ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #10 : พายุทราย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.77K
      12
      28 เม.ย. 50

    บทที่ 10

    พายุทราย

     

    จัสมินยืนมองซากปรักหักพังของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกำแพงเมือง    ความยาวนานแห่งกาลเวลาที่ผันผ่าน   ทั้งแสงแดดอันเริงร้อนและแรงลมรวมถึงพายุทราย   ทำให้กำแพงศิลาที่ครั้งหนึ่งเคยมั่นคงแข็งแกร่ง   บัดนี้กองสุมกันระเกะระกะแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม     ซากเมืองหน้าด่านตามข้อสันนิษฐานของคีลก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากกำแพงเมือง     หลงเหลือเพียงฐานหินสูงต่ำกระจัดกระจายเป็นวงกว้างที่บอกว่าครั้งหนึ่ง  ณ ที่แห่งนี้เคยเป็นเมืองเท่านั้น

     

    เฮ้อ!   เหลือแต่ซากปรักหักพัง   เมื่อพันปีก่อนที่นี่จะสวยซักแค่ไหนนะ     หญิงสาวพูดกับตัวเอง    กวาดสายตาไปรอบ ๆ     คณะสำรวจคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปตรวจดูผังเมือง    กองกำลังอารักขากระจายกำลังกันออกไปเดินสำรวจอยู่รอบนอก       จัสมินปลีกตัวห่างจากคนอื่นเพราะนึกรำคาญฮัดซันที่คอยตามประกบเธอแจแถมพ่วงท้ายมาด้วยเบนดาฮาร่าที่เกาะชายหนุ่มไม่ยอมห่างเช่นกัน

     

    เธอเดินเลาะแนวกำแพงหินเพื่ออาศัยร่มเงาบังแดด    ดูเหมือนวันนี้ลมทะเลทรายจะสงบกว่าปกติ   อากาศก็ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลโซมกาย   เธอมองซากหินเหล่านั้นแล้วถอนใจยาว

     

    ถ้ามีซากปรักหักพังของหินแบบนี้แล้วใครจะถ่อสังขารเข้ามาเที่ยวกันละนี่     หญิงสาวบ่นกับตัวเองพลางนึกถึงนครคาเธย์ที่กำลังมุ่งไป   ถ้าที่นั่นเป็นเหมือนที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบูรณะ    นอกจากใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ของอัลมาฮาร์

     

     

    เสียงอึกทึกโหวกเหวกดังอื้ออึงสับสนทำให้จัสมินละจากสิ่งที่นึกอยู่เท้าก้าวเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว    แต่เพียงเลี้ยวพ้นแนวกำแพงเธอก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ทำเอาเกือบกระเด็นดีที่ฝ่ายนั้นคว้าไว้ทัน

     

    คีลเกิดอะไรขึ้นเอะอะอะไรกัน!?   หญิงสาวเอ่ยถามเอากับคนที่คว้าตัวเธอไว้  สองแขนคว้ามือชายหนุ่มไว้ด้วยความตกใจ

     

    พายุทราย

     

    อะไรนะ?

     

    พายุทราย   หาที่หลบกันก่อนดีกว่า    ฝ่ายนั้นบอกแต่จัสมินยังข้องใจ    ก็อากาศยังปลอดโปร่งแบบนี้แล้วจะมีพายุทรายอะไรนั่นได้ยังไง

     

    เร็วเข้า!”    ชายหนุ่มไม่อธิบายแต่ดึงเธอให้ออกวิ่งลัดเลาะไปตามแนวกำแพงหินทันพอดีกับสายลมที่พัดกรรโชกพาเอาฝุ่นทรายปลิวว่อนม้วนดึงเอาสิ่งที่อยู่ใกล้ขึ้นไปหมุนวนกลางอากาศ    ทรายนับเป็นล้าน ๆ เม็ดก่อตัวหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง   แหลมคมจนสามารถกรีดผ่านผิวเนื้อหากสัมผัสถูก    จัสมินตกใจที่ถูกคว้าดึงให้วิ่งในตอนแรกแต่ต้องตกใจมากกว่าเพราะภาพที่เกิดขึ้น      พายุทรายที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว   รุนแรงและบ้าคลั่ง     ฝุ่นทรายที่ฟุ้งตลบทำให้ไม่สามารถมองอะไรได้      หนทางเบื้องหน้าถูกกำหนดโดยคนที่ฉุดรั้งให้เธอวิ่งตามไปเท่านั้น    นานช้าเมื่อเธอรู้สึกว่าถูกรวบไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง    เธอหลับตาซุกหน้าลงกับอกกว้างที่กอดรัดเธอไว้     คีลตวัดเสื้อคลุมตัวยาวคลุมตัวหญิงสาวให้พ้นจากฝุ่นทรายที่ปลิวว่อน

     

     

    เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้   แต่จัสมินรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่ออ้อมแขนที่กระชับอยู่คลายออกและเริ่มขยับตัว    เสียงต่าง ๆ ภายนอกเงียบกริบ   พายุทรายสงบแล้วในขณะที่ความมืดแห่งราตรีกาลย่างกรายเข้ามา

     

    หญิงสาวขยับตัวถอยออกจากคีลที่ยอมปล่อยแต่โดยดี    อากาศในทะเลทรายยามค่ำคืนหนาวเหน็บจนสะท้าน

     

    พายุสงบแล้ว    คีลบอกหันไปมองรอบด้านเช่นกัน

     

    ทำไมมันเงียบ ๆ อย่างนี้ล่ะ   แล้วคนอื่น ๆ ไปไหนหมด ?

     

    ไม่รู้เหมือนกัน   คีลตอบแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรนัก

     

    แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน    สภาพมัน......     จัสมินถามพลางเลื่อนมือสัมผัสไปรอบ ๆ    มือเธอสัมผัสเข้ากับความเยียบเย็นของผนังทึบ

     

    มันเหมือนเป็นห้อง   หรืออะไรซักอย่าง       จัสมินบอก     เสียงเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ ๆ ซักพักแสงไฟก็สว่างขึ้นด้วยแรงเทียนเล่มเล็กในมือชายหนุ่ม      

     

    เอามาจากไหนน่ะ ?    หญิงสาวถามอย่างประหลาดใจ

     

    ผมพกติดตัวอยู่เสมอเวลาออกทะเลทรายแบบนี้     คีลอธิบายง่าย ๆ

     

    แหม!  พกอะไรที่มันทันสมัยหน่อยได้ไหม   อย่างไฟฉายมันจะเข้าท่ากว่าละมั๊ง   หญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้

     

    ไฟฉายก็มี      คีลควานลงไปในย่ามที่สะพายติดตัวไว้เสมอหยิบไฟฉายขนาดจิ๋วขึ้นมาส่งให้พลางบอก

     

    แต่เทียนน่ะมันให้ความอบอุ่นด้วย     ที่พูดมามันก็ถูก  ไฟฉายให้แต่แสงสว่างแต่ขาดความอบอุ่น

     

    พวกนั้นจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

     

    ไม่เป็นไรหรอก    พวกนั้นน่ะเกิดและโตมากับทะเลทรายย่อมรู้วิธีเอาตัวรอดจากพายุทรายได้อยู่แล้ว    ที่น่าห่วงหน่อยก็เห็นจะมีแต่คณะสำรวจของนายฝรั่งกับท่านหัวหน้าคณะของเรานั่นแหล่ะ   คีลบอกง่าย ๆ

     

    แล้วเราจะนั่งอยู่อย่างนี้หรือไง   ออกไปตามพวกเขากันดีกว่า     จัสมินเอ่ยชวนพลางขยับลุกแต่เป็นเพราะนั่งอุดอู้ขดงอมานานทำให้ขาเป็นเหน็บต้องทรุดลงนั่งอีกครั้ง

     

    ค่อย ๆ เหยียดขาออกซิคุณ   เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น    คีลเห็นอาการจึงบอก

     

    ก็มันเจ็บนี่    หญิงสาวว่าพลางทุบขาตัวเองเบา ๆ ให้หายชา      ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้

     

    จะทำอะไรน่ะ!?    จัสมินร้องอย่างตกใจเพราะชายหนุ่มจับขาเธอไว้ดึงให้เหยียดตรง    เธอค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก    หากเพียงชั่วครู่ก็ร้องลั่น

     

    โอ๊ย!   เจ็บนะ   เบา ๆ หน่อยสิ      หญิงสาวร้องลั่น   มือเผลอทุบคนช่วยบีบนวดให้แต่คีลไม่ว่าอะไรยังก้มหน้าก้มตาทำต่อไปอย่างตั้งใจ

     

    จัสมินมองมือที่จับต้นขาเธอช่วยนวดคลึงให้    มือใหญ่เรียวยาวที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาวสีคล้ำนั้นแม้จะเปื้อนฝุ่นทรายไปบ้างแต่ก็ยังเห็นชัดถึงความขาว    เล็บตัดสั้นเรียบร้อยบ่งบอกว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี   ผิวหน้าที่กระทบกับแสงเทียนนั้นเล่าก็บ่งบอกถึงความเป็นคนขาวที่เพิ่งกระทบถูกแดด   เพราะผิวหน้าชายหนุ่มออกแดงจากการถูกแดดลม    ไม่เหมือนคนที่อาศัยและทำงานอยู่ในทะเลทรายแม้แต่น้อย

     

    เสร็จแล้ว  ดีขึ้นไหม ?     คีลขยับถอยห่างออกมา

     

    ดีขึ้นแล้วละ   ขอบใจนะ

     

    ผมว่าเราควรรอให้เช้าเสียก่อนค่อยออกไปตามหาพวกนั้น     มืด ๆ แบบนี้อาจทำให้หลงทิศจนกลับไม่ถูก    หลังพายุทรายภูมิประเทศจะเปลี่ยนไปด้วย     จัสมินจำต้องยอมรับข้อเสนอของชายหนุ่ม   แต่อากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้มันทรมานน่าดู    เมื่อตอนกลางวันเพราะความร้อนอบอ้าวเธอจึงสวมเพียงเสื้อคลุมเนื้อบางเบาเพื่อให้คลายร้อน   แต่ตอนนี้มันแทบจะช่วยกันความหนาวเย็นไม่ได้เลย   ต่างกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพราะเธอสังเกตเห็นเขาสวมเสื้อผ้าคลุมปิดมิดชิดอยู่เสมอไม่ว่าขณะนั้นจะเป็นกลางวันที่ร้อนอบอ้าวหรือค่ำคืนที่หนาวเหน็บ

     

    เสื้อคลุมสีดำถูกยื่นส่งมาให้   หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของพลางถาม

     

    ถ้าให้ฉันแล้วนายไม่หนาวเหรอ ?

     

    หนาว   แต่ยังไงผมก็ทนได้มากกว่าคุณแหล่ะ     เป็นคำตอบที่ช่างไม่เหมือนใครดีแท้    ถ้าเป็นผู้ชายอื่นเธอคงจะได้คำตอบประมาณว่า  คุณคลุมไว้เถอะ   ผมทนได้   ผมไม่หนาว   อะไรทำนองนั้น

     

    ขอบใจนะ      จัสมินยอมรับเสื้อคลุมตัวนั้นมาห่มกระชับไว้กับตัว   กระไออุ่นจากเจ้าของยังอบอวล    เธอได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากเสื้อตัวยาว    ไม่ใช่กลิ่นเหงื่อของคนที่ทำงานอยู่กลางทะเลทราย  แต่เป็นกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้ที่เป็นดอกอะไรเธอก็ตอบไม่ได้     ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสื้อถอยกลับไปยังอีกด้าน   ใช้หลังพิงกำแพง   มือกอดอกหลับตาลงอย่างไม่สนใจอะไรอีก

     

    จัสมินเหลียวมองรอบตัวที่มีแต่ความเงียบ   แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว  คือ แสงเทียนที่จุดไว้   คืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงดาว    อากาศเยียบเย็นวังเวง   หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง  พอหันขวับไปมอง   ชั่วแวบแห่งสายตาเหมือนจะเห็นร่างเงาตะคุ่ม ๆ นั่งอยู่เคียงข้างร่างที่นอนกอดอกหลับเงียบอยู่    แต่พอเธอเพ่งมองทุกอย่างกลับว่างเปล่า

     

    ตาฝาดละมั๊ง     แม้จะปลอบใจตัวเองอย่างนั้นแต่เจ้าความรู้สึกเหมือนมีใครอีกคนนั่งอยู่นั้นไม่จางหายไป     เวลาล่วงเลยจนค่อนดึก    แสงเทียนริบหรี่ใกล้ดับ    อากาศหนาวเหน็บจนเสื้อคลุมแทบจะช่วยอะไรไม่ได้    จัสมิน นั่งกอดเข่าขดตัวเพื่อให้ความอบอุ่นกับตัวเอง    หนาวจนปวดไปถึงกระดูก   นอนก็นอนไม่หลับ  แต่คนที่สละเสื้อคลุมให้กลับนอนหลับอย่างสบายใจ   ไม่เห็นมีอาการหนาวสั่นเลยซักนิด    

     

    สายลมพัดพาเอากลิ่นอะไรอย่างหนึ่งโชยมาอ่อน ๆ   เธอรู้สึกถึงความง่วงงุนที่คืบคลานเข้ามา  แม้จะยังหนาวเหน็บแต่ความง่วงกลับมีอิทธิพลมากกว่า    หญิงสาวเคลิ้มหลับไปในที่สุด!

     

     

    แสงเทียนที่ริบหรี่ใกล้ดับสะท้อนให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่รุมล้อมเข้าโดยคนที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย     ร่างทมึนของชายคนหนึ่งเดินตรงไปทางชายหนุ่มที่หลับสนิทพิงกำแพงอยู่

     

    เอามันไปด้วยไหม ?

     

    จะเอาไปทำไม   เกะกะเปล่า ๆ ปล่อยทิ้งไว้นี่แหล่ะ    เอาแค่ผู้หญิงไปก็พอ     อีกเสียงหนึ่งตอบมาพลางขยับเข้าไปทางด้านหญิงสาวที่นอนสลบไศลอยู่

     

    ลูกสาวอับดุลลา   สวยขนาดนี้   แหมมันน่า

     

    เฮ้ย!  นายท่านสั่งห้ามแตะต้อง     เสียงบอกนั้นชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปสัมผัสกับแก้มนวล

     

    ถ้าไม่แตะแล้วจะเอาตัวไปได้ยังไงวะ     เสียงบ่นตามมา    มือที่ทำท่าจะสัมผัสแก้มนวลเปลี่ยนเป็นช้อนร่างที่นอนขดงออุ้มขึ้นมาทั้งตัว   แต่แล้วก็ต้องอุทานลั่นด้วยความตกใจเมื่อร่างที่อุ้มขึ้นมานั้นไม่ใช่หญิงสาวบอบบางที่เห็นเมื่อครู่   แต่เป็นร่างของชายวัยฉกรรจ์  ดวงตาที่จ้องเขม็งลุกโชนแดงฉาน    มันปล่อยมือจากร่างนั้นทันควัน!

     

    ผี!  ผี!”    มันร้องลั่นลนลานถอยห่าง   คนอื่น ๆ ที่มาด้วยหันมามองเป็นตาเดียว      ร่างที่ถูกปล่อยล่วงลงสู่พื้นลุกขึ้นยืนช้า ๆ    ท่ามกลางแสงสลัวใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดกลับมองเห็นได้ชัดเจน   ดวงตาวาวโรจน์โกรธขึ้ง    กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหมดถอยมารวมกันหน้าตาตื่น

     

    เฮ๊ย!  มะ..มันเป็นใครวะ     เสียงถามไถ่ปนหวาดกลัว    ร่างซีดขาวเดินตรงทื่อเข้ามาหาด้วยท่าทางเอาเรื่อง     ใบหน้านั้นแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม      ผู้ชายทั้งกลุ่มถอยหนีอย่างหวาดกลัว     หนึ่งในกลุ่มกลัวจนไม่อาจควบคุมสติไว้ได้   ปืนในมือระเบิดขึ้นซ้อน ๆ กันหลายนัด  แต่กลับทะลุผ่านร่างอมนุษย์ตนนั้นไปหมด

     

    ผี!  ผี!  แน่แล้ว  เผ่นเหอะ    พวกมันแหกปากร้องโวยวายกระจายกันหนีหัวซุกหัวซุน   ร่างซีด ๆ นั้นเริ่มเลือนรางท่ามกลางแสงเทียนใกล้ดับ    มือหนึ่งแตะบ่าร่างบางใสนั้นคล้ายกับเป็นสิ่งที่จับต้องได้

     

    อย่า!   พอแค่นี้แหล่ะอัมซา     ชายหนุ่มที่น่าจะสลบไศลจากกลิ่นรมยานอนหลับกลับยืนอยู่ตรงนั้น

     

    แต่ว่าพวกมัน......    อัมซาขยับจะเถียง

     

    ท่านไม่ควรก่อเวรสร้างกรรมกับมนุษย์    ไม่อย่างนั้นดวงจิตของท่านจะมีมลทิน   ซึ่งฉันหรือใครก็ไม่อาจชำระล้างให้ได้

     

    ข้าไม่สนใจ!”

     

    แต่ฉันสน!    และก็ไม่ยินยอมให้ท่านทำได้ด้วย     คีลบอกอย่างเด็ดขาด    แววตาที่เคยขี้เล่นอยู่เสมอกลับจริงจังขึ้นทำให้ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน     ผู้เป็นวิญญาณอารักษ์ของราชาแห่งมาฮาร่าฮึดฮัดขัดใจ

     

    มันจะแตะต้องนาง     อัมซาชี้ไปทางร่างที่หลับใหลอยู่บนพื้นทราย

     

    ก็แค่จะเท่านั้น    มันยังไม่ได้ทำเสียหน่อย     คีลแก้อย่างไม่เดือดร้อนกลับมาเป็นชายหนุ่มขี้เล่นคนเดิม    อัมซามองอย่างเคืองแล้วหายวับไปเฉย ๆ โดยไม่พูดไม่จา     คีลยักไหล่หันไปมองร่างบางที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา

     

    เฮ้อ!   อยู่ในเมืองสบาย ๆ ไม่ชอบ   จะออกมาหาความลำบากทำไมก็ไม่รู้    ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเดินเข้าไปทรุดลงนั่งข้าง ๆ  จัดท่านอนให้หญิงสาวสบายขึ้นโดยใช้ย่ามของตนสอดรองแทนหมอนและดึงเสื้อคลุมห่มทับให้ก่อนจะถอยออกมานั่งแหงนมองท้องฟ้ามืดมิดเบื้องบน

     

    อีกไม่นานก็จะถึงคืนเดือนดับ   อำนาจของอาบรีซาจะกล้าแข็งขึ้นอีกครั้ง    อาคมของท่านซาลามาฮานจะต้านทานนางได้หรือไม่นะ

     

     

     

    จัสมินขยับตัวอย่างเมื่อยขบเพราะนอนขดงอมาตลอดคืน  แม้จะยังไม่อยากลุกแต่เพราะแสงแดดที่ส่องกระทบใบหน้าทำให้ต้องลืมตาตื่น    หญิงสาวสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความมึนงง   สมองเริ่มลำดับเหตุการณ์    สายตาจึงกวาดมองหาชายหนุ่มผู้น่าจะอยู่ในที่นี้ด้วย       แล้วภาพที่เห็นก็นำความประหลาดใจมาให้เพราะชายหนุ่มที่มองหากำลังนั่งอยู่หน้ากองไฟ   มือกำลังสาละวนอยู่กับท่อนไม้ขนาดเหมาะมือที่ถืออยู่ทั้งสองข้าง   พยายามยกกระป๋องใบเล็กออกจากเตาไฟทีประกอบด้วยหินตั้งพิงกันไว้

     

    นายทำอะไรน่ะ ?

     

    อ้าว   ตื่นแล้วหรือคุณ   อาหารอุ่นกินได้พอดีเลย     คีลบอกพลางใช้ชายเสื้อตัวเองแทนที่รองมือจับกระป๋อง

     

    เอามาจากไหน ?     จัสมินถามอย่างอดทึ่งไม่ได้ก็สถานที่แบบนี้ นายไกด์  ยังอุตส่าห์มีอาหารกระป๋องพกมาด้วย  คนถูกถามพยักหน้าไปทางถุงย่ามของตนที่วางอยู่ใกล้ ๆ     ข้าวของหลายอย่างถูกรื้อค้นออกมาวางล้วนเป็นสิ่งของที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดทั้งสิ้น

     

    เอากาแฟไหม ?   คีลถามมาอีก    หญิงสาวจึงพยักหน้ารับและก็ได้กระบอกกระติกน้ำสแตนเลสรูปทรงแบน ๆ กลับมา   ภายในบรรจุกาแฟที่อุ่นกำลังดี  กลิ่นหอมฟุ้ง

     

    กาแฟพื้นเมืองนะ   คุณจะดื่มได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

     

    แค่นี้ก็ดีถมเถแล้ว   เธอบอกพลางใช้ฝากระติกแทนแก้วรองกาแฟข้นคลั่กขึ้นมาทดลองจิบ     ความขมจัดแล่นปราดเป็นการรู้รสในครั้งแรก   หากแล้วในความขมกลับมีความหวานเจือปนให้ชุ่มชื่นคอ    คีลส่งแผ่นแป้งชิ้นไม่ใหญ่นักที่ผิงไฟอุ่น ๆ เกรียมนิด ๆ มาให้

     

    กินกับกาแฟช่วยให้หนักท้อง  อยู่ได้นานดี   อีกครั้งที่หญิงสาวรับมาค่อย ๆ และเล็มกินกับกาแฟรสเข้มข้นนั้นจนหมดแผ่นโดยมีคนคอยบริการนั่งมองด้วยสายตาเอ็นดู

     

    หิวละซิ

     

    ก็แหงละ    ตั้งแต่บ่ายจนเย็นแล้วอีกทั้งคืนยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง   หิวจะแย่    หญิงสาวยอมรับ    ขณะนี้เธอกำลังจัดการอาหารกระป๋องที่ชายหนุ่มส่งมาให้

     

    เล่นส่งให้ฉันหมดแบบนี้  แล้วนายล่ะ ?    หลังจากหายหิวไปบ้างแล้วจึงมีน้ำใจถามไถ่   รู้สึกละอายหน่อยๆ ทีทำตัวคล้ายคนตะกละและไร้น้ำใจ

     

    ไม่ต้องห่วงหรอก    แค่กาแฟนั่นกับแป้งแผ่นนี่ผมก็อยู่ได้เป็นวันแล้ว   ชีวิตในทะเลทรายนะคุณ   ผมอดจนชินแล้วละ     คีลบอกง่าย ๆ พลางเริ่มใช้เศษไม้เขี่ยก้อนหินให้กระจายออก    และใช้ทรายกลบไฟที่ลุกไหม้อยู่จนมอดสนิท

     

    จัสมินพิจารณาคนที่บอกว่าอดจนชิน      คนอด ๆ อยาก ๆ จะมีหน้าตาผิวพรรณแบบนี้หรือ   ถึงชายหนุ่มจะแสดงให้เห็นว่าสามารถดำรงชีวิตอยู่กลางทะเลทรายได้อย่างสบาย ๆ ก็เถอะ

     

    คุณทำหน้าไม่เชื่อ

     

    ก็มันน่าเชื่อไหมล่ะ   คนอด ๆ อยาก ๆ หาเช้ากินค่ำที่ไหนเขาเป็นแบบนายบ้าง

     

    ผมเป็นแบบไหน ?    คีลถามแกมหัวเราะ

     

    แค่ดูผิวพรรณมือไม้ก็ไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว

     

    อย่ามองคนแค่เพียงรูปกายภายนอก  เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ และตัวตนจริง ๆ ก็อาจไม่ใช่อย่างที่เห็น    อย่าพูดว่าคุณรู้จักเขาดีเพราะในความจริงคุณอาจไม่รู้จักเขาเลยก็ได้     คำพูดของคีลทำให้หญิงสาวมองสบดวงตาดำคมอย่างค้นหา

     

    แล้วนายล่ะนี่เป็นตัวตนจริง ๆ ของนายหรือแค่ภาพลวงตาหลอกคนอื่น    เป็นคำถามที่ทำเอาคนมองสบตายิ้มกว้าง   ดวงตาคู่คมปรากฏแววขบขัน

     

    คนเราทุกคนมีสองหน้าทั้งนั้นแหล่ะครับ    อาจเป็นเพราะหน้าที่อาจเป็นเพราะความรับผิดชอบเป็นตัวกำหนดการกระทำ,,,,แต่ตอนนี้ขณะนี้ผมก็คือผม   ไม่ใช่มายาลวงที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกตาใคร

     

    แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนหน้ากาก  อันไหนหน้าจริง    หญิงสาวยังซักไซ้ต่อไป

     

    เราไม่มีทางรู้หรอกครับ    เวลาและสถานการณ์บางอย่างเท่านั้นจะทำให้ความจริงเปิดเผยออกมา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×