ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "ชุล" ผจญวิบากกรรม

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 161
      0
      10 เม.ย. 55

    บทนำ

    "เอาหละนะ กล้องสองไปทางนี้ แล้วกล้องอีกตัวก็มาทางนี้นะ พร้อมเมื่อไหร่บอกผมได้เลย"

    "ได้ครับคุณชุล"

    "นายน้อยครับ ผมว่าอย่าดีกว่านะครับ มันไม่มีทางสำเร็จหรอก"

    "ทำไมนายถึงพูดแบบนั้นหละด๊อก ฉันก็เคยให้อาหารมันมาก่อนนะ นายก็รู้นิ"

    "แต่ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนะครับ ตอนนี้นะมันมี..."

    "หนวกหู นี่มันเป็นคำสั่งของอาโดยตรงนะ ทำตามที่ฉันต้องการก็พอ"

    "คุณชุลครับ กล้องพร้อมแล้วครับ"

    "โอเค เริ่มได้เลย"

    ชายหนุ่มได้สวมถุงมือยางพร้อมกับหยิบเนื้อหมูชิ้นใหญ่ขึ้นมา และก้าวเข้าไปในกรงขังอย่างมั่นอกมั่นใจ ข้างนอกกรงขังนั้นมีช่างกล้องโทรทัศน์อยู่สองคนที่กำลังถ่ายบันทึกเทปอยู่ พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งทำหน้าที่ถือไมค์ลอย ยื่นไมค์เข้าไปในลูกกรง แต่เขาไม่ได้ยื่นเข้าไปลึกเท่าไหร่นัก ตัวของเขาสั่นเทากับสิ่งที่อยู่ในกรงขังเสียจนเขาไม่อยากทำหน้าที่นี้่เลยด้วยซํ้า

    ซึ่งสิ่งที่อยู่ในกรงนั้นก็คือ เสื้อโคร่งขาวตัวโตเต็มที่ที่มีความสูง มันกำลังจ้องมองดูเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาในกรงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    ชายหนุ่มคนนี้เขามีรูปร่างหน้าตาที่จัดได้ว่าดูดีมากๆ เขาสูงร้อยเจ็บสิบแปดซึ่้งเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีรูปร่างสูงมากสำหรับคนอายุสิบหก ใบหน้าโค้งเรียวคมดูเป็นผู้ดี ผมของเขายุ่งเสียจนไม่เป็นทรง ผิวของเขาขาวเนียนเสียจนสาวๆ หลายคนต้องอิจฉา สวมใส่เสื้อยืดสีส้มและกางเกงยีนส์สีนํ้าเงินและด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาแบบนี้ทำให้เขาเป็นคนที่หลายคนรู้จัก ในฐานะของ...

    "สวัสดีครับประชาชนชาวไทยที่่เคารพ หลายคนอาจคิดว่าสวนสัตว์นั้นเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเที่ยวเหมือนกับการไปสวนสนุกหรือไปดูหนัง กับเป็นสถานที่แค่เอาสัตว์มาขังเอาไว้เท่านั้น ไม่ครับ ม่าย... ที่สวนสัตว์ของเรานั้นเราไม่ทำอย่างนั้นกับสัตว์น้อยที่น่ารักอย่างแน่นอน และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่น่าเบื่อสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนด้วย เพราะสิ่งที่คุณจะได้นอกจากการเพลิดเพลินในการชมเหล่าสัตว์ต่างๆ ก็คือ การได้รับความรู้กลับบ้านด้วยยังไงหละครับ" ชายหนุ่มหันหน้าให้กับเสือโคร่งขาวและเอ่ยทักทายกับกล้องถ่ายวีดีโอที่มีทีมงานหลายคนกำลังจ้องมองดูเขาอยู่ในการถ่ายทำรายการ

    "ที่สวนสัตว์ของเรานั้นนอกจากจะมีสัตว์แปลกๆ หายากมาให้ชมกันแล้ว หน้าที่หลักของเราก็คือ ทำการวิจัยและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเพื่อให้มันอยู่รอดจากการสูญพันธ์ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะกับสัตว์ป่าคุ้มครองและสัตว์ป่าสงวนซึ่งแน่นอนว่าในสวนสัตว์ของเรานั้นก็มีให้ทุกท่านได้ชมกันหลายตัวเลยหละครับ ไม่ว่าจะเป็นละมั่งพันธุ์ไทยที่ในธรรมชาติไม่เหลือพวกมันแล้ว และก็เจ้าเสือโคร่งขาวตัวที่ยืนอยู่ข้างหลังผมตัวนี้"

    เจ้าเสือโคร่งมองดูชายคนนี้พูดด้วยสีหน้าชวนสงสัย จากนั้นมันก็หันหน้าไปมองดูคนที่ถือไมค์ลอย ซึ่งทำให้เขาคนนั้นสะดุ้งทันที

    "ถึงแม้ว่าการพยายามที่จะขยายพันธุ์ละมั่งพันธุ์ไทยในสวนสัตว์ของเรานั้นจะประสบความล้มเหลว แต่ผมเชื่อนะครับว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ผม ชุล ขอรับปากกับท่านผู้ชมเลยนะครับว่าต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ดั่งที่พ่อของผมคาดหวังเอาไว้"

    ชายหนุ่มที่ชื่อ ชุล นํ้าเสียงสั่นครือเล็กน้อย แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มกว้างและยกเนื้อหมูขึ้น

    "และตอนนี้ในสวนสัตว์ของเราก็ได้มีกิจกรรมใหม่มาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสอีกแล้ว นั่นก็คือ ทุกท่านจะได้สัมผัสกับการให้อาหารสัตว์กับของเราได้ด้วยตนเองด้วยแหละครับ น่าสนใจเลยทีเดียวใช่ไหมหละครับ อย่างเช่นเจ้าเสือโคร่งขาวตัวนี้ถ้าน้องๆ หนูๆ คนไหนอยากให้อาหารมันกับมือหละก็ ทำได้เลยนะครับ..."

    "นายน้อย เราจะให้แขกที่มาเที่ยวให้อาหารเสือโคร่งไม่ได้นะครับ" ชายคนหนึ่งกระซิบเตือนเขา

    "เงียบก่อนด๊อก นี่กำลังอัดรายการอยู่นะ แต่เดี๋ยวช่วยตัดออกหน่อยนะ" ชุลเอ่ยกับช่างกล้อง

    เขาพยักหน้า และก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณให้ชุลดำเนินรายการต่อ

    "เอาหละครับ จะเห็นได้นะครับว่าการให้อาหารสัตว์นั้นนะง่ายมากๆ อย่างเสือโคร่งขาวตัวนี้รับรองว่าคุณจะได้ป้อนอาหารมันเหมือนป้อนอาหารแมวตัวหนึ่งเลยหละครับ ดูนะครับ"

    ชุลได้หันหน้าไปหาสิงโตแล้วก็ยื่นเนื้อหมูที่อยู่ในมือให้

    "เอาหละสอง กินเลย" ชุลยื่นเนื้อหมูเข้าไปใกล้หน้ามันอีก

    แต่ทว่า เสือโคร่งขาวที่ชื่อสองนั้นกลับไม่สนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าเลย มันเริ่มเดินวนอยู่รอบๆ เป็นวงกลมแทน

    "เป็นอะไรไปหละสอง ไม่กินหละ" ชุลถามมันด้วยความสงสัย

    เขาพยายามยื่นเนื้อหมูและชูเนื้อหมูขึ้นๆ ลงๆ เพื่อให้เจ้าเสือโคร่งขาวมันสนใจ แน่นอนว่ามันไม่ได้จ้องมองดูเนื้อหมูเลยซักนิด มันก็ยังเดินวนไปวนมาเป็นวงกลมเหมือนเดิม

    "เอ่อ มันอาจจะอิ่มอยู่ก็ได้ ใช่ไหมครับคุณชุล" คนที่ทำหน้าที่ถือไมล์ลอย เขาถามด้วยความสงสัยปนระแวง

    "ไม่หรอก ปกติเราจะให้อาหารมันทุกวัน เช้าบ้างบ่ายบ้าง และนี่ก็ถึงเวลาให้อาหารมันแล้วด้วยนะ" ชุลอธิบาย "ใช่ไหมด๊อก"

    เขาหันหน้าไปยังคนที่ชื่อด๊อก เขาสูงแค่ร้อยเจ็บสิบกว่าๆ ผมของเขาดูหยิกจนดูเหมือนจะฟูออกมา ใบหน้าของเขาคมดูแมนกว่าชุล สวมใส่เสื้อเชิ๊ดและกางเกงขายาวสีเขียว เขาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ในสวนสัตว์ หรือที่เรียกกันว่า ชูคีเปอร์ นั่นเอง เขายืนกอดอกและมองดูการกระทำของชุลอย่างไม่ชอบใจนัก

    "มันก็ใช่ครับนายน้อย" เขาตอบ

    "เป็นอะไรไปเล่า สอง ไม่หิวรึไง กินสิ" ชุลหันไปพยายามให้อาหารเจ้าเสือโคร่งขาวต่อ แต่แน่นอนว่าเขาประสบความล้มเหลวและมันก็ยังเดินวนอยู่ที่เดิม

    "กินสิ ไม่อยากกินรึไง ปัดโถ่ ช่วยฉันหน่อยสิ" เขาเริ่มหัวเสียเมื่อเห็นว่าเจ้าเสือมันไม่ยอมทำตามคำสั่ง

    "เฮ้ย! จะกินรึไม่กินว่ะ หา!" เขาสบถออกมาดังลั่น ซึ่งเสียงที่ดังลั่นของเขาทำให้เสือที่ชื่อสองสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

    "โฮ้กกกก!"

    ช่างกล้องและคนที่ถือไมค์ลอยนั้นต่างรีบถอยห่างออกมาจากกรงอย่างรวดเร็ว ส่วนชุลนั้นเขาถอยหลังออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าเสือโคร่งขาวกำลังหันหน้ามาเผชิญหน้ากับเขา และจ้องด้วยสายตาที่ไม่พอใจสุดๆ

    "สอง ไม่เอาหน่า ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะ..." ชุลพยายามต่อรองมัน แต่แน่นอนว่าเจ้าแมวใหญ่ไม่สนใจฟังแม้แต่น้อย และนั่นทำให้เด็กหนุ่มรีบหลับตาด้วยความหวาดกลัวทันที

    "สอง! หยุดนะ"

    ด๊อกเข้าไปหามันแล้วเอามือโอบล้อมที่คอของมันซึ่งทำให้เจ้าเสือโคร่งขาวจากเดิมที่ทำท่าจะกระโจนใส่ชุลนั้นมันสงบลงในทันที ด๊อกดีดนิ้วแล้วเดินเข้าไปในกรงพักผ่อนเพื่อให้เจ้าเสือเดินตามเขาเข้าไป และเมื่อเจ้าเสือสงบลงแล้ว เขาเดินออกมาพร้อมกับปิดประตูกรงล็อคขังมันเอาไว้ข้างใน

    ชุลหอบหายใจด้วยความหวาดกลัว เขาเอามืออีกข้างปาดเหงื่อที่อยู่ตามใบหน้าตนเอง ด๊อกรีบเดินมาหาเขาทันที

    "นายน้อย ไม่เป็นไรนะครับ" เขาถามด้วยความหวังดี

    แต่ชุลจ้องตาเขาด้วยความไม่พอใจนัก เขาเขวี้ยงเนื้อหมูลงกับพื้นต่อหน้าเขาก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากกรงไป

    "เอ่อ คุณชุลครับ แล้วการถ่ายทำต่อจะเอายังไงต่อเหรอครับ" คนที่ถือไมค์ลอยถาม

    "เก็บอุปกรณ์ก่อน แล้วเราจะมาถ่ายทำกันใหม่" ชุลตอบด้วยนํ้าเสียงแข็งกระด้างเล็กน้อย "เดี๋ยวผมขอคุยกับคีเปอร์ของผมหน่อยนะ"

    "ได้ครับคุณชุล" เขาพยักหน้า

    เมื่อช่างกล้องและคนถือไมค์ลอยเดินออกจากกรงแสดงแล้ว ชุลหันหลังกลับไปทางเข้ากรงพักผ่อนที่เสือโคร่งขาวเข้าไปเมื่อกี้ ซึ่งด๊อกเขายืนอยู่และในมือก็กำลังถือเนื้อหมูที่เขาเขวี้ยงมันลงพื้นเมื่อซักครู่นี้อยู่

    "ทำไมมันถึงไม่ยอมกินอาหารที่ฉันป้อนให้มันว่ะ ทั้งๆ ที่เดือนก่อนฉันยังป้อนให้มันกินเองตลอดได้เลย" ชุลรีบยิงคำถามใส่เขา

    "ก็ผมเตือนนายน้อยแล้วนี่ครับ ว่ามันไม่ได้ผลหรอก" ด๊อกส่ายหัว "เสือโคร่งนะถ้ามันเห็นคนแปลกหน้า มันจะตื่นคนและไม่ยอมกินอะไรหรอก เพราะมันจะเริ่มระแวงนะครับ"

    "รีบไปทำให้มันยอมให้ฉันป้อนมันอีกครั้งตอนบ่ายนี้ให้ได้นะด๊อก ฉันจะได้นัดให้เขามาถ่ายใหม่อีกรอบ" ชุลถอดถุงมือยางออกแล้วชี้นิ้วสั่งเขา

    "เป็นไปไม่ได้หรอกนายน้อย ไม่ว่าจะลองกี่ครั้งมันก็เหมือนเดิมแหละครับ" ด๊อกตอบเหมือนเดิม

    "นายเป็นชูคีเปอร์ที่ดีที่สุดในสวนสัตว์แห่งนี้ ฉันสั่งอะไรนายก็ต้องทำให้ได้" ชุลจิ้มนิ้วใส่อกของเขา

    "เสือโคร่งขาวมันไม่ใช่หุ่นยนต์นะครับที่จะปฏิบัติตามที่เราสั่งได้ตลอดเวลา" ด๊อกอธิบาย

    "ทำให้ได้ด๊อก ไม่งั้นฉันจะให้อาของฉันไล่นายออก!" ชุลตะคอกใส่เขา

    "เอ่อ นายครับ พอก่อนเถอะครับ" ด๊อกยกมือห้าม

    "อ๋อ นี่กล้าขัดคำสั่งฉันด้วยงั้นเหรอ อยากลองดีใช่ไหม" เด็กหนุ่มถามด้วยความไม่พอใจ

    "เปล่าครับนาย ข้างหลังนะ" ด๊อกชี้ไปข้างหลัง

    ชุลหันหน้าไปมอง ปรากฎว่าข้างหลังเขานั้นคือพวกช่างกล้องและคนถือไมค์ลอยเมื่อกี้ พวกเขาได้แอบถ่ายการสนมนาของชุลเมื่อกี้เอาไว้ทั้งหมด

    "เป็นข่าวได้เลยนะเนี่ย" คนถือไมค์ลอยยิ้มออกมาด้วยความละโมบ

    "ชิ" ชุลพึมพำด้วยความไม่พอใจนัก ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าตังค์และหยิบธนบัตรใบสีเงินส่งให้พวกเขาคนละใบ

    "ขอบคุณมากครับคุณชุล" คนถือไมค์ลอยรีบเงินจากเขามาด้วยใบหน้าพึงพอใจ

    "ออกไปกันได้แล้ว" ชุลสั่ง ซึ่งทั้งสามคนนั้นก็ยอมออกไปจากบริเวณกรงเลี้ยงเสือแต่โดยดี

    "หาทางทำให้มันพร้อมการถ่ายทำต่อให้ได้ ฉันจะไปรายงานผลกับอาของฉัน" เขาหันหลังกลับมาชี้นิ้วสั่งกับด๊อก

    "ไม่รับประกันครับนายน้อย" ด๊อกส่ายหัว

    ชุลทำท่าอยากจะอ้าปากเถียงต่อ แต่เขาก็หุบปากเพราะเขาคิดว่าพวกนักข่าวเมื่อกี้อาจจะแอบฟังอยู่ เขาหมุนตัวแล้วกึ่งเดินกึ่งกระแทกเท้าออกไปจากกรงเลี้ยงเสือ ด๊อกมองดูเขาเดินจากไปพร้อมกับส่ายหัว

    เมื่อชุลเดินออกมาข้างนอก เขาพบเจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสูงแค่ร้อยสิบหกกว่าเท่านั้น ใบหน้าของเธอเป็นรูปไข่ ผิวของเธอขาวเนียนยิ่งกว่าผิวของชุลเสียอีก เธอมีดวงตากลมโตเปร่งประกาย เรียกได้ว่าเป็นคนที่น่ารักมาก เธอสวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนพร้อมหมวกสีขาวประดับด้วยสายริบบิ้นสีแดง เธอจ้องมองดูชุลด้วยใบหน้าชวนสงสัย

    แต่ชุลนั้นกลับไม่สนใจเธอ เขาเดินผ่านเธอไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองเลย เด็กสาวหันไปมองดูชุลเดินจากไป และเธอก็หันหน้ามองดูตรงทางเข้ากรงเสือ ซึ่งด๊อกเดินออกมาพอดี

    "พี่ค่ะ มีเรื่องอะไรกันเหรอค่ะ" เธอถามด้วยความรู้

    "ไม่มีอะไรหรอก" ด๊อกส่ายหัวตอบเธอ

    ชุลรีบเดินผ่านทางเดินของสวนสัตว์ ซึ่งมีผู้คนมาท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย แต่ถึงจะเห็นมีคนเดินมากมายแค่ไหนแต่หากดูโดยรวมแล้วปริมาณคนถือว่าน้อยเหมือนกัน เขาเร่งรุดเดินหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ของสวนสัตว์ ที่นั่นคือ สถานที่ทำงานของอาเขานั่นเอง เขาผลักประตูเข้าไปและมุ่งตรงไปยังห้องทำงานของผู้บริหารทันที และนั่นทำให้เลขาที่นั่งอยู่หน้าห้องตกใจมาก

    "คุณชุลค่ะ ท่าน ผอ. ยังไม่กลับมาจากประชุมเลยนะค่ะ" เธอรีบบอกเขา

    "ไม่เป็นไร ผมรอได้ เอากาแฟมาให้ผมแก้วหนึ่ง อย่าลืมใส่นมด้วยนะ" เขาสั่งเลขา

    "คะ ได้ค่ะ" เธอพยักหน้าก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป ส่วนชุลนั้นเมื่อถึงห้องผู้อำนวยการสวนสัตว์แล้วเขาเปิดประตูเข้าไปทันที

    ในห้องทำงานรูปสี่เหลี่ยมขนาดเท่ากับห้องเรียนในโรงเรียนนั้น ชุลมองไปรอบๆ ซึ่งก็ไม่มีใครอยู่จริงๆ เขาเดินสำรวจดูของต่างๆ ในห้องเพื่อฆ่าเวลา เขามองดูรูปพ่อของเขาที่ตั้งอยู่บนชั้นวางของใกล้กับโต๊ะทำงาน

    พ่อของเขานั้นเคยเป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์แห่งนี้มาก่อน และได้สร้างสวนสัตว์เสร็จก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก ถึงแม้ว่าสวนสัตว์แห่งนี้จะไม่ได้เป็นสวนสัตว์สังกัดของรัฐบาลแต่ก็เป็นสวนสัตว์เอกชนที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ ในสมัยที่พ่อของเขาบริหารอยู่ พ่อของเขาพยายามผลักดันการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอย่างมาก โดยเฉพาะการพยายามที่จะขยายพันธุ์ละมั่งพันธุ์ไทย ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่ยี่สิบเก้าตัวในโลกเท่านั้น แต่ทว่า ในช่วงที่พ่อของเขาไปดูสถานที่ที่จะปล่อยพวกละมั่งคืนสู่ป่า ชุลได้รับรายงานว่าพ่อของเขาเสียชีวิตเพราะโดนพวกสัตว์ในป่ารุมทำร้ายและไม่มีใครช่วยทัน

    ชุลกำหมัดแน่นเมือเขามองเห็นรูปของพ่อเขา และเขาก็มองไปยังโต๊ะทำงานในห้อง ซึ่งอดีตนั้นเคยเป็นโต๊ะทำงานของพ่อเขามาก่อน จนกระทั่งอาของเขามานั่งบริหารแทน

    หลังจากพ่อของเขาเสียชีวิต ทนายความได้เปิดพินัยกรรมของพ่อเขา และได้ระบุว่า อาของเขาจะเป็นผู้สืบทอดกิจการสวนสัตว์ต่อจากพ่อของเขาไปจนกว่าชุลจะมีอายุครบยี่สิบปี ชุลถึงจะมีสิทธิในการบริหารสวนสัตว์แห่งนี้ด้วย ซึ่งตอนนี้อาของเขาก็ได้เป็นเจ้าของสวนสัตว์แห่งนี้มาสามปีกว่าแล้ว

    เขามองไปยังชั้นวางของที่อยู่ตรงข้าม มันมีรูปของเขาที่ขึ้นรับรางวัลอยู่ และมีข้อความระบุที่ภาพว่า 'ที่ระลึก ดาราเยาวชนดีเด่น'

    ชุลประสบความสำเร็จในการเป็นนักแสดงเด็กนั่นเพราะเขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและทางบ้านส่งเสริม แต่ทว่า หลังจากที่อาของเขารับตำแหน่งผู้อำนวยการสวนสัตว์ และหลังจากที่การผสมเทียมละมั่งพันธุ์ไทยครั้งแรก ลูกที่เกิดออกมาตายหมด ทำให้ความเชื่อมั่นของคนที่มีต่อสวนสัตว์แห่งนี้ลดลง อาของเขาจึงได้ใช้ให้เขาทำทุกวิธีทางเพื่อที่จะโปรโมทเรียกคนมาเที่ยวสวนสัตว์แห่งนี้ แต่วิธีการของอานั้น ชุลเองยังคิดเลยว่ามันออกดูแปลกๆ ทั้งการขึ้นขี่นกกระจอกเทศโชว์ , การเอางูมาพันรอบตัวและบอกว่าคนมาเที่ยวสามารถทำได้ (ซึ่งก็จบลงโดยที่ชุลเกือบโดนงูฉก) การโฆษณาออกไปแต่ละครั้งทำให้คนมาเที่ยวสวนสัตว์น้อยลงกว่าเดิมเสียอีก และเมื่อชุลบอกว่านี่เป็นคำสั่งของอา ก็ไม่มีใครเชื่อ ทำให้ความเชื่อถือของชุลก็ลดลงตามไปด้วย

    และด้วยเหตุนี้ ทำให้เขาไม่ชอบพวกสัตว์ เกลียดพวกมัน เกลียดที่พวกมันทำให้พ่อเขาตาย เกลียดที่เขาพายายามแสดงกับมันแล้วมันไม่ทำตาม เกลียดที่มันทำให้เขาเสียทั้งชื่อเสียงและหน้าที่การงาน สำคัญที่เขาเกลียดสัตว์นั้นก็คือ

    แอ๊ด..

    ประตูเปิดออก ชุลหันไปมอง ซึ่งก็ทำให้เขามองเห็นอาของเขาเดินเข้ามาในสภาพใบหน้ามู่ทู่ อาของเขานั้นหน้าตาไม่เหมือนพ่อเขาเท่าไหร่นัก ใบหน้าอ้วนกลม รอยย่นบนใบหน้ามีเพียบ ทั้งหัวหงอกเป็นสีขาวแล้ว สายตาที่คมกริบทีเทิ่มเหมือนพวกเหยี่ยวกำลังจะล่าเหยื่อ

    อาของเขาเดินเข้ามาในห้อง ไม่สนใจชุลที่ยืนมองเขาด้วยซํ้า เขาเดินอ้อมไปอีกทางก่อนที่จะกระแทกเอกสารใส่หน้าชุล ผู้ช่วยของอาที่มีหน้าตาเหมือนลิงรีบวิ่งห่อไหล่เข้ามาทำสีหน้าประจบประแจงทันที ชุลไม่ชอบเขาเลย

    "ติดต่อกับทางโรงงานด้วยว่าอาหารเม็ดของเราเริ่มขาดแคลนแล้ว ให้มันเริ่มส่งของมาให้เราได้แล้ว" อาของเขาสั่งกับผู้ช่วยของเขาโดยที่ไม่มอง

    "ได้ครับนาย" ผู้ช่วยของเขาเอามือถูไปถูมาและตอบอย่างกระตือรือร้น

    "คุณอาครับ..." ชุลเอ่ยกับเขา

    "แล้วก็ถามไปทางออสเตอเรียด้วยว่าเมื่อไหร่คีเปอร์ฝั่งเขาจะบินมาหาเราซักที คนที่มาเที่ยวเขารอชมหมีโคล่าอยู่นะ" อาของเขาสั่งอีกครั้ง

    "ได้ครับนาย ทันทีครับ" ผู้ช่วยของเขารีบเดินออกไปนอกห้องทันที เสียงประตูห้องปิดลงจนทำให้บรรยากาศทั้งห้องเงียบกริบ

    "คือ อาครับ ผมมีเรื่องจะรายงาน..." ชุลบอกกับอาของเขาเมื่อเขาเห็นว่าอาเขาว่างแล้ว

    "เงียบไปเลยไอ้ชุล ไม่เห็นรึไง ว่าอากำลังเครียดเรื่องเจรจากับกัมพูชาเรื่องนํ้าเชื้อละมั่งพันธุ์ไทยอยู่เนี่ย" อาของเขาเอามือตบกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ

    "แต่อาครับ ที่อาบอกให้ผมป้อนอาหารเสือโคร่งขาวให้นักข่าวดูนั้นนะ..." ชุลรีบอธิบาย

    "หุบปากเป็นไหม ? หรือจะต้องให้อาไล่หลานออกไปจากห้อง!" อาเขาตะคอกใส่

    "ผมขอโทษครับอา..." ชุลก้มหัว

    "เงียบ เดี๋ยวนี้" อาแยกเขี้ยวใส่

    ชุลพ่นลมออกมาจากจมูกด้วยความไม่พอใจนัก เขาเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้วยความหงุดหงิด

    ใช่แล้ว อีกเหตุผลที่เขาเกลียดพวกสัตว์ก็คือ อาของเขาแทบไม่สนใจเขาเลยในฐานะผู้ปกครองคนเดียวในชีวิตเขา อาของเขาสนใจพวกสัตว์มากกว่าเขาซึ่งเป็นหลานเสียอีก

    ประตูห้องเปิดออก ผู้ช่วยของอาเขารีบวิ่งเข้ามาทันที

    "นายครับ ดูอะไรนี่สิครับ" เขาหยิบรีโมทบนโต๊ะและเปิดโทรทัศน์ที่แขวนอยู่บนเพดานทันที พร้อมกับหันมายิ้มใส่ชุลด้วยความสะใจในทันที ซึ่งชุลมองเขาด้วยความไม่พอใจปนสงสัย

    ในโทรทัศน์นั้นได้นำเสนอข่าวอยู่ และข่าวนั้นก็เป็นภาพที่มีชุลอยู่ด้วย

    "อย่างที่เห็นนะค่ะ น้องชุล ดารานักแสดงที่รู้จักกันดีนั้นเป็นคนที่มีนิสัยก้าวร้าวอย่างมาก จากภาพที่ช่างกล้องของเราถ่ายมาได้นั้นจะเห็นได้ว่า น้องชุลเขาได้ตะโกนใส่ผู้ดูแลสวนสัตว์ค่ะ"

    'ทำให้ได้ด๊อก ไม่งั้นฉันจะให้อาของฉันไล่นายออก!'

    ภาพในจอโทรทัศน์นั้นเล่นทำเอาชุลตัวแข็งไปชั่วขณะ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ แถมเมื่อนักข่าวรายงายว่าเขาได้แอบยัดเงินให้กับช่างกล้องเพื่อปิดปากเรื่องนี้ด้วยแล้ว ทำให้เขาตัวของเขาสั่นด้วยความโมโหทันที

    ไอ้บ้าเอ้ย ตูยัดเงินไปให้แล้วยังจะเอามาออกข่าวอีกนะเอ็ง เขาคิดในใจอย่างเคียดแค้น

    อาของเขาลุกขึ้น แล้วก็เดินเข้ามาตบหน้าชุลเต็มแรง

    เพี๊ยะ!

    ชุลหันหน้าไปตามแรงตบของอาเขา เขาเอามือลูบหน้าตนเองที่โดนอาเขาตบ เขาพบเห็นใบหน้าที่บึ้งตึงของอาเขาด้วยความโกรธ

    "ไอ้หลานบ้า แกทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม" อาของเขาถามด้วยเสียงที่ดังลั่นด้วยความโมโห "แกกำลังทำลายภาพพจน์สวนสัตว์ที่พ่อแกสร้างขึ้นมาเองกับมือ"

    "แต่ทั้งหมดมันก็เพราะความคิดของอานั่นแหละครับ อาสั่งให้ผมทำในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้!" ชุลโต้เถียง พร้อมชี้ไปยังจอโทรทัศน์ที่นักข่าวกำลังรายงานเรื่องที่เขาพยายามป้อนอาหารเสือโคร่งที่มีช่างกล้องยืนถ่ายอยู่

    "นี่แกยังมีหน้ามาเถียงอาอีกอย่างงั้นเหรอ เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าแกนี่มันทำตัวได้ไร้สาระขนาดไหนหา!" อาของเขาตะโกนใส่

    "นี่อา...หาว่า...ผมทำตัวไร้สาระ...อย่างนั้นเหรอครับ" ชุลถามด้วยความโกรธที่มีมากขึ้นทุกขณะ

    เขารู้สึกเหมือนมีใครกำลังจุดไฟในตัวเขาให้ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็รู้สึกเหมือนโดนอาของเขาตบอีกรอบทั้งที่อาของเขายังไม่ตบ

    นี่จะบอกว่า ไอ้สิ่งที่เราต้องก้มหัวทำตามคำสั่งของอามาตลอด มันคือไร้สาระอย่างนั้นเหรอ เขาคิดด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง

    "แกออกไปได้แล้ว แล้วอย่าเสนอหน้ามาให้เห็นอีก ต่อไปนี้ ฉันจะไม่นับว่าแกเป็นหลานฉันอีกต่อไป" อาของเขาชี้นิ้วไล่

    "เออ เอาอย่างนั้นก็ได้" ชุลฉีกยิ้ม "งั้นเชิญให้อาอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ ในเมื่อผมมันไร้ประโยชน์"

    "ออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้ง รปภ." อาของเขาหันหลังแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ

    ชุลอ้าปากทำท่าจะด่ากลับ แต่เขาก็หุบปากและกัดฟันด้วยความโมโห เขาลุกขึ้นแล้วยํ้าเท้าเสียงดังไปยังประตู ก่อนที่เขาจะใช้เท้าเตะเปิดประตูแทนเอามือเปิดเสียงดังลั่น ซึ่งทำให้เลขาที่อยู่หน้าห้องตกใจมาก เพราะเธอกำลังถือกาแฟมาให้เขา ชุลหยิบกาแฟมาจากมือของเลขา ก่อนที่จะดื่มมันหมดรวดเดียวทั้งแก้วราวกับดื่มนํ้าเปล่า และส่งแก้วคืนให้เธอแล้วก็เดินจากไป

    เลขาสาวหันหน้ามองดูในห้อง ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอจึงไม่ถามอะไรต่อ พร้อมกับปิดประตู แต่ประตูนั้นปิดไม่ได้เพราะลูกบิดประตูหลุดออกมาด้วยผลของแรงเตะของชุลเมื่อกี้

    "เอ่อ เดี๋ยวดิฉันจะตามช่างมาซ่อมประตูให้นะค่ะ" เธอบอกกับหัวหน้าของเธอ ซึ่งผู้บริหารก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

    ชุลเดินกระแทกเท้าออกมาด้วยความโมโห เขาไม่สนใจสายตาของคนที่มาเที่ยวและเจ้าหน้าที่ที่มองเขา เขามุ่งหน้าไปยังมอเตอร์ไซด์ของเขาที่จอดเอาไว้อยู่ ซึ่งตรงนั้น ด๊อกกำลังยืนอยู่กับคนที่เป็นน้องสาวของเขา

    "เอ่อ นายน้อย ถ้าจะมาตามเรื่องที่จะให้เจ้าสองยอมกินอาหารอีกครั้ง ผมยังขอยืนยันนะครับว่ามันเป็นไปไม่ได้" ด๊อกรีบบอกเขาทันที

    "ไม่ต้องทำแล้ว ฉันถูกเตะออกมาแล้ว พอใจแล้วสินะ" ชุลสบถใส่เขาก่อนที่จะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ของเขา

    "ถูกเตะออกมาอย่างนั้นเหรอ" ด๊อกถามด้วยความสงสัย

    ชุลหมุนลูกกุญแจและสต๊ากเครื่องยนต์ และบิดคันเร่งเสียงดังลั่น แสดงถึงความไม่พอใจของเขา

    "ลาก่อนด๊อก" ชุลหยิบหมวกกันน็อคออกมาใส่

    "แต่นายน้อย แล้วกิจการสวนสัตว์ที่นายน้อยจะดูแลต่อจากเจ้านายหละ" ด๊อกถาม

    ชุลไม่ตอบ เขาเร่งเครื่องยนต์แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

    "นี่มันเรื่องอะไรกันค่ะพี่" น้องสาวของด๊อกถาม

    ด๊อกไม่ตอบ เขาหันหน้าไปยังตึกสำนักงานใหญ่ เขาหรี่ตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    ชุลขับรถออกมาจากสวนสัตว์ และเมื่อเขาออกมาบนถนนทางเข้าออกแล้วเขาก็จอดรถริมทาง เพื่อเปิดทางให้รถยนต์คันอื่นที่จะออกจากสวนสัตว์ออกไปได้ เขาหันหน้ากลับไปมองดูประตูทางเข้าสวนสัตว์ ที่ซึ่งเป็นเสมือนบ้านเกิดของเขา

    ภาพของพ่อเขาซ้อนทับป้ายชื่อสวนสัตว์

    ชุลส่ายหัวก่อนที่จะบิดคันเร่ง แล้วก็ขับรถแซงรถของนักท่องเที่ยวคันอื่นๆ ออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงบีบแตรด้วยความไม่พอใจดังตามมา แต่ชุลนั้นเขาไม่ได้สนใจเสียงแตรที่บีบไล่เขาเลยซักนิด ตอนนี้ เขามีจุดหมายปลายทางที่เขาต้องการที่จะไป

    สถานที่เป็นที่พักของเขา และเป็นที่เดียวที่เขาสามารถสงบจิตใจได้

    -----------------------------


    (
    สองชั่วโมงต่อมา)

    ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงสีเหลืองทองฉาดแสงบนท้องฟ้าโดยมีภูเขาสูงใหญ่เป็นฉาก ไฟจากทางหลวงเริ่มเปิดเพื่อส่องสว่างให้กับถนนทางหลวง

    ชุลกำลังขับรถไปตามทาง ซึ่งทั้งสองฝั่งนั้นเป็นป่าเรียงรายกันเป็นแถว นี่เป็นถนนสองเลนส์เส้นทางที่มักจะเชื่อมไปยังทางต่างๆ ของต่างจังหวัด เขาเร่งความเร็วแข่งกับรถยนต์และรถบัสที่แล่นบนถนน ความเร็วที่เขาใช้ขับนั้นถือว่าเร็วจนน่าหวาดเสียว

    เมื่อเขามองเห็นทางแยกข้างหน้า เขารีบเปิดไฟเลี้ยวและหันรถเลี้ยวเข้าไปทางซ้ายทันที ทางแยกที่ว่านี้ไม่ใช่ทางแยกของถนนทางหลวง แต่เป็นถนนดินลูกรังขนาดเลนส์เดียวที่ทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ถนนเส้นนี้ไม่มีไฟส่องทาง ชุลจำเป็นต้องลดความเร็วลงเพื่อความปลอดภัยเพราะตอนนี้ทางเริ่มจะมืดจนมองถนนไม่ค่อยเห็นแล้ว

    เขาขับรถเข้าไปตามถนนเรื่อยๆ ผ่านสามแยกที่ทางขวามือนั้นจะเป็นทางเข้าไปในหมู่บ้านที่ว่า แต่เขาไม่ได้สนใจหมู่บ้านดังกล่าว และเมื่อเขาขับเข้าไปอีกซักระยะ ก็มีสามแยกอีกครั้ง คราวนี้เขาเลี้ยวเข้าแยกไปทางขวา และเมื่อขับเข้ามาไม่ลึกนัก เขาก็พบกับบ้านหลังหนึ่งที่ปลูกอยู่ท่ามกลางป่าในความมืด

    ชุลถอดหมวกกันน็อคออกแล้วจอดรถ เขาเดินเข้าไปตรงต้นไม้ข้างทาง ซึ่งมีเครื่องจ่ายไฟติดอยู่กับเสาไฟฟ้า เขาสับคันโยกแหล่งจ่ายไฟ แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าส่องส่างทันที เผยให้เห็นบ้านเดี่ยวที่มีชั้นเดียวที่มีสภาพสร้างมาแล้วไม่เกินสองปี เสียงนํ้าจากลำธารไหลหลังจากตัวบ้าน ลมเย็นพัดเข้ามาหาเขาจนทำให้เขารู้สึกใจเย็นลงบ้าง เขาปิดตู้จ่ายไฟแล้วไขกุญแจเข้าไปในบ้านดังกล่าว

    ภายในบ้านแห่งนี้มีขนาดพื้นที่ไม่มากนัก มีขนาดพื้นที่แค่ราวๆ บ้านพักตามรีสอร์ทเสียมากกว่า มีห้องรับแขก ห้องนํ้า ห้องเก็บของ ห้องนอนครบ ในพื้นที่ที่เขาอยู่นั้นคือห้องรับแขก ซึ่งมีโซฟาอยู่สองตัวพร้อมกับโต๊ะรับแขกที่ทำจากไม้ พื้นห้องปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนทำให้พื้นห้องเย็นจับใจ ตรงที่นั่งโต๊ะรับแขกจึงต้องมีพรมวางไว้ ทางซ้ายมือนั้นเป็นทางเข้าไปยังห้องนอนและมีห้องนํ้าอยู่ข้างๆ ส่วนทางขวามือเป็นห้องครัวที่มองเห็นข้างในได้ครึ่งหนึ่ง เพราะช่วงผนังส่วนบนเจาะทะลุให้มองเห็นกันได้ แต่ก็ยังมีประตูทางเข้าออก ส่วนทางข้างหน้านั้นเป็นประตูออกไประเบียงข้างนอก มีหน้าต่างติดอยู่บานหนึ่ง ผนังของบ้านหลังนี้ก่อด้วยอิฐและปูน และมีหินจากนํ้าตกมาฝังไว้ด้วย ทำให้ตัวบ้านเย็นสบายเพราะหินนํ้าตกจะเก็บความเย็นเอาไว้

    เขาถอดเท้ารองออกแล้ววางไว้ในชั้นวางรองเท้า ซึ่งบนชั้นนั้นมีกระดาษวางไว้อยู่แผ่นหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมาดู ซึ่งเป็นใบบันทึกการรายงานผลการเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน ซึ่งจากใบรายงานผลนั้นทำให้เขาเห็นว่าบ้านหลังนี้ได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดีทุกวัน เขาวางแผ่นกระดาษใบนั้นไว้ที่เดิม จากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องนอนทางซ้ายมือ

    ในห้องนอนนั้นมีเตียงอยู่สองเตียง มีหน้าต่างอยู่บานหนึ่งที่ปิดอยู่และตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้อง บนโต๊ะเล็กๆ คั่นกลางระหว่างเตียงที่สองตั่งนั้น มีกรอบรูปวางอยู่ ซึ่งรูปนั้นก็คือ รูปของเขากับพ่อเขาสมัยที่เขายังเด็กๆ อยู่นั่นเอง

    เขาจ้องมองรูปพ่อของเขาก่อนที่จะปิดประตูห้องนอนแล้วก้มหน้าลงกับพื้น

    บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อของเขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนตัว โดยจ้างชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ มาทำความสะอาดและเฝ้ายามไว้ แต่อันที่จริง พื้นที่นี้ใกล้กับอุทยานแห่งชาติ และชาวบ้านในหมู่บ้านดังกล่าวก็ไม่มีใครล่าสัตว์อีกแล้วหลังจากที่พ่อของเขาได้มาสร้างความเข้าใจในเรื่องผลกระทบจากการล่าสัตว์ป่า ทำให้บ้านหลังนี้ไม่มีใครมาขโมยอะไรเลย เป็นบ้านที่เขากับพ่อจะมาอยู่กับสองคนเท่านั้น แม้แต่อาของเขาก็ไม่รู้ว่ามีบ้านหลังนี้อยู่

    เขาเดินออกไปที่ระเบียงนอกบ้าน พื้นระเบียงดังกล่าวมีความกว้างไม่มาก ทำจากไม้ทั้งพื้นและรั้วระเบียง มีโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้อยู่สองตัว แม้ว่าข้างนอกจะมืดสนิท แต่เมื่อเขาเปิดไฟที่ระเบียง ไฟก็ส่องสว่างให้เห็นลำธารสายหนึ่งไหล่เลียบผ่านบ้านเขา รอบๆ เป็นป่าทั้งนั้น เสียงนํ้าไหลพร้อมกับเสียงแมลงร้องยามคํ่าคืนทำให้บรรยากาศแถวนี้สงบลงมาก เขานั่งลงบนเก้าอี้ และหันหน้ามองไปยังลำธารที่อยู่ตรงหน้า พลางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

    หลังจากที่พ่อเขาเสียชีวิต ชุลต้องบอกยกเลิกงานแสดงไปเกือบครึ่งเพื่อมาช่วยทางสวนสัตว์โปรโมททำโฆษณาตามคำสั่งของอา ตอนแรกๆ เขาก็ยินดีช่วยเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาช่วยได้ แต่ก็เพราะคำแนะนำแปลกๆ ของเขา ทำให้ตอนนี้แม้แต่สปอนเซอร์และผู้จัดการส่วนตัวของเขาถึงกับถอยห่างและเลิกติดต่อเขาทันทีเพราะไม่มีใครเชื่อว่าอาของเขาจะสั่งให้ทำอะไรแปลกๆ เอาจริงๆ แล้วตอนที่อาเขาให้คำแนะนำกับชุล เขาจะแนะนำกึ่งบังคับให้ทำแบบไม่ใส่ใจนัก ซึ่งชุลก็เคยเข้าใจจุดประสงค์ของอาตนเองเลยว่าเขาต้องการทำแบบนี้เพื่ออะไร

    เขากับอานั้นแทบไม่เห็นหน้ากันเลย ตระกูลของพ่อของเขาเหลือแค่พ่อกับอาเท่านั้น มีแต่เพียงอาที่ไม่ได้แต่งงาน ชุลเพิ่งจะมาเห็นอาของเขาครั้งแรกก็ตอนที่เขามารับช่วงต่อการเป็นผู้บริหารของสวนสัตว์เนี่ยแหละ ทำให้ชุลไม่รู้เลยว่าอาของเขาเป็นคนยังไงกันแน่ แต่รู้เพียงว่า อาของเขาเอาแต่สนใจพวกสัตว์ในสวนสัตว์มากกว่าเขาเสียอีก

    เขาจ้องมองเข้าไปในป่าที่มีแต่ความมืด ในหัวของเขานั้นมีแต่เหตุการณ์ที่อาของเขาไล่เขาออกมาจากห้องทำงาน ฉายซํ้าวนไปวนมา

    'เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าแกนี่มันทำตัวได้ไร้สาระขนาดไหนหา'

    'ต่อไปนี้ ฉันจะไม่นับว่าแกเป็นหลานฉันอีกต่อไป'

    ชุลหัวเราะประชดกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับส่ายหัว

    "นี่ฉันเป็นใครกันแน่นะ อดีตดาราชื่อดังเหรอ ? หรือผู้สืบทอดกิจการสวนสัตว์ ? เปล่าเลย ฉันมันก็แค่ไอ้โง่ที่เอาแต่ทำตามคำสั่งของอาตัวเองทั้งที่รู้ว่ามันพิลึก แถมทำให้ทุกคนมองฉันเป็นไอ้โง่ไปด้วย"

    เขากำหมัดแน่นเมื่อเขานึกถึงตอนที่อาของเขาสั่งผู้ช่วยเรื่องของสัตว์ต่างๆ ในสวนสัตว์

    "ทั้งหมดมันเป็นเพราะไอ้พวกสัตว์ทั้งหลายนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้พวกสัตว์ ฉันก็คงไม่เป็นตัวตลก อาก็คงจะดีกับฉันกว่านี้ และพ่อของฉัน...ก็คง...ไม่ตาย..."

    เขาสะอื้นไห้ นํ้าตาเล็ดออกมาจากดวงตาของเขา เขาเอามือปาดนํ้าตาตนเอง

    ในขณะที่ความคิดของเขายังคงไร้ซึ่งหนทางออกที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อในวันรุ่งขึ้น เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในห้องครัว เด็กหนุ่มสะดุ้งและรีบลุกขึ้นหันหน้าเข้าไปมองในตัวบ้านทันที

    "นั่นใครนะ" เขาถาม

    แต่เมื่อไม่มีเสียงใครตอบกลับ ทำให้เขายิ่งไม่ไว้วางใจมากขึ้น เขาค่อยๆ ย่องเข้าไปในตัวบ้านเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    ในบ้านนั้นไม่มีคนอยู่ แต่ประตูหน้าบ้านเขาเปิดคาเอาไว้

    บ้าชิบ ลืมปิดประตูไปได้ยังไงฟะเนี่ย เขาคิดด่าตัวเองในใจ

    กุก..กัก...

    มีเสียงดังขึ้นมาจากในห้องครัวอีกครั้ง ผมหันหน้ามองไปทางห้องครัวโดยอัตโนมัติ ประตูห้องครัวไม่ได้เปิด เขาค่อยๆ เดินเลียบชิดผนังไปในห้องนอน เปิดประตูแล้วคว้าปืนลูกซองที่แขวนเอาไว้ในห้องนอนออกมา ซึ่งปืนลูกซองนี้พ่อเขาซื้อเอาไว้ป้องกันตัว ชุลหยิบเอากระสุนปืนลูกซองติดตัวมาห้านัด เขายัดลูกกระสุนเข้าไปในกระบอกปืนอย่างบรรจง พร้อมกับค่อยๆ ย่องไปยังห้องครัว

    เมื่อเขายัดกระสุนใส่เสร็จแล้ว เขาค่อยๆ ชักกระสุนปืนอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้มันเกิดเสียง ตอนนี้ปืนของเขาพร้อมลั่นไกแล้ว เขาเล็งปืนไปตรงช่องว่างผนังห้องที่เชื่อมระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องครัว เขากลืนนํ้าลายเข้าไปในปาก พยายามทำตัวให้มีสติเอาไว้ให้มากที่สุด

    ใครกันนะ ฉันอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปี ไม่เคยเห็นมีขโมยมาสักคน เขาคิดด้วยความสงสัย

    เขาค่อยๆ ย่องฝีเท้าเข้าไปใกล้ห้องครัวมากขึ้น ในหัวของเขานั้นคิดไปต่างๆ นาๆ ว่ามีใครอยู่ในห้องครัว จะเป็นหัวขโมยแบบไหน ? เป็นแค่ชาวบ้าน ? หรือว่าเป็นมหาโจรที่มีอาวุธครบมือพร้อมระเบิดบ้านนี้เป็นเสี่ยงๆ ถึงแม้ว่าความคิดของเขาไร้สาระ แต่ทั้งบ้านหลังนี้มีเขาอยู่คนเดียว ทำให้เขาวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นเมื่อเขารู้ว่าเขาไม่อาจพึ่งพาใครได้

    ตอนนี้เขาหยุดยืนอยู่ที่ผนังที่ทะลุระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องครัวแล้ว เขาขยับมือตนเองจับปลายกระบอกปืนให้มั่น ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ และทำตามที่หัวของเขาคิดเอาไว้

    "นั่นใครนะ ออกมานะ ฉันมีปืนนะเว้ย" เขาขู่เสียงดัง

    ฟ้าว!

    มีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างห้องครัวกับห้องนั่งเล่น ซึ่งทำให้ชุลร้องลั่นด้วยความตกใจและหงายหลังลงกับพื้น มันผ่านไปไวมากจนเขามองไม่ทัน เขารีบลุกขึ้นยืนและมองเข้าไปในห้องครัวทันที

    ตู้เย็นของเขาเปิดออก ของกินในนั้นกระจัดกระจายออกมา โดยเฉพาะพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่เขาเคยไปซื้อตุนเอาไว้เอามาทำอาหารกิน

    เขารีบหันหลังไปมองดูสิ่งที่กระโดดข้ามหัวเขาไปเมื่อกี้ และเขาก็มองเห็น

    สุนัขจิ้งจอก

    มันกำลังมองดูเขา และก้มหน้าจ้องมองเขาด้วยความระมัดระวัง ชุลรีบหันปลายประบอกปืนเล็งใส่มัน มันขู่คำรามใส่เขาทันที เด็กหนุ่มสะดุ้งดังเฮือก มือไม้ของเขาสั่นด้วยความหวาดกลัว เป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่ใกล้กับพวกสัตว์โดยที่ไม่มีชูคีเปอร์อย่าง ด๊อก อยู่ใกล้ๆ ตัวเขา นั่นทำให้เขากลัวมากยิ่งขึ้น

    แต่เมื่อเขาสบตามองกับมัน ทำให้ภาพในหัวของเขาเล่าย้อนความทรงจำวันที่พ่อของเขาเสียชีวิตทันที

    "พ่อของผมโดยพวกสัตว์ป่าฆ่าตายอย่างนั้นเหรอครับ" ตัวของเขาในอดีตถามทนายความประจำสวนสัตว์

    "ใช่ ผลจากการชันสูตร เห็นว่าโดนพวกฝูงหมาจิ้งจอกทำร้ายเอานะ โดนเล็บของมันปาดเข้าที่คอเลย เฮ้อ น่าสงสาร" ทนายความในความทรงจำส่ายหัว

    "โดนพวกหมาจิ้งจอกฆ่า...อย่างนั้นเหรอ" เขาพึมพำ

    "น่าแปลกเหมือนกันนะครับคุณชุล ปกติพวกสุนัขจิ้งจอกมันจะไม่ทำร้ายมนุษย์หากเราไม่ไปทำร้ายมันก่อน ผมเสียใจด้วยนะครับ" ทนายความกล่าวเสริม

    ภาพในความทรงจำของเขาฉายวนซํ้าไปซํ้ามา ทำให้เขาจ้องมองดูสุนัขจิ้งจอกที่อยู่ตรงหน้าด้วน จยความอาฆาตแค้น

    "อ๋อ พวกของแกนี่เอง ที่ฆ่าพ่อฉันตาย" ชุลจ้องมองดูมันด้วยความโกรธ

    "แฮ่..." สุนัขจิ้งจอกแยกเขี้ยวใส่

    "ดีหละ ถ้างั้นฉันจะได้ฆ่าแกซะ จะได้ตายมันไปให้หมดโลกเลย!"

    ชุลทำท่าจะเหนี่ยวไกใส่มัน แต่สุนัขจิ้งจอกตัวดังกล่าวนั้นรีบวิ่งหนีออกไปนอกบ้านก่อน

    "เฮ้ย กลับมานี่ จะไปไหนว่ะ" ชุลตะโกนลั่นก่อนที่จะวิ่งไปใส่รองเท้าและไล่ตามมันไป

    เขาวิ่งออกมานอกบ้าน ไม่ได้สนใจล็อคประตูบ้านเลย เขาเพ่งสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาสุนัขจิ้งจอกตัวดังกล่าว และเขาก็เห็นมันวิ่งเข้าไปในป่าทางขวามือ

    "หยุดนะ!" เขารีบวิ่งไล่ตามมัน

    ครืน...

    เสียงฟ้าร้องดังสะท้อนไปทั่วป่า เด็กหนุ่มไม่สนใจ ตอนนี้เขาวิ่งไล่ตามสุนัขจิ้งจอกฝ่าป่าไป เขากระโดดและก้มลงหลบกิ่้งไม้ตามทางได้อย่างเชี่ยวชาญระดับหนึ่ง เพราะเขาเคยเดินเข้าป่าอยู่บ้าง แม้ว่าสุนัขจิ้งจอกจะวิ่งได้เร็วกว่ามนุษย์ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ลดละความพยายามที่จะวิ่งไล่ตามมันไปเลย

    "หนีไม่พ้นหรอกเว้ย" เขาตะโกนเสียงดังลั่นและเหนี่ยวไกโจมตีใส่มันทันที

    เปรี้ยง!

    กระสุนลูกซองพุ่งโปรยไปหามัน แต่ดูเหมือนเขาจะยิงพลาด สุนัขจิ้งจอกกระโดดหลบได้ทันและมันก็วิ่งได้เร็วเพิ่มขึ้นอีก ชุลร้องคำรามเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจ พลางชักกระสุนนัดต่อไปทันที

    เขาวิ่งไล่ตามมันฝ่าป่าเข้าไปจนเขาไม่สนใจเลยว่ามันอยู่ห่างจากบ้านของเขาขนาดไหน เขาไม่สนใจด้วยซํ้าว่าเขาเผลอเหยียบอะไรไปหรือแขนไปบาดโดนต้นอะไรเข้า ในหัวของเขานั้นมีความคิดที่ต้องฆ่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเท่านั้น

    แปะ...แปะ....แปะ

    เม็ดฝนเริ่มไหลลงมาจากท้องฟ้า จากเม็ดสองเม็ด ปริมาณเม็ดฝนก็เริ่มตกมามามากขึ้น มากขึ้น และมากยิ่งขึ้น และไม่นานนัก ฝนก็ตกหนักจนเขามองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น ทั้งตัวของเขาเปียกโชกไปทั้งตัว เขาเอามือข้างหนึ่งปาดนํ้าฝนที่เปียกตามใบหน้าด้วยความเจ็บใจ

    "มันจะตกบ้าตกบออะไรตอนนี้ว่ะ" เขาสบถ

    "โอ้ย!" เขาร้องเสียงดังลั่นเมื่อเขาก้าวพลาดจนลื่นล้มไปนอนกับพื้น เขาเหยียบรากไม้ต้นไม้ต้นหนึ่งแต่มันลื่นมากเพราะฝนตก เขากัดฟันความเจ็บปวดแล้วก็หยิบปืน ลุกขึ้นแล้วก็วิ่งไล่ตามสุนัขจิ้งจอกไป

    ทัศนียภาพแย่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฝนเริ่มตกหนักมากขึ้น แต่ทว่าด้วยความบ้าคลั่งของเขา ทำให้เขาไม่สนใจเลยว่าหนทางที่จะเข้าไปต่อมันยากลำบากมาแค่ไหน เขาไม่รู้ด้วยซํ้าว่าเขาวิ่งเข้ามาลึกค่ไหน ผ่านมากี่นาทีแล้ว แม้แต่ทางที่เขาจะกลับบ้านเขาก็ไม่สนใจ เขาคิดเอาไว้อย่างเดียวก็คือ เขาต้องไล่ฆ่าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นให้ได้ เขาจึงได้วิ่งไล่ตามเส้นทางที่มันวิ่งหนีไป และทุกครั้งเขาจะเห็นขาหลังหรือหางมันแว้บๆ ยิ่งทำให้เขาเดือดดาลอยากที่จะฆ่ามันมากขึ้น

    ในที่สุด เส้นทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ขวางทางก็หมดลงเมื่อเขาวิ่้งออกมาถึงทางโล่งทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเหวที่มีความสูงมาก เขาก้มลงไปมอง เขาพบว่ามันมีความสูงเกือบตึกสามถึงสี่ชั้นเลยทีเดียว ฝั่งตรงข้ามนั้นมีความห่างจากฝั่งที่เขายืนอยู่เกือบยี่สิบเมตร เขาเพ่งสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น และเขาก็พบว่าทางขวามีขอนไม้ขนาดใหญ่ มีความกว้างราวๆ ครึ่งเมตรวางอยู่เหมือนเป็นสะพานข้ามฟาก และเขาก็มองเห็นสุนัขจิ้งจอกกำลังไต่ตามขอนไม้เพื่อหนีเข้าไปอีกฝั่ง

    "เจอตัวแล้ว" เขายิ้มเหี้ยมพร้อมกับยกปืนเล็ง แต่ทว่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวดังกล่าวก็วิ่งข้ามขอนไม้ไปอีกฝั่งอย่างรวดเร็วและทันเวลาพอดี มันวิ่งหายเข้าไปในต้นไม้ข้างในอีกฝั่ง

    "โถ่เว้ย" เขาสบถดังลั่นก่อนที่จะวิ่งไปที่ขอนไม้ดังลั่น แล้วก็วิ่งเหยียบขอนไม้เพื่อไล่ตามมันไป

    เปรี๊ยะ

    เสียงไม้แตกหักทุกจุดที่เขาเหยียบ แต่เจ้าตัวไม่สนใจ หรือเพราะเสียงฝนที่ดังลั่นทำให้เจ้าตัวไม่รู้ก็ไม่อาจตอบได้ ที่แน่ๆ ก็คือ ดูเหมือนขอนไม้จะทรุดตัวลงเพราะเขามีนํ้าหนักมากไป แต่เด็กหนุ่มก็สามารถเหยียบบนขอนไม้แล้วไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ เขาไม่รอช้าที่จะวิ่งไล่ตามสุนัขจิ้งจอกต่อทันที

    เขาแหวกทางต้นหญ้าและต้นไม้เข้าไปไม่นาน เขาก็ค้นพบว่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกมันกำลังยืนเผชิญหน้ากับเขา ด้านหลังของเขามันนั้นเป็นภูเขาสูงที่ไม่อาจปืนขึ้นไปได้ ดูเหมือนว่ามันไม่มีที่จะให้หนีไปอีกแล้ว

    "ให้ตูไล่ตามไปซะเหนื่อยเลยนะเอ็ง เอาหละ" ชุลยกปลายประบอกปืนเล็งใส่มัน "ขอให้ตูได้ฆ่าหน่อยนะ ไอ้พวกเดรัจฉาน"

    "กรร..." เจ้าสุนัขจิ้งจอกแยกเขี้ยวใส่เขา

    "ตายซะเถอะ" ชุลร้องลั่น

    เปรี้ยง!

    แต่จังหวะที่เขายิงปืนใส่มันนั้น มันวิ่งกระโดดพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วที่เขาคาดไม่ถึง และพุ่งชนเขาหงายหลังล้มลงกระแทกพื้น เขาร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาพบว่าตอนนี้เจ้าสุนัขจิ้งจอกกำลังขึ้นคร่อมตัวเขาและพยายามที่จะกัดคอเขา โดยที่ตอนนี้มีปืนลูกซองคอยขวางมันเอาไว้เท่านั้นเอง เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นเพื่อพยายามเอาปืนขวางทางที่คอของมันไม่ให้กัดตัวเขาได้ แต่เรี่ยวแรงของมันมีมหาศาลทำให้ปากของมันเข้ามาใกล้คอของเขามากยิ่งขึ้น เสียงเห่ากระโซกของมันดังขึ้นทุกครั้งที่มันยื่นปากเข้ามาใกล้หน้าของเขามากขึ้น

    ชุลออกแรงในการยกปืนลูกซองสะบัดไปทางซ้าย ซึ่งทำให้สุนัขจิ้งจอกกระเด็นล้มไปทางซ้ายมือ เขารีบลุกขึ้นนั่ง แต่เจ้าสุนัขจิ้งจอกก็พุ่งเข้ามาแล้วเอากรงเล็บของมันตะปบเข้าไปที่แขนซ้ายของเขา เขาร้องเสียงดังลั่น ก่อนที่จะเอาด้ามปืนฟาดใส่มันเต็มแรงจนมันปลิวกระเด็นออกไป

    เขายกแขนตัวเองขึ้นดู บาดแผลของเขาเป็นทางยาวและเลือดไหลออกมา ความเจ็บปวดของเขาทำให้เขาบ้าคลั่งและโกรธแค้นยิ่งขึ้น เขารีบลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจความเจ็บปวดของแผลตัวเอง เขายืนมองเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่เพิ่งจะพลิกตัวลุกขึ้นยืนได้เช่นกัน มันขู่ใส่เขาอีกครั้ง

    "ไอ้สารเลวเอ้ยยยย"

    เจ้าสุนัขจิ้งจอกย่อขาหน้า ก่อนที่จะพุ่งกระโจนเข้าหาเขา เด็กหนุ่มรีบชักกระสุนปืนเพื่อเตรียมยิงนัดต่อไป และเมื่อเขาเล็งใส่มัน เขามองเห็นเจ้าสุนัขจิ้งจอกอ้าปากแยกเขี้ยวพร้อมที่จะกัดใส่เขาทันทีเมื่อมันพุ่งมาถึง มือของเขารีบเหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล

    เปรี้ยง!

    เสียงฟ้าร้องดังลั่นสนั่นป่าพร้อมกับเสียงร้องเสียงดังลั่นของชุล เขาได้ยินเสียงปลอกกระสุนตกลงกระทบกับพื้นข้างๆ เมื่อเขายิงเสร็จ เขาโดนสุนัขจิ้งจอกพุ่งกระแทกโจมตีใส่เขาจนหงายหลังอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขาได้ยินเสียงมันร้องเสียงดังก่อนที่มันจะแน่นิ่งไป เขาสัมผัสได้ว่าขนาดตัวที่หนักของมันนั้นไม่ขยับตัวแล้ว เขาลืมตาขึ้นมอง และพบว่าตาของสุนัขจิ้งจอกกำลังลืมตาค้างมองเขาอยู่ เขาตกใจสบถเสียงดังลั่นก่อนที่จะรีบกระเสือกกระสนถอยหนีออกห่างจากมัน เขาหอบหายใจแรงมากขึ้น เมื่อมองดูตัวของมันก็พบว่ามันไม่ขยับเขยื้อนใดๆ แล้ว เขารีบลุกขึ้นและเล็งปืนไปหามันอย่างอัตโนมัติ เขาเตรียมพร้อมเสมอหากว่ามันจะลุกขึ้นมาโจมตีเขาซํ้าอีก แต่เมื่อเขาขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย เขาเอาปลายกระบอกปืนทิ่มตัวมัน มันก็ไม่ขยับตัว เขารีบเอามืออังที่จมูกของมัน ไม่มีลมหายใจออกมาเลย

    เด็กหนุ่มหัวเราะ จากหัวเราะหึๆ ก็กลายเป็นหัวเราะเสียงดังลั่น เขาแหกปากหัวเราะแข่งกับเสียงฝนและเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องอยู่ในป่า ราวกับว่าเขาต้องการประกาศให้ทั้งโลกดีใจว่าเขาสามารถฆ่าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ได้ เขาหอบหายใจแรงขึ้นราวกับต้องการเรียกพละกำลังให้หายเหนื่อยกลับมา เขาถอยหลังเดินห่างจากมัน แต่เมื่อเขามั่นใจว่ามันตายไปแล้ว เขาหันหลังและกลับออกไปทันที ปล่อยให้ร่างของสุนัขจิ้งจอกไร้ชีวิตนอนอยู่อย่างนั้น

    เขาเดินกลับไปทางเดิม ในใจของเขานั้นไม่คิดอะไรเลย เขาคิดแต่ว่าเขาสามารถฆ่ามันได้ และเขาต้องการที่จะกลับบ้าน หยิบไวท์ซักขวดเอามาเปิดดื่มเฉลิมฉลอง

    "หึๆ ใช่แล้ว ใช่ ของแบบนี้มันต้องฉลองกันหน่อย" เขาแสยะยิ้ม

    แต่ทว่าเมื่อเขาเดินทางมาถึงขอนไม้ที่พาดวางข้ามทางนั้น เขาไม่เอะใจเลยว่าขอนไม้มันทรุดลงไปมากกว่าเดิม เขาก้าวเหยียบลงบนขอนไม้อย่างไม่ระมัดระวัง

    เปรี๊ยะ...

    มีเสียงไม้แตกหักออกมา แต่คราวนี้เขาได้ยินเสียงนั้นชัดเจน และเมื่อเขาก้มมองดูด้วยความหวาดกลัว เขาก็พบว่า ขอนไม้มันมีรอบแตกร้าวขนาดใหญ่ไปทั้งขอนไม้

    ในหัวของเขาว่างเปล่าและเป็นสีขาวโพลนทันที ชั่ววินาทีนั้น เขาได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นเสียงดังกว่าเสียงฝนเสียอีก

    โพล๊ะ

    ขอนไม้แตกหักออกเป็นสองเสี่ยง ตัวของเด็กหนุ่มร่วงลงตามขอนไม้ไป

    "อ๊ากกกกกกกกกกก!!"

    พลั่ก!

    ตัวของเขานั้นไม่ได้ร่วงลงตกสู่แม่นํ้าที่อยู่เบื้องล่างดั่งเช่นขอนไม้ชิ้นอื่นๆ แต่ตัวของเขานั้นร่วงกระแทกลงกับโขดหินที่อยู่ข้างๆ แม่นํ้าเพียงไม่กี่เซนติเมตร และหนำซํ้า หัวของเขาร่วงกระแทกลงมาก่อนลำตัวเสียอีก นัยต์ตาของเขาแน่นิ่ง ปากอ้าแต่ไม่ขยับ ลมหายใจเบาบาง เลือดไหลออกมาเป็นทาง ร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เตรียมพร้อมรับสู่ความตาย

    วินาทีสุดท้ายก่อนที่สติของเขาจะเลือนหาย เขามองเห็นแสงสีขาวส่องประกายตรงหน้าเขา เขาเห็นแสงปริศนานั้นแค่แว้บเดียว ก่อนที่เขาจะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย นอกจากความมืดมิดและความว่างเปล่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×