อยู่แล้วว่าเขาจะไปที่ไหนก็อีกประมาณ 1 ชั่วโมงหากไปด้วยความเร็วระดับนี้ เพราะเป็นแวมไพร์เหมือนกันเธอจึงรู้ว่าเขาผู้นั้นอาศัยอยู่ที่ใด ใช่ แวมไพร์ ชื่อที่มนุษย์ตั้งให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกตน แล้วทำไมเธอถึงต้องบอกที่อยู่ของพวกตนให้ต้องโดนล่าล่ะ นั่นคงเพราะนักล่าที่อยู่บนหลังเธอผู้นี้ล่ะมั้ง เพราะเธอหลงรักเคียร์ราหญิงสาวผู้นี้ เธอเองรู้ดีว่าแม้เคียร์ราจะอยู่ในตระกูลนักล่าก็ตาม แต่เคียร์ราก็ไม่เคยคิดเข่นฆ่าแวมไพร์หรือปีศาจตนใดสักตนหากไม่จำเป็น ซึ่งผู้ที่เธอตามล่าทั้งสิ้นคือแวมไพร์ที่ฝ่าฝืนกฎหรือพวกที่ไล่เข่นฆ่ามนุษย์เท่านั้น

    ……………………………………………………………………………………….

    ณ บ้านหลังเล็กหลังหนึ่งบนเชิงเขา เสียงประตูที่เปิดออกอย่างแรงกับการปรากฎตัวของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ดูจะเหนื่อยหอบนัก ชุดดำทั้งชุดที่เขาสวมใส่เปรอะเปลื้อนไปด้วยคราบโลหิต สร้างความตกใจให้กับหญิงสาวที่อยู่ภายในบ้านเป็นอย่างมาก
     
    “เกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวที่ออกมาจากห้องรีบวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นสามีแล้วเอ่ยถามด้วยความตกใจ
     
    “เจ้ารีบเก็บของเร็ว แล้วพายัยหนูออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วนี่...ข้าหามาได้เพียงเท่านี้” ชายหนุ่มส่งถังพลาสติกใสที่ภายในบรรจุไปด้วยของเหลวสีแดงข้นอยู่เต็มถังให้กับหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะวิ่งไปในห้องอุ้มเด็กทารกที่นอนหอบจวนเจียนจะหมดลมขึ้นมา แล้วจุมพิตเบาๆที่หน้าผากไปหนึ่งทีอย่างรักใคร่ก่อนจะส่งตัวเด็กน้อยให้กับหญิงสาวผู้เป็นแม่
     
    “แล้วพี่ล่ะ ข้าจะอยู่ช่วย” หญิงสาวมองหน้าเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างห่วงใยกับโลหิตเหลวที่บรรจุอยู่ในขวดพลาสติกที่ชายหนุ่มส่งมาให้ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบอกกับชายหนุ่มออกไป
     
    “ไม่ได้ ถ้าเจ้าอยู่ด้วยเราจะตายกันหมด เคียร์ราไม่ปล่อยเราไปแน่ เจ้าพายัยหนูหนีไป หรือเจ้าอยากให้ความพยายามของข้าสูญเปล่าล่ะ ยัยหนูจะต้องรอด เจ้าเองก็เช่นกัน” ชายหนุ่มขึ้นเสียงเข้มทันทีเมื่อภรรยาของเขากล่าวเช่นนั้น ก่อนจะลดเสียงลงแล้วลูบไล้ใบหน้าเนียนของเด็กน้อย แล้วจูบภรรยาอย่างแผ่วเบา แต่ก็เนิ่นนานพอสำหรับครั้งสุดท้ายและการลาจาก น้ำใสๆล่วงรินจากขอบตาของคนทั้งสอง ก่อนที่หญิงสาวจะผละออกแล้ววิ่งฝ่าความมืดออกไปจากตัวบ้านทันที   
     
    “ลาก่อน ลูกพ่อ เลือดถังนั้นหวังว่ามันจะช่วยชีวิตเจ้าได้” ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วกล่าวขึ้นมาลอยๆ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกผิดที่คร่าชีวิตของผู้อื่นเพื่อต่อลมหายใจของลูกสาวตัวเอง แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อเลือดที่จะต่อชีวิตให้กับเด็กน้อยนั้นดันเป็นเลือดที่มีอยู่ในมนุษย์จำนวนแค่หยิบมือ เขาจึงรอรับความผิดอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มค่อยๆเดินออกมาหยุดอยู่บริเวณหน้าบ้าน
     
    “ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก” สายลมยามค่ำคืนพัดแผ่วเบา แต่กลับให้ความรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งนัก เสียงหัวใจที่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายให้กลับมาเต้นในจังหวะปกติ บัดนี้ก็ใกล้เวลาที่มันจะพังเต็มทีแล้ว ถึงยังไงชายหนุ่มก็ยังอยากให้มันหยุดทำงานด้วยน้ำมือมนุษย์อยู่ดี เพื่อเป็นการชดใช้ให้กับชีวิตที่เขาคร่าไป
     
    “จะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ ไบร์อัน” ชายหนุ่มกล่าวกับผู้มาเยือนหน้าใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านนานแล้ว และคงจะก่อนหน้าที่ภรรยาของเขาจะหนีด้วยซ้ำ
     
    “ไม่จำเป็นนี่ ข้าแค่มาเฝ้าเฉยๆ อีกอย่างถึงไม่ทำอะไรอีกเดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดบอกเรื่องภรรยาและลูกของเจ้ากับเคียร์ราหรอก เพราะพวกเขาก็เป็นแวมไพร์เหมือนกับข้า และข้าเองก็ เกลียดมนุษย์” ไบร์อันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ใช่ เขาเกลียดมนุษย์ และไม่คิดใส่ใจด้วยหากว่าพวกเดียวกันจะปลิดชีพมนุษย์สักกี่คน และตัวเขาเองหากทำได้ก็ไม่คิดจะปล่อยพวกมนุษย์ที่คอยตามล่าล้างเผ่าพันธุ์ของตนเป็นแน่ เพียงแต่ เขาเองก็ยังหวาดหวั่นกับหญิงสาวผู้ล่า อย่างเคียร์ราอยู่ และต้องสะดุ้งเฮือกในทันทีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลัง แม้จะอยู่ห่างออกไปสักห้าหกร้อยเมตร แต่คงไม่ถึงนาทีก็คงมาถึงที่นี่ และเป็นดังคาด
     
    “ขอบใจ” หญิงสาวผิวขาวร่างเพรียวผมยาวตรงสยายในชุดเชิ้ตขาวกางเกงดำกล่าวขึ้นเมื่อลงจากหลังของแวมไพร์สาว ดาเนล ผู้คอยรับใช้ตน แววตาสีฟ้าใสจ้องมองยังชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างไม่กลัวเกรง
     
    “ฉันขอถามอย่างหนึ่ง ทำไมนายถึงฆ่าคนผู้นั้น อันดรอย ปกตินายไม่เคยคิดฆ่าใครนี่ เพียงแค่ดื่มเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น”
     
    “ท่านก็รู้นี่เคียร์ราว่าพวกเราชิงชังมนุษย์ ข้าฆ่าเพราะอยากฆ่า และมันก็เป็นช่วงที่ท่านเผลอพอดี มันก็เหมาะสมแล้วนี่กับสิ่งที่พวกมนุษย์ทำกับพวกเรา” ชายหนุ่มกล่าวอย่างยิ้มหยันให้กับหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับพุ่งเข้าโจมตีทันทีด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เขารู้ดีว่ายังไงซะก็ไม่อาจเข้าถึงตัวนางได้ เพราะแวมไพร์สองตนที่คอยคุ้มกันนางอยู่ อันดรอยรู้ดีว่าหากไม่ทำเช่นนี้แล้วกล่าวคำสัตย์ต่อนาง ความอ่อนโยนของนางก็คงจะไว้ชีวิตเขา แต่มันจำเป็นด้วยหรอ ในเมื่อเขาเองก็อยู่ได้อีกไม่ถึงชั่ววัน และก็เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์
     
    กรงเล็บที่แหลมคมที่สามารถฉีกกระชากร่างของมนุษย์ได้อย่างง่ายดายถูกหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวเพียงไม่กี่เซ็นด้วยฝีมือของแวมไพร์สองตนที่เข้ามาหยุดร่างของเขาไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่อันดรอยไม่ได้คาดการณ์คือ การทรยศของ ไบร์อัน ดวงตาสีเขียวมรกตที่ต้องกับแสงจันทร์ยามราตรีถึงกับเบิกโพลงเมื่อมันสะท้อนกับรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมของ ไบร์อัน ที่ยิ้มมาทางเขา และมันก็เป็นมุมอับที่ดาเนลเองก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นด้วย
     
    เพียงเสี้ยววินาทีร่างของเคียร์ราถึงกับต้องถอยร่นลงไปเมื่อถูกกรงเล็บของไบร์อันเจาะทะลุร่างบริเวณกลางอก ก่อนของเหลวสีแดงจะพุ่งสาดกระเซ็นออกมาจากร่างเมื่อชายหนุ่มกระชากกรงเล็บออกจากร่างนาง เคียร์ราทรุดลงไปกับพื้นในทันทีสร้างความตกตะลึงให้กับทั้งดาเนลและอันดรอยได้ไม่น้อย เพราะตามปกติแล้วหากต้องสู้กับแวมไพร์หรือปีศาจตนใดเคียร์รามักจะกางข่ายเวทย์ไว้รอบกายของตนเสมอ หากแต่คราวนี้นางกลับไม่ทำ
     
    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ขอบใจอันดรอยที่เจ้าสร้างโอกาสให้กับข้า” เสียงหัวเราะอย่างสะใจดังกึกก้องไปทั่วบริเวณก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเคลื่อนย้ายออกห่างจากแวมไพร์ทั้งสองตนไประยะหนึ่งเพียงชั่วพริบตา นัยน์ตาสีแดงเพลิงอันโหดเหี้ยมจ้องมองร่างของหญิงสาวที่ล้มลงกับพื้นอย่างสะใจ มือหยาบหนาที่อาบด้วยโลหิตของหญิงสาวถูกยกขึ้นมาก่อนที่เขาจะใช้ลิ้นที่ซีดเผือกเลียชิมรสชาติของมัน
     
    ดาเนลมองภาพของหญิงสาวที่ตนรักล้มลงอย่างไม่เชื่อสายตา แววตาสีน้ำตาลเข้มแปลเปลี่ยนเป็นสีเพลิงในทันที พริบตากรงเล็บที่แหลมขมก็พุ่งเข้าใส่ร่างของไบร์อัน แต่ชายหนุ่มก็ไหวตัวทัน เพราะเขารู้ดีว่าดาเนลนั้นยังไงซะคงไม่คิดจะร่วมมือกับเขาเป็นแน่...
     
    ทางด้านเคียร์ราเธอพยายามลุกยืนขึ้นมาอีกครั้ง พลังและเรี่ยวแรงที่มีอยู่ถูกนำมาใช้เพื่อร่ายเวทย์รักษาแผลที่หน้าอก แม้จะเป็นข่ายเวทย์ที่ทรงพลังแต่แผลขนาดใหญ่ที่ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงตายไปแล้ว ทำให้บาดแผลไม่ใคร่นักที่จะประสานตัวเอง
     
    “นาย...ไม่...บุกเข้ามา...หรือไง” แววตาที่ผิดหวังนักของเคียร์ราจ้องมองมายังอันดรอยอย่างหม่นเศร้า ความผิดหวังของเธอไม่ใช่จากอันดรอย หากแต่เป็นชายหนุ่มอีกคนที่หันคมเขี้ยวเข้าใส่เธอ ทั้งที่เคยชุบเลี้ยง ทั้งที่ไว้ใจให้อยู่ข้างกาย แล้วแบบนี้เธอจะไว้ใจใครได้อีก ที่เธอไม่สร้างข่ายเวทย์คุ้มกันตัวนั้นเป็นเพราะอันดรอยไม่ได้คิดฆ่าเธอจริงๆ แววตาของเขามันสื่อเช่นนั้น
     
    “เคียร์รา ทำไมท่านถึงไม่สร้างเวทย์คุ้มกันตัว ตอนที่ข้าเข้าโจมตี” ชายหนุ่มยืนมองร่างของหญิงสาวที่ถูกคลุมไปด้วยแสงสีขาวบริเวณอกซึ่งกำลังพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งอยู่ และเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย     
     
    “แววตาของ...นาย ไงล่ะ” อันดรอยยังคงงุนงงกับคำพูดของนาง นางสามารถอ่านใจใครก็ได้จากแววตาหรือไง หรือว่าเพราะสีของตา
     
    “พวกนาย ไม่รู้ตัวเลยหรือไง ตอนที่พวกนายจะใช้พลัง หากไม่คิดจะเข่นฆ่าหรือโกรธจัด ดวงตาของพวกนายมันจะทอแสงสีเขียว” อันดรอยยืนตะลึงกับสิ่งที่ตนรับรู้ ไม่ใช่ในคำพูดของเคียร์รา หากแต่ เป็นการฟื้นตัวของนาง บาดแผลที่ถูกทะลวงลึกกลับสมานตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ มีเพียงคราบเลือดเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ เหมือนกับ...ไม่ใช่มนุษย์
     
    ด้ามกระบอกปืนสีทองที่ถูกเหน็บไว้ข้างลำตัวทั้งสองกระบอกถูกหยิบยกขึ้นมา แม้จะเป็นความเร็วระดับมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ถือว่าเร็วเลยทีเดียว ไม่มีการรั้งรอ ไม่มีความลังเล กระสุนอาบเวทย์จากปากกระบอกปืนทั้งสองพุ่งตรงสู่ร่างของแวมไพร์หนุ่มผู้ซึ่งกำลังขับเขี้ยวกับแวมไพร์สาวอีกตนอยู่อย่างแม่นยำที่กลางอากาศจนล่วงลงพื้นดิน ทั้งที่แวมไพร์ทั้งสองสู้กันอยู่ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ แต่ร่างกายที่รวมพลังเวทย์ไว้บริเวณดวงตากลับสามารถจับความเคลื่อนไหวได้ทัน อีกทั้งความเร็วในการซัดสาดกระสุนนั่น
     
    ไม่เพียงเท่านั้นนางยังสามารถกะความเร็วของกระสุนและทิศทางที่มันจะพุ่งตรงไปได้อย่างแม่นยำจากการอ่านการเคลื่อนไหวของแวมไพร์ทั้งสองตนว่าจะเคลื่อนที่ไปในทิศใด หรือนางจะไม่ได้กะ เพียงแค่ยิงส่งๆไปไม่ว่ากระสุนจะโดนแวมไพร์ตนใดก็ได้เหมือนกัน แต่นั่นคงไม่ใช่ ในเมื่อ ดาเนล นั้นคือทาสผู้ซื้อสัตย์ของนาง
     
    “ก...แก เคียร์รา... อ๊ากก” ไบร์อันที่ล่วงลงมาสู่พื้นเอ่ยสบถขึ้น เขาพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองเคียร์ราอย่างเครียดแค้น โดยที่มือหยาบหนายังคงเกาะกุมบริเวณต้นแขนซ้ายที่เปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงสด ก่อนจะแผดเสียงร้องอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระสุนอีกนัดแหวกผ่าอากาศเข้าเจาะทะลวงร่างของเขาบริเวณกลางหัวใจก่อนที่จะล้มลง และแน่นิ่งไปกับพื้น
     
    สำหรับอันดรอยแม้เขาจะเคยได้ยินมาบ้างถึงความสามารถของเคียร์รานักล่าปีศาจที่ใครๆต่างก็หวั่นเกรง และเรียกเธอว่าอัจฉริยะของตะกูล ไรท์เบริก แต่ก็ไม่คิดว่านางจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้โดยเฉพาะการรักษาบาดแผลของตน แล้วกลับลุกขึ้นมายืนได้ใหม่ในสนามรบอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กับดาเนลเธอไม่คิดเช่นนั้น เธอรู้ดีเกี่ยวกับเคียร์รา หลายครั้งแล้วที่นางได้รับบาดเจ็บเจียนตาย ที่ยังยืนอยู่ได้นั้นเพราะพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งของนางต่างหาก และยิ่งต้องมาสูญเสียเรี่ยวแรงจากการเสียเลือดให้กับเธอเมื่อครู่นี้ด้วยแล้ว หากจะล้มลงเมื่อใดก็ไม่แปลกใจเลย
     
    “ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก” หญิงสาวร่างเพรียวค่อยๆก้าวย่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าแวมไพร์หนุ่ม ความถี่ของหัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้นทำให้อันดรอยรู้ดีว่าเขากำลังจะหมดลม การต่อชีพด้วยธรรมชาติรอบกายเมื่อหัวใจโดนโจมตีมันก็ทำได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ไม่ทันได้คิดต่อร่างกายก็ทรุดลงกับพื้น และแม้ว่าเขาจะไม่ได้โดนเคียร์ราสังหารกับมืออย่างที่ตั้งใจไว้ในคราแรก แต่บาดแผลที่ทำให้เขาทรุดลงและเตรียมจะหมดลมหายใจก็มาจากฝีมือของนาง แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้วกับสิ่งที่ตัวเขาก่อขึ้น แต่...
     
    “อึก!? ท...ทำไม...?” มีดด้ามทองถูกหยิบออกจากซองขึ้นมาควงไปมาก่อนที่มันจะปักลงกลางใจของเขาอีกครั้ง ดวงตาสีเขียวใสจ้องมองหญิงสาวด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก่อนที่รอยยิ้มอย่างยินดีจะผุดขึ้นมาเมื่อได้ยินคำตอบจากเคียร์รา และหมดลมในที่สุด
     
    “นายต้องการแบบนี้แต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไงอันดรอย” คำพูดที่เรียบนิ่ง ใบหน้าที่เรียบเฉย แต่แววตากลับสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนโยนจากตัวผู้พูด และความอ่อนโยนของนางเนี่ยแหละที่ทำให้แวมไพร์อย่างดาเนลผู้ที่ชิงชังมนุษย์ยิ่งนักเฉกเช่นแวมไพร์ตนอื่นๆกลับต้องมาหลงรักในตัวมนุษย์ผู้นี้ แล้วแววตามรกรตของเธอก็ต้องเบิกโพลงขึ้นก่อนที่ร่างกายจะขยับไปรองรับร่างที่ร่วงหล่นของผู้เป็นนาย
     
    “เธอ...จะไม่หักหลัง...ใช่ไหม” เคียร์ราที่แนบอิงอยู่กับร่างของดาเนลค่อยๆเอ่ยออกมาพร้อมๆกับมือเรียวที่พยายามลูบไล้ใบหน้าขาวซีดนั่นก่อนที่เธอจะหลับไปในที่สุด เมื่อได้รับการตอบรับจากการพยักหน้าเล็กๆของร่างสูง ดาเนลมองดูร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอด้วยแววตาอันเศร้าหมอง เคียร์ราเป็นมนุษย์ หากเธอ... ไม่ใช่
     
    เผ่าพันธุ์ที่คอยถูกตามล่าด้วยนักล่าที่เรียกว่า มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ตนไหนก็เกลียดมนุษย์ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ดาเนลเอง แวมไพร์ผู้ให้กำเนิดเธอทั้งสองตนก็ตายด้วยน้ำมือมนุษย์ ตัวเธอที่รอดมาได้ก็ได้มาพบกับเด็กสาวในวัยเดียวกัน เธอตั้งใจจะปลิดชีพเด็กคนนั้น เพราะคิดว่ายังไงก็เป็นแค่เด็กคงทำอะไรเธอไม่ได้แน่ หากแต่เด็กคนนั้นกลับยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์ พร้อมๆกับที่เข้ามาจับมือเธอไว้ และพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
     
    ‘มาเป็นเพื่อนกันนะ เราชื่อเคียร์รา แล้วเธอล่ะ’
     
    ดาเนลยิ้มเล็กๆให้กับผู้ที่อยู่ในอ้อมกอด ก่อนที่จะต้องตกใจกับอาการหายใจที่หอบถี่ของเคียร์รา กับร่างกายอันสั่นเทาของนางพร้อมๆกับเม็ดเหงื่อจำนวนมากที่ไหลออกมา ร่างสูงชั่งใจสักพักก่อนจะใช้สองแขนของตนอุ้มเธอขึ้นมาและพาเข้าบ้านพักของอันดรอยที่ไม่มีใครอยู่แล้วในทันที สิ่งที่เธอกำลังจะทำแม้จะเป็นเรื่องที่เคียร์ราไม่อาจจะให้อภัยเธอได้เธอก็ยอม อย่างน้อยมันก็สามารถทำให้เคียร์ราไม่เป็นอะไรไป...

    ……………………………………………………………………………………….

    ภายในห้องนอนเล็กๆของบ้านที่เงียบสงัดและมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่เล็ดลอดเข้ามา ดาเนล ยืนมองร่างของผู้เป็นนายที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนกายของตนเข้าไปหามือเรียวสัมผัสแผ่วเบากับใบหน้านวลที่เริ่มร้อนระอุ ร่างกายที่เริ่มรับไม่ไหวกับพลังเวทย์อันมากมายที่นางใช้มันออกมา ร่างกายที่จวนเจียนใกล้จะพังเต็มทีทั้งที่อายุยังน้อยอยู่ เธอยอมรับไม่ได้แน่หากไม่มีคนผู้นี้อยู่ข้างกาย แววตาของดาเนลค่อยๆเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นเขียวมรกรตหลังจากที่ชั่งใจกับการตัดสินใจของตัวเอง
     
    “เธอ...จะทำอะไร...เนล” เคียร์ราที่นอนหอบถี่อยู่เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบ้างอย่าง จึงค่อยๆพยายามลืมตาของเธอขึ้น ก่อนจะต้องตกใจกับสิ่งตรงหน้า ดาเนล แวมไพร์สาวที่อยู่กับตนมาแต่เด็ก กำลังจะง้างคมเขี้ยวเพื่อฝังมันลงกับร่างของเธอที่ตอนนี้ขยับเขยื้อนไม่ได้ เธอพอรู้ว่าดาเนลกำลังจะทำอะไร แต่เธอ...ไม่ต้องการ
     
    “เราขอโทษนะเคียร์รา แต่เราไม่อาจทนเห็นเธอต้องเป็นอะไรไปได้” ดาเนลใช้สองแขนของตนกดร่างของเคียร์ราที่พยายามจะขัดขืนไว้ ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนใบหน้าไปยังซอกคอขาวนั่น เธอสูดดมกลิ่นอันหอมหวานนั่นก่อนจะฝังคมเขี้ยวของตนลงทันทีอย่างไม่ลังเล
     
    “อึ๊ก...ยะ...อย่า เนล” ร่างเล็กพยายามเอ่ยออกมา หากแต่ความเจ็บที่แล่นพล่านเข้ามาทำให้เธอถึงกับต้องกัดฟันแน่น สองแขนที่ถูกดาเนลปลดปล่อยแล้วเอื้อมจับชายเสื้อของร่างเบื้องบนไว้แน่น เธอไม่เคยให้ดาเนลได้สัมผัสหรือดื่มเลือดจากลำคอ ดาเนลเองก็ไม่เคยคิดจะทำมัน ตอนนี้เองก็เช่นกัน แวมไพร์ของเธอไม่ได้ดื่มเลือดจากเธอ หากแต่กลับกัน เธอกำลัง...ถ่ายเลือด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผิดกฎต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเอง โดยเฉพาะกับมนุษย์ที่เป็นผู้ล่าอย่างเธอด้วยแล้ว ความรู้สึกแปลกๆที่เหมือนมีอะไรสักอย่างไหลเข้ามาในกาย ร่างกายที่เหมือนกับไร้เรี่ยวแรงเมื่อครู่กลับรู้สึกว่าเริ่มมีกำลังขึ้นมา แต่กลับกันเป็นดาเนลเองที่เริ่มหายใจติดขัด เคียร์ราค่อยๆโอบกอดร่างสูงเอาไว้ก่อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
     
    “พอแล้วล่ะเนล ฉันดีขึ้นแล้ว” เสียงอันเรียบนิ่ง และไม่ติดขัดอะไรแล้ว ทำให้ดาเนลค่อยๆถอนเขี้ยวของตนออกจากลำคอขาวนั่น แววตาสีดำที่จ้องมองเธอมาอย่างโกรธเคืองทำให้ดาเนลต้องหลบหน้าลง เคียร์ราค่อยๆลุกขึ้นนั่งพร้อมกับผลักร่างสูงออกไปเล็กน้อย   
     
    “เธอทำแบบนี้ทำไม”
     
    “เรา...ไม่อยากเห็นเคียร์ราต้องเป็นอะไรไป”
     
    “แล้วตัวเธอล่ะ” ดาเนลหันกลับมามองใบหน้าของผู้เป็นนายในทันที การที่เคียร์ราจะโกรธและคิดจะฆ่าเธอให้ตายเธอไม่แปลกใจเลย เพราะการถ่ายเลือดมันก็เหมือนกับว่าเลือดครึ่งหนึ่งในร่างของหญิงสาวเป็นเลือดของแวมไพร์ ใช่ถ้าตามทฤษฎีตอนนี้เคียร์ราคงมีทั้งพลังเวทย์อันมหาศาลที่เจ้าตัวมีติดตัวมาจากเหล่าตะกูลนักล่า และพลังกับความสามารถเหนือมนุษย์จากของแวมไพร์ มันไม่ต่างอะไรกับครึ่งคนครึ่งผีเลยก็ว่าได้ ห่างแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้โกรธในเรื่องนี้ ดาเนลจ้องมองเคียร์ราอย่างฉงน หากแต่ก็ต้องสะดุ้งกับคำพูดที่ดูจะปนตะคอกกลับมา
     
    “ฉันถามเธอ ตอบมาสิ ชีวิตครึ่งหนึ่งของเธอ เอามาแลกกับตัวฉันที่ใกล้ตายทำไม”
     
    “อย่างที่บอก ไม่อยากให้เป็นอะไร ไม่อยากให้ตาย” ดาเนลก้มหน้าพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ก่อนจะสะดุ้งตกใจกับสัมผัสจากนิ้วเรียวที่อยู่บริเวณริมฝีปากของเธอ เคียร์ราค่อยๆเช็ดรอยเลือดจากเรียวปากของร่างสูงตรงหน้า แววตาสีดำที่นิ่งงันเช่นเคยทำให้ดาเนลอ่านมันไม่ออกกับความคิดของคนตรงหน้า
     
    “ขอโทษที่ทำให้เคียร์ราต้องกลายเป็นครึ่งมนุษย์” ดาเนลกล่าวด้วยเสียงหม่นหลังจากที่เคียร์ราละมือออกจากเธอไปแล้ว
     
    “ตัวฉันเองมันก็ไม่เหมือนมนุษย์มาแต่แรกอยู่แล้ว” ใบหน้าของหญิงสาวหมองลง ตั้งแต่เด็กมาเธอไม่เคยมีเพื่อน เวลาเข้าใกล้ใคร เวลาเล่นกับใคร เวลาเกิดอารมณ์โมโหหรือหงุดหงิดพลังประหลาดในตัวเธอก็ส่งผลต่อคนรอบข้างเสมอ และมัน ทำให้คนอื่นกลัวเธอ คนในตะกูลเธอแก้ปัญหาโดยการจับเธอมาฝึกเพื่อควบคุมพลังที่มีอยู่ หากเธอก็ทำมันไม่ได้ จึงต้องถูกกักบริเวณ จนกระทั่งพ่อของเธอได้พาเด็กคนหนึ่งมา เด็กในวัยเดียวกับเธอที่มีแววตาสีเพลิงแห่งความเครียดแค้นชิงชังจนอยากจะฆ่าเธอให้ตาย หากแต่มันก็แฝงไปด้วยความหม่นเศร้าไม่ต่างจากเธอ และเธอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเด็กที่พ่อพามา...ไม่ใช่มนุษย์...
     
    “เคียร์รา ถ้าเราควบคุมเด็กคนนี้ได้ พ่อจะให้เราออกไปข้างนอกได้” นั่นคือคำพูดของพ่อก่อนที่ท่านจะเดินจากไป และทิ้งเด็กคนนั้นให้อยู่กับเธอเพียงสองคน เคียร์ราในวัยเด็กยิ้มออกมาอย่างยินดีให้กับเด็กตรงหน้า เพราะอย่างน้อยๆเด็กคนนี้คงเป็นเพื่อนกับเธอได้ หากแต่เธอก็ต้องหุบยิ้มลงพร้อมกับความตกใจ ที่อยู่ๆผู้มาใหม่ก็แยกเขี้ยวใส่ แถมพุ่งมาหาเธอด้วยความเร็วอย่างที่เธอไม่เคยเห็น เคียร์รายกมือขึ้นปกป้องตัวเองโดยอัตโนมัติและนั่นส่งผลให้เด็กตรงหน้าที่พุ่งเข้าทำร้ายเธอกระเด็นออกไปอีกทาง พร้อมๆกับคำสบถ
     
    “ข้าเกลียดมนุษย์ ข้าจะข้าเจ้าให้ได้” พูดเสร็จก็พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง และอีกหลายๆครั้ง แต่ก็เป็นเหมือนคราแรกจนร่างกายของตัวเองบอบช้ำเต็มทน เคียร์ราร้องไห้ออกมา เธอไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้เครียดแค้นอะไรเธอนักหนา แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากคนอื่น แม้จะไม่ได้กลัวเธอเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็เข้าหาตัวเธอไม่ได้ ไม่สิ เด็กคนนี้กำลังกลัวเธออยู่แม้จะจ้องหน้าเธอเขม็งในระยะที่ห่างพอควรหากแต่ร่างกายกลับสั่นเทา
     
    เคียร์ราปาดน้ำตาของเธอออก ชั่งใจสักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้น เด็กที่กำลังถอยล่นออกไปอย่างรู้สึกตกใจจากการที่เธอเดินเข้าไปหา ขนาดเด็กที่ไม่ใช่มนุษย์ยังหวาดกลัวเธอเลย เคียร์รายิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันเศร้าหมองก่อนจะพยายามปรับสีหน้าตัวเองให้ปกติ พร้อมๆกับที่เดินเข้าไปจับมือคนตรงหน้าไว้ และพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
     
    ‘มาเป็นเพื่อนกันนะ เราชื่อเคียร์รา แล้วเธอล่ะ’ เด็กตรงหน้าตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นร่างกายที่สั่นเทาด้วยความกลัวตอนนี้มันกลับสั่นด้วยความต้องการอะไรบางอย่างแทนจากตัวของเคียร์รา สำหรับเคียร์ราแล้วเธอเห็นแค่ใบหน้าอันแดงซ่านของคนตรงหน้า เธอเองก็รู้สึกแปลกใจกับตัวเองเช่นกัน เพราะสิ่งที่เคยพุ่งพล่านอยู่เสมอในกายเธอมันกลับสงบลงได้อย่างบอกไม่ถูก
     
    “ดะ...ดาเนล” เสียงแผ่วๆที่ปนติดๆขัดๆถูกเอ่ยออกมา สร้างรอยยิ้มอย่างยินดีให้กับเคียร์ราจนเธอลืมเรื่องที่พลังของเธอได้สงบนิ่งไปเสียสนิท หากแต่เมื่ออาการสั่นของคนตรงหน้ายังไม่หยุดจึงทำให้เคียร์รากังวลขึ้นมาอีกครั้ง
     
    “ตัวสั่นไม่หยุดเลย เป็นอะไรไปเนล อย่ากลัวฉันเลยนะ” แววตาอันเศร้าหมอง กับคำพูดแบบขอร้องที่ครอไปด้วยน้ำตา เคียร์ราเอ่ยออกมาเมื่อเห็นคนตรงหน้ายังสั่นไม่หยุด เธอเหมือนจะเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เพราะไม่ว่าใครก็กลัวเธอ ไม่กล้าเข้าใกล้เธอไปเสียหมด ดาเนลตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเธอค่อยๆปาดน้ำตาให้เด็กตรงหน้าก่อนจะเอ่ยอะไรออกมา
     
    “ข้าไม่ได้กลัว ข้าแค่...หิว” ดาเนลพูดออกมาแค่นั้น ก่อนที่เคียร์ราจะหัวเราะออกมา และตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 8 ขวบ ก็มีวันนี้แหละที่เธอหัวเราะได้ เธอไม่รู้หรอกว่าเด็กตรงหน้าเธอเป็นอะไร แต่คิดว่าน่าจะเป็นพวกผีดูดเลือด จากการเรียนรู้จากสิ่งที่ครอบครัวฝึกให้เธอแยกแยะประเภทของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ และเธอคงคิดไม่ผิด เคียร์รายื่นแขนของเธอออกไปให้กับคนตรงหน้า ซึ่งดาเนลเองก็ยืนงงกลับมา
     
    “หิวไม่ใช่หรอ ดื่มเลือดของเราสิ หรือว่าจำเป็นต้องเป็นที่คอล่ะ” .....
     
    “ขอบคุณนะ เนล ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดมา ฉันไม่สนหรอกว่าฉันจะเป็นตัวอะไร” เคียร์ราเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะขยับกายของเธอให้แนบชิดกับคนตรงหน้า ดาเนลรู้สึกกระตุกวาบที่หัวใจเมื่ออยู่ๆผู้เป็นนายก็เข้ามาสวมกอดเธอไว้ มันรู้สึก...อบอุ่น หากแต่กลิ่นกายของร่างเล็กมันก็ทำให้เธอมีความรู้สึกต้องการเช่นทุกครั้ง และเธอจะต้องหยุดมันให้ได้ เพราะเธอมีสิ่งที่เธอต้องการจะบอกกับคนในอ้อมกอดอยู่ ดาเนลชั่งใจสักพักก่อนจะเอ่ยอะไรออกมา
     
    “เคียร์รา เรา...เอ่อ...เรารักเธอ” ดาเนลเอ่ยสิ่งที่ตนคิดมาโดยตลอดด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน หากแต่คนในอ้อมกอดกลับตอบออกมาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะอย่างงั้น
     
    “ฉันรู้แล้ว แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันคิดยังไงกับเธอ” เสียงที่เรียบนิ่ง ดวงตากลมดำที่ไม่ไหวติงซึ่งบอกไม่ได้ว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร หากแต่คำพูดของเธอกลับสร้างความประหลาดใจให้ดาเนลได้ไม่น้อย
     
    “เอ๊ะ!? เอ่อ...” ด้วยความตกใจและยังไม่ได้มีโอกาสพูดอะไรต่อ เธอก็ถูกคนตรงหน้าประกบปากเสียแล้ว ครั้งแรกของพวกเธอมันช่าง...อ่อนหวานเสียเหลือเกิน ความนุ่มนวลกับสัมผัสและกลิ่นคาวเลือดมันเริ่มทำให้ดาเนลมีความรู้สึกต้องการมากขึ้น ร่างกายเริ่มสั่นเทา ทำไมกันทุกครั้งที่สัมผัสคนผู้นี้เธอถึงได้ห้ามตัวเองเสียไม่ได้ทุกครั้ง ครั้งแรกที่เจอกันก็เช่นกัน ดาเนลค่อยๆผละริมฝีปากออกก่อนจะกดคนตรงหน้าลงไปกับเตียง  
     
    “คะ...เคียร์รา...ต้องการ...เลือดไหม” ดาเนลถามออกไปด้วยเสียงอันสั่นพล่า เธอคิดว่าคนตรงหน้าอาจจะเป็นเหมือนเธอ ก็เพราะเคียร์ราได้เลือดส่วนหนึ่งไปจากเธอคงมีอาการกระหายเลือดบ้าง
     
    “ไม่รู้สิ ไม่ได้รู้สึกอยากอะไร” คำพูดเรียบๆกับแววตาที่จ้องมองมาทำให้ดาเนลถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมหญิงสาวผู้นี้ถึงมีบุคคลิกที่นิ่งสงบแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ทั้งที่เมื่อคราแรกที่เจอกันเธอยังดูยิ้มง่ายกว่านี้อยู่เลย แต่แล้วรอยยิ้มของเธอก็ปรากฎออกมาพร้อมยื่นข้อมือมาที่หน้าเธอจนดาเนลเองรู้สึกแปลกใจ 
     
    “เธอต้องการไม่ใช่หรอ” เคียร์ราจำมันได้ดี กับสัมผัสของคมเขี้ยวที่เจาะเข้ากับข้อมือของเธอในครั้งแรก มันเจ็บแต่ก็รู้สึกดีทุกครั้ง สัมผัสที่ดาเนลส่งมามันไม่เคยมีความรู้สึกที่ป่าเถื่อนของสัตว์ร้ายที่หิวกระหายเลย ดาเนลหน้าแดงซ่านกับการกระทำของเคียร์รา ก่อนที่ตนจะพูดอะไรบางอย่างออกไป
     
    “เอ่อ...ปะ...เปลี่ยนที่ ได้ไหม” เคียร์ราเลิกคิ้วให้กับคำถามนั่น ก่อนจะรับรู้ว่าดาเนลหมายถึงอะไรจากแววตาที่มองจ้องมายังลำคอของเธอ เคียร์ราพยักหน้าเบาๆ เธอรู้สึกว่าตัวเธอเองหน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกร้อนวูบเมื่อดาเนลค่อยๆเคลื่อนใบหน้าลงมา ดวงตาสีเขียวมรกรตจับจ้องอยู่ที่รอยเขี้ยวสองรอยที่เธอฝากไว้เมื่อครู่ ก่อนที่เรียวลิ้นจะสัมผัสเข้าที่คราบของเหลวสีแดงที่ยังคงอยู่บริเวณลำคอ มันไม่ใช่เลือดของเธอที่ถ่ายให้กับร่างเล็กเมื่อครู่หรอก หากแต่เป็นโลหิตจากกายของเคียร์ราเองที่ไหลรินออกมาจากการถูกฝังเขี้ยวลงไป
     
    ทำไมถึงขอเปลี่ยนเป็นบริเวณนี้น่ะเหรอ ดาเนลรู้เพียงว่าบริเวณลำคอรสชาติของเครื่องดื่มมันจะหอมหวานกว่าบริเวณอื่นเป็นไหนๆ เลือดที่ได้จากเข็มบริจาคที่เคียร์ราให้เธอเพื่อประทังชีวิต มันไม่เคยอร่อยเท่ากับได้จากที่กายของมนุษย์เลยสักครั้ง และเธอชอบรสเลือดจากกายของเคียร์รามากที่สุดถ้าเทียบกับมนุษย์คนอื่นที่เธอเคยแอบนักล่าผู้นี้ลิ้มลองมัน ดาเนลยังไม่ได้ฝังเขี้ยวของเธอเข้ากับลำคอของคนเบื้องล่างหากแต่ เธอกำลังดูดดุนของเหลวจากรอยเมื่อครู่ และนั่นมันทำให้ผู้เป็นนายของเธอครางออกมา เคียร์รากำคอเสื้อของร่างสูงไว้แน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันสั่นพร่า
     
    “ยะ...อย่าเล่นสิ...เนล” ดาเนลถอนริมฝีปากจากลำคอขาวนั่น ก่อนจะยิ้มนิดๆให้กับร่างที่นอนหอบเล็กๆอยู่
     
    “ข้ารักท่าน เคียร์รา” สรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองของดาเนลถูกเปลี่ยนไป แววตาสีมรกรตจับจ้องดวงเนตรของผู้เป็นนายไม่ไหวติง เคียร์รารับรู้มันได้ เธอค่อยๆปิดเปลือกตาของเธอลงเพื่อรอรับสัมผัสจากคนตรงหน้า ร่างสูงค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไป จุมพิตที่อ่อนนุ่มและเนิ่นนานถูกถ่ายทอดความหวานให้แก่กัน กลิ่นคราวเลือดจากกายของหญิงสาวมันทำให้เกิดความรัญจวนใจยิ่งนักสำหรับดาเนล ร่างสูงค่อยๆถอนริมฝีปากออกมาก่อนจะเปลี่ยนไปเคล้าคลึงยังที่อื่น และบริเวณซอกคอขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราวเลือดคือสิ่งที่เธอปรารถนา
     
    เคียร์รากัดฟันแน่นอีกครั้งเมื่อเนื้อกายของเธอถูกคมเขี้ยวฝังลงไป ณ จุดเดิม ความรู้สึกปรวนแปรอย่างบอกไม่ถูกแตกต่างจากครั้งแรก ของเหลวภายในกายที่เหมือนจะไหลเวียนแบบแปลกๆไปทั่วร่างมันชั่งกลับกันกับเมื่อครู่โดยสิน เธอเหมือนกำลังจะหมดแรงลงได้ทุกเมื่อ บอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่มันแตกต่างนักกับตอนที่ดาเนลลิ้มรสเลือดจากข้อมือเธอ เหมือนกับว่า เธอกำลังตกเป็นของๆคนตรงหน้า แต่มันจะเป็นไรไปเล่าในเมื่อเธอเองก็...รักคนผู้นี้...มาโดยตลอด แต่ในฐานะของเธอที่เป็นผู้ล่า มันไม่มีทางที่คนในตระกูลเธอจะยอมรับมันได้แน่ และดวงตาสีดำของเธอกำลังจะปิดลง
     
    ดาเนลเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อแขนเรียวที่เคยโอบรอบคอเธออยู่หลุดล่วงไป คมเขี้ยวถูกถอดถอนออกจากกายของหญิงสาวในทันทีอย่างตกใจ เธอปลดปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระและจ้องมองเธอที่กำลังหายใจถี่ด้วยแววตาสำนึกผิด เธอรู้สึกดีมากกับโลหิตที่ได้รับในครั้งนี้อย่างไม่เคยเป็นจนถึงกับเผลอไผลลิ้มลองมันอย่างต่อเนื่อง และมัน ทำให้หญิงสาวที่เธอรักมากต้องทรุดลงอีกครั้ง
     
    “อย่า...ทำหน้า...แบบนั้นสิ เนล...ฉันรู้สึกดีนะ ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆ ฉันเองก็...รักเธอ” เคียร์ราค่อยๆกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่ดูฝืนๆหากแต่มันกลับสดใสในความรู้สึกของผู้มอง อีกทั้งคำบอกรักนั่นก่อนที่เธอจะหลับไป มันทำให้หัวใจของดาเนลกระตุกวาบจนอยากจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นเลยทีเดียว เธอมองหญิงสาวที่หลับไปแล้วด้วยแววตาที่มีความรู้สึกต่างๆมากมาย ลมหายใจเข้าออกที่ดูจะกลับมาปกติแล้วของนางมันทำให้ดาเนลรู้สึกโล่งใจ มือเรียวถูกยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าเนียนนุ่มแผ่วเบาก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปที่เรียวปากอุ่นนั่นเบาๆ
     
    “ข้าจะคอยอยู่กับท่านตลอดไป เคียร์รา” ....
     
    ……………………………………………………………………………………….

    จบตอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×