คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอน 3
ตอน 3
ช่วงวันหยุด เวียนนาต้องอ่านหนังสือกองโตราวกับมันไม่ใช่วันหยุดเลย ไหนจะต้องทำความสะอาดห้องกับซักผ้ากองโตที่ค้างไว้ตลอดสัปดาห์อีก เหลือเวลาอีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะสอบเสร็จ อีกไม่นานหล่อนจะได้ขยับจากน้องปีหนึ่งมาเป็นรุ่นพี่ปีสองมีน้องใหม่ให้ดูแล แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
เพราะมันหมายถึงพี่อนลจะเรียนจบและไม่ได้มาที่มหาวิทยาลัยอีก...
“พี่อนลต้องเรียนต่อปริญญาโทแน่นอนอยู่แล้วละ เรียนเก่งระดับเกียรติ์นิยมแบบนี้ ไม่ต่อได้ยังไงจริงไหม” รุจิรัตน์คุยโอ่ทีเดียวพอมีใครถามว่าอนลเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ
คำพูดแฝงไปด้วยความภูมิใจประหนึ่งอยากจะอวดอ้างว่ามีแฟนเรียนเก่งแค่ไหน ข่าวว่านอกจากเขาจะได้เกียรติ์นิยมแล้วยังได้รับเลือกเป็นตัวแทนบัณฑิตใหม่ขึ้นไปกล่าวคำปฏิญาณตนในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรด้วย นั่นยิ่งทำให้รุจิรัตน์ต้องขยายข่าว
“ตอนแรกพี่อนลจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอกนะ เห็นว่าจะไปอังกฤษ แต่พวกเธอก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นห่วงฉันแค่ไหน เลยสงสัยว่าอาจจะเรียนต่อโทที่เดิมนี่ล่ะ แล้วปริญญาเอกค่อยไปเมืองนอก”
มาถึงตรงนี้ก็มีคนค้านอยู่บ้าง แต่รุจิรัตน์ไม่ใส่ใจฟัง ในเมื่ออนลทำท่าจะเรียนต่อที่สถาบันเดิมเข้าจริงๆ เพราะมีคนเห็นเขาไปซื้อใบสมัครปริญญาโทมาเตรียมไว้แล้ว ถึงจะมีบางคนบอกว่าเขายังไปเมืองนอกไม่ได้ เพราะที่บ้านมีกิจการต้องดูแลสืบทอด เห็นว่าเป็นเจ้าของโรงแรมที่ไหนสักแห่ง
แต่ก็ไม่เคยมีใครกล้าถามอนลตรงๆ สักที แม้แต่รุจิรัตน์เองก็ไม่ใคร่จะสนใจนัก ในเมื่อมันเป็นหน้าตาทางสังคมที่ดูดีไม่น้อยเลย หากข่าวนี้เป็นจริง นั่นเท่ากับว่านอกจากอนลจะเรียนเก่ง หน้าตาหล่อเหลาแล้ว เขายังมีธุรกิจของครอบครัวที่ต้องสืบทอดกิจการอีกต่างหาก
เวียนนาฟังแล้วก็พยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ไม่อยากจะสนใจว่าอนลจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรบ้าง ทั้งที่ใจจริงก็อยากรู้แทบตายว่าเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หล่อนกลับเลือกจะ “หักดิบ” ด้วยการไม่สนใจเรื่องราวของเขาไปเสียยังดีกว่าได้รับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่เคยได้เข้าใกล้เขาได้เลยแบบนั้นมันเจ็บทีละน้อยแต่เจ็บนาน
สู้เจ็บปวดทีเดียวให้จบๆ ไปเสียเลยยังดีกว่า...
ความเจ็บปวดมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป บ้างก็มาในแบบของความรักที่ไม่สมหวัง แต่นอกจากเวียนนาจะต้องสู้กับความรู้สึกทรยศต่อเพื่อนของตัวเองแล้ว ยังมีภาระหน้าที่อีกมากมายให้รับผิดชอบให้สมกับโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
แม้ว่าจะใกล้สอบเต็มที แต่ยังมีกำหนดส่งรายกลุ่มของวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาค ซึ่งเธอจับคู่กับรุจิรัตน์ตั้งแต่วันแรกของเปิดเทอม ซึ่งนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ในเมื่อรุจิรัตน์แทบไม่มีจะร่วมทำรายงายเอาเสียเลย
“ขอโทษจริงๆ นะเวียนนา ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลย เธอลองทำในส่วนของเธอไปก่อนดีไหม ถ้ายังไงฉันก็ทำอีกส่วนแล้วค่อยเอามาต่อกันได้นี่”
“แต่มันอาจจะไม่สัมพันธ์กันนะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยเวียนนา ใครๆ ก็ทำแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้นละ ไม่งั้นจะทำทันได้ยังไง ตั้งกี่วิชาที่ต้องส่งรายงานแล้วไหนจะต้องอ่านหนังสือสอบอีก”
เวียนนาลองทำตามแบบที่รุจิรัตน์เสนอมา แต่จนแล้วจนรอด ส่วนของรุจิรัตน์ซึ่งแบ่งกันตามสารบัญที่ตกลงไว้แต่แรกนั่น ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ จนกำหนวันส่งใกล้เข้ามาทุกที
เธอทวงแล้วทวงอีก จนเหนื่อยเสียเอง กว่ารุจิรัตน์จะส่งอีเมลงานให้ แต่พอเปิดดูเท่านั้นเธอก็แทบลมใส่ เพราะงานในส่วนของรุจิรัตน์นอกจากจะสั้นจนแทบหาปริมาณไม่เจอ คุณภาพก็ยังล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ขนาดว่าใช้สายตากวาดดูคร่าวๆ ก็ยังรู้ได้ว่ามันไม่ใกล้เคียงคำว่ารายงานเลยแม้แต่น้อย เพราะทีรุจิรัตน์เขียนมาทั้งหมดแทบไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อรายงานฉบับนี้
แต่ที่น่าเจ็บปวดไปกว่านั้นเห็นจะทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเพื่อน ตอนที่หล่อนพิมพ์รายงานฉบับนั้นออกมาแล้วให้เพื่อนดูพร้อมกบทักท้วงในส่วนของรุจิรัตน์นี่ละ
“อะไรกันเวียนนา ทำไมเล่มมันบางแค่นี้เอง แล้วนี่อะไร บางหน้าก็จัดเสียสวยเชียว บางหน้าก็พิมพ์ตัวอักษรใหญ่เบ่อเร่อ เธอจะบ้าเหรอ อาจารย์จะได้หาว่าเราสองคนสายตาไม่เท่ากันพอดี ทำไมเธอไม่จัดหน้าให้มันดีๆ กว่านี้หน่อย”
เวียนนาถึงกับอึ้งไปเย เพราะที่พิมพ์มาให้ดู ก็พิมพ์ไปตามที่รุจิรัตน์ส่งอีเมลมาตามนั้น ไม่ได้ดัดแปลงอะไรเลย และเพื่อจะให้ดูเท่านั้นว่าเนื้อหามันยังไม่เข้าประเด็น แต่กลายเป็นว่าความผิดเป็นของหล่อนแต่เพียงผู้เดียว
“แต่ฉันจัดหน้าตามที่เธอทำมานะเยลลี อีกอย่างที่เธอเขียนมาน่ะ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
เวียนนาตอบด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ให้รู้กันไปเลยว่าหล่อนก็ไม่พอใจเช่นกัน ว่ากันตามตรงรายงานทั้งเล่มมีฝีมือของรุจิรัตน์อยู่ไม่ถึงหนึ่งในห้าเสียด้วยซ้ำ แล้วยังมาพูดจาแบบนี้อีกหล่อนก็หมดความอดทนเช่นกัน
พอเพื่อนตอบเสียแข็งมา รุจิรัตน์ก็เหมือนจะรู้ตัวเลยรีบพูด
“พักนี้ฉันไม่ค่อยว่างเธอก็รู้ เอาน่าเวียนนา ช่วยๆ กันหน่อยไม่ได้หรอ”
เวียนนาไม่เข้าใจนักหรอกว่าเพื่อนจะยุ่งอะไรนักหนา ในเมื่อนักศึกษาปีหนึ่งก็มีงานที่ต้องยุ่งขิงเท่ากันหมดทุกคน แล้วจะมีแต่รุจิรัตน์ที่ไม่ว่างได้อย่างไร
“งั้นเธอก็ไปแก้ส่วนของเธอมาแล้วกัน”
“เธอจะบ้าเหรอ ต้องส่งงานพรุ่งนี้อยู่แล้วฉันจะไปแก้ทันได้ยังไง แค่นี้ช่วยกันหน่อยไม่ได้เหรอเวียนนา นี่ก็คะแนนของเธอเหมือนกันนะ”
“เธออยากให้ฉันช่วย แต่เธอไม่ช่วยฉันเลยนะเยลลี”
“โธ่เวียนนา ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ ฉันก็ทำมาแล้วนี่ไง” รุจิรัตน์ว่าพลางใช้นิ้วจิ้มไปบนรายงานเล่มนั้นในมือของเพื่อน “ไม่รู้ล่ะ ฉันตามใจเธอก็แล้วกัน ถ้าพรุ่งนี้เธอยากส่งงานแบบนี้ไปให้อาจารย์ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เธอก็รู้ใช่ไหมว่าเกรดวิชานี้สำคัญแค่ไหน”
รู้สิ... ในฐานะนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าเศรษฐศาสตร์จุลภาคสำคัญมากขนาดไหน มันเป็นเหมือนวิชาเบื้องต้นทางด้านนี้ เป็นจุดเล็กๆ ของจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากชนิดที่มีรุ่นพี่พูดว่าถ้าวิชานี้เกรดน่าเกลียดละก็... เตรียมตัวไว้เลย อนาคตกลายเป็นอนางอแน่ๆ
แต่รุจิรัตน์กลับโยนงานนี้มาให้หล่อนรับผิดชอบเข้าเต็มๆ
“ฉันน่ะไม่เดือดร้อนหรอกถ้าเกรดวิชานี้จะได้น้อยไปหน่อย ยังไงฉันก็มั่นใจว่าวิชาอื่นยังพอจะเฉลี่ยเกรดได้ แต่ฉันเป็นห่วงเธอมากกว่านะเวียนนา เทอมก่อนเธอก็อาการไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ” ว่าแล้วรุจิรัตน์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ตบท้าย “ฉันยกให้เป็นการตัดสินใจของเธอก็แล้วกัน ฝากด้วยนะเวียนนา ชีวิตฉันอยู่ในมือเธอแล้ว”
พูดจบเข้าตัวก็สะบัดหน้าหนีไปเลย เห็นร่ำๆ ว่ามีนัด เวียนนาไม่อยากจะเดาว่านัดกับผู้ชายคนไหน เพราะหลังจากข่าวว่าไปดูหนังกับรุ่นพี่นิติก็มีข่าวแว่วมาเข้าหูอยู่บ่อยๆ ว่าไปกับคนโน้นคนนี้จนหล่อนเบื่อจะฟัง
หญิงสาวมองรายงานอันแสนจะน่าเกลียดในมืออย่างเหนื่อยหน่ายและเจ็บปวดเป็นที่สุด เพื่อนกันไม่ควรจะกันแบบนี้ได้ลงคอ แต่ที่รุจิรัตน์กล้าพูดคงเพราะมั่นว่าหล่อนจะไม่มีวันยอมส่งรายงานไม่มีคุณภาพเล่มนี้ไปอย่างแน่นอน และในเมื่อเพื่อนไม่ยอมทำเวียนนาก็ต้องลงมือทำแน่ๆ เพราะนั่นหมายถึงเกรดสวยๆ ของหล่อนด้วยเช่นกัน
เพียงแค่นึกหญิงสาวก็อยากจะลมจับเสียตรงนี้ แต่ทว่าหน้าที่ความรักผิดชอบยังค้ำคออยู่ นั่นคอยย้ำเตือนให้รู้ว่าหล่อนจะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำเอาเสียเลย
พอเพื่อนเดินหนีไปแล้ว หล่อนก็ได้ก่นด่าตามหลังไปนับร้อยนับพันครั้งอย่างหัวเสีย พร้อมกับสัญญากับตัวเองอย่างหนักแน่นว่าจะไม่มีวันยอมเข้ากลุ่มหรือข้องเกี่ยวใดๆ กับเพื่อนคนนี้อีกแล้ว แค่ครั้งเดียวก็เข็ดจนตาย ใครกันจะเชื่อว่ารุจิรัตน์จะโยนงานตัวเองให้คนอื่นทำได้หน้าตาเฉย
ใจหนึ่งนึกอยากจะเดินไปบอกอาจารย์ประจำวิชาไปตรงๆ เสียเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ จุดประสงค์ของการทำงานกลุ่มคือให้เรียนรู้ที่จะทำงานกันเป็นทีม แต่นี่หล่อนกลับเอาทีมที่แตกสลายไปรายงานให้อาจารย์ทราบอย่างนั้นหรือ คิดอย่างไรก็มีแต่เสียกับเสีย ถึงทำได้แค่หงุดหงิดอยู่อย่างนี้
วันนี้นลินแยกตัวไปกับรตีซึ่งทำงานคู่กัน คู่นั้นดูจะไปกันได้ราบรื่นดี อย่างน้อยก็ดีกว่าคู่ของหล่อนแน่ พอเลิกเรียนคาบสุดท้ายเวียนนาก็ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรม เพราะนอกจากรุจิรัตน์จะโดดเรียนคาบนั้นแล้ว หล่อนก็แน่ใจว่าคงไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนจนกว่าจะถึงวันสอบเป็นแน่
เวียนนาเดินกอดหนังสือประกอบการเรียนที่ยืมมาจากห้องสมุดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว นั่นเท่ากับว่าหล่อนเวลาที่จะทำรายงานน้อยลงทุกที และพรุ่งนี้ต้องส่งงานก่อนเก้าโมงเช้า ใครจะไปทำทันกัน แต่หล่อนก็ต้องทำ...
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเดินกระแทกส้นรองเท้าอย่างแรง ทั้งที่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้เลย
พอพ้นจากอาคารหอสมุด หล่อนก็เดินเลี้ยวซ้ายตรงมุมนั้นจะมีประตูเล็กๆ ให้นักศึกษาเข้าออกได้สะดวกไม่ต้องเดินอ้อมตึกคณะก็ไปโผล่ที่ถนนใหญ่ ทำให้บ่อยครั้งจะมีรถมอเตอร์ไซด์ชอบใช้ทางนี้ด้วย ทั้งที่ทางสถาบันติดป้ายประกาศห้ามก็ดูจะไม่ค่อยได้ผล
หล่อนชะโงกหน้าดูให้แน่ใจว่าไม่มีรถมอเตอร์ไซด์ขับเข้ามาก่อนจะก้าวลงไปยังพื้นถนน คิดว่ารอบคอบดีแล้ว แต่กลายเป็นว่าหล่อนลืมไปเสียสนิทว่าอาจจะมีรถขับออกไปได้เช่นกัน
“ปรี๊นนน...”
เสียงบีบแตรยาวดังเข้าหู หญิงสาวหันไปมองตามสัญชาตญาณแต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นพุ่งมาใกล้ตัวเหลือเกิน แม้จะไม่ได้ขับเร็วอะไรนัก แต่ก็ยากจะหักหลบได้ทัน
หล่อนได้ยินเสียงตัวเองร้องกรี๊ดด้วยความตกใจก่อนจะรู้สึกได้ถึงมือของใครบางคนที่ดึงต้นแขนหล่อนไว้ และเพียงวินาทีเดียวก็ถูกเขากระชากไปให้พ้นทางของรถมอเตอร์ไซด์
เวียนนาตัวปลิวไปตามแรงกระชาก เพียงพริบตาเดียวหล่อนก็กลับมายืนบนฟุทบาทอีกครั้ง แต่จะเรียกว่ายืนก็คงไม่ถูกนักเพราะหล่อนเสียหลักตกส้นรองเท้าเซถลาไปด้านหลัง และถ้าไม่มีใครคนนั้นยืนอยู่หล่อนคงล้มลงไปกองบนพื้นบาทวิถีแน่แล้ว
รถคันนั้นเบรกจนตัวโก่ง เสียงเบรกดังไม่น้อยเลยจนนักศึกษาที่เดินอยู่บริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียวกัน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาทีทว่าหญิงสาวนึกกลัวไม่น้อยและเพิ่งเข้าใจคำว่าเส้นยาแดงผ่านแปดมันเป็นอย่างไร หล่อนหลบไปได้อย่างเฉียดฉิวจริงๆ
คนขับรถไม่ได้ถอดหมวกกันน๊อคออกเลยไม่แน่ใจนักว่าเป็นใคร แต่เดาจากเสื้อผ้าแล้ว เขาต้องเป็นนักศึกษาของที่นี่อย่างแน่นอน พอจอกรถได้ เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทีเดียว
“เดินยังไงไม่ดูรถ”
เวียนนายังงงไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอถูกถามด้วยน้ำเสียงเหมือนตะคอกหล่อนจึงหน้าเสีย ไม่ได้ตอบอะไรออกไป มิหนำซ้ำยังรู้สึกปวดตุบๆ แถวบริเวณข้อเท้าข้างขวาขึ้นมา
รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นไม่รอคำตอบแต่ขับผ่านไปเลย ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าหญิงสาวจะเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่ จนหล่อนได้ยินเสียงคนที่ยืนอยู่ใกล้ตัวที่สุดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ขับรถไม่ดูเอง ทุเรศจริงๆ”
หล่อนหันหน้ากลับไปหาต้นเสียง อ้าปากจะขอบคุณเขาที่เข้ามาช่วยไว้ แต่พอได้เห็นหน้าเต็มตาเท่านั้นล่ะ คำพูดก็เหมือนจะติดอยู่ในลำคอ
“พี่... เทียน” เสียงอึกอักเรียกชื่อเขาแต่แล้วกลับต้องนิ้วหน้าด้วยความเจ็บแปลบที่ข้อเท้า
เจ้าของชื่อมัวแต่ตกใจกับสีหน้าของหญิงสาว เขาเลยขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้สองมือช่วยประคองเพื่อไม่ให้หล่อนล้มลงไปเสียก่อน
“ระวังครับ เจ็บมากไหม”
เสียงเขาเตือนพลางช่วยพยุงหล่อนไว้ เขาก้มตัวลงจับมือหญิงสาวมาพาดหัวไหล่ตัวเองเพื่อเป็นหลักให้ยึดเกาะระหว่างที่ต้องเดินเขย่งไปหาม้านั่งยาวริมฟุตบาทซึ่งห่างออกไปราวสิบเมตร
เวียนนามัวแต่เจ็บข้อเท้า เลยไม่ทันนึกว่ามันน่าอายเพียงไรที่ต้องให้เขาช่วยพยุงเช่นนี้ หล่อนสาบานได้ว่าหากสติยงดีทุกประการแล้วได้เข้าใจเขามากถึงขนาดนี้มีหวังหล่อนคงเป็นลมไปแล้ว ไม่มานั่งหน้าแดงเพราะตกใจผสมกับเจ็บข้อเท้าอย่างนี้หรอก
พอหญิงสาวนั่งลงเรียบร้อย รุ่นพี่หนุ่มก็ก้าวยาวๆ กลับไปที่ประตูทางเข้าออกเพื่อเก็บหนังสือที่หล่อนทำหล่นไว้รวมทั้งกระเป๋าสะพายใบย่อมด้วย แม้แต่เจ้าของเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนล้มหล่อนทำอะไรหลุดมือไปบ้าง
เขากลับมาพร้อมกับข้าวของในมือ พอวางให้ที่ข้างกายหญิงสาวแล้วก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลขึ้นมา
“เจ็บมากไหม พี่ว่าไปหาหมอดีไหม”
พอพูดถึงหมอเวียนนาก็นิ่วหน้าแทนคำตอบ ไม่ใช่ว่ากลัวหมอ แต่หล่อนไม่อยากกินยา ไม่อยากโดนฉีดยานี่นา ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงเสียจะดีกว่า
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะพี่เทียน เอ๊ย... พี่อนล” หล่อนรีบแก้คำ แต่ไม่ทันเสียแล้ว รุ่นพี่หันมามองด้วยสีหน้ายิ้มขัน
“เรียกพี่เทียนก็ได้ พี่ชักจะชินแล้ว” เขาว่ายิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอา “เสียดายไอ้หมอนั่นไม่ยอมถอดหมวกกันน๊อคเลยไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พี่ว่าพี่พอจะจำทะเบียนรถได้นะ”
เวียนนาไม่ทันนึกถึงทะเบียนรถ แล้วรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็เป็นรุ่นยอดฮิตของนักศึกษา ถ้าไม่มีทะเบียนรถแล้วก็ยากจะเดาได้ว่าเป็นใครกันแน่
“ช่างมันเถอะค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก สงสัยข้อเท้าจะแพลงแค่นั้นเอง” หล่อนพูดอย่างไม่อยากให้มีเรื่อง อีกอย่างก็ไม่ได้บาดเจ็บส่วนอื่นใดนอกไปจากอาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้าเท่านั้น
“อย่างน้อยก็น่าจะลงมาดูกันหน่อย ทำแบบนี้มันเกินไป” เขาว่าด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วย “ว่าแต่น้องแน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปหาหมอ พี่พาไปได้นะ”
เวียนนายิ้มให้เขาอย่างดีใจที่มีคนอาสาพาไป และต่อให้คนพาไปเป็นรุ่นพี่หนุ่มที่ตัวเองหลงใหลมานาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความหล่อนจะใจอ่อน
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวกลับบ้านไปหายามานวดซะหน่อยก็คงดีขึ้น”
หล่อนพูดไปแบบนั้นเหมือนทุกอย่างแสนง่ายดาย ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ่าจะกลับบ้านได้ยังไง ในเมื่อยังเจ็บข้อเท้าจนแทบเดินไม่ไหวอย่างนี้
แต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเขาแล้ว เวียนนาก็ถึงกับยิ้มออกมาทั้งที่ยังเจ็บข้อเท้าไม่เบา หากพยายามจะขยับมันเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“วันนี้พี่เทียนไม่ไปฝึกงานหรอคะ ทำไมถึงมานี่ได้” หล่อนชวนคุยโดยไม่รู้ตัวเพราะได้ยินจากรุจิรัตน์ว่าอนลแทบจะไม่ได้เข้ามามหาวิทยาลัยเพราะติดฝึกงาน พอได้พบกับเขาโดยไม่คาดฝันเช่นนี้ก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
“พี่ฝึกงานจบตั้งแต่ศุกร์ที่แล้ว อาทิตย์หน้าก็จะสอบอยู่แล้วใครจะฝึกงานกัน” เขาตอบเหมือนไม่ใส่นัก สองตายังหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าเป็นกังวลก่อนจะถามกลับมา “แล้วนี่น้องจะกลับบ้านยังไง”
เวียนนาไม่ต้องคิดให้ปวดหัว หล่อนกำลังจะอ้าปากขอให้เขาช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้และพาไปส่งที่รถเท่านั้นก็พอแล้ว หล่อนยอมจ่ายค่าแท็กซี่หลักร้อยอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางจะโหนรถเมล์กลับบ้านได้เหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่เขากลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ให้พี่ไปส่งดีไหม”
ความคิดเห็น