ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The triple memory บันทึกเรื่องราวแห่งเพื่อนทั้งสาม

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24
      0
      14 ต.ค. 54

    1

                    ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่สามารถมองเห็นแม้แต่ปลายนิ้วของตนได้ ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินเป็นประกายหลับตาพริ้มลอยอยู่กลางภาชนะแก้วใสที่บรรจุของเหลวสีมรกตเรืองแสงงดงาม รอบภาชนะแก้วใสยังมีอักขระเวทสีมรกตเจือดำหมุนวนรอบภาชนะ ดูแล้วงดงามไม่น้อยเลยจริงๆ...

                    แต่น่าแปลกที่ชายหนุ่มไม่มีทีท่าขาดอากาศหายใจแม้จะอยู่ในน้ำ...

                    ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินก็ยังคงหลับตาพริ้มลอยอยู่กลางกระจกแก้วใสอยู่อย่างนั้น...

                    ทันใดนั้นเส้นแสงสีขาวสายหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นเป็นวงเวียนแล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นทีละน้อยจนเกิดเป็นรูปร่างของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีเงินยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีท้องฟ้าจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มในภาชนะแก้วใส ท่าทางดูเด็ดเดี่ยวเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างมาเรียบร้อยแล้ว

    “โอ...นี่ทิลสินะ” ชายหนุ่มร้องขึ้น มองสำรวจรูปร่างทิลในภาชนะแก้วใส เรือนผมสีเงินเป็นประกายเช่นเดียวกับเขา ผิวพรรณขาวซีดราวกับไม่ได้ออกแดด ใบหน้าคมคายดูหล่อเหลาได้รูป... แต่ถ้ามองดูดีๆจะพบว่าเค้าหน้าของทิลและตัวเขาเองช่างเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

                    ชายหนุ่มถอดถุงมือขวาของตนเองออก เผยให้เห็นถึงสัญลักษณ์สีเลือดกลางฝ่ามือของเขา ชายหนุ่มยื่นมือออกไปพลางร่ายคาถาสั้นๆออกมาหนึ่งบท

                    อักขระเวทสีมรกฎที่วนไปมาหน้าภาชนะพลันหยุดลงเมื่อชายหนุ่มออกปากร่ายคาถา แล้วเมื่อถึงบทสุดท้ายอักขระเวทก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางความมืดมิด ราวกับมีแสงไฟสีมรกตส่องประกายไปทั่วความมืด

                    เมื่ออักขระเวทหายไป ภาชนะแก้วใสก็ดูเหมือนจะเริ่มแตกร้าวขึ้นในทันที น้ำสีมรกตเริ่มทะลักกรูออกมาด้านนอกทีละน้อยจากนั้นก็เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆจนภาชนะแตกออกเป็นเสี่ยงๆเช่นเดียวกับอักขระเวท

                    เด็กหนุ่มร่างไหวลงตามเศษกระจกของภาชนะ ชายหนุ่มที่ยืนรอรับอยู่แล้วจึงสามารถรับร่างของเด็กหนุ่มได้อย่างแม่นยำ

                    “...ถ้านายหลับแบบนี้ต่อไปคงจะดีมากกว่าเวลาที่นายตื่นสินะ...” ชายหนุ่มลอบยิ้มบางๆพลางสัมผัสใบหน้าขาวของทิลอย่างแผ่วเบา

                    นัยน์ตาสีท้องฟ้าที่ดูเด็ดเดี่ยวเมื่อครู่ฉายแววเศร้าสร้อยและอบอุ่นออกมาเป็นครั้งแรก เขาพูดต่อว่า “ถึงแม้ฉันจะช่วยนายจากเสด็จพ่อไม่ได้... แต่ก็ขอให้ฉันทำอะไรเพื่อนายสักอย่างก็แล้วกันนะ”

                    ชายหนุ่มกอดร่างทิลไว้แน่น มือขวาชูสองนิ้วยกขึ้นสูงร่ายอักขระเวทสีมรกตอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลออกมามากมาย 

                    ที่จริงเวทมนต์ไม่จำเป็นต้องร่ายอักขระเวท... แต่เพราะอักขระเวทที่เขาร่ายเป็นศาสตร์ของเวทชั้นสูง การร่ายเวทชั้นสูงโดยมือเปล่าๆนั้นถือว่ายากและกินแรงสำหรับผู้ร่ายเป็นอย่างมาก... แต่ข้อดีของการไม่ร่ายอักขระเวทก็คือความรวดเร็ว

                    แต่ในเวลานี้เขาไม่ต้องการความเร็ว สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือการไม่ล้มเหลว!

                    “ข้าไทน์ ครอส ทายาทแห่งกษัตริย์ครอสองค์ที่เก้า...ธาตุแห่งตระกูลของข้าเอ๋ยโปรดรับฟังคำขอของข้า...” อักขระเวทสีมรกตหมุนวนรอบตัวชายหนุ่มจนเกิดเป็นพื้นที่เรืองแสงในที่ๆชายหนุ่มอยู่

                    “โปรด...” ชายหนุ่มหยุดชะงัก นี่คือมนตราของเสด็จพ่อ แน่นอนว่าไม่ว่าเขาจะขอร้องสักแค่ไหนก็ไม่มีทางได้ผล... และยิ่งเป็นเรื่องของทิลนี่อีก!

                    “ฉันต้องการตัวทิล!” ไทน์ตะโกนขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไรฉันก็จะพาตัวเขาออกไปให้ได้! เขาก็เปรียบเสมือนครอบครัวของฉัน! เขาคือน้องชายของฉัน!”

                    อักขระเวทที่หมุนรอบตัวชายหนุ่มหมุนเร็วขึ้นจนมองเห็นเพียงแค่ลำแสงสีมรกตสายหนึ่ง ถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าเมื่อชายหนุ่มเอ่ยถ้อยคำเมื่อครู่ ลำแสงสีมรกตจะค่อยๆทวีแสงสีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนไทน์ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ แค่สามารถปรือตาขึ้นได้หน่อยก็นับว่าเก่งมากแล้ว

                    “ฉันเข้าใจว่าแกไม่ยอม ฉันรู้อยู่แล้ว... แต่...เพียงแค่นิดเดียว... ขอให้เขาได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป... จากนั้นฉันจะส่งเขากลับไปทำภารกิจที่ท่านพ่อมอบหมายไว้! แกเองก็รู้ดีนี่ว่าตอนนี้เจ้าหมอนี่มันพร้อมเรียบร้อยแล้ว! ในเมื่อพร้อมแล้วแต่ยังไม่ถึงเวลาแล้วทำไมไม่ให้เจ้าหมอนี่ใช้ชีวิตแบบคนปกติบ้างเล่า!”

                    นัยน์ตาสีท้องฟ้าของไทน์สั่นระริก เขารู้ดีว่าที่เขาพูดไปมันเปล่าประโยชน์... แค่เขาพังภาชนะบรรจุทิลก็ทำให้ธาตุศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลของเขาโกรธเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว... แล้วนี่ยังมาขออะไรลมๆแล้งๆอีก...

                    ...รับคำขอ...

                    ไทน์เบิกตากว้าง นึกไม่ถึงจริงๆว่าทำไมธาตุศักดิ์สิทธิ์ถึงยอมเขาเช่นนี้

                    ...ถึงแม้ข้าจะต้องการความปรารถนาเช่นเดียวกับเจ้า... แต่เขาก็ยังคือเขา... เขายังคงไม่รู้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตเช่นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ...

                    “ไม่เป็นไร! ถ้าเขาได้รู้จักถึงชีวิตของโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะปิศาจหรือตัวบ้าอะไรก็ย่อมสามารถใช้ชีวิตดั่งมนุษย์ได้ทั้งนั้น!”

                    ...แต่ข้าไม่สามารถทรยศต่อคนผู้นั้นได้... จึงจำเป็นต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

                    ไทน์ยิ้มกว้าง ปกติแล้วการที่จะสามารถคุยกับธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้ต้องเป็นคนในตระกูลเท่านั้น และว่ากันว่าไม่เคยมีใครขออะไรจากธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้เลย ถ้าสิ่งที่ปรารถนาไม่มีเหตุผลพอหรือธาตุศักดิ์สิทธ์ไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือ... แต่จะมีเพียงคนเดียวคือผู้ที่เคยได้ทำประโยชน์ให้เท่านั้นที่จะสามารถขอในสิ่งที่ปรารถนาได้โดยที่ไม่ต้องใช้เหตุผลหรือความพอใจของธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้สามข้อ...

                    แต่เขาไม่เคยได้ทำประโยชน์อะไรให้เลยแม้แต่น้อย แถมนี่เขาเพิ่งจะเคยคุยกับธาตุศักดิ์สิทธิ์แบบนี้เป็นครั้งแรกอีก... แค่ขออะไรได้อย่างเดียวก็นับว่าบุญแล้ว!

                    “อะไรล่ะ! ไม่ว่าอะไรฉันก็ให้ได้อยู่แล้ว!”

                    ข้าต้องการความอิสระของเจ้า... เจ้าจะไม่สามารถออกไปไหนได้นอกจากมิตินี้

                    ไทน์เบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริก อาจเป็นเพราะเขานึกไม่ถึงว่าการจะช่วยทิลนั้นเปรียบเสมือนการทำร้ายตัวเองไปในตัวด้วย ดังนั้นเขาย่อมตกใจเป็นธรรมดา...

                    ในเมื่อเจ้าต้องการให้เขาเป็นอิสระ เจ้าก็จงมอบอิสระของเจ้ามาให้ข้า แล้วเขาก็จะใช้ชีวิตปกติเช่นเจ้า

                    “…หมายความว่าฉันจะไม่มีวันเจอทุกคนอีกต่อไปสินะ...” นัยน์ตาสีท้องฟ้าทอประกายบางอย่าง ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มฉายแววเจ็บปวดถึงที่สุด ถ้าเขาไม่ห่วงมาดไม่แน่ว่าหยาดน้ำตาอาจไหลรินลงมาแล้วก็เป็นได้

    “ได้! แต่... ฉันขอสั่งเสียอะไรบางอย่างกับคนๆหนึ่งก่อน...จะได้ไหม...”

                    ...

     

                    “ทิล วันนี้เราไปกินข้าวกันนะ”

                    “ไปกินกับฉันเถอะ!”

                    ฉันด้วย!”

                    “…” ผมระบายยิ้มบางๆให้สุภาพสตรีที่รายล้อมโต๊ะผมจำนวนมาก บางครั้งผมก็คิดว่าผู้หญิงเป็นเพศที่มีความกล้าสูงเป็นพิเศษ... ไม่นั้นจะมาชวนผมกินข้าวแบบนี้หรือ

                    “ขอโทษนะทุกคน ผมจะไปกินกับ...”

                    “ฮาเซลสินะ ทิลกินกับฮาเซลทุกวันเลย” หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ

                    “นั่นสิ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิ!”

                    “…ไม่ล่ะ ไว้คราวหน้าละกันนะทุกคน” ผมระบายยิ้มอบอุ่นอีกครั้งแล้วถือโอกาสปลีกตัวออกมาในขณะที่หญิงสาวกลุ่มนั้นกำลังเหม่อ

                    เพศหญิงเป็นเพศที่บางครั้งก็ดูใจกล้า เข้มแข็ง น่าทะนุถนอม และที่สำคัญ...น่ารำคาญเป็นบางคน... ขอย้ำ บางคน ไม่ใช่ทุกคน

                    เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ผมมักจะอ้างชื่อฮาเซลเสมอ เพราะไม่ว่าใครที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเนไมท์แห่งนี้ต่างรู้ดีว่าฮาเซลเป็นคนที่น่ากลัวและเก่งกาจที่สุดในมหาวิทยาลัยเนไมท์ หรือเรียกได้ว่าเป็นพวกป่าเถื่อนนั่นเอง

                    มีหลายๆ คนที่ไม่ชอบหน้าฮาเซล แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา คงเพราะเพียงแค่เห็นนัยน์ตาสีเลือดที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดโมโหของเจ้าตัวก็กลัวกันหัวหดแล้วล่ะมั๊ง...

                     ระหว่างทางผมได้ยินเสียงตะโกนร้องเจ็บปวดแสนสาหัตดังออกมาจากอาคารหรูด้านหน้าที่มีป้ายขนาดฝ่ามือตัวเล็กๆติดบนผนังอิฐว่าแผนกนักรบ

                    ผมยืนนิ่ง เดินไปพิงตัวกับพนังอิฐข้างๆป้าย แล้วฟังเสียงร้องครวญครางเล่นราวกับว่ามันเป็นเสียงเพลงอันไพเราะ... ไม่ถูกสิ ผมฟังจนชินแล้วมากกว่า

                    ผ่านไปหลายสิบนาที เสียงร้องครวญครางก็เงียบลง... ผมชะโงกหน้าเข้าไปในประตูอาคารโบ๋ๆแล้วเอ่ยปากทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

                    “เป็นไง! ได้แผลมารึเปล่าเอ่ย?”

                    “...ทิล”

                    “ตกใจล่ะสิ!”

                    เปล่าสักหน่อย” ฮาเซลโบ้ยหน้าไปทางอื่นแล้วเดินผ่านผมไป

                    “ตกลงได้แผลมารึเปล่าน่ะ...” ผมเดินตามพลางมองสำรวจฮาเซล ปกติแผลฮาเซลก็เยอะอยู่แล้ว มีทั้งที่ต้นแขน ฝ่ามือทั้งสอง หน้าอก ต้นขา... และแผลเล็กน้อยอื่นๆที่ถูกติดด้วยด้วยพลาสเตอร์ยาแทนผ้าพันแผลดังนั้นการจะหาบาดแผลที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่นั้นไม่ง่ายเลย

                    “ไม่มี”

                    “...หงุดหงิดอะไรของนายน่ะ” ถึงปกติจะหงุดหงิดเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วก็เถอะ

                    “ไม่ได้หงุดหงิด” ฮาเซลกัดฟันพูด

                    “นายหงุดหงิดนะ”

                    “ก็บอกว่าไม่ได้หงุดหงิดไงเล่า!” ฮาเซลหยุดเดินหันมาตะคอกใส่ผมอย่างเดือดดาล นัยน์ตาสีเลือดฉายแววอันตรายอย่างน่าสยดสยอง

                    “...ก็ได้ นายไม่ได้หงุดหงิดก็ได้”

                    ฮาเซลถอนหายใจแล้วเริ่มเปิดปากเล่า “เมื่อกี้ฉันไปมีเรื่องเพราะคนพวกนั้นไม่ชอบตาของฉัน”

                    “ตา?” อีกแล้วเหรอ

                    “พวกนั้นหาว่าตาของฉันเป็นสีเลือดสด... หาว่าฉันเป็นอมนุษย์”

                    “...” ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ฮาเซลเคยมีเรื่องเพราะเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

                    “...แค่นั้นแหละ”

                    “ตานายเหมือนสีเลือดจริงๆนั่นแหละ” ผมจ้องนัยน์ตาสีเลือดของฮาเซลแล้วพูดต่อ “แต่ฉันว่ามันสวยดีออก อย่างน้อยมันก็ดูน่าเกรงขามล่ะน่า!

                    ผมคิดว่าคำปลอบของผมคงจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่นัก ฮาเซลเลยถอนหายใจเบาๆแล้วหยิบกระดาษพับแผ่นเล็กออกมาให้ผม

                    “อะไรน่ะ” ผมครางสงสัยพลางกางออกอ่าน

                    แต่ผมยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากออกเสียง ฮาเซลก็พูดแทรกเสียก่อน “สอบไง... คราวนี้สอบเป็นกลุ่มเจ็ดคน”

                    “เจ็ดเหรอ?”

                    “ดูนี่ด้วย” ฮาเซลว่าพลางเอื้อมมือสัมผัสกระดาษตำแหน่งตราวงเวทสีม่วงบนหัวกระดาษ ภาพเรืองแสงสีฟ้าพลันฉายวูบตรงหน้าผมเป็นรูปใบหน้าคนจำนวนสิบคนพร้อมรายชื่อใต้ภาพและตราสัญลักษณ์ของแต่ละแผนก

                    “แต่ใครที่ได้อยู่กลุ่มกับคนสิบคนนี้จะมีสมาชิกแค่สาม... เพราะเจ้าพวกนี้ส่วนใหญ่มันเก่งกว่าคนอื่นๆมาก”

                    “...นายเองก็อยู่ในนั้นนี่” ผมชี้ไปที่ภาพชายผู้มีผมสีม่วงนัยน์ตาสีเลือดบนจอเรืองแสงแล้วหันมาหาฮาเซล

                    “...”

                    “แล้วจะเอาใครอีกคนดีล่ะ?”

                    “นายเลือกไม่ได้หรอก คราวนี้ผู้คุมจะเลือกให้เอง... นายทำอะไรไม่ได้หรอก”

                    “อะไรกัน! ไม่เอานะ!” ผมอ้าปากค้าง ทุกๆปีผมก็สอบกับฮาเซลมาตลอด! ถ้าแยกไปเจอใครก็ไม่รู้มีหวังผมได้ตกกันพอดี!

                    ยังไม่ทันรู้วิธีสอบก็ไม่เอาแล้วรึไง?” ฮาเซลถอนหายใจ “คราวนี้ต้องสอบรับภารกิจนอกสถานที่ตามความสามารถของสมาชิกในกลุ่ม... ใช้เวลาสอบเป็นเดือนเลยล่ะ”

                    “หา!” ไม่เอานะ... แบบนี้ผมก็สอบตกน่ะสิ!

                    ถ้านายไม่ได้อยู่ในกลุ่มสิบคนนี้นายก็จะไม่ได้รับภารกิจยากหรอก”

                    ฮาเซลพูดจบก็เดินต่อไปโดยไม่สนใจผมอีกเลย... แต่เดี๋ยวสิ นี่กะจะปล่อยให้ผมสอบตกใช่ไหมเนี่ย! ปกติแล้วเวลาสอบผมมักจะ...จะ... ปล่อยให้ฮาเซลทำอยู่คนเดียว...เลยไม่รู้วิธีการสอบอะไรสักเท่าไหร่

                    จะหาว่าผมไม่ช่วยก็ไม่ได้นะ เพราะเมื่อได้รับภารกิจปุ๊บ ผ่านไปวันหนึ่งฮาเซลก็จะทำภารกิจเสร็จปั๊บโดยที่ผมยังไม่ทันที่จะปรึกษาตกลงอะไรเลยด้วยซ้ำ...

                    “ยืนบื้ออะไรอยู่ทิล”

                    “อ้อ โทษที” ผมสะดุ้งโหยงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่ผมกำลังเหม่อ ผมวิ่งเหยาะๆตามฮาเซลที่อยู่ข้างหน้าไป แต่ไม่ทราบว่าเพราะผมไม่ทันระวังหรือไร จึงวิ่งไปชนกับเด็กสาวตัวเล็กด้านหน้าเข้าอย่างจัง

                    โครม!

                    อูย...” ผมรีบลุกขึ้นนั่งลูบหัวตัวเองป้อยๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาว แต่เมื่อสบตากับนัยน์ตาสีทองคู่สวยนั้นแล้ว ร่างของผมทั้งร่างก็พลันกระตุกวูบ

                    “...” นัยน์ตาสีทองกลมโตจ้องค้อนผม ใบหน้าบึ้งตึงแสดงถึงอารมณ์ฉุนเฉียวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เรือนผมสีรัตติการสยายยาวยุ่งเหยิงถึงกลางหลัง

                    น่าแปลกที่ผมไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตาสีทองกลมโตคู่นั้นได้เลย... ทั้งๆที่ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้จัดอยู่ในข่ายงดงามดั่งเทพธิดาแท้ๆ

                    “จ้องอะไรยะเจ้าบ้า! ตกหลุมรักฉันรึไงฮะ?”

                    “...”

                    “ขอโทษสักคำก็ไม่มี ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้มารยาทเสียจริง!”

                    ขอโทษ”

                    “ฮึ!” เด็กสาวเชิดหน้าใส่แล้วเก็บกระเป๋าสะพายใบใหญ่บนพื้นออกตัวเดินจากไป

                    ผมมองเด็กสาวที่เดินห่างออกไปด้วยอาการอึ้งค้าง “...ความรู้สึกนี้มัน...อะไร...กัน”

                    “รักแรกพบ?”

                    “ไม่ใช่เฟ้ย!” ผมเงยหน้าค้อนใส่ฮาเซลที่เข้ามาตอบกะทันหัน

                    “แล้วนายจ้องหน้าเธอทำไมกันเล่า”

                    “ก็...มันมีความรู้สึกแปลกๆน่ะ จะเรียกว่าคุ้นเคยก็ได้มั๊ง”

                    “คุ้นเคย?” ฮาเซลทำหน้าสงสัยกับคำพูดผม ที่จริงผมก็อยากจะอธิบายให้เขาเข้าใจหรอกนะ... แต่จะทำไงได้เล่า ก็นี่มันเป็นเรื่องที่ทั้งๆที่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนี่

                    “คงเป็นคนที่เดินผ่านแล้วเห็นหน้านั้นล่ะ” ผมตอบส่งๆ แล้วชวนฮาเซลไปทานอาหารมื้อกลางวันต่อโดยที่ผมไม่รู้เลยว่า...

                    นี่คือจุดเริ่มต้นของชะตาชีวิตที่เปลี่ยนไปของผม...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×