ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JOQ Online คนจริงลวงโลก <มี E-Book>

    ลำดับตอนที่ #184 : บทที่178: พลังทำลายที่เกินคาด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.05K
      100
      27 เม.ย. 55

    บทที่178 พลังทำลายที่เกินคาด

    ครืน~

    บนท้องฟ้า พาหนะขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอลกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่ทว่ากลับดูนุ่มนวล มันมีสีเหลือบๆที่กลืนไปกับสภาพรอบด้าน ถ้าไม่ได้สังเกตให้ดีก็จะไม่รู้เลยว่ามีเรือบินขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่อยู่ ดูท่าทางมันจะเป็นยานที่สร้างด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย

    “อีกสิบนาทีจะถึงเป้าหมาย”

    เสียงลูกเรือคนหนึ่งประกาศให้ทุกคนในยานได้รับทราบในห้องที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคเต็มห้อง พร้อมกับผู้คนที่นั่งประจำเครื่องและจอภาพที่เป็นแถบยาวโดยรอบฉายภาพท้องฟ้าและปุยเมฆที่กำลังเคลื่อนที่สอดคล้องไปกับการเคลื่อนไหวของพาหนะบินได้นี้

    มันคือสะพานเดินเรือนั่นเอง

    “อืม ใกล้ถึงแล้วล่ะนะ”

    ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา เขาใส่ชุดที่สีดำที่ดูแนบไปกับลำตัว คาดเข็มขัดโลหะที่มีอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เอวห้อยด้วยอาวุธที่เหมือนจะเป็นมีด แต่มีด้ามจับเป็นปืน ผมของเขามีสีขาวยาวประบ่า ดวงตาของเขาเฉยชาดูไร้ความรู้สึก

    “เรากำลังไปที่ไหนกันเนี่ย คุณจะบอกผมได้รึยัง?”

    ชายอีกคนถามขึ้นมาหน้าเครียด เขาเป็นชายผิวสีเข้ม มีที่ปิดตาปิดอยู่ที่ดวงตาข้างซ้าย แต่ถึงกระนั้นก็ดูออกว่าหน้าตาของเขาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร ดวงตาที่คมเข้มสีทองเป็นประกาย คิ้วเข้มคมรับกับดวงตา ทรงผมสั้นแบบสกินเฮดดูสะอาดเกลี้ยงเกลา มีผ้าคลุมร่างกายท่อนบนเอาไว้จนไม่เห็นว่าแต่งกายอย่างไร แต่ขาที่โผล่ออกมาเห็นเป็นบู๊ทโลหะที่ดูราวกับจะปล่อยไอพ่นออกมาได้ และจุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือ ความสูงของเขา ...มันเตี้ยมากถ้าเทียบกับผู้เล่นชายคนอื่นๆ ประมาณ 150 เซนติเมตรเท่านั้นเองถ้าจะให้เดา

    “คุณอิชินยังจำได้ใช่มั้ย ว่าคุณเคยสั่งให้ผมทำอาวุธให้คุณชิ้นหนึ่งน่ะ” ชายผมขาวกล่าวกับชายตาเดียว

    “จำได้อยู่แล้วสิ ของที่สั่งให้คุณทำให้ ผมจะลืมไปได้ยังไง” อิชิน ชายตาเดียวตอบกลับ

    “มันใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วล่ะ วันนี้ก็เลยจะมาทดสอบประสิทธิภาพให้คุณดูไง” ชายผมขาวกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

    “จริงเหรอเนี่ย!! ผมรอมาเกือบปี ตกลงจะเสร็จแล้วใช่มั้ย” อิชินพูดอย่างยินดี รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนหน้าเขาในที่สุด

    “อุ๊ย! อิชจังยิ้มแล้ว น่ารักที่สุดเลย”

    เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา เธอมีผิวขาวมีน้ำมีนวล ผมสีน้ำตาลแดงเป็นลอนสวยราวกับตุ๊กตา แต่ที่เด่นจริงๆคือ รูปร่างของเธอที่สูงกว่าผู้เล่นหญิงทั่วไปมาก ถ้าจะให้ประมาณก็คงจะสูงถึง 180 เซนติเมตร แล้วผิวที่มีน้ำมีนวลนั่นก็เกิดจากความบวมของเธอมากกว่า และที่เด่นไม่แพ้กันอีกก็คือแว่นตาหนาเตอะที่บดบังดวงตาของเธอเอาไว้จนไม่เห็นว่ามันมีลักษณะเป็นอย่างไร

    “เงียบไปเลยยัยแตงโม ใครใช้ให้พูดออกมาเนี่ย” ชายหนุ่มร่างเล็กตวาดใส่หญิงสาวอย่างโกรธๆ

    “อ...อิชจังอ้ะ ข...เขินเค้าล่ะสิ” หญิงร่างใหญ่พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

    “ใครเขินกัน!!” ชายร่างเล็กยังเถียงกลับ

    แต่ทว่า ก่อนที่การพูดคุยไร้สาระจะดำเนินไปมากกว่านี้

    ตูมม!! หวอ~!! หวอ~!!

    เสียงระเบิดดังขึ้นมาพร้อมกับแรงสั่นไหว สัญญาณเตือนภัยดังลั่นขึ้นมาทันที

    “เกิดอะไรขึ้น” ชายผมขาวพูดขึ้นมาเรียบๆ ดูท่าทางเขาจะไม่ทุกข์ร้อนเลยที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมากะทันหัน

    “การโจมตีจากทิศทางสิบเอ็ดนาฬิกาครับ” ลูกเรือคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมกับภาพที่ฉายขึ้นมาที่จอภาพกลางขนาดใหญ่ในสะพานเดินเรือนั่น เห็นเป็นยานรบสีดำทะมึนขนาดใหญ่กำลังบินตามเรือบินลำนี้มาอย่างรวดเร็ว

    “พวกแก้วมังกรสินะ” ชายหนุ่มผมขาวพูดขึ้นมาเรียบๆ

    “แก้วมังกร? ชื่อกิลด์เหรอคุณวัลแคน” อิชินถามขึ้นมา

    “ใช่ พวกกิลด์แก้วมังกร พอดีผมไปทำให้หัวหน้าของกิลด์ไม่พอใจน่ะ ก็เลยตามมาราวีล่ะมั้ง” วัลแคนตอบกลับเรียบๆ ท่าทางสบายๆเหมือนกับเป็นเหตุการณ์ปกติ เรื่องที่เขามักจะทำให้ใครต่อใครไม่พอใจ

    “เหรอ คุณวัลแคนไปทำอะไรพวกมันล่ะเนี่ย ถามได้มั้ย?” ชายหนุ่มตาเดียวสงสัยแต่ยังเกรงใจอยู่เล็กๆ

    “พวกนั้นชวนผมไปเป็นช่างประจำกิลด์น่ะ แต่ผมปฏิเสธ ...ก็แค่นั้น” วัลแคนเอ่ยเรียบๆ

    “อ้อ อย่างนี้นี่เอง พวกนี้นี่ช่างหาเรื่องจริงๆนะ ให้ผมช่วยจัดการพวกมันให้เอามั้ยล่ะ” ชายตาเดียวยื่นข้อเสนอ

    “ไม่ต้องหรอกครับ คุณเป็นลูกค้าของผมนะ ...แต่ก็พอดีเลย เดี๋ยวผมจะลองใช้อาวุธที่คุณสั่งทำให้ดูเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน จะได้รู้ว่ามันทำงานยังไง” ชายผมขาวกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

    “หา? อาวุธที่ผมสั่งทำเนี่ยนะ? เอาไปสู้กับยานรบนั่นเลยเหรอ” อิชินเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เคลือบแคลง เพราะเขาไม่คิดว่าอาวุธที่เขาสั่งให้วัลแคนทำจะเอาไว้สู้กับยานรบขนาดใหญ่นั้นได้

    “คอยดูก็แล้วกันคุณอิชิน” วัลแคนเอ่ยออกมาเรียบๆเหมือนเดิมพร้อมกับให้สัญญาณมือกับลูกเรือ

     

    วืด~

    ทันใดนั้นที่ท้ายยานบินสีเลื่อมๆนี้ก็มีช่องเปิดออกมาพร้อมกับปากกระบอกปืนที่ยื่นยาวออกมา

    “เอ่อ คุณวัลแคน ผมไม่ได้สั่งทำปืนใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ” อิชินพูดออกมาขณะมองภาพที่ฉายขึ้นมาที่หน้าจอในสะพานเดินเรือ

    “ปืนใหญ่นี่แค่แท่นยิงน่ะ ถ้ามันไม่ยื่นยาวออกไปแบบนี้มีสิทธิ์ที่เรือของผมจะได้รับความเสียหาย” วัลแคนเฉลยถึงความจำเป็นที่ต้องมีกระบอกปืนยื่นยาวออกไปจนพ้นเขตของยาน

    “มันร้ายแรงแบบนั้นเลยเหรอ ผมว่าปากกระบอกปืนที่ผมสั่งมันไม่น่าจะใหญ่โตอะไรมากมายนะ” อิชินยังสงสัยอยู่

    “ผมใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่าเครื่องขยายสัญญาณน่ะ เครื่องขยายขนาดคูณสิบ สามตัวต่อแบบอนุกรม ทำให้ช่วยขยายพลังที่ปลดปล่อยออกมาได้ถึงพันเท่า” วัลแคนเริ่มอธิบายการทำงานของอาวุธที่เขาสร้างทันที

    “อ้อ ...เหรอ” อิชินขานรับเรียบๆ แต่หน้ายังคงเครียดอยู่ แปลว่าอะไรวะ ตูไม่เข้าใจเว่ย

    “ซุยไม่เข้าใจค่ะคุณวัลแคน ขยายสัญญาณอะไร อนุกรมอะไร ช่วยยกตัวอย่างได้มั้ยคะ” หญิงร่างอวบแว่นหนาเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ

    “อืม งั้นผมจะยกตัวอย่างจากของจริงเลยละกันนะ คืออาวุธที่คุณอิชินสั่งทำเนี่ย เป็นอาวุธที่สามารถยิงพลังงานออกมาได้ใช่มั้ย ตามปกติก็จะมีขนาดลำกล้องในการปล่อยพลัง ในที่นี้ผมตั้งเอาไว้ที่สิบเซนติเมตร เวลายิงพลังงานออกมาตามปกติก็จะได้ลำแสงพลังงานขนาดสิบเซนติเมตร แต่เจ้าตัวขยายพลังงานที่ผมติดตั้งเข้าไปจะทำให้ขนาดของลำแสงพลังงานขยายขนาดได้ ติดตัวขยายตัวที่หนึ่งขยายสิบเท่า จากสิบเซนกลายเป็นร้อยเซน ติดตัวที่สองขยายอีกสิบเท่า กลายเป็นหนึ่งพันเซน ติดตัวที่สามขยายอีกสิบเท่า กลายเป็นหนึ่งหมื่นเซน หรือเท่ากับร้อยเมตรนั่นเอง” วัลแคนอธิบายการทำงานของเครื่องขยายพลังงานโดยละเอียด

    “หา!? หมายความว่าเจ้านี่ปล่อยลำแสงใหญ่ขนาดร้อยเมตรได้เหรอ” อิชินอุทานออกมาอย่างตกตะลึงทันที เขาไม่คิดว่าอาวุธที่เขาสั่งทำจะมีประสิทธิภาพขนาดนี้ ปืนที่มีลำแสงใหญ่ขนาดร้อยเมตร จะเอาไว้ยิงดาวเคราะห์เล่นหรือไง อย่างนี้เวลาถืออาวุธแล้วยิงแต่ละครั้งพื้นดินก็โดนเผาตลอดเลยน่ะสิ

    “จริงๆสามารถปรับได้ในการยิงแต่ละครั้ง ตั้งแต่หนึ่งเท่าถึงสิบเท่าในแต่ละตัวขยายสัญญาณ แต่ผมยกตัวอย่างถึงกรณีที่ยิงด้วยขนาดใหญ่ที่สุดน่ะ” วัลแคนใส่หมายเหตุให้ ทำเอาชายหนุ่มร่างเล็กมีสีหน้าคลี่คลายลง

    “เข้าใจล่ะ ว่าทำไมถึงต้องต่อปืนออกไปยาวขนาดนี้” อิชินถึงบางอ้อในที่สุด เพราะถ้าไม่ต่อให้อาวุธยิงนี้ยื่นยาวออกไป รัศมีของพลังงานตอนยิงจะมาโดนเอายานบินนี้เข้าไปด้วยน่ะสิ

    “ส่วนพลังงานที่ใช้ยังมีปัญหานิดหน่อยนะ เพราะว่าตัวปืนสามารถรับความจุได้สูงสุดร้อยล้านหน่วย แต่ตัวจ่ายพลังงานผมทำให้มันเล็กไม่ได้ ตอนนี้ต้องต่อกับตัวจ่ายขนาดใหญ่ไปก่อน” วัลแคนอธิบายอีก

    “ซุยไม่เข้าใจอีกแล้วค่ะ ยกตัวอย่างได้มั้ยคะ” หญิงร่างอวบถามขึ้นมาอีก ในขณะที่ชายร่างเล็กก็ทำหน้ายุ่งๆเพราะไม่เข้าใจเหมือนเดิม

    “อืม ก็อาวุธยิงนี้จะปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดออกมาในการยิงครั้งเดียวน่ะ ในที่นี้คือร้อยล้านหน่วย โดยหนึ่งหน่วยก็คิดซะว่าเหมือนกับใช้พลังปราณ จิตและเวทร่วมกันหนึ่งหน่วยนั่นแหละครับ” วัลแคนเริ่มอธิบาย

    ถึงตอนนี้เมื่อได้ยินคำว่าหนึ่งหน่วยคือปราณ จิต และเวทรวมกันอย่างละหนึ่ง ทำเอาชายหญิงทั้งคู่รู้สึกทึ่งขึ้นมาทันที เพราะเจ้าอาวุธยิงนี้สามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้ถึงร้อยล้านหน่วยในการยิงครั้งเดียว

    “ตัวจ่ายพลังงานเครื่องใหญ่ของผมมีอัตราชาร์จคือหนึ่งหมื่นหน่วยต่อวินาที ซึ่งการยิงแต่ละครั้งต้องเสียเวลาชาร์จนานเกือบสามชั่วโมง ขนาดของตัวจ่ายพลังงานก็ใหญ่กว่าสามเมตร น้ำหนักเครื่องละสามตัน ซึ่งมันคงจะไม่สะดวกนักในการพกพา ถ้าจะให้สะดวกต่อการพกพาก็ต้องใช้ขนาดหนึ่งร้อยหน่วยต่อวินาที ขนาดเท่าหัวไหล่ สามารถติดตั้งเข้าไปที่ตัวอาวุธได้เลย แต่มันจะเสียเวลาชาร์จนานมาก ผมลองคำนวณแล้ว ต้องใช้เวลาสิบเอ็ดวันครึ่งในการยิงแต่ละครั้ง” วัลแคนแจกแจงข้อมูลโดยละเอียดอีก

    “โหย สิบเอ็ดวันต่อการยิงครั้งนึงเหรอ ...ระหว่างนั้นมันก็คือของไร้ประโยชน์น่ะสิ” อิชินบ่นออกมาเมื่อรับรู้ถึงข้อจำกัดของอาวุธที่เขาสั่งทำ

    “ทีนี้ผมเลยจะแก้ปัญหาด้วยการติดตัวแบ่งพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้สามารถยิงกระสุนลูกเล็กๆได้ คิดว่าน่าจะช่วยแก้ปัญหาได้” วัลแคนอธิบายถึงวิธีแก้ปัญหา

    “ซุยไม่เข้าใจอีกแล้วค่ะ ตัวแบ่งพลังงานทำงานยังไงคะ” หญิงร่างใหญ่ถามขึ้นมาอีก ซึ่งชายร่างเล็กก็กำลังทำหน้างงๆเหมือนเดิม

    “ปกติอาวุธนี้จะใช้พลังงานครั้งละร้อยล้านหน่วย แต่ตัวแบ่งพลังงานจะทำให้พลังงานถูกแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ทำให้ไม่ต้องใช้พลังงานทีละร้อยล้านหน่วย ในที่นี้ผมคิดจะติดตัวแบ่งขนาดหนึ่งพันให้ ทำให้สามารถใช้พลังได้ครั้งละพันหน่วยต่อการยิงหนึ่งครั้ง ถ้าพลังงานหมดก็เสียเวลาชาร์จแค่สิบวินาทีก็ยิงต่อได้แล้ว แต่ถ้ายังมีพลังงานเต็มอยู่ก็ยิงต่อเนื่องได้ถึงแสนนัด ถ้าอยากได้ตัวแบ่งพลังงานขนาดอื่นก็บอกเอาไว้เลยนะครับ เพราะมันติดได้แค่ขนาดเดียว ไม่อย่างนั้นมันจะเทอะทะเกินไป” วัลแคนให้รายละเอียดของอาวุธแก่ลูกค้าทั้งสอง

    “อืม ...ผมขอดูก่อนแล้วกันว่าร้อยล้านมันแรงขนาดไหน แล้วค่อยตัดสินใจนะ ว่าจะใช้ตัวแบ่งขนาดไหนดี” ชายร่างเล็กกล่าว

    “ถ้างั้นก็เชิญชมได้เลยครับ” วัลแคนเอ่ยเรียบๆพร้อมกับให้สัญญาณกับลูกเรือคนหนึ่ง

    วูม~

    ทันใดนั้นที่ปลายกระบอกปืนที่ยื่นออกมาจากตัวยานก็เหมือนกับมีก้อนพลังงานสีขาวค่อยๆปรากฏรูปร่างขึ้นมา แล้วขนาดมันก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    วูม~

    เจ้าก้อนพลังงานเหมือนกับดูดพลังงานจากบรรยากาศรอบๆเข้าไปด้วย เห็นเป็นเส้นแสงวิ่งเข้าไปหามัน แล้วขนาดก็ขยายใหญ่ขึ้นไปอีก จากเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร ขยายเป็นห้าเมตร สิบเมตร ยี่สิบเมตร ขนาดมันยังใหญ่กว่าเรือบินลำนี้ขึ้นไปเสียอีก

    “อืม เอาขนาดแค่นี้พอละกัน ใหญ่พอๆกับยานเป้าหมาย ที่เหลือก็เร่งพลังงานได้แล้ว” วัลแคนสั่งงานลูกเรือเรียบๆเมื่อขนาดของก้อนพลังงานมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามสิบเมตร

    ชายหญิงผู้เป็นลูกค้าทั้งคู่เห็นภาพที่ขึ้นบนจอแล้วก็อดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้ แม้จะรับทราบข้อมูลมาแล้ว แต่การได้มาเห็นก้อนพลังงานขนาดใหญ่มหาศาลขนาดนี้เต็มๆตามันก็ยังน่าตื่นเต้นอยู่ดี

    “ยิงได้” วัลแคนยังคงกล่าวเรียบๆ

    แซด~~!!!

    ทันใดนั้นลำแสงสีขาวขนาดสามสิบเมตรก็พุ่งเป็นลำตรงเข้าหายานรบสีดำเป้าหมายทันที

    วาบ~! ตูมม!!

    ลำแสงสีขาวกวาดเอาเจ้ายานรบสีดำลำนั้นให้ปลิวไปทันทีเหมือนกับเครื่องบินกระดาษโดนลมเป่ายังไงยังงั้น ก่อนที่ยานรบลำนั้นจะแตกกระจุยเป็นชิ้นๆแล้วสลายไปในที่สุด

    แซด~~~!!

    แต่ทว่าลำแสงขนาดร้อยล้านยังไม่หมดพลัง มันยังคงพุ่งต่อเนื่องออกมานานกว่าห้านาที

    “นี่ปรับความเข้มเอาไว้เท่าไหร่เนี่ย” ชายหนุ่มผมขาวถามลูกเรือผู้มีหน้าที่ยิงอาวุธ

    “ปรับเอาไว้ที่หนึ่งหมื่นครับ” ลูกเรือตอบ

    “มิน่าล่ะ ทำไมมันนานจัง คราวหน้าปรับสักแสนหรือล้านไปเลยนะ จะได้ไม่ต้องรอนานแบบนี้” วัลแคนเอ่ยออกมาเรียบๆอีกครั้ง

    มันคือความเข้มของพลังงานที่ใช้ยิงต่อวินาทีนั่นเอง ตอนนี้ลูกเรือปรับความเข้มเอาไว้ที่หนึ่งหมื่นหน่วยต่อวินาที ทำให้กว่าจะยิงพลังงานร้อยล้านหมดต้องเสียเวลาไปนานมาก ถ้าปรับให้เข้มกว่านี้หรือใช้รัศมีพลังงานใหญ่กว่านี้ ก็จะทำให้ใช้พลังงานร้อยล้านหน่วยหมดได้เร็วกว่านี้

    อิชินเห็นประสิทธิภาพของอาวุธที่เขาจะได้เป็นเจ้าของแล้วก็ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากอย่างควบคุมไม่ได้

    “ฮึๆๆๆ เยี่ยมจริงๆคุณวัลแคน ผมคิดถูกจริงๆที่มาสั่งทำอาวุธกับคุณ” ชายร่างเล็กกว่าอย่างยินดี

    “...” ส่วนวัลแคนไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย

     

    จริงๆแล้วแค่การสร้างอาวุธยิงพลังงานสูงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่วัลแคนชอบทำเท่าไหร่ เพราะมันเป็นเพียงอาวุธธรรมดาๆที่ไม่มีลีลาอะไรเลย อาจจะใช้เทคนิคบ้างกับตัวขยายพลังงานหรือวัตถุดิบที่ประกอบมันขึ้นมา ถึงจะใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการสร้างมันออกมา แต่ก็ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรเยอะเท่าที่เขาชอบใช้ เพียงแต่ที่เขายอมทำอาวุธให้ชายที่ชื่ออิชินเพราะเขามีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่างต่างหาก

     

    “แล้วโล่ของคุณซุยกะที่ผมทำให้ล่ะครับ สภาพเป็นยังไงบ้าง” วัลแคนถามขึ้นมาเรียบๆ

    “ใช้งานได้ดีเลยค่ะ ซุยชอบมาก ไม่ว่าจะใช้รับการโจมตีแบบไหนก็ไม่มีปัญหาเลย” หญิงร่างอวบตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม

    “ดีแล้วครับ ถ้ามีปัญหาอะไรติดต่อผมได้เลยนะครับ” วัลแคนเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก ฮึๆๆๆ

    “ถึงเป้าหมายแล้วครับ” ลูกเรือคนหนึ่งพูดขึ้นมาทันทีที่ถึงเป้าหมายที่วัลแคนต้องการ

    “หืม? อะไรนั่นน่ะ” ชายหนุ่มตาเดียวสงสัยขึ้นมาถึงวัตถุบางอย่างที่ฉายขึ้นมาบนหน้าจอกลาง

    “เรือเหรอเนี่ย แต่ว่าขนาดใหญ่จังเลยนะ อย่างกับเมืองลอยน้ำแน่ะ” หญิงสาวร่างอวบเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นเจ้าวัตถุที่ฉายขึ้นหน้าจอ

    “เป้าหมายของเราในวันนี้ไงครับ เดี๋ยวผมจะสาธิตการจมเมืองแอตแลนติสให้คุณอิชินกับคุณซุยกะดูนะครับ ฮึๆๆๆ” วัลแคนพูดเรียบๆพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ

     

    ปัง! ปัง! วูบ!! ปัง! ปัง! ฟิ้วว!!

    เสียงปืนดังขึ้นไม่หยุดพร้อมกับร่างที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของชายหญิงคู่หนึ่งกลางเมืองที่เหมือนจะร้าง

    คนที่เป็นผู้ชายมีผมฟูทรงแอฟโรสีแดงเข้มจนเกือบดำ มีหน้ากากแหลมๆสวมอยู่ที่หน้า ใช้ปืนช็อตกันเป็นอาวุธ ส่วนอีกคนเป็นหญิงที่ดูอายุแล้วอยู่ในช่วงวัยรุ่น ผิวขาว ผมยาวมัดเป็นแกละสองข้าง ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ใช้อาวุธเป็นปืนพกสองกระบอก

    “โหย น้องยอมให้พี่ปล้นดีๆไม่ได้เหรอ แอตแลนติสนี่จะจมอยู่แล้วน้องรู้มั้ย” ชายหนุ่มหัวฟูกล่าวพร้อมกับหยุดเท้า

    วูบ~! ตูมม!!

    ทันใดนั้นชายร่างใหญ่คนหนึ่งก็เหวี่ยงค้อนอันใหญ่เข้าใส่ร่างของชายหัวฟูทันที แต่ทว่าชายหนุ่มกลับเคลื่อนตัวหลบไปได้ก่อนที่จะโดนโจมตี ส่งผลให้ค้อนนั้นพุ่งลงพื้นหิน เกิดเสียงดังสนั่นและรอยแตกที่พื้นขึ้นมาทันที

    “อ๋า! นายช่างก็เอากับเค้าด้วยเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มหัวฟูอุทานออกมาหลังจากรับรู้ว่าชายคนที่โจมตีเขาเป็นใคร

    “ก็ร้านเรามีกันอยู่สองคนนี่คะ ส่วนเรื่องแอตแลนติสจะจม ...รอให้มันจมจริงๆก่อนแล้วหนูจะยอมให้ปล้นดีๆนะ” เด็กสาวพูดขึ้นมาเหมือนกับไม่เชื่อสิ่งที่ชายหนุ่มหัวฟูบอก

    “เลดี้ออกมา” ชายหนุ่มหัวฟูเอ่ยเรียบๆขณะที่คอยระวังรอบด้านเอาไว้ตลอด

    แวบ!

    ทันใดนั้นเด็กหญิงผมแดงก็ปรากฏร่างขึ้นข้างๆชายหนุ่มหัวฟู ที่คอของเธอมีสายรัดสีดำที่มีผลึกแก้วกลมๆอยู่ชิ้นหนึ่งด้วย มันคือผนึกของสัตว์เลี้ยงที่เธอเพิ่งได้รับมานั่นเอง

    “เลดี้สู้กับนายช่างนะ พยายามฝึกการใช้มีดเอาไว้ล่ะ” ชายหนุ่มแนะนำเด็กหญิง

    “โอเคแอฟโร” เด็กหญิงตอบรับเสียงเข้ม

    “ฮึๆๆ” ชายหนุ่มหัวฟูหัวเราะออกมาเบาๆภายใต้หน้ากากสีขาว

     

    มันเป็นครั้งแรกที่มาตาร์สามารถใช้ความสามารถของเขาได้เต็มที่ ไม่ต้องคอยพะวงกับเดียมอนที่ไม่รู้จะเกรียนขึ้นมาตอนไหน สามารถใส่พลังเข้าไปที่แขนซ้ายได้อย่างเต็มที่ อยากจะใช้ผลึกวิญญาณ จะเรียกร่างวิญญาณหรือสวมหน้ากากวิญญาณก็ไม่มีเสียงหัวเราะและการเคลื่อนไหวที่ไร้สาระจากเดียมอนอีกต่อไป ผลสืบเนื่องมาจากสิ่งที่ทาเนียทำกับเขานั่นเอง

     

    “อ๊ากก!!” มาตาร์ร้องลั่นเมื่อโดนเข็มที่ใหญ่ขนาดเข็มเย็บผ้าจิ้มเข้าไปที่แขนซ้าย

    “เจ็บมากมั้ยคุณแอฟโร” ทาเนียถามออกมาอย่างร้อนใจ

    “จะร้องอะไรกันนักหนา เข็มก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทำสำออยไปได้ ตอนสู้ไม่เห็นร้องแบบนี้มั่งเลย” สปีน่าพูดเสียงดุหลังจากเห็นพฤติกรรมปากเบาของชายหนุ่มหัวฟู

    “ใครที่ไหนมันชอบเจ็บตัวกันบ้างเล่า ตอนต่อสู้ก็เรื่องนึง แต่ตอนนี้ไม่ใช่นี่นา” ชายหนุ่มหัวฟูเถียงแม่แมงมุมสาว

    “จริงๆแล้วเพราะการสลักวิญญาณมันจะทำให้เจ็บกว่าปกติด้วยนั่นแหละค่ะ” ทาเนียเอ่ยขึ้นมาอย่างเขินๆ เพราะจริงๆแล้วเธอนั่นแหละเป็นคนที่ทำให้ชายหนุ่มเจ็บจนต้องร้องออกมา

    “อ้อเหรอ” สปีน่าเอ่ยออกมาเรียบๆ ทำเอามาตาร์จ้องตาเขียว

     

    “อู้วว!! อีกนานมั้ยเนี่ยกว่า แย็กก!! …กว่าจะเสร็จเนี่ย” มาตาร์ที่โดนเข็มทิ่มเป็นจังหวะถี่ๆเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น

    “ไม่นานหรอก นี่ได้ไปครึ่งนึงแล้ว เหลืออีกครึ่งนึง” ทาเนียเอ่ยออกมาเรียบๆพร้อมกับเพ่งสมาธิในการสลักวิญญาณต่อไป

    “อ๋อว!! ...อ๋อเหรอ” มาตาร์อุทานออกมาก่อนจะรับคำเรียบๆพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเซ็ง เพิ่งจะครึ่งเดียวเองเหรอเนี่ย ตั้งชั่วโมงแล้วนะเนี่ย

     

    เข็มของทาเนียแต่ละครั้งนั้นแฝงไปด้วยพลังวิญญาณ ทั้งจากทักษะและเทคนิคการตีเหล็ก เธอกำลังเขียนอักขระเฉพาะตัวลงบนแขนซ้ายของมาตาร์ ซึ่งแต่ละเข็มของเธอนั้นเรียกเลือดของชายหนุ่มให้ไหลออกมาเสมอ

    ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง แขนซ้ายของมาตาร์ก็ถูกกลบด้วยเลือดสีแดง ในขณะที่หน้าตาของทาเนียมีแต่เหงื่อที่ไหลออกมาจนชุ่ม

    และแล้วในที่สุด หญิงสาวผมทองก็หยุดมือ

    “ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว” ทาเนียเอ่ยออกมาก่อนจะวางมือจากแขนของมาตาร์

    “เอ๋อ? จะเสร็จแล้วเหรอ” มาตาร์เอ่ยออกมาเรียบๆ ตลอดสองชั่วโมงมานี่เขาเจ็บจนเริ่มจะชินชาแล้ว

    “ขั้นต่อไปใส่พลังพิเศษเรียกอสูรในแขนซ้ายให้ตื่นขึ้นมาได้เลยคุณแอฟโร” หญิงสาวผมทองกล่าว

    “หืม? ปลุกเจ้าเดียมอนให้ตื่นเหรอ” มาตาร์ยังลังเล เพราะไม่คิดว่ามันจะมีอะไรแตกต่างจากปกติ ที่เดียมอนตื่นขึ้นมาแล้วก็จะหัวเราะพร้อมกับเหวี่ยงแขนไปมา

    “เรียกมันออกมาได้เลย” ทาเนียย้ำอีกครั้ง

    “อืม” มาตาร์ขานรับเรียบๆพร้อมกับใส่พลังพิเศษทั้งสามอย่างไปที่แขนซ้ายทันที

    ซูวว!!

    “วะฮ่าๆๆๆ” เจ้าเดียมอนยังหัวเราะออกมาเหมือนเดิม

    แต่แล้วทันใดนั้นก็ปรากฏลายอักขระเรืองแสงขึ้นมาทั่วแขนของมาตาร์ แล้วเจ้าลายอักขระนั้นก็เคลื่อนที่ราวกับว่าแต่ละตัวอักษรมีชีวิต หมุนวนไปรอบๆแขนซ้ายที่ขาดด้วนของเขา

    “ฮะ ...ฮะ เฮ่ย!! อะไรเนี่ย!?” เสียงเจ้าเดียมอนอุทานออกมา ก่อนจะเงียบไป

    สุดท้ายแล้วแขนซ้ายของมาตาร์ก็ไม่ขยับไปมาหรือส่งเสียงร้องออกมาอีกแม้จะใส่พลังเข้าไปเยอะขนาดไหน

    “โห! สุดยอด” มาตาร์อุทานออกมาอย่างยินดี เขาไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตมีอิสระอย่างนี้มานานแล้ว ปกติต้องคอยป้องกันพลังพิเศษไม่ให้รั่วไหลเข้าไปที่แขนซ้ายเสมอ แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องพะวงกับมันแล้ว

    หลังจากเช็ดรอยเลือดออกจากแขนเรียบร้อย มาตาร์ก็เห็นว่าแขนของเขาไม่ได้เป็นสีดำอีกต่อไปแล้ว มันกลายเป็นแขนที่มีสีเสมอกับสีผิวตามปกติ แต่ว่ากลับมีรอยสักขึ้นมาเป็นรูปหน้าของปีศาจสีดำ พร้อมกับลายอักขระที่มีลักษณะเหมือนโซ่พันรอบแขนแถบหนึ่งเท่านั้นเอง

    “โหรอยสักรูปเดียมอน เท่ดีเหมือนกันนี่นาแอฟโร” เลดี้ทักขึ้นมาก่อนเมื่อเห็นว่ารูปหน้าของปีศาจนั้นมันคือหน้าของเดียมอน

    “อสูรที่แขนซ้ายของคุณแอฟโรถูกผนึกแล้ว ...แต่ว่า แค่การเคลื่อนไหวพื้นฐานเท่านั้นนะ บางทีมันอาจจะยังคอยกวนคุณได้ด้วยความสามารถพิเศษของมัน ดิชั้นไม่รู้ว่าคุณเอาเจ้าตัวนี้เข้ามาใส่แขนได้ยังไงนะเพราะว่ามันดื้อมากเลย แถมยังปรับตัวได้รวดเร็วอีกด้วย บางทีถ้าทิ้งเอาไว้มันอาจจะหลุดออกมาอีกก็ได้” ทาเนียกล่าว

    “เหรอ ...แต่แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะนะ ไม่ได้รู้สึกสงบอย่างนี้มานานแล้ว” มาตาร์เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกขอบคุณแตกต่างจากตอนแรกที่ระแวงในตัวหญิงสาว

    “ทีนี้ก็ทำลายหัวใจโมบี้ดิ๊กได้แล้วนายหัวฟู” หญิงสาวผมม้าสั้นเต่อสีดำแซมม่วงเอ่ยแทรกขึ้นมา

    “...” ทาเนียเงียบไปทันที เธออยู่ที่แอตแลนติสมาร้อยกว่าปี รู้สึกผูกพันทั้งกับเมืองและโมบี้ดิ๊กตัวนี้มาก ถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากจะให้มันถูกทำลาย

    “จะเอายังไงหัวหน้า ถ้าหัวหน้าบอกไม่อยากให้ทำลาย ผมก็จะไม่ลงมือนะ” ชายหนุ่มแอฟโรถามขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวผมทอง

    “... ชั้นไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะ ...ทำลายมันไปเถอะคุณแอฟโร”ทาเนียพูดออกมาเหมือนตัดพ้อ

     

    เท่านั้นเองมาตาร์ก็เรียกหน้ากากวิญญาณมาสวมพร้อมกับสร้างแขนซ้ายพลังจิตขึ้นมาทันที

    วูบ! แกร็ก!

    แล้วมือทั้งสองของชายหนุ่มผมฟูแบเข้าหากัน

    วูม~

    แล้วพลันปรากฏก้อนพลังสีขาวขึ้นมาระหว่างฝ่ามือทั้งสองทันที แล้วมันก็ค่อยๆขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

    ท่าที่มาตาร์ใช้คือกระสุนพรากสังขารนั่นเอง การสวมหน้ากากวิญญาณทำให้มาตาร์สามารถใช้ปราณธาตุได้ แต่ใช้ได้ไม่เท่าเทียมกับการคืนร่าง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใดในการสร้างกระสุนพรากสังขารขนาดใหญ่ เพราะกระสุนพรากสังขารนี้เป็นท่าไม้ตายที่ยิ่งสะสมนานก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น ดังนั้นการคืนร่างกับไม่คืนร่างจึงแตกต่างกันแค่เวลาที่ใช้รวบรวมพลังเท่านั้นเอง

    ที่ผ่านมาการปล่อยไม้ตายต้องอาศัยความเร็วเพราะอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ ดังนั้นกระสุนพรากสังขารจึงไม่ได้ใช้งานออกมาถ้ามาตาร์ไม่ได้คืนร่าง เพราะมันจะเสียเวลารวบรวมพลังซึ่งก็คงไม่มีศัตรูคนไหนปล่อยให้เขายืนเฉยๆเพื่อรวบรวมพลังหรอก แต่ตอนนี้มันผิดกัน เพราะไม่ได้กำลังต่อสู้อยู่

    วูม~!

    ประมาณห้านาทีหลังจากที่ก้อนพลังงานเกิดขึ้นมา ขนาดของเจ้าก้อนพลังงานนั้นก็มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณห้าสิบเซนติเมตร สีขาวเข้มภายในเห็นเป็นเลื่อมสีรุ้งวิ่งไปมาช้าๆ

    “เอาล่ะนะ” มาตาร์เอ่ยออกมาเรียบๆอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่สาวๆทั้งหลายก็มองด้วยความลุ้นระทึก

    ในใจของแต่ละคนยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าผู้เล่นระดับไม่ถึงสองร้อยคนนี้จะมีท่าไม้ตายอะไรที่สามารถเป่าหัวใจโมบี้ดิ๊กให้หายไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ เพราะพวกเธอแต่ละคนมีระดับกันไม่ต่ำกว่าห้าร้อย เล่นเกมมาเป็นร้อยปี ยังไม่มีท่าไม้ตายที่รุนแรงขนาดนี้เลย

    ต้องบอกอีกทีว่า การแสดงสภาพธาตุข้างเคียง ไม่ใช่ว่าผู้เล่นทุกคนจะทำได้ และการรวมปราณห้าธาตุไม่ใช่สิ่งที่ฝึกกันได้ง่ายๆ ถ้ามาตาร์ไม่ได้ฝึกท่านี้ในแมนชั่นแห่งความตายเขาต้องตายไปไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งแน่นอนเพราะระเบิดจากการรวมปราณผิดพลาด ดังนั้นกระสุนพรากสังขารจึงจัดเป็นไม้ตายที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้เล่นทั่วไป

    ก่อนที่มาตาร์จะปล่อยกระสุนพรากสังขารลูกนี้ไป เขาเรียกใช้ทักษะไม่มีลิมิตฯขึ้นมาก่อน แล้วก็ยิงแขนซ้ายออกไปตามเคล็ดวิชาหัตถ์พระเจ้า ส่งเจ้าลูกบอลสลายสสารนั่นเข้าไปใจกลางหัวใจของโมบี้ดิ๊ก

    ครืด~

    เสียงเจาะผนังหัวใจดังขึ้นมาเบาๆ หัตถ์พระเจ้าพุ่งผ่านเนื้อเยื่อหัวใจอย่างง่ายดายราวกับใช้หลอดเจาะพุดดิ้ง เนื่องจากกระสุนพรากสังขารเป็นตัวที่สลายสสารที่ขวางทางมันอยู่นั่นเอง

    วูม~

    แล้วทันใดนั้นรัศมีแห่งความว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันแทนที่บริเวณที่เป็นหัวใจของโมบี้ดิ๊กนั้น

    !!!

    !!!

    !!!

    ทั้งทาเนีย สปีน่า และอาร์แซนตกใจกับภาพตรงหน้าจนถึงขั้นส่งเสียงไม่ออก

    หัวใจสัตว์อสูรขนาดใหญ่กว่าสามสิบเมตร หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไร้เสียงหรือสำเนียงใดใด มีเพียงอากาศโล่งๆเท่านั้นที่อยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มหัวฟูนี่ทำได้จริงๆ เขามีไม้ตายที่สามารถทำลายหัวใจโมบี้ดิ๊กได้ในครั้งเดียว แถมยังเหนือยิ่งกว่าความคาดคิดของแต่ละคนด้วย มันเป็นไม้ตายที่หมดจดและเรียบร้อยมาก

    “เอาล่ะ อาร์แซน เธอส่งชั้นเข้าเมืองได้แล้ว ก่อนที่แอตแลนติสจะจม” มาตาร์เอ่ยออกมาอย่างสดใส เพราะเรื่องราวช่างเป็นไปได้ดั่งใจเขาจริงๆ ในขณะที่หญิงสาวผมดำแซมม่วงขานรับด้วยหน้าตาที่ตื่นตกใจ

    “อื้อ”

     

    ตัวละครใหม่ของคุณสัมมาวายาโมนะครับ
    อิชิน ภาษาญี่ปุ่นมาจาก
    維神 แปลว่าเทพผู้รักษานะครับ
    ซุยกะ ภาษาญี่ปุ่นมาจาก
    水華 แปลว่าน้ำที่งดงาม แต่เสียงซุยกะมันก็แปลว่าแตงโมได้ด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×