ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #9 : บทเพลงส่งวิญญาณ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.67K
      14
      24 เม.ย. 50

    บทที่ 9

    บทเพลงส่งวิญญาณ

     

    จัสมินรู้สึกกระสับกระส่ายมาตั้งแต่เย็น    บรรยากาศในวันนี้อบอ้าว  อึมครึมอย่างไรพิกล   เธอรู้สึกเหมือนรอบตัวมีความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่กดดันและบีบคั้นจนเกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจ   จนเมื่อล้มตัวลงนอนความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่     หญิงสาวรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นจะว่ายังไม่หลับหรือหลับแล้วฝันไปก็ไม่แน่    แต่เธอพบว่าตนเองยืนอยู่บนเนินทรายเนินหนึ่ง     ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาราทอประกายบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท    ลมทะเลทรายพัดพาความเย็นยะเยือกเข้ามากระทบจนหนาวเหน็บ    รอบตัวเธอมีแต่ความมืด

     

    หากแล้วสายตาก็พบเข้ากับแสงเล็ก ๆ คล้ายหิ่งห้อยนับสิบ ๆ ดวงที่ลอยตัวช้า ๆ ค่อยสูงขึ้นไป     จัสมินเพ่งมองในความมืด   เมื่อสายตาเริ่มชินเธอก็สามารถมองเห็นกลุ่มคนในชุดดำเกือบ 20 คนยืนโอบล้อมเป็นรูปวงกลมพึมพำสวดอะไรบางอย่างในภาษาที่เธอไม่เคยคุ้น   แต่ท่วงทำนองและถ้อยคำที่จับได้ทำให้รู้ว่าภาษาที่บุคคลลึกลับกลุ่มนั้นใช้เป็นภาษาที่เก่าแก่มาก   และมันเป็นภาษาที่ในปัจจุบันไม่มีใครใช้กันอีกแล้ว!

     

    ท่วงทำนองและกระแสเสียงนั้นขับไล่ความอึดอัดบีบรัดที่มีมาตั้งแต่เย็นให้มลายหายไป    ความอบอุ่นผ่อนคลายในทุกอณูอากาศแล่นเข้ามาแทนที่    จัสมินหลับตาลงซึมซับท่วงทำนองนั้นอย่างสุขใจ

     

    คุณก็สัมผัสคลื่นวิญญาณได้ซินะ    จู่ ๆ เสียงถามก็ดังขึ้นข้าง ๆ ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ    เมื่อหันไปมองก็พบร่างในชุดคลุมดำยืนอยู่ใกล้ ๆ    เธอจำได้    ผู้ชายชุดดำคนนั้น    คนที่จับเธอไว้ในความฝันครั้งก่อน    เอ๋....แต่นี่เธอกำลังฝันอยู่ไม่ใช่หรือ!?

     

    คุณ....    จัสมินพูดไม่ออก   ทำไมจู่ ๆ ผู้ชายคนนี้ถึงโผล่มาข้างตัวเธอได้โดยไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

     

    คุณเป็นใคร ?     หญิงสาวเอ่ยออกมาได้ในที่สุด

     

    เรา...คือผู้ท่องเที่ยวไปในราตรีกาลและถิ่นท้องทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล

     

    คุณเป็นเบดูอินงั้นหรือ !?     จัสมินถามอย่างไม่มั่นใจนัก     ลักษณะของผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนเบดูอินคนไหนที่เธอเคยพบ

     

    คิดว่าใช่ไหมล่ะ ?     คำย้อนถามกลับมาทำให้หญิงสาวต้องนิ่งคิด    แล้วชื่อหนึ่งก็วาบเข้ามาในความทรงจำ

     

    มาฮาร่า!”    ร่างในชุดดำไม่ตอบรับหรือปฏิเสธยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะพูดอะไร  หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

     

    พวกคุณทำอะไรกัน ?     นิ่งไปนานกว่าจะมีเสียงตอบกลับมา

     

    บทเพลงส่งวิญญาณ

     

    หมายถึงอะไร   บทเพลงส่งวิญญาณ ?     ตอนนี้แสงเล็ก ๆ คล้ายหิ่งห้อยที่มองเห็นอยู่เมื่อครู่ได้จางหายไปหมดแล้ว    รอบตัวเธอขณะนี้จึงมีแต่ความมืดและดวงดาวที่พร่างพรายบนท้องฟ้าเท่านั้น

     

    คืนนี้คุณรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายใช่ไหม ?     น้ำเสียงที่ถามยังเรียบเรื่อยไม่อาจจับความรู้สึกได้

     

    ใช่   คุณรู้ได้ยังไง ?

     

    นั่นเป็นเพราะคุณสามารถสัมผัสกับคลื่นวิญญาณได้จึงทำให้รู้สึกแบบนั้น     คืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งวิญญาณ   ทุก ๆ ปีในคืนที่มืดมิดที่สุด   เหล่าดวงวิญญาณที่เสียชีวิตในถิ่นทะเลทรายและยังวนเวียนล่องลอยอยู่จะปรากฏให้ผู้คนเห็น

     

    วิญญาณ!”     น้ำเสียงของหญิงสาวบ่งบอกความไม่เชื่อถือ

     

    นี่มันสมัยไหนกันแล้ว    มีที่ไหนกันเรื่องผีสางดวงวิญญาณ    คล้ายเธอจะได้ยินเสียงหัวเราะขบขันเบา ๆ จากร่างในชุดคลุมดำนั้น

     

    การที่เหล่าดวงวิญญาณมารวมตัวกันมาก ๆ จะเกิดคลื่นความกดดันกับบุคคลที่สามารถสัมผัสคลื่นวิญญาณได้ทำให้รู้สึกกดดัน  บีบคั้น  อึดอัดกระสับกระส่าย      น้ำเสียงเรียบเรื่อยบอกเล่าต่อไปไม่สนใจที่ถูกขัดคอ

     

    และในทุก ๆ ปีของค่ำคืนแห่งวิญญาณ    พวกเรามีหน้าที่ชำระล้างดวงวิญญาณเหล่านั้นให้ไปสู่ชะตากรรมของวิญญาณแต่ละดวงด้วยบทเพลงที่คุณได้ยินเมื่อครู่

     

    บทเพลงส่งวิญญาณ ?    จัสมินเอ่ยทวนชื่อบทเพลงนั้น

     

    นั่นเป็นภาษาที่เก่าแก่มากไม่น่าจะมีใครใช้ได้อีกแล้ว

     

    มนุษย์เชื่อในสิ่งที่ตนเห็นเสมอ

     

    ถ้าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น   แล้วจะให้เชื่อในอะไร ?   หญิงสาวย้อนถาม

     

    เชื่อในสิ่งที่ใจสัมผัส   รับรู้   ใจคุณรู้สึกรับรู้ได้ถึงสิ่งรอบ ๆ ตัว   แต่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และวิชาที่คุณร่ำเรียนมาทำให้กระบวนการคิดของคุณไตร่ตรองหาเหตุหาผลและปฏิเสธสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้

     

    แล้วที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่มันคืออะไร   ความฝันหรือความจริง

     

    ถ้าคิดว่าฝัน   มันก็คือฝัน

     

    ถ้าคิดว่าจริงมันก็จริงงั้นซิ ?     จัสมินย้อนถามอย่างไม่พอใจ  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะลื่นไหลไม่ยอมตอบคำถามเธอเลยซักนิด    ร่างในชุดดำแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวไม่ตอบอะไร

     

    ขอฉันถามอะไรได้ไหม ?     เธอเอ่ยถามหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง    ไม่มีคำตอบรับแต่ก็ไม่มีการปฏิเสธ

     

    มาฮาร่ามีอยู่จริงใช่ไหม ?       ร่างที่แหงนเงยขึ้นมองดวงดาวยังนิ่งตรึงไม่ขยับ    สายลมอันเยือกเย็นพัดเปลี่ยนทิศ   พาเอากลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมาตามลม     ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อใดที่เธอเคยรู้จักแน่นอน    หญิงสาวนึกพลางขยับเข้าไปใกล้ร่างที่ยืนนิ่งอยู่นั่นอีกนิดเพื่อหาต้นตอของกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่พัดมาตามลม

     

    นานช้ากว่าร่างที่ยืนสงบนิ่งนั้นจะขยับตัวและเสียงเอ่ยตอบก็ตามมา

     

    รู้แล้วได้อะไร    ไม่รู้แล้วได้อะไร    เป็นคำตอบที่ไม่เข้าท่าที่สุดเท่าที่เคยฟังมา

     

    รู้เพื่อขจัดความไม่รู้ไงล่ะ    จัสมินโต้

     

    ยิ่งรู้มากเท่าไหร่   ก็จะยิ่งอยากรู้ต่อไปไม่มีวันหยุด     ความลำบากจะเพิ่มพูนขึ้นตามความรู้นั้น    สู้ไม่รู้เสียเลยจะดีกว่า  เป็นสุขกว่า

     

    นั่นเป็นความคิดของคนขี้เกียจ   คนที่ไม่ยอมพัฒนาตนเอง    พวกถ่วงความเจริญของสังคม

     

    ความคิดของคุณก้าวหน้ามากนัก  แต่รู้ไหม  การก้าวเร็วไปก็ทำให้สะดุดหกล้มได้

     

    การที่เราก้าวแล้วหกล้มยังดีกว่าอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนไปทางไหน    ล้มแล้วยังลุกเดินต่อไปได้ดีกว่ากลัวที่จะล้มแล้วย่ำอยู่กับที่

     

    คุณฉลาด   หวังว่าความฉลาดของคุณจะเป็นประโยชน์ต่ออัลมาฮาร์ในภายภาคหน้า    ร่างในชุดดำบอกพลางเริ่มออกเดิน   หญิงสาวจึงก้าวตาม

     

    เดี๋ยวก่อน    คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย

     

    คืนนี้เหล่าดวงวิญญาณได้รับการชำระล้างแล้ว    และนี่ก็ดึกมาก     คุณควรพักผ่อนสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้    กลับไปได้แล้ว!”     น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้    เหมือนบทขับกล่อมที่ทำให้คนฟังรู้สึกง่วงงุนจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่

     

    เดี๋ยว........ฉันมีเรื่องจะถามอีกนิด     เธอได้ยินเสียงตนเองพึมพำก่อนการรับรู้ทั้งหมดจะดับวูบไป

     

     

     

    ท่านก็ควรพักผ่อนเช่นกัน      เสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ร่างสูงหันกลับมา    เงาร่างลางเลือนค่อย ๆ ชัดขึ้นสว่างขึ้นในความมืด      ชายฉกรรจ์ในชุดดำรัดกุมคุกเข่าอยู่บนเนินทราย

     

    ค่ำคืนแห่งวิญญาณ   ท่านไม่ต้องการชำระล้างดวงวิญญาณบ้างหรืออัมซา ?     ชายหนุ่มในชุดดำเดินช้าๆ ตรงมาหยุดอยู่เบื้องหน้า

     

    ไม่ !”  ผู้ถูกขานนามอัมซาตอบอย่างมั่นคง

     

    ข้าไม่ยอมรับการชำระล้างจนกว่างานในหน้าที่ของข้าจะสำเร็จ

     

    ท่านทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ว    หน้าที่ของท่านเสร็จสิ้นเมื่อกว่าพันปีก่อน

     

    มิได้   ผู้เป็นองครักษ์แต่ไม่สามารถปกป้องผู้ที่ตนเองพิทักษ์ไว้ได้ย่อมถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่

     

    อัมซา   กาลเวลาล่วงผ่านมาเนิ่นนานนักหนาแล้ว

     

    และมันกำลังจะหมุนวนทับซ้อนกันอีกครั้ง    อัมซาต่อคำ

     

    ทำไมท่านไม่ปล่อยวาง ?    น้ำเสียงที่ถามออกจะอ่อนใจ     ร่างที่คุกเข่าเงยหน้าขึ้นตอบด้วยรอยยิ้ม

     

    ข้ารอคอยมาเนิ่นนาน    ผ่านความเวิ้งว้างว่างเปล่าแห่งกาลเวลาจนได้พบท่าน     ข้าไม่รู้ว่าทำไม   ข้ารู้แต่ว่าท่านคือคนที่ข้าต้องพิทักษ์   ต้องปกป้อง    ท่านคือผู้ที่จะทำให้ข้าหลุดพ้นจากความว่างเปล่าที่ข้าเฝ้ารอ

     

    เอาละ   ฉันไม่อยากเถียงกับวิญญาณดื้ออย่างท่าน    แล้วมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?

     

    ท่านมาฮานเป็นห่วงเรียกข้าไปพบเพื่อถามข่าวคราวท่าน

     

    แล้วไง

     

    ข้าบอกว่าท่านสบายดี    อาจจะดีกว่าเมื่ออยู่ในวิหารเสียด้วยซ้ำ     วิญญาณอัมซาบอกแกมหัวเราะ

     

    ท่านมาฮานยังฝากเตือนมาเรื่องกองโจรชิราช    รู้สึกว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวเข้ามาตั้งกลุ่มในแถบนี้    มันมีการติดต่อกับพวกเตห์ลา   มันร่วมมือกันเพื่อทำอะไรบางอย่าง

     

    เฮ้อ!   ให้พวกเขาคิดกันเองบ้างเถอะ    ฉันขี้เกียจคิด     ร่างในชุดดำว่าอย่างหงุดหงิด    อัมซาหัวเราะมากขึ้น

     

    ข้าไปหามุตตาฟามาด้วย       ผู้เป็นวิญญาณกล่าวรายงานต่อไป

     

    อ้อ!   เดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นวิญญาณสื่อสารตั้งแต่เมื่อไหร่     คนฟังประชด  แต่ผู้เป็นวิญญาณอารักษ์ไม่ถือสา    

     

    สถานการณ์ทางอัลมาฮาร์ไม่ค่อยน่าไว้ใจ

     

    ช่างมันเถอะ    ฉันเบื่อกษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์เต็มที    ปล่อยให้คิดให้ทำอะไรกันเองเสียบ้าง   เผื่อจะได้ตาสว่างขึ้นมาอีกหน่อย      อัมซายิ้ม     ทอดตามองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยดวงตาเอ็นดู   ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาขณะนี้เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง     ไม่ใช่ราชาแห่งมาฮาร่าผู้สงบเงียบน่าเกรงขาม    ผู้แบกภาระหนักแห่งหน้าที่ไว้บนบ่าทั้งสอง

     

    ท่านไม่เหมือนราชาแห่งมาฮาร่าองค์อื่น ๆ เลยรู้ไหม     ราชาแห่งมาฮาร่าที่ข้าเคยเห็นจะทรงภูมิ   สง่างามและสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างเต็มเปี่ยมทุกลมหายใจเข้าออก

     

    ตำหนิว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นราชาแห่งมาฮาร่าละซิ     ชายหนุ่มถามแกมหัวเราะไม่ได้โกรธเคืองที่ถูกเปรียบเทียบ

     

    ข้าไม่เคยคิดตำหนิท่าน   และเพราะท่านไม่เหมือนราชาองค์ก่อน ๆ นี่แหล่ะช่องว่างในสภามาฮาร่าที่เคยมีมานานกลับสมานกันได้   ในขณะที่ราชาแห่งมาฮาร่ารุ่นก่อน ๆ ไม่เคยมีใครทำได้เลย

     

    สรุปว่าชมใช่ไหม ?

     

    แน่นอนราชาของข้า     อัมซาตอบ     เขาข้ามผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนานรับรู้และเฝ้าจับตาดูความเป็นไปต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ     เพราะดวงจิตที่ยังยึดเหนี่ยว    หน้าที่ที่มิอาจปกปักษ์พิทักษ์นายเหนือหัวทำให้เขายังคงเวียนวนท่องเที่ยวอยู่บนผืนทรายอันเวิ้งว้าง     จนกระทั่งเขาได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งในวิหารร้างกลางทะเลทรายที่ปราศจากผู้คน     นั่นยังไม่น่าประหลาดใจเท่า    เด็กชายคนนั้นมองเห็นเขาและสัมผัสตัวตนของเขาได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน      และนั่นก็เป็นครั้งแรกในรอบพันปีที่เขาได้สนทนากับ คน

     

     

    ลุงมาทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ ?   เด็กชายในชุดขะมุกขะมอมเปรอะเปลื้อนไปด้วยฝุ่นทรายยืนอยู่ตรงหน้าอัมซา    ดวงตาสีดำขลับแจ่มแจ๋ว   แฝงความอยากรู้อยากเห็นไม่กลัวใคร

     

    เจ้าหนู!  เจ้าเห็นข้าด้วยหรือ ?    

     

    ถามแปลกนะลุง    ก็ลุงยืนอยู่นี่ไง   ฉันเห็นลุงยืนทำหน้าเศร้า ๆ อยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว   เลยสงสัยว่าลุงเป็นอะไร

    ข้าไม่ได้เป็นอะไร   ว่าแต่เจ้าเถอะ   ทำไมมาอยู่ที่นี่ ?

     

    มาเที่ยว    แล้วลุงล่ะมาทำอะไร ?   เด็กชายย้อนถาม

     

    ข้าเคยอยู่ที่นี่      อัมซาตอบ    มองไปรอบ ๆ ซากปรักหักพังของอดีตวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เคยรุ่งเรือง    จะมีใครเคยเห็นความยิ่งใหญ่ของมันเหมือนที่เขาเคยเห็น

     

    เคยอยู่   แสดงว่าเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้วซิ     ฉันมาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้วไม่เคยพบใครเลย    เด็กชายบอกพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ

     

    ถ้าลุงเคยอยู่ที่นี่    งั้นลุงคงพอจะรู้อะไร ๆ เกี่ยวกับที่นี่บ้างใช่ไหม ?      เด็กชายถามมือเล็กนั้นลูบคลำซากหินสลักที่ยังเหลือร่องรอยลวดลายที่เคยวิจิตร    สายตาเด็กชายออกจะเลื่อนลอยเสมือนครุ่นคิดอะไรที่เกินเด็ก

     

    เจ้าอยากรู้ไปทำไม ?

     

    ไม่รู้ซิ    ฉันรู้แค่อยากรู้     รู้สึกผูกพันกับที่นี่เหมือนกับ....   เด็กชายนิ่งเงียบไม่พูดต่อ

     

    ที่นี่คือมหาวิหารที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีต    ที่ประทับแห่งองค์ราชา.....    อัมซาหยุดหันมามองเด็กชาย

     

    บอกไปก็ไม่รู้จัก   คนรุ่นเจ้า

     

    คนรุ่นฉันเป็นยังไง   แล้วลุงล่ะคนรุ่นไหน     กริยากอดอกขมวดคิ้วนิ่วหน้านั้นเกินเด็กไปมาก   เจ้าเด็กนี่มันมีลักษณะเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ     ท่าทางเก่งกล้าไม่เกรงใคร

     

    รู้ไหม    ข้าอายุเป็นพันปีเชียวนะ   และตอนนี้ข้าก็เป็นวิญญาณ     เขาบอกแกมหัวเราะ    แต่กริยาที่ได้เห็นจากเด็กชายกลับทำให้ประหลาดใจเสียเอง    ใช่เจ้าเด็กนี่มันยืนฟังเฉย ๆ แววตามันออกประหลาดใจเสียด้วยซ้ำ    ถ้ามันไม่ความรู้สึกช้ามันก็อาจจะโง่เกินทน

     

    ฉันรู้แล้วว่าลุงเป็นวิญญาณ      คำตอบของเด็กชายทำเอาอัมซาเป็นฝ่ายงงเสียเอง    มีใครบ้างที่ยืนคุยกับวิญญาณได้หน้าตาเฉยแบบนี้   หรือมันจะเดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความหมาย

     

    ฉันเข้าใจแล้วก็รู้ด้วยว่าวิญญาณคืออะไร   แต่มันมีอะไรที่ต้องกลัวล่ะ    ในเมื่อลุงก็ไม่ได้ชั่วร้ายอะไรนี่

     

    เจ้าหนู    เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ    เจ้ามองเห็นข้า  พูดคุยกับข้า   ทั้ง ๆ ที่ตลอดมาไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนไม่ว่าคนคนนั้นจะมีพลังอำนาจแก่กล้าแค่ไหน     นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พูดคุยกับคนหลังจากที่ตายเมื่อพันปีก่อน

     

    งั้นเหรอ    ลุงคงเหงาแย่    ฉันเป็นเพื่อนคุยให้เอาไหม ?   เด็กชายถาม   รอยยิ้มใสแตะแต้มบนใบหน้าขะมุกขะมอม

     

    นี่เจ้าไม่กลัวข้าเลยหรือ !?   เจ้าเป็นใครกันแน่ ?

     

    ฉันชื่อราฟาเอล  อัลซา  อาซาริยัส   ยินดีที่ได้รู้จัก     เด็กชายแนะนำตัว

     

    ข้า.....อัมซา....อัมซา   อิลลาฟาหมัด     เขาบอกชื่อออกไปอย่างงง ๆ มือเล็กของเด็กชายยื่นมาแตะมือเขา    สัมผัสนั้นเหมือนมีพลังแล่นวาบจากตัวเด็กชายไหลผ่านเข้าสู่ร่างของเขา    กระแสวิญญาณอันสงบนิ่งพลันปั่นป่วน   มันร้อนวาบ  เย็นวูบ  เสมือนวิญญาณจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ  ร่างของเขาพล่าเลือนสั่นไหวเหมือนภาพในเงาน้ำ

     

    อัมซา  เป็นอะไร !?    เด็กชายร้องถามอย่างตกใจ   

     

    ทรมาน!  ทรมานเหลือเกิน    ข้าจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว   ปล่อยข้า! ปล่อย!”     หากเด็กชายไม่ยอมปล่อยกลับคว้าร่างที่ค่อย ๆ พล่าเลือนนั้นไว้แล้วโอบกอดแน่น 

     

    ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”     อัมซาพยายามดิ้นรนเพื่อสะบัดให้หลุดจากวงแขนเล็ก ๆ นั้น

     

    ตั้งสติอัมซา   ฉันไม่ทำร้ายท่าน  ตั้งสติไว้     จากความทรมานจนแทบจะทนไม่ได้ดูเหมือนจะมีพลังอีกสายหนึ่งค่อย ๆ แผ่ซ่านหลั่งไหลจากร่างเด็กชายเข้าสู่กระแสวิญญาณของเขา    เป็นความอบอุ่นปลอดภัย   คุ้มครองและปกป้อง     ชั่วครู่กว่าทุกอย่างจะสงบนิ่ง   เด็กชายค่อยคลายอ้อมแขน

     

    ดีขึ้นแล้วใช่ไหม ?

     

    ใช่   ดีขึ้น     เขาตอบพร้อมกับครุ่นคิดไปพร้อมกัน    เมื่อครู่มันคืออะไร   ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณจะแตกสลายเพียงแค่สัมผัสกับเจ้าเด็กนี่     แล้วเจ้าความอบอุ่นที่แผ่ซ่านปกปักษ์พลังวิญญาณเขาไม่ให้แตกสลายไปมันคืออะไร     พลังนั่นมันมาจากเจ้าเด็กนี่งั้นเหรอ   เด็กคนนี้เป็นใครกัน

     

    ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ?     เด็กชายถาม   ขยับถอยห่างออกมา    ยังไม่ทันที่อัมซาจะตอบเสียงเรียกขานก็ดังขึ้น

     

    ท่านราฟาเอล    อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับท่านราฟาเอล     เด็กชายถอนใจเฮือกกระโดดขึ้นไปนั่งบนซากปรักหักพังที่ทลายลงมา    โดยไม่ตอบรับเจ้าของเสียงที่กำลังเรียกหาอยู่

     

    ท่านราฟา....อ้าว!    อยู่นี่เอง    นึกแล้วเชียว     ผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นชายหนุ่ม   เสื้อคลุมสีคล้ำเต็มไปด้วยฝุ่นทราย    แม้ผู้มาใหม่จะแต่งกายมิดชิด   แต่ผู้ที่เคยคุ้นกับการต่อสู้อย่างอัมซาก็ดูออก    ผู้ชายคนนี้มีอาวุธซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวยาว

     

    เอ๋    นี่มัน     ชายหนุ่มมองอัมซาอย่างประหลาดใจแล้วหันไปทางเด็กชาย

     

    อัมซา  เพื่อนฉัน     อัมซานั่นมุตตาฟา   เขาเป็นผู้คุมฉัน

     

    พูดอะไรอย่างนั้น!   ผมเป็นคนดูแล  เป็นองครักษ์ของท่านต่างหากครับ   เป็นข้ารับใช้....

    เป็นเพื่อนฉันด้วย      เด็กชายต่อให้   ทำเอาชายหนุ่มอ้าปากค้างนึกหาคำพูดไม่ออก    หน้าตาออกจะเก้อเขิน

     

    เอ่อ....ท่านออกมาอย่างนี้ผมเป็นห่วงนะครับ    เล่นออกมาเฉย ๆ ถ้าองค์ราชารู้เข้า.....

     

    มุตตาฟา   เธออายุเท่าไหร่แล้ว ?  เด็กชายทำสีหน้าหน่าย ๆ เอ่ยถามขัดขึ้น

     

    เอ่อ   ปีนี้ก็ 27  ย่าง 28  แล้วครับ   มีอะไรหรือ ?    มุตตาฟาตอบแม้จะยังงง ๆ อยู่

     

    ก็ยังไม่แก่นี่นะ   ทำไมถึงขี้บ่นเป็นพวกผู้เฒ่าในสภาไปได้    มุตตาฟาอ้าปากแล้วหุบลงใหม่อย่างพูดอะไรไม่ออก     อัมซาที่ยืนฟังมานานจึงเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยอยู่

     

    เจ้าก็เห็นข้าด้วยหรือมุตตาฟา ?

     

    เห็นซิ    ทำไมจะไม่เห็น   ชัดแจ๋วเลย   เป็นวิญญาณที่มีพลังแก่กล้ามากเลยนะ    ขนาดกลางวันเจ้ายังสามารถปรากฏกายได้ชัดเจนขนาดนี้     เป็นอันว่าเจ้าหนุ่มนี่ก็รู้ว่าเขาคือวิญญาณไม่ใช่คน

     

    นี่มันเกิดอะไรขึ้น     ไม่เคยมีใครเห็นข้ามาก่อนเลย    แม้แต่พวกมาฮาร่า    อัมซามองทั้งสองคนตรงหน้าอย่างงงงวย

     

    ก็พวกเรานี่แหล่ะมาฮาร่า    มุตตาฟาบอก    ไม่เข้าใจท่าทีตื่นตระหนกของอีกฝ่าย   การมองเห็นวิญญาณเป็นเรื่องปกติของมาฮาร่าอยู่แล้ว

     

    พวกเจ้าคือมาฮาร่า!?     อัมซาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

     

    ใช่   ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าน่ะ   ท่านราฟาเอล  อัลซา  อาซาริยัส   ราชาแห่งมาฮาร่าองค์ต่อไป

     

    ราชาองค์ต่อไป!”    อัมซามองเด็กชายตรงหน้า    หรือว่านี่จะเป็นชะตาลิขิต   ไม่เคยมีราชาแห่งมาฮาร่าองค์ใดมองเห็นเขามาก่อน    แต่เด็กคนนี้.....หรือว่านี่จะเป็นโอกาสให้เขาได้แก้ตัวอีกครั้ง     หน้าที่ที่ไม่อาจทำได้สำเร็จ   หน้าที่แห่งองครักษ์ผู้ปกป้องราชาแห่งมาฮาร่า!

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×