ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สังคม

    ลำดับตอนที่ #5 : ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยกรุงธนบุรี กับ ประเทศเพื่อนบ้าน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 729
      0
      14 ธ.ค. 53


    ความสัมพันธ์กับอาณาจักรล้านนา
    ไทยพยายามขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาได้สำเร็จ แต่ไม่สามารถรักษาล้านนาไว้ได้ เพราะเมื่อทัพกรุงธนบุรีออกจากล้านนา ทัพพม่าก็เข้ามาคุกคามล้านนาอีก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคงทรงพิจารณาเห็นว่าล้านนาเป็นเมืองซึ่งพม่าใช้เป็นฐานทัพเสมอ ทุกครั้งที่พม่ายกทัพมาตีเมืองไทย ทุกครั้งที่พม่ามารบไทย ก็ใช้ล้านนาเป็นคลังเสบียงอาหาร จึงต้องทรงยกทัพไปตีเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2317 หลังจากนั้นล้านนาก็เป็นอิสระ โดยมีกรุงธนบุรีคุ้มกันอยู่

    ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู
    หัวเมืองมลายู ได้แก่ เมืองปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน และ ตรังกานู เคยเป็นเมืองขึ้นของไทยมาตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา เพิ่งมาแยกตัวเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก เมื่อปี พ.ศ.2310 ส่วนเมืองปัตตานี และ ไทรบุรี ในตอนต้นสมัยกรุงธนบุรีนั้น ยังสวามิภักดิ์อยู่ เพิ่งมาแข็งข้อทีหลัง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตีได้เมืองนครศรีธรรมราช สงขาล พัทลุง แต่มิได้ยกทัพไปตีเมืองมลายู มีแต่คิดอุบายให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราชไปยืมเงินเมืองปัตตานี และไทรบุรี สำหรับที่จะซื้อเครื่องศัตราวุธเมืองละ 1,000 ชั่ง เพื่อหยั่งท่าทีพระยาไทรบุรี และ พระยาปัตตานี ดูว่าจะทำประการใด แต่ทั้งสองเมืองไม่ยอมให้ขอยืม สมเด็จพระเจ้าตากสินก็มิได้ทรงยกทัพไปตี เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า ขณะนั้นเป็นการเกินกำลังของพระองค์ที่จะยกทัพไปปราบ จึงปล่อยให้หัวเมืองมลายูเป็นอิสระ

    ความสัมพันธ์กับอาณาจักรล้านช้าง
    สมัยล้านช้างแตกพักพวก ในสมัยนั้นอาณาจักรล้านช้าง ได้แบ่งเป็น 3 อาณาจักร ได้แก่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และ จำปาศักดิ์ สาเหตุ เนื่องจากล้านช้างมีบันหาพายในราชวัง ล้านช้างได้แตกพักพวก จิ่งเกีดมี 3 อาณาจักร ที่ขัดแย้งกัน ทำให้อาณาจักร ล้านช้างอ่อนกำลังลง พระเจ้าตากสินได้ท่า ก็เลียหาขอ้อ้างทำศึกกับล้านช้าง การทำศึกเกิดขึ้นจากการทำศึก 2 ครั้ง ดังนี้
    - การตีเมืองจำปาศักดิ์ในปี พ.ศ.2319 สาเหตุเนื่องจากพระยานางรอง(คาดว่าเมืองนครนายก) เกิดขัดใจกับ เจ้าเมืองนครราชสีมา จึงคิดกบฏต่อไทย ไปขอขึ้นกับ เจ้าโอ เจ้าเมืองจำปาศักดิ์ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาจักรีไปปราบ เจ้าเมืองนางรองถูกจับประหารชีวิต ทำให้เมืองจำปาศักดิ์ เมืองอัตตะปือ และ ดินแดนตอนใต้ของประเทศลาวตกลงมาเป็นของไทย
    หลังจากจบศึก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรณาโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาจักรี เป็น สมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหึมา ทุกนัคราระเดช นเรศวรราชสุริยวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมุหนายก นับเป็นการพระราชทานยศสูงที่สุดเท่าที่เคยมี
    - การตีเมืองเวียงจันทน์ในปี พ.ศ.2321 พระวอ เสนาบดีของ เจ้าสิริบุญ สาร เกิดวิวาทกับเจ้าสิริบุญสาร เจ้าผู้ครองนครเวียงจัทน์ พระวอจึงหนีมาอยู่ที่ ตำบลดอนมดแดน จังหวัดอุบลราชธานี และ ขอสวามิภักดิ์ต่อไทย เจ้าสิริบุญสารได้ส่งกองทัพมาปราบ และจับพระวอฆ่าเสีย สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงส่ง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และ พระยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ ขณะที่ไทยยกทัพไปนั้น เจ้าร่มขาว เจ้าผู้ครองหลวงพระบางมาขอสวามิภักดิ์ต่อ ไทย และส่งกองทัพมาช่วยตีเวียงจันทน์ด้วย เจ้าสิริบุญสารสู้ไม่ได้จึงหลบหนีไป สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงได้อัญเชิญ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร กับ พระบาง ซึ่งประดิศฐานอยู่ที่เวียงจันทน์กลับมากรุงธนบุรีด้วย

    ความสัมพันธ์กับกัมพูชา
    กัมพูชาเป็นเมืองขึ้นของไทยมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก กัมพูชาก็ตั้งตนเป็นอิสระ แต่ครั้นเวลาล่วงมา 2 ปี กัมพูชาก็เกิดจลาจลขึ้น สมเด็จพระนารายณ์ ราชา(นักองตน) กษัตริย์กัมพูชาในขณะนั้นเกิดการแย่งอำนาจกันขึ้นกับ สมเด็จ พระรามราชา(นักองนน) พระมหาอุปราช พระนารายณ์ราชาขอกำลังจากญวนมาช่วยปราบ สมเด็จพระรามราชาสู้ไม่ได้ จึงหนีมาขอความช่วยเหลือจากไทย
    ครั้งแรกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเห็นโอกาสอันดีที่จะได้กัมพูชามาเป็นเมืองประเทศราชของ ไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดฯให้ส่งพระราชสาสน์ไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา โดยมีใจความว่า บัดนี้ กรุงศรีอยุธยาได้กลับเข้า สู่ภาวะปกติแล้ว ให้กรุงกัมพูชาจัดส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองพร้อมเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวาย ตามราชประเพณีดั่งเดิม แต่กัมพูชาตอบปฏิเสธ โดยอ้างว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมิใช่เชื้อสายพระมหากษัตริย์อยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกริ้วมาก
    จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระยาอภัย รณฤทธิ์(ทองด้วง) และ พระยาอนุชิตราชา(บุญมา) เป็นแม่ทัพใหญ่ไปตีเมืองเสียมราฐ กับให้พระยาโกษาธิบดี เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองพระตะบองอีกทัพหนึ่ง ขณะที่ไทยตีได้เมืองเสียมราฐ พระตาบอง โพธิสัตว์ และกำลังจะเข้าตีเมืองพุทไธเพชร(บันทายเพชร) นั้น กัมพูชาก็ได้ปล่อยข่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสวรรคตแล้วที่เมืองนครศรีธรรมราช ระหว่างเสด็จตีเมืองนครฯ กองทัพไทยจึงต้องยกทัพกลับไปกรุงธนบุรี
    ครั้งถึงปี พ.ศ.2314 หลังจากปราบชุมนุมทั้งหมดเสด็จแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ไปตีกัมพูชาอีกครั้ง มี เจ้าพระยาจักรี(ทอง ด้วง) เป็นแม่ทัพใหญ่ยกออกไปทางเมืองปราจีนบุรี พาสมเด็จพระรามราชาไปด้วย สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงคุมทัพเรือ มีพระยาโกษาธิบดี เป็นแม่ทัพหน้าทะเล ยกเข้าไปตีเมืองกำพงโสม บันทายมาศ และ พนมเปญ ได้ตามลำดับ ในขณะที่ทัพบกได้เมือง พระตะบอง โพธิสัตว์ บริบูรณ์ และ พุทไธเพชร ซึ่งทำให้กัมพูชาตกมาเป็นของไทยตามเดิม
    ส่วนสมเด็จพระนารายณ์ราชา หลังจากทรงพ่ายศึก จึงได้หนีไปพึ่งญวน แต่ต่อมากลับขอคืนดีด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงได้ทรงสถาปนา พระรามราชา ขึ้นเป็นกษัตริย์ของกัมพูชา ให้พระนารายณ์ราชา เป็นพระมหาอุปโยราช และ นักองธรรม เจ้านายอีกองค์หนึ่งเป็น เป็นพระมหาอุปราช
     ครั้นต่อมาในปี พ.ศ.2323 กัมพูชาเกิดจลาตลขึ้นมาอีก เพราะมีคนแอบฆ่าพระมหาอุปราช พระมหาอุปโยราชก็ได้เป็นโรคสิ้นชีวิดลงเสียอีกองค์หนึ่ง ทำให้เหล่าขุนนางระแวงซึ่งกันและกัน โดยเข้าใจว่าสมเด็จพระรามราชาเป็นผู้บงการฆ่าเจ้านายทั้ง 2จึงสมคบคิดกันกอกบฏขึ้น จับสมเด็มพระรามราชาไปถ่วงน้ำเสีย และอัญเชิญให้ นักองเอง พระชนมายุได้เพียง 4 พรรษา พระโอรสในพระมหาอุปโยราชขึ้นครองราชย์แทน โดยมี ฟ้าทะละหะ (มู) ขุนนางผู้ใหญ่ เป็นผู้สำเร็จราชการ
    หลังจากนั้น กัมพูชาได้หันไปพึ่งญวนอีก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก(ทองด้วง) ถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าพระ ยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพหน้า และ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ เป็นกองหนุนร่วมเสด็จไปปราบด้วย แต่ขณะที่กองทัพไทยกำลังจะตีกัมพูชาอยู่นั้น ก็มีข่าวว่า ได้เกิดการกบฏในกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่จึงต้องเลิกทัพกลับไปปราบกบฏที่กรุงธนบุรี
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×