คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอน 1
1.
“พี่เทียนมาโน้นแล้ว” เสียงของนลินนำมาก่อนตัวเสียอีก ในเมื่อรับหน้าที่สำคัญให้กับเพื่อนทั้งกลุ่ม ด้วยการคอยเป็นหูเป็นตาให้ทุกคนว่าเมื่อไหร่ ‘พี่เทียน’ จะมาเข้าชมรม
เขาเป็นรุ่นพี่ปีสุดท้ายซึ่งเป็นถึงเดือนคณะ และว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยมที่สาวๆ ทุกคนใฝ่ฝันหา ทำลังหน้าตาของเขาที่เรียกได้ว่าเข้าวงการบันเทิงได้สบายๆ แล้ว พี่เทียนยังเป็นคนขี้เล่นเป็นกันเอง แล้วก็ใจดีกับน้องๆ ทุกคนอย่างมาก
และที่สำคัญที่สุด เขายังไม่มีแฟน...
อะไรจะดีไปกว่าการหลงรักรุ่นพี่ประธานปีสี่ของสาวปีหนึ่งกันล่ะ... ไม่มีอีกแล้ว
บ่อยครั้งที่เสียงร่ำลือมาพร้อมข่าวคาวๆ เป็นต้นว่าพี่เทียนเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครมีหลักฐานปรักปรำเขาได้ ในเมื่อเขาไม่มี ‘เพื่อนชาย’ คนใดที่สนิทเป็นเศษ หรือไม่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนแต่อย่างใด แล้วใครกันล่ะจะไม่อยากเป็นสาวเดียวในดวงใจของพี่เทียน
นลิน รุจิรัตน์ และเวียนนา ลงมติเห็นพ้องต้องกันว่าพี่เทียนนี่ล่ะ ควรค่าแก่การสละเวลาส่วนใหญ่ (นอกเหนือจากเรื่องเรียน) ให้กับเขาจริงๆ ทั้งที่ในใจก็รู้ดีพอกันนั่นล่ะว่ามันเป็นได้เพียงความชื่นชมอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“เคยสงสัยไหมว่าผู้หญิงแบบไหนจะได้เป็นแฟนกับพี่เทียน” นลินตั้งคำถามในบ่ายวันหนึ่งทำเอาเวียนนาต้องพยักหน้าหงึกหงักตามไปด้วย
“นั่นสิ”
“จะเป็นแบบไหนกันล่ะถ้าไม่ใช่ดาวคณะ” รุจิรัตน์ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส “ดาวกับเดือนของคู่กันอยู่แล้วไม่เห็นจะแปลก”
“เออพูดถึงดาวคณะ ตกลงทางคณะเลือกเธอเป็นดาวรึเปล่าเยลลี”
ว่าที่ดาวคณะได้ยินคำถามนี้เข้าก็ถึงเบ้หน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย “ไม่หรอก พวกนั้นก็แค่แห่กันมาดูหน้าน้องใหม่ แล้วก็แห่กลับไป”
รุจิรัตน์ไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ในเมื่ออยู่ๆ บรรดารุ่นพี่กลุ่มใหญ่พากัน “แห่” มาดูหน้าน้องเยลลีที่ใครๆ ก็ร่ำลือกันสวยถึงที่ แล้วก็จากไปเงียบๆ เท่านั้นเอง
“อ้าวก็ไหนว่าวันนั้นเลือกกันดิบดี แล้วก็เห็นอยู่ว่าเธอสวยกว่าใคร” เวียนนาพูดเสริมและชมเพื่อนจากใจจริง นั่นเรียกรอยยิ้มจากคนสวยได้ไม่น้อย ทว่าน้ำเสียงที่ตอบกลับมาก็ยังไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร
“พวกนั้นเรื่องมากจะตายไป ไม่ใช่หน้าตาหรอกเวียนนา ต้องดูประวัติด้วย แทบจะขุดโคตรกันขึ้นมาเลยมั๊ง ฉันละไม่แปลกใจเลยว่าทำถึงเลือกคนที่สวยน้อยกว่าฉันอย่างยายฟันเหล็กนั่นไปเป็นดาวคณะ”
ยายฟันเหล็กที่รุจิรัตน์พูดถึงเพื่อนร่วมแขนงวิชาเดียวกัน แต่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าใดนัก เธอเตี้ยกว่ารุจิรัตน์ไม่กี่เซนติเมตร มีผิวที่คล้ำกว่า ทว่าหน้าตาก็คมคายไม่แพ้กัน
“เท่าที่ได้ยินมา ยายรวิกานดา ลูกหลานท่านรัฐมนตรี” รุจิรัตน์ว่าด้วยน้ำเสียงมีโมโห “เชอะ ทำอย่างกับสมัยหน้าจะได้เป็นรัฐบาลอีกอย่างนั้นล่ะ”
“แย่จริงๆ เลย มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ” เวียนนาถามเหมือนไม่เข้าใจจริงๆ
“โอ๊ย เด็กบ้านนอกอย่างเธอจะไปเข้าใจอะไร เวียนนา ชื่อก็ออกจะเมืองนอกเมืองนานะ แต่เธอรู้ไหม ที่กรุงเทพฯ เนี่ยอะไรๆ มันก็มีแต่การแข่งขันกันทั้งนั้นล่ะ ยิ่งถ้าเรามีเส้นสายด้วยแล้วละก็... รับรองสบายไปทั้งชาติ ไอ้ประเภท ทำดีได้ดี ต่อสู้เพื่อความสำเร็จน่ะมันก็มีอยู่หรอก แต่มันมาช้า สู้ใช้เส้น ใช้ผลประโยชน์ไม่ได้”
“แหมทำอย่างกับทางนั้นใช้เส้นเพื่อจะเป็นดาวคณะอย่างนั้นล่ะ” นลินอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกต
“เธอจะให้ฉันคิดยังไงล่ะนลิน ในเมื่อพ่อของยายฟันเหล็กเพิ่งจะบริจาคเงินเข้าห้องสมุดคณะไปเป็นแสนๆ น่ะ”
เวียนนาไม่อยากจะค้าน ข่าวนี้ใครๆ ก็รู้ ในเมื่อผู้บริจาคเรียกนักข่าวมาทำประชาสัมพันธ์เสียใหญ่โต ส่งผลต่อภาพลักษณ์ความใจบุญของเขาไปในคราเดียวกันนั่นล่ะ แต่นลินฟังแล้วก็ยังอดค้านไม่ได้
“ทางนั้นก็หน้าตาดีอยู่นะ”
เพื่อนเลี่ยงใช้คำว่าหน้าตาดีเท่านั้น คนฟังก็ถึงกับขึ้นเสียงใส่
“นี่เธอจะบอกว่ายายฟันเหล็กสวยกว่าฉันรึไง”
“ไม่เอาน่าอย่าทะเลาะกันเลย” เวียนนารีบบอก “เพื่อนกันแท้ๆ”
รุจิรัตน์มองเพื่อนด้วยหางตาก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“เธอคอยดูก็แล้วกัน ฉันจะต้องเอาชนะยายฟันเหล็กนั่นให้ได้ ฉันต้องทำให้คนทั้งคณะอิจฉาฉันให้ได้”
นลินฟังแล้วก็ได้ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ก่อนเป็นดีทีสุดเพราะดูท่ารุจิรัตน์จะไม่ฟังอะไรแล้ว
ข้อสงสัยทั้งหมดเลยเป็นอันว่ายุติไป รุจิรัตน์เคืองใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย แต่พอเวลาผ่านไปก็มีเรื่องอื่นมาให้สนใจยิ่งกว่า โดยเฉพาะเรื่องรุ่นพี่สุดหล่ออย่างพี่เทียน
ตามสถิติแล้วนักศึกษาปีหนึ่ง มักจะหลงรักรุ่นพี่ตัวเองเป็นของธรรมดา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใครอาการเหมือนสาวๆ ชมรมถ่ายภาพบ้างไหม เพราะนอกจากนลินจะรับหน้าที่คอยสืบข่าวพี่เทียนแล้ว สมาชิกชมรมอีกสองสาวยังพยายามอยู่ทุกวินาทีเพื่อจะได้ “แอบถ่าย” ภาพพี่เทียนมาไว้ในครอบครอง
“ไม่อยากจะคุยหรอกว่ารูปพี่เทียนยิ้มหนก่อน ขายหาเงินเข้าชมรมได้ตั้งเท่าไหร่” นลินเคยพูดอวดไว้เมื่อเดือนก่อน เลยกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เพื่อนรักอยากทำอะไรแอบซ่อนบ้าง
ชมรมถ่ายภาพมีสมาชิกราวห้าสิบกว่าชีวิต แต่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งสามสาวปีหนึ่งเพิ่งมารู้จักกันที่รั้วมหาวิทยาลัย พอจับกลุ่มรวมตัวกันได้ก็เลือกชมรมนี้เป็นแห่งแรก เพราะนลินอยากทำงานนิตยสาร รุจิรัตน์อยากเป็นนางแบบ และเวียนนาก็ใฝ่ฝันอยากเป็นช่างภาพ
แล้ววันหนึ่งเมื่ออยู่ๆ นลินเผอิญถ่ายภาพพี่เทียนตอนยิ้มกว้างได้พอดี ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นเหตุบังเอิญจริงๆ ที่นาทีนั้นยกกล้องขึ้น แถมยังซูมหน้าพี่เทียนไว้ชัดเจนจากอีกฝั่งของสนามฟุตบอลตอนที่พี่เทียนดีใจ(กับเรื่องอะไรสักอย่าง) เข้าพอดี และยังมีเรื่องบังเอิญยิ่งกว่านั้นอีก เพราะรู้พี่เทียนยิ้มดันขายดิบขายดี ขนาดว่าบอกต่อกันเฉพาะเพื่อนสนิทแต่ทำไปทำมาก็อัดรูปขายไปมากโข
หลังจากสามสาวเลยมีภารกิจใหม่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งจะมีก็แต่คนอยากเป็นช่างภาพเท่านั้นล่ะที่ชักจะลังเลใจ
“มันจะดีหรอไปแอบถ่ายรูปเขามาอย่างนั้น” เวียนนาถามเหมือนไม่แน่ใจจริงๆ “มันจะละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลไหม”
“อย่าคิดมากน่า เราแค่แอบถ่ายรูปเขาด้วยความชื่นชม ไม่ได้เอาไปทำอะไรเสียหายซะหน่อย จะเป็นไรไป จริงไหมเยลลี”
“แน่นอนที่สุด” เยลลี หรือรุจิรัตน์เห็นด้วยจนหมดใจ “เลิกอายได้แล้วน่าเวียนนา แค่แอบถ่ายรูปเอง ไม่ใช่ไปขอเขาเป็นแฟนซะหน่อยจะได้น่าอาย”
จากนั้นทั้งสามสาวเลยเป็นอันตกลง แต่มีข้อสัญญาต่อกันว่าไม่ว่าใครก็ตามสามารถถ่ายรูปพี่เทียนได้ จะต้องเอามาให้อีกสองคนดูเป็นอันดับแรก แล้วค่อยลงมติกันว่าจะนำรูปพวกนั้นไปเผยแพร่หรือไม่ ซึ่งเป็นอันว่าตกลงกันทันทีทั้งสามคน
ปกติแล้วชมรมถ่ายภาพมีกิจกรรมอยู่เรื่อยๆ ถึงจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็มีความสำคัญมากพอที่จะทำให้ประธานรุ่นสุดหล่ออย่างพี่เทียนจะแวะเวียนมามาบ้างเป็นครั้งคราวอย่างเช่นวันนี้
“อย่าลืมข้อตกลงนะ ห้ามถ่ายรูปพี่เทียนในชมรม เดี๋ยวโดนจับตายยุ่งตายชัก” นลินรีบบอกกฎเหล็กระหว่างที่มองเห็นพี่เทียนเดินเข้ามาในระยะร้อยเมตร
“โอเค”
ธุระของพี่เทียนก็ไม่ได้มีมากมายอะไรนักหรอก แค่มาขอภาพจากกิจกรรมครั้งก่อนที่เคยไปถ่ายภาพกันที่วัดแถวอยุธยาเผื่อจะไปลงหนังสือรุ่น และสามสาวก็ไม่ได้มีหน้าที่ใดๆ ที่จะต้องคอยติดต่อประสานงานให้ ทำได้ก็เพียงแค่นั่งมองอยู่ห่างๆ (อย่างห่วงๆ) ปล่อยให้รุ่นพี่จัดการกันไป
เขาใช้เวลาอยู่ที่ชมรมถ่ายภาพไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แล้วอยู่รุจิรัตน์ก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิด
“พี่เทียนคะ” หล่อนร้องเรียกเขาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะก้าวพ้นประตูของห้องชมรมไปเสียก่อน “คือมีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อยค่ะ”
เขาหันมามองด้วยสีหน้างงๆ ทว่ายังมีรอยยิ้ม พอจะยืนยันคำพูดของทุกคนได้ว่าเขาเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีจริงๆ
“น้องมีอะไรเหรอครับ”
“คือน้องชื่อเยลลีค่ะพี่เทียน”
เจ้าของชื่อแนะนำตัวพร้อมกับโปรยยิ้มหวานหยด แม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็ย่อมดูออกว่าหญิงสาวหมายถึงมิตรภาพในระดับไหน
รุ่นพี่ยิ้มตอบ แต่เป็นเพียงการยิ้มที่มุมปาก เหมือนอยากจะขำเสียมากกว่าก่อนจะตอบรับ
“ครับ พี่ชื่ออนล ไม่ได้ชื่อเทียน” เขาว่าด้วยใบหน้ายิ้มๆ “แค่พี่เคยเอาเทียนพรรษาไปจุดในวันรับน้อง ไม่ได้แปลว่าพี่จะชื่อเทียนนะครับ”
วัดจากน้ำเสียงแล้วเขาไม่โกรธเลยสักนิด แถมยังเห็นเป็นเรื่องตลกเสียอีก
เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ มีการรับน้องกับกิจกรรมต่างๆ และในช่วงท้ายของการรับน้องมีพิธีบายศรี รับขวัญน้องใหม่ ซึ่งเขาเป็นคนอุ้มต้นเทียนพรรษา แกะลายมังกรเข้ามากลางพิธี ทำเอารุ่นน้องพากันเรียกเขาว่าพี่เทียนไปตามๆ กัน แต่ชายหนุ่มไม่เคยถือสา
รุจิรัตน์ฟังแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างใส่เขาก่อนจะรีบพูดต่อ
“ถ้าพีเทียน เอ๊ย พี่อนลไม่พอใจ เยลลีก็ขอโทษด้วยค่ะ” หล่อนว่าเสียงหวานพลางยกมือไหว้เขาอย่างชดช้อย ทำเอาชายหนุ่มถึงกับยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
“พี่ไม่ได้ว่าอะไรครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเก้อๆ “ว่าแต่น้องมีอะไรจะถามพี่เหรอครับ”
นั่นสิ... มีอะไรจะถาม อีกสองสาวได้แต่ยืนมองเพื่อนอย่างไม่วางตาเช่นกัน สงสัยไม่แพ้เขาว่ารุจิรัตน์จะถามอะไร จริงอยู่ทุกคนมีคำถามมากมายจนแทบอยากจะเสนอหน้าเข้าไป ทำงานให้นิตยสารของคณะเพื่อจะได้สอดแทรกเรื่องราวกับการสัมภาษณ์รุ่นพี่เสียให้ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าวิ่งเข้าไปถามเขาต่อหน้าตรงๆ สักคน
“อ๋อ คือเยลลีอยากรู้ว่าพี่อนลมีแฟนรึยังคะ”
สิ้นเสียงถามของรุจิรัตน์ เพื่อนอีกสองคนซึ่งอยู่ด้านหลังก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง เพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะกล้าถึงเพียงนี้ ลำพังวิ่งเข้าไปคุยกับอนลก็ดูจะเก่งกล้าสามารถจนแทบจะล่ำลือเป็นวีรกรรมอยู่แล้ว แต่นี่ยิ่งกว่ากล้าเสียอีก
อนลนิ่งไปเล็กน้อยราวกับจะอึ้ง แต่เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมายิ้มอีก ก่อนจะตอบเสียงเบา
“ยังไม่มีครับ”
แทนที่รุจิรัตน์จะพอใจเพียงเท่านั้น เพราะไดคำตอบแล้ว หล่อนกลับส่งยิ้มหวานหยดให้เขาอีกครั้งก่อนจะพูดทิ้งท้าย
“งั้นเยลลีขอยื่นใบสมัครได้ไหมคะ”
เขาได้ยินแล้วก็นิ่งไปเลย คราวนี้เห็นได้ชัดว่ามีสีหน้าอึ้งในบัดดล ก่อนที่จะพูดกับรุจิรัตน์เสียงเบา อย่างมีมารยาท
“น้องครับ พี่ซาบซึ้งมากนะครับที่น้องถามพี่เมื่อกี้ แต่พี่ยังไม่คิดจะมีแฟน ขอโทษนะครับ”
รุจิรัตน์ดูจะไม่แปลกใจในคำตอบนัก ทีจริงเขาตอบได้ดีทั้งรักษาน้ำใจและรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ได้ในประดยคเดียวแต่ก่อนที่จะทันรู้ตัว หล่อนถามเขาอีกคำถาม
“พี่เป็นเกย์หรอคะ”
มันยิ่งกว่าได้ผลเสียอีก เพราะนอกจากเขาจะไม่เดินหนีไปไหนแล้วยังหันมามองหล่อนด้วยสีหน้างงๆ
“ไม่ใช่ครับ พี่แค่ยังไม่อยากคิดเรื่องความรัก อย่างน้อยก็จนกว่าจะเรียนจบ”
เขาตอบราวกับตัวเองเป็นดาราชื่อดังกำลังให้สัมภาษณ์ก็ไม่ปาน แต่วัดจากน้ำเสียงแล้ว เขาหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูดเพื่อสร้างภาพพจน์ให้ตัวเอง
“แล้วถ้าระหว่างนี้ เยลลี อยากจะทำความรู้จักกับพี่อนลบ้างละค่ะ พอจะมีหวังบ้างไหม”
เขาไม่ตอบ แต่ยกมือเกาคอตัวเองอย่างเก้อเขิน จะว่าไปผู้ชายเขินมันก็น่าดูไม่น้อย แต่รุจิรัตน์ไม่ยอมปล่อยให้นักมวยที่ตัวเองต้อนเข้ามุมจนใกล้จะน๊อคแล้วทันได้ตั้งตัว
“ขอเบอร์พี่อนลได้ไหมคะ เผื่อเยลลีมีอะไรไม่เข้าใจจะได้โทรไปถาม”
คำถามมาพร้อมกับสมุดจดเชคเชอร์วิชาเรียน และปากกาสีหวานแหว๋ว แต่เขาก็รับไปและยอมเขียนหมายเลขลงไปอย่างง่ายดายแต่อะไรคงจะไม่เท่าสมาชิกชมรมถ่ายภาพทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว และมีบางคนเริ่มเป่าปากหรือปรบมือให้ในความกล้าครั้งนี้
เว้นอยู่แค่คนเดียวที่นั่งเงียบจนน่ากลัว... เวียนนา
ความคิดเห็น