ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยุทธการสะท้านโลก

    ลำดับตอนที่ #11 : สันติในตะวันออกกลางที่คงยากจะเข้าใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 288
      0
      27 พ.ค. 57


    คุณเคยสงสัยไหมครับ  ว่าทำไมชาวยิวแรกเริ่มเดิมที มีแผ่นดินแล้วทำไมจึงไร้แผ่นดิน  
    ทำไมจึงอยู่ที่ยุโรปดังเดิมไม่ได้  ทำไมต้องตีกับมุสลิม  มาวันนี้ผมมีคำตอบ

    สาเหตุที่ชาวยิวไร้แผ่นดินนั้น  ก่อนอื่นต้องเท้าความว่า

    ชาวยิว (Jew) หรือเดิมทีคือชาวฮีบรู (Hebrew) แห่งอิสราเอลนั้น เปนชนชาติอารยธรรมโบราณของโลกตะวันออกกลางเพียงเผ่าเดียวที่ยังเหลือรอดมาแต่ยุคอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งแม้ว่าชาวอิสราเอลจะต้องตกเปนข้าแผ่นดินอื่นมาตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่เพราะความยึดมั่นในชาติพันธุ์ของตน และความศรัทธาในพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวอย่างแรงกล้า - พระยาเวห์ - หรือ "เยโฮวาห์" จึงทำให้พวกเขายังคงธำรงอยู่สืบมาได้จนยุคการปกครองของจักรวรรดิโรมัน

    สาเหตุที่ชาวยิวต้องเร่ร่อนไร้ซึ่งแผ่นดินนั้น
      
    ต้องย้อนกลับไปในรัชกาลจักรพรรดิทิเบริอุสแห่งโรมัน  
       ความวุ่นวายอันเกิดมาจากการประหารช่างไม้ชาวยิวผู้หนึ่งที่มีนามว่า "เจชูวา" หรือที่เราคุ้นกันในชื่อว่า "เยซูแห่งนาซาเร็ธ" นั่นเองครับ
        
    เยซูแห่งนาซาเร็ธหรือพระเยซูคริสต์ผู้นี้ได้ประกาศว่าตนคือพระบุตรของพระผู้เปนเจ้า และพระองค์ก็คือพระเมสซิยาห์ (Messiah) หรือพระผู้ไถ่ตามคำทำนายของศาสนาจูดายเพื่อที่จะสร้างอาณาจักรใหม่ของชาวอิสราเอล ซึ่งผลจากคำสอนของพระองค์ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนอิสราเอลหรือแคว้นจูเดียใน ณ เวลานั้นเปนอย่างมาก เพราะทำให้ประชาชนชาวอิสราเอลรวมถึงชาวต่างชาติในดินแดนจูเดียต่างเชื่อว่าพระเยซูจะมาเปนกษัตริย์องค์ใหม่ ผู้ประกาศเอกราชให้กับอาณาจักรอิสราเอลอีกครั้ง 

    แม้ว่าพระเยซูจะทรงยืนยันว่า การสถาปนาอาณาจักรใหม่ของพระองค์นั้น มิใช่การสร้างอาณาจักรบนโลกมนุษย์ หากแต่เปนการสร้างใหม่บนฟ้าสวรรค์เบื้องบน โดยการเข้าถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์นั้นก็คือการทำคุณความดี การมีความรักความเมตตาและการให้อภัยต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ด้วยคำสอนของพระองค์กลับสร้างความเกลียดชังให้กับชาวยิวหัวอนุรักษ์นิยมเปนอันมากเช่นกัน 

    ดังนั้น เหล่าชาวยิวหัวอนุรักษ์นิยมจึงรวมหัวกันลอบจับกุมพระเยซูส่งไปให้ทางการโรมันเปนผู้ตัดสินประหารพระองค์ในฐานะกบฎต่อจักรวรรดิ โดยผู้ตัดสินคดีในคราวนั้นคือ "ปอนทิอุส ไพเลท" หรือที่ชาวไทยคริสต์คุ้นกันในชื่อว่า "ปอนทิอัส ปีลาต" ข้าหลวงโรมันประจำมณฑลจูเดียนั่นเองครับ





    ปอนทิอุส ไพเลท

    หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมยิวพวกนี้ไม่สังหารพระเยซูเสียเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป ทำไมต้องไปลำบากถึงกรมการเมืองโรมันด้วยล่ะ?

    มันมีเหตุอยู่ว่า ทางการโรมันได้ตรากฏหมายการปกครองเอาไว้ว่า ห้ามมิให้การลงโทษหรือลงทัณฑ์ใครผู้ใดโดยมิได้ผ่านความเห็นชอบศาลโรมันเสียก่อนน่ะล่ะครับ ดังนั้น พวกยิวหัวรุนแรงเหล่านี้จึงจับกุมพระเยซูพร้อมกับกุข่าวว่าพระองค์ทรงคิดจะเตรียมการกบฎต่อจักรวรรดิโรมันแล้วนั่นล่ะครับ
    แต่เมื่อไพเลทได้พิจารณาความดูแล้วก็พบว่า พระเยซูมิได้มีท่าทีหรือสั่งสอนให้ผู้คนคิดเปนกบฎต่อจักรพรรดิแต่อย่างใด เขาจึงไม่เห็นด้วยที่จะสั่งประหารพระเยซู และมีคำสั่งปล่อยตัวให้เปนอิสระในทันที

    ดังนั้น ในเมื่อขอกันดีๆไม่ได้ ชาวยิวหัวอนุรักษ์ซึ่งได้กลายเปนพวกหัวรุนแรงไปแล้วได้ก่อหวอดผู้คนที่หน้าศาลาว่าการและขู่ว่า 

    "หากไม่ยอมประหารเยซู งานนี้กูจะก่อม็อบ!"

    เอาล่ะสิครับ งานนี้ก็ทำเอาไพเลทปวดกบาลน่ะสิ เพราะพระเยซูไม่ได้ทำผิดกฏหมาย แต่ดันทำตัวผิดกฏหมู่เข้าให้ซะงั้น แต่ถ้าหากจะประหารพระเยซูก็เกรงว่าจะผิดต่อกฏหมายและมโนธรรมในใจตน แต่ถ้าไม่ยอมสั่งประหาร งานนี้ได้เกิดจลาจลใหญ่โตขึ้นมาแน่ๆ

    ในที่สุดแล้ว ปอนทิอุเส ไพเลทจึงยอมออกคำสั่งประหารพระเยซูเพื่อไม่ต้องการให้เกิดจลาจลในปี ค.ศ.๓๓ และผลจากการสั่งประหารพระเยซูในคราวนั้นก็กลายเปนการจุดชนวนความวุ่นวายระลอกใหม่ขึ้นมาในแคว้นจูเดียด้วยเช่นกันครับ เพราะนับแต่นั้นเปนต้นมา ประชาชนชาวยิวไม่ยอมเคารพในกฏหมายการปกครองมณฑลของทางการโรมันอีกต่อไปแล้ว หากแต่คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ เมื่อทางการโรมันออกคำสั่งห้ามปรามใดๆก็ขู่ว่าจะก่อม็อบท่าเดียว  (คุ้นๆเนอะ)

    หลังจากก่อหวอดความวุ่นวายมาได้พักใหญ่ ในปี ค.ศ. ๖๖ ซึ่งตรงกับรัชกาลของจักรพรรดิเนโร จึงกลายมาเปนการจลาจลแบ่งแยกดินแดนไปในที่สุดแล้วล่ะครับ โดยทางการโรมันได้ส่งเวสปาเชียนเข้ามาจัดการความวุ่นวายในแคว้นจูเดีย แต่เพราะว่าเกิดศึกชิงบัลลังก์กันในกรุงโรมเสียก่อน จึงทำให้เวสปาเชียนใส่เกียร์ว่างจนได้โอกาสเหมาะและยกทัพเข้าชิงอำนาจได้สำเร็จ

    อย่างไรก็ตาม แคว้นจูเดียก็ยังมิได้สงบราบคาบลงแต่อย่างใด จักรพรรดิเวสปาเชียนจึงมีบัญชาให้ พระโอรสคือ "ติตุส" ยังคงตรึงกำลังเอาไว้ในแคว้นจูเดียต่อไป และเมื่อพระบิดาทรงได้ราชสมบัติในกรุงโรมเปนที่เรียบร้อย พระองค์จึงทรงมีคำสั่งอนุมัติไฟเขียวให้ติตุสจัดการกับกบฎชาวยิวให้ราบคาบในทันที

    ในปี ค.ศ.๗๑ ติตุสนำกองทัพโรมันจำนวนเข้าโจมตีกรุงเยรูซาเล็มและเผานครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จนราบคาบ มิเว้นแม้แต่มหาวิหารอันยิ่งใหญ่ในศาสนาจูดายก็ถูกเผาและปล้นสะดมจนกลายเปนเถ้าถ่านสิ้น 

    อย่างไรก็ตาม ชาวยิวก็ยังคงปักหลักต่อต้านกองทัพโรมันต่อไป โดยชาวยิวกลุ่มสุดท้ายได้ไปรวมตัวกันที่ป้อมมาซาด้า (The fortress of masada) อันเปนป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์เฮโรดมหาราช (Herod the great) - 


    แต่ปัญหาใหญ่อย่างเดียวของกองทัพโรมันก็คือ...

    ตีไม่แตกครับ เพราะป้อมตั้งอยู่บนยอดหน้าผาสูงหลายร้อยเมตร แถมมีทางขึ้นทางลงแค่ทางเดียวอีกต่างหาก 


    กองทัพโรมันต้องเผชิญการต่อต้านจากกองทัพกบฎอยู่ตลอดเวลาถึง ๒ ปี ซึ่งในปี ค.ศ. ๗๓ หลังจากล้อมอยู่2ปี กองทัพโรมันก็ส่งกองกำลังบุกเข้าตีป้อมและปราบกบฎกลุ่มสุดท้ายลงได้สำเร็จครับ ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้ปราบครับชาวยิวฆ่าตัวตายกันจนหมด  ไม่ยอมตกเป็นทาส

    ชนชาติฮีบรูหรือชาวยิวจึงกลายเปนชนสิ้นชาติมานับตั้งแต่นั้น และต้องเร่ร่อนไปทั่วทั้งแผ่นดินยุโรปไปอีกหลายพันปี

    พระวารสารมัทธิว เมื่อคราวที่ชาวยิวได้สบถสบานกับปอนทิอุส ไพเลทว่า...

    ปีลาตจึงถามพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรแก่พระเยซูที่เรียกว่า พระคริสต์” 
    เขาพากันร้องแก่ท่านว่า “ให้ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด”
    เจ้าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด” 
    แต่เขาทั้งหลายยิ่งร้องว่า “ให้ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด”
    เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะเกิดวุ่นวายขึ้น ท่านก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน แล้วว่า “เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด”
    บรรดาหมู่ชนเรียนว่า “ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด” - มัทธิว ๒๗ : ๒๒ - ๒๕



    หลังจากนั้น ชาวยืวก็ร่อนเร่เพนจรไปหลายที่บางส่วนก็ไปปักหลักอยู่ในยุโรป  
    แต่เพราะด้วยความที่ไม่มีแผ่นดินของตน   ด้วยเหตุนี้เองจึง ทำให้รวมกลุ่มกันหนาแน่น  สร้างอัตลักษณ์ว่าเค้าคือชาวยิว  ชนิดที่ว่าถ้าไม่ใช่พวกข้า ไม่เอา  แปลกแยกและ ไม่เอาใครนอกจากพวกตัวเอง    

    ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ในยุโรปสมัยก่อนจึงมีหลายฝ่าย ที่จับตามองชาวยิวด้วยความหวั่นเกรง แกมหมั่นไส้  การรวมตัวกันอย่างหนาแน่นเช่นนี้ มันย่อมมีพลังแน่นอน สำหรับผู้ปกครองแล้ว  มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ  และปัญหานี้มันค่อยสั่งสมมาเรื่อยๆ  
    หลายๆคนมีความเข้าใจผิด(เช่นผม)  ในตอนแรกก็เข้าใจอย่างนั้น คิดว่าฮิตเลอร์  เป็นคนริเริ่ม นโยบายต่อต้านชาวยิว จริงๆแล้วมีมาก่อนหน้าฮิตเลอร์จะเกิดเสียอีก  อย่างที่บอกไปข้างต้น  ด้วยความไม่กลมกลืน  ทำให้แปลกแยกและง่ายที่จะซัดข้อกล่าวหาว่า  ต้นเหตุของปัญหาคือชาวยิว
    และความคิดที่ฝังหัวว่า  ชาวยิวคือผู้ทรยศพระคริสต์ (ทั้งๆที่มันเป็นกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน )จึงทำให้ชาวยิวเป็นแพะรับบาปในหลายๆกรณี

    ยกตัวอย่างเช่นโรคกาฬโรค  โรคที่ฆ่าประชากรชาวยุโรปไปถึง3ใน4  ในตอนแรกๆผู้คนไม่รู้จัก  และไม่รู้ว่ามันคืออะไร  และอะไรเป็นสาเหตุ  และจะแก้ปัญหาอย่างไร  แน่อนว่าคนที่ซวยก็คือชาวยิว  มีการจับเผาชาวยิวตายไปหลายหมื่น  เพราะคิดว่าชาวยิวคือต้นเหตุ และแน่นอนว่าโรคก็ไม่หายไป  บางครั้งปรากฏการธรรมชาติเช่นฝนเลือด  ชาวยิวก้ถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุแน่นอนว่า  ตายฟรี

    เพราะการกระทำของคนไม่กี่คน  เมื่อ 2000 กว่าปีที่แล้วเลยซวยไปจนถึงปัจจุบัน

    ****************
    ภาพเขียน  แสดงการเผาหมู่ชาวยิวเพราะคิดว่าชาวยิว คือต้นเหตุของโรคกาฬโรค ในปี 1348




    ชีวิตชาวยิวก็ลุ่มๆดอนๆ ดีบ้างร้ายบ้างมีอิทธิพลบ้างตกต่ำบ้าง แต่ทว่าฝันร้ายที่หนักหน่วงกว่านั้น
    ก็เริ่มต้นขึ้น ใน  ราวๆปี 1860    นาย Joseph Ernest Renan   ได้เสนอแนวคิด ชาติพันธ์ ขึ้น  ซึ่งในงานเขียนของเค้า ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในยุโรป  และที่สำคัญ  ไอ้แนวคิดเผ่าอารยัน  นี่ก็มาจากงานเขียนชิ้นนี้   แน่นอนว่าคนที่ซวยก็ยิวอีก  เพราะถึงแม้ ว่านาย  Joseph Ernest Renan จะไม่ได้ กล่าวร้ายว่าชาวยิว  แต่แนวคิดของเค้าที่ว่า  เผ่าอารยัน  และเผ่ายิว กำลังแข่งขันกัน  ทำให้เกิดการต่อต้านชาวยิวขึ้น   ซึ่งกลายเป็นที่แพร่หลายมากในทวีปยุโรปในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปรัสเซีย นักปวศ.ชาตินิยม  ชื่อ Heinrichvo  ได้กล่าวเอาไว้ว่า  ชาวยิวเป็นความโชคร้ายของเรา  ซึ่งพวกนาซีก็ได้เอาคำนี้ไปใช้ชวนเชื่อ

    และในที่สุด  ลัทธิการต่อต้านชาวยิว  ก็เริ่มแพร่หลาย ถึงขนาดที่ว่า มีบางคนได้รับการเลือกตั้งเพราะสัญญาว่าจะต่อต้านคนยิว 


    Joseph Ernest Renan



    Heinrichvo




    โปสเตอร์ของผู้สมัครรายหนึ่งใน "ฝรั่งเศส " ที่ชูนโยบายต่อต้านชาวยิว



    ภาพปกหนังสือ  หนทางชัยชนะของชนชาติเยอรมัน  เหนือยิว  ตีพิมพ์ในปี1880



    ภาพเขียนล้อเลียนที่ว่ายิวกำลังจะครองโลก โดย C.Léandre (ฝรั่งเศส ปี 1898)



    ในปี1881  ซาร์(เทียบเท่ากษัตย์)แห่งรัสเซีย อเล็กซานเดที่ 2 เป็นที่รู้ดีในชื่อ  "ซาร์ผู้กู้อิสรภาพ"ซึ่งเป็นที่รักมากจากนโยบายเลิกทาส ถูกลอบสังหาร   แน่นอนว่าคนซวยคือชาวยิว  เพราะมีการกล่าวหาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือชาวยิว  เคลื่อนต่อต้านชาวยิวลูกใหญ่ ซัดชาวยิวเข้าอย่างจัง
    กฏหมายต่างๆมากมาย ที่จำกัดสิทธิชาวยิว  ถูกออกมา  บ่านชาวยิวในเคียฟมากมายถูกเผา  บาร์ไม่ต้อนรับชาวยิว  โบสถ์โดนปิด
    กระแสต่อต้านชาวยิวรุนแรงมากในรัสเซีย  

    และในการปฏิวัติรัสเซีย  ฝ่ายปฏิวัติก็ได้ใช้  นโยบายต่อต้านชาวยิวในการชวนเขื่อเช่นกัน  มีการประมาณการว่า ชาวยิวราวๆ  3แสน-7แสนคนถูกสังหาร คงไว้นอกจากผู้ที่มีความสามารถ 





    ถึงตอนนี้ชาวยิวเรื่ม รู้ตัว  และเริ่มอบยพ  ไปยังเยรูซาเลม  ในปี 1918  แต่ทว่าบางส่วนก็ย้ายมาเยอรมัน  โปแลนด์ ซึ่งปัญหา  ยังไม่รุนแรงมากเท่ายุโรปตะวันออก บางส่วนก็ยังไม่ยอมย้าย  และแน่นอนว่านี่คือฝันร้าย  เพราะการขึ้นสู่อำนาจของ  อดอลฟ์ ฮิตเลอร์

    สำหรับความโหดร้ายของนาซีที่มีต่อชาวยิว ทุกๆท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว  ผมจึงไม่ขอกล่าวถึงแต่จะขอข้ามไป


    http://pantip.com/topic/30763839


    เมื่อสงครามโลกจบลง  แต่กระแสความโหดร้ายต่อชาวยิวไม่ได้จางหายไปเีลยทีเดียว  ชาวยิวมากมายจึงอพยบสู่ตะวันออกกลา่ง
    ในเวลานั้น รัฐต่างๆในตะวันออกกลางได้ เอกราชกันทั่วหน้า  ตามนโยบายของสหประชาติ  จึงมีความคิดที่จะสร้างประเทศให้ชาวยิวอยู่ แต่ปัญหามีอยู่ว่ามีผู้ที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว  จึงแบ่งออกเป็นโซน  ให้ชาวยิวและชาวอาหรับ อยู่ร่วมกัน

    สีเหลืองคือชาวอาหรับ  สีส้มคือชาวยิว


    แต่ทว่าการแบ่งเช่นนี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอาหรับเป้นอย่างมาก  เพราะส่วนที่ชาวยิวได้คือส่วนที่อุดมสมบรูณ์  ของฝั่งทะเลสาป  ส่วนชาวอาหรับได้ส่วนที่เป็นทะเลทราย  และแห้งแล้งเป้นส่วนใหญ่  จึงทำให้เกิดการทำร้ายชาวยิวแนนอนว่าก็ต้องมีการโต้กลับ  จากชาวยิวเช่นกัน
    ในที่สุดก็กลายเป็นสงครามกลางเมือง ตั้งแต่วัน  30 พฤศจิกายน 1947 ถึง 7 เมษายน 1948  พลเรือนชาวอาหรับ959 เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ 1,941 ขณะที่พลเรือนชาวยิว 840 กับ 1785 ได้รับบาดเจ็บ

    ในที่สุดสันนิบาตอาหรับ  ซึ่งจับจ้องอยู่นานก็ตัดสินใจจู่โจม โดยมีการอพยบชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่  การสู้รบ  เป้าหมายคือขับไล่ ชาวยิวออกจากพื้นที่   และให้คำมั่นว่าจะทวงคืนแ่ผ่นดินเกิด ให้ชาวปาเลสไตน์  โดยแลกกับผลประโยชน์ต่างๆกันเช่นจอร์ดแดน ขอพื้นที่ออกสู่ทะเลในเขตเวสแบงค์

    ผู้อพยบชาวปาเลสไตน์ กำลังเดินทาง



    ค่ายผู้อพยพ




    และในที่สุดสงครามอาหรับ - ยิวครั้งแรกก็ระเบิดขึ้น  ในปี1948-1949  เป็นเวลา 9  เดือน 3สัปดาห์  กับอีก2วัน

















    แต่ทว่าผลกลับกลายเป็น  ทั้งที่ชาวยิวทำศึกทั้งๆที่ยังไม่พร้อม  แม่ทัพก็แต่งตั้งกันเดี๋ยวนั้น  แต่ว่าอาหรับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างเหลือเชื่อ   ชาวปาเลสไตน์  จึงกลายเป็นชาติที่ไร้ที่อยู่แทน  ส่วนชาวยิวก็ได้ครอบครองพื้นที่ทั้งหมด


    ภาพกองกำลังของชาวอาหรับยอมแพ้  ต่อ IDFของอิสราเอล








    สุดท้าย  ชาวยิวก็ก่อตั้งประเทศอิสราเอลได้อย่างสมบรูณ์

      ชาวอาหรับที่สูญเสีย แผ่นดินเกิดจะกลับก็ไม่ได้  บางส่วนก็กลายเป็นประชากรในประเทศที่อพยบไปบางส่วนก็จับปืนลุกขึ้นสู้กลายเป็นองกร์ต่างๆที่เราๆท่านๆได้ยินมาจนถึงทุกวันนี้เช่น ฮิลซาบัลเลาะห์  PLO ซึ่งไม่ยอมรับการหยุดยิง   ก่อสงครามกองโจรกับชาวยิว  โดยการสนับสนุน ของสันนิบาตอาหรับ  

    และหลังจาก เกิดสงครามใหญ่  อีก3 ครั้ง  คือสงครามคลองสุเอซ  และสงคราม6 วัน  และสุดท้ายสงครามยมคิปปูร์    ซึ่งไม่เคยเอาชนะยิวได้เลย  ชาวอาหรับที่สูญเสียแผ่นดินเกิดไป  ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทวงต่อไป  ส่วนอาหรับ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลัก    ก็ไม่มีแรงจะก่อสงครามสเกลใหญ่ๆได้อีกครั้ง ทำได้แค่ถอยฉากออกมาเป็นผู้สนับสนุน  
    ทำให้สันติในตะวันออกกลางยังคงไม่สงบจนมาถึงทุกวันนี้


    จบแล้วจ้า  

    http://en.wikipedia.org/wiki/Antisemitism
    http://en.wikipedia.org/wiki/1948_Arab%E2%80%93Israeli_War
    http://en.wikipedia.org/wiki/1948_Palestinian_exodus
    ttps://www.facebook.com/pages/Penedge/365098623566983?id=365098623566983&sk=photos_stream
    http://en.wikipedia.org/wiki/Nazi_Germany
    http://en.wikipedia.org/wiki/Antisemitism

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×