ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขุนเขา... สายน้ำ... ความรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 383
      1
      16 ก.ค. 52


                       บทที่ 2



                  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้คีรีตัดสินใจเดินตามคณะทัวร์กลุ่มนั้นเข้าไปในตลาดริมเมย
    แม้จะตามเข้าไปติดๆ แต่ด้วยความที่มีซอกซอยมากมายจึงทำให้คลาดสายตาไปอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็น ครั้นจะก้าวเท้าต่อไปก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงหวานสดใส

                  “ได้อะไรบ้างหรือยังคะครู”


                  คีรีงุนงงไปชั่วขณะ เขายืนอยู่หน้าทางเข้า นักศึกษาสาวเหล่านี้ก็น่าจะเห็น แต่แล้วก็เข้าใจ ทางเข้าตลาดริมเมยมีหลายทาง

                  “ผมเพิ่งเข้ามาครับ อย่าว่าแต่ซื้อเลย ยังไม่ได้ดูอะไรเสียด้วยซ้ำ”

                  ปากพูดกับคนยืนใกล้ หากสายตาทอดยาวไปไกลเพื่อมองหาใครบางคน

                  “แล้วพวกเราล่ะ ซื้ออะไรกันบ้างหรือยัง”


                  ‘พวกเรา’ ยิ้มแป้น ยกของในมืออวดกันสลอน

                  “ไม่พลาดอยู่แล้วค่ะ”


                  คีรียิ้มตาม ตลาดริมเมยไม่ใช่ตลาดขายของสด หากเป็นสถานที่ขายของอุปโภคบริโภคที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจากประเทศจีน ดังนั้นจึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของสาวๆ ไม่น้อย

                  “อย่าซื้อเพลินจนเงินหมดล่ะ ยังต้องอยู่อีกหลายวันไม่ใช่หรือ”

                  คีรีออกปากเตือน เขารู้ นักศึกษาเหล่านี้ หลายคนมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย หลายคนมีอันจะกิน แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องแบมือขอเงินจากผู้ปกครองอยู่ดี

                  คำเตือนธรรมดาๆ ทว่าเมื่อออกจากปากของบุคคลที่ ‘ปลื้ม’ จึงมีค่ามากมาย


                  “ไม่ซื้อแล้วค่ะ จริงไหมพวกเรา” คนพูดหันไปขอเสียงสนับสนุนจากเพื่อนๆ และก็ได้รับอย่างท้วมท้น


                  คีรียิ้มให้ ส่วนใจลอยไปไกลแล้ว เขาขยับเท้าจะปลีกตัวเดินออกไป ยิ้มก็พลันหุบเมื่อได้ยินหัวโจกกล่าว

                  “พาครูดอยไปเดินซื้อของกันดีกว่า”


                  จากที่เคยคิดว่าจะเดินตามหาคนเดียวได้อย่างคล่องตัว ก็กลายเป็นเดินไปทางไหน มีเด็กสาวเดินตามกันเป็นโขยง แถมมีดักหน้าดักหลัง ชวนดูของร้านโน้นร้านนี้ ชายหนุ่มไม่อยากขัดใจจึงพยักหน้าเออออไปตามเรื่องตามราว

                  แต่ในที่สุด เขาก็เดินหาจนเจอ


                  ไม่มีร่องรอยของคนงัวเงียเพิ่งตื่นนอนแล้ว มีแต่หญิงสาวหน้าตาสดใสยืนพูดกับชาวต่างชาติอย่างคล่องแคล่ว บางครั้งเธอก็หันหน้าไปสอบถามข้อมูลสินค้าจากผู้ขายแล้วกลับมาอธิบายต่อ คีรีมองจนเพลิน กว่าจะรู้ตัวก็เข้ามาใกล้ เขายืนห่างจากเธอเพียงแค่ร้านสองร้านที่ติดกัน

                  ทว่าแม้จะใกล้กันเพียงไม่กี่ก้าว แต่เขาก็จับใจความที่เธอคุยกับชาวต่างชาติไม่ได้เลย เพราะบรรดานักศึกษาสาวต่างมารุมล้อมหน้าล้อมหลังแย่งกันนำเสนอสินค้าที่วางอยู่หน้าร้านราวกับเป็นแม่ค้าเสียเอง


                  คีรีอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่ร้านหนึ่งมีคนๆ เดียวพูดให้หลายคนฟัง แต่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน กลับมีคนหลายคนพูดให้คนๆ เดียวฟัง

                  จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ เสียงหัวเราะของคีรียังไม่ทันจาง หญิงสาวคนนั้นก็เหลือบตามองมาทางเขา สายตาสองคู่ประสานกัน แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบาง คีรีค้อมศีรษะรับ เช่นเดียวกับฝ่ายนั้น หากยังไม่ทันมีวาจา ต่างคนก็ต่างถูกคนที่มาด้วยรั้งความสนใจกลับไป

                  คีรีถูกสาวน้อยนางหนึ่งรบเร้าให้ไปร้านอื่น ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็ถูกชาวต่างชาติชักชวนให้ไปอีกทาง

                  รักจะเป็นมัคคุเทศก์ ความพึงพอใจของลูกทัวร์ต้องมาอันดับหนึ่ง... คีรีคิด...

                  ไม่มีสายตาและรอยยิ้มส่งกลับมาอีกเลย



                  “อยู่กันตรงนี้นี่เอง”

                  ไม่รู้ว่ามนตรีโผล่มาจากทางไหน หากประโยคต่อมาทำให้ชายหนุ่มที่ ‘ยืนอยู่ตรงนี้’ ใจแป้ว

                  “ไปขึ้นรถกันได้แล้ว อีกห้านาทีเราจะเดินทางกันต่อ”


                  คีรีเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปนั้นมันไม่เท่ากัน ห้านาทีนี้อาจเป็นห้านาทีที่รวดเร็วที่สุดก็ว่าได้

                  อย่าว่าแต่ตามหาหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งเลย กระทั่งเดินเร็วๆ ไปขึ้นรถก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือแล้ว


                  คีรีก้าวขึ้นรถ นั่งประจำที่เดิม สายตาทอดออกผ่านกระจกหน้าต่างไปยังตลาดซึ่งมีแม่น้ำเมยเป็นฉากหลัง ไม่คิดเลยว่าการเดินทางมาร่วมออกค่ายอาสากับนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งมนตรีเพื่อนรักเป็นอาจารย์อยู่นั้น จะคุ้มแสนคุ้ม

                  เขาได้พบเจอรอยยิ้มที่บ่งบอกความเป็นมิตรมากที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา ทั้งๆ ที่เจ้าของรอยยิ้มนั้น... ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยสักนิด







                  “เนื้อหอมไม่ใช่เล่นนะ ครูดอย”

                  มนตรีพูดพร้อมๆ กับนั่งลงข้างๆ คีรี น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าพูดเล่นมากกว่าคิดจริงจัง

                  “รู้อย่างนี้ไม่ชวนมาด้วยหรอก ลูกศิษย์เราใจแตกกันหมด”


                  คนหนึ่งพูดโดยไม่คิด หากอีกคนกลับคิดทุกคำที่ได้ยิน

                  “อย่ากังวลไปเลยมนตรี เราไม่ยุ่งกับลูกศิษย์ของนายหรอก และจะคอยห้ามไม่ให้มายุ่งกับเราด้วย”


                  มนตรีจ้องหน้าคนคิดมากอยู่นาน ก่อนหัวเราะออกมา

                  “บ้าเอ๊ย... เราพูดเล่น... นี่จะบอกอะไรให้นะ” มนตรียังพูดไปหัวเราะไป “เด็กๆ พวกนี้น่ะ เห็นคนหน้าตาดี ท่าทางเท่แบบนายก็กรี๊ดกร๊าดไปแค่นั้น ไม่ได้มีอะไรมากเกินเลยไปหรอก เหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ๆ ไง”


                  คีรีทำหน้าปั้นยาก และยิ่งยากกว่าเดิมอีกหลายเท่าเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

                  “เห่ออยู่วันสองวัน ประเดี๋ยวก็เบื่อแล้ว”


                  “จะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย” คนถูกเปรียบเป็นของเล่นคราง


                  “จะดีใจหรือเสียใจก็ช่างนายเถอะ แต่อย่าคิดว่าเด็กๆ พวกนี้เป็นอย่างที่นายเห็นก็แล้วกัน จริงอยู่ที่พวกเขาอาจจะดูฉาบฉวยไม่เข้าท่า แต่นั่นก็เพียงแสดงออกมาตามวัยเท่านั้น อยากให้นายดูพวกเขาตอนทำงาน เราคิดว่าทำกันจริงจังมากกว่าพวกผู้ใหญ่เสียอีก”


                  คีรีไม่เถียงเพื่อนเลยสักคำ เขาไม่ได้คลุกคลีอยู่กับเด็กๆ เหล่านี้ก็จริง ทว่าพอเข้าใจ ใครก็ตามที่อาสาด้วยตนเองออกมาช่วยเหลือผู้อื่น รับรองได้ว่าไม่ใช่คนทำตัวไร้สาระไปวันๆ อย่างแน่นอน

                  “นายอายุเท่าไหร่แล้ว ปีนี้”

                  จู่ๆ คีรีก็เอ่ยคำถามที่ไม่น่าถาม


                  “ก็ยี่สิบหกเท่านาย ถามทำไม”


                  “เปล่า... ไม่มีอะไรหรอก” คนปฏิเสธอมยิ้ม “เรียนจบโทก่อนเราสองปี ทำงานก่อนเราสองปี ไม่น่าจะพูดจาได้แก่ขนาดนี้เลย”


                  “เราไม่ได้มีเงินถุงเงินถังนี่หว่า จะได้เรียนไปเที่ยวไปเหมือนอย่างนายได้ ต้องรีบเรียน รีบจบ ออกมาทำงาน อ้อ... ต้องรีบแก่ด้วย เดี๋ยวลูกศิษย์ไม่เชื่อถือ”


                  คีรีหัวเราะเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก นี่ถ้าบิดามารดาไม่เคี่ยวเข็ญ เขาก็คงเอ้อระเหยอยู่ที่ต่างแดนอีกนาน เขาไม่คิดว่าปริญญาที่ได้มาจะมีค่ามากกว่าประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับ ด้วยเหตุนี้เอง คีรีจึงไม่ยอมเรียนต่อปริญญาเอก ทั้งๆ ที่เพียบพร้อมไปด้วยกำลังสมองและกำลังทรัพย์




                  รถโดยสารปรับอากาศคันใหญ่แล่นมาถึงอำเภอท่าสองยางตอนสายวันเดียวกันนั้น เสียงบอกต่อกันมาตั้งแต่หัวรถไปยันท้ายรถว่า ‘ถึงแล้ว’ หากเมื่อรองเท้าหุ้มส้นของคีรีสัมผัสพื้นดินลูกรังปนหินชายหนุ่มก็รู้ในทันทีว่ายังต้องเดินทางต่ออีก... พอสมควร

                  รถกระบะเก่าคร่ำคร่าสองคันจอดรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่คีรีมั่นใจว่าจอด ‘รอ’ ก็เพราะคนขับรถทั้งสองเดินยกมือไหว้มาแต่ไกล ยิ้มร่าปรี่เข้ามาหามนตรีด้วยความดีใจ


                  “สวัสดีครับ มาจาก... ใช่ไหมครับ”

                  คนหนึ่งเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยด้วยสำเนียงแปร่งหูไปบ้าง แต่ก็ฟังออกทุกถ้อยคำ อาจารย์หนุ่มรีบยกมือไหว้ตอบแล้วแนะนำตัวเองเสียงดังฟังชัด


                  “สวัสดีครับ ผม... มนตรี เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของน้องๆ นักศึกษาครับ”


                  ‘น้องๆ นักศึกษา’ ยิ้มแก้มตุ่ยไปตามๆ กัน จากนั้นฝ่ายมารับก็แนะนำตัวเองบ้าง ทำให้คีรีได้รู้ว่าคนหนึ่งซึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ สำเนียงแปร่งๆ นั้น ชื่อเม้ย เป็นผู้ใหญ่บ้าน ส่วนอีกคนหนึ่ง รูปร่างสันทัด ผิวคล้ำน้อยกว่า และพูดสำเนียงกลางค่อนข้างชัดเจน ชื่อสุทิน เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนที่เหล่านักศึกษาอาสามาพัฒนานั่นเอง


                  “เชิญขึ้นรถครับ”

                  ครูสุทินเชื้อเชิญมนตรี แล้วหันมาทางคีรีพร้อมยิ้มให้ ชายหนุ่มมองรถกระบะเก่าๆ สนิมกัดจนตัวถังผุพังไปหลายแห่งทั้งสองคัน กับจำนวนนักศึกษาสามสิบคนซึ่งไม่น่าจะสมดุลกัน ทว่าชั่วพริบตา นักศึกษาสามสิบคนที่ว่าก็แห่กันไปขึ้นกระบะท้ายรถทั้งสองคันจนหมดสิ้น


                  “แค่นี้สบายมากครับ”

                  ครูสุทินอ่านสายตาของคีรีออก เอ่ยคำยืนยันสมรรถนะรถของตนเอง


                  “มากกว่านี้ยังไหว”

                  ผู้ใหญ่เม้ยช่วยรับประกัน คีรีกับมนตรีจึงเดินตามไปขึ้นรถด้านหน้าคนละคัน


                  คีรีไปกับครูใหญ่สุทิน ส่วนมนตรีไปกับผู้ใหญ่เม้ย


                  เส้นทางไปสู่หมู่บ้านทำให้คีรีเข้าใจว่าเหตุใดรถบัสปรับอากาศจึงต้องจอดอยู่แค่ปากทาง ถนนลูกรังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ อย่าว่าแต่รถคันใหญ่ๆ เลย ต่อให้เป็นรถเก๋ง เจ้าของก็ยังต้องคิดหนักว่าจะกล้าขับฝ่าเข้าไปหรือไม่


                  “นี่ดีนะครับที่ฝนทิ้งช่วงไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว”

                  ครูสุทินกล่าวขณะสาวพวงมาลัยระกระบะหลบหลุมบ่ออย่างชำนิชำนาญ คีรีพอนึกภาพออกว่าหากมีฝนตกลงมาสภาพถนนลูกรังที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อเช่นนี้จะเป็นอย่างไร


                  “หมดไปเลยก็ดี” เจ้าถิ่นเห็นผู้มาเยือนเงียบก็เลยพูดต่อ “ฝนตกลงมาทีหนึ่ง ลำบากไปหลายวัน ยิ่งถ้าตกติดๆ กันเป็นอาทิตย์นะคุณ จะเข้าเมืองถึงกับต้องพันโซ่”

                  ครูสุทินหมายถึงการใช้โซ่พันยางรถยนต์เพื่อให้ตะกุยดินที่เหลวเละขับเคลื่อนไปได้

                  “หรือไม่ก็โน่น ปั่นจักรยานกันจนน่องโป่ง แถมเมื่อยแขนอีกต่างหาก”


                  “เมื่อยแขน...” คีรีทวนคำ นึกไม่ออกว่าขี่จักรยานจะเมื่อยแขนได้อย่างไร


                  “ครับ... เมื่อยแขน” ครูสุทินยืนยันแล้วหัวเราะ “คนขี่จักรยานบ้าง จักรยานขี่คนบ้าง ทุลักทุเล จนกว่าจะถึงถนนดำนั่นแหละครับ”


                  คีรีเพิ่งเคยได้ยินคำว่า ‘ถนนดำ’ เป็นครั้งแรก แต่ก็เข้าใจโดยไม่ยากว่าผู้พูดหมายถึงถนนลาดยางมะตอยซึ่งมีสีเทาเข้มจนเกือบดำ ดังนั้นถนนลูกรังจึงควรถูกเรียกว่า...

                  “ถนนน้ำตาลเละเทะขนาดนั้น ทำไมไม่หางบมาลาดยางหรือเทคอนกรีตล่ะครับ”


                  “ถนนน้ำตาล...” ครูสุทินหัวเราะเสียงดังกว่าเก่า “เราเรียกกันว่าถนนแดงครับ คุณ”


                  คีรีรู้ว่าปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่งออกไปจึงหัวเราะแก้เก้อ ก่อนที่ครูสุทินจะตอบคำถามของเขา

                  “เราไม่มีงบประมาณมากขนาดนั้นหรอกครับ งบส่วนใหญ่จะเอาไปพัฒนาทางด้านอื่นเสียมากกว่า”


                  ชายหนุ่มพยักหน้าพลางคำนึง ในขณะที่เมืองหลวงของประเทศมีงบเป็นหมื่นล้านแสนล้านเพื่อพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ทั้งรถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดิน แต่ที่นี่ไม่มีแม้แต่ถนนลาดยาง

                  เสียงเด็กนักศึกษาเฮฮาดังมาจากกระบะท้ายทุกครั้งที่รถหย่อนล้อลงหลุมโคลงเคลง พวกเขาตะโกนโหวกเหวกข้ามรถให้กันอย่างสนุกสนาน คีรีนึกเสียดายชีวิตในวัยเรียนของตัวเอง เขาควรได้มาออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทอย่างนี้มากกว่าไปศึกษายังต่างประเทศ

                  คิดแล้วก็ยิ่งอยากย้อนเวลาให้หวนคืนกลับมา



                  แปดปีที่แล้ว คีรีเลือกไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ทั้งๆ ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังภายในประเทศได้ ท่ามกลางการคัดค้านของมารดาผู้ซึ่งไม่อยากให้บุตรชายคนเดียวจากไปไกล แต่เขาก็ยังดึงดัน โดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับหลานชายของคุณนายโฮโซเพื่อนของมารดาที่ไปเรียนเมืองนอกได้ ด้วยความเกรงว่าจะน้อยหน้าเพื่อน คุณหญิงพัชรีจึงจำใจยอม หากเหตุผลที่แท้จริงของคีรีก็คือ เขาเบื่อบ้าน เบื่อการเป็นบุคคลของสังคมชั้นสูงของบิดามารดา

                  วันนี้ เมื่อมีโอกาสแห่งการอุทิศตนเพื่อพี่น้องร่วมประเทศผู้ด้อยโอกาสอย่างแท้จริงอยู่บนหนทางเบื้องหน้า เขาจึงตั้งปณิธานจะคว้ามันไว้ และทำให้ดีที่สุด ถึงแม้จะมาในฐานะผู้สังเกตการณ์ก็ตามที



                  เสียงเครื่องยนต์ครางอู้ เมื่อครูสุทินเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำเพื่อเพิ่มกำลังสำหรับการขึ้นภูเขา ดีที่ไม่สูงชันมากนัก รถกระบะรุ่นเก่าจึงค่อยๆ ขับเคลื่อนไปได้ แต่กระนั้นคีรีก็ยังเกร็งหน้าท้องลุ้นทุกครั้งที่รถเข้าโค้ง และเครื่องยนต์ทำท่าจะดับอยู่หลายต่อหลายหน


                  “สบาย สบายครับ”

                  คีรีไม่รู้ว่าครูสุทินปลอบใจเขาหรือปลอบใจตัวเองกันแน่ เพราะสีหน้าของผู้พูดดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรเลย และแล้วสิ่งที่ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้ก็เป็นจริง เมื่อถึงทางโค้งหนึ่งซึ่งค่อนข้างชัน ครูสุทินเหยียบคันเร่งเลี้ยงคลัตช์ เครื่องยนต์ส่งเสียงดังลั่นแต่รถไม่สามารถแล่นต่อไปข้างหน้าได้ และทำท่าว่าจะถอยหลังลงมาเสียด้วย


                  “เฮ้ยๆ โดดโว้ยพวกเรา”

                  เด็กหนุ่มนักศึกษาที่นั่งบนกระบะหลังรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจึงตะโกนบอกพรรคพวก เพียงชั่วพริบตาผู้โดยสารทั้งชายหญิงก็ลงมายืนหน้าสลอน ปล่อยให้รถกระบะรุ่นเก่าไต่โค้งขึ้นไปได้อย่างหวุดหวิด


                  ครูสุทินจอดรถดึงเบรกมือแล้วโผล่หน้ามาร้องเรียกให้เหล่านักศึกษาที่กำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเดินตามไปขึ้นรถอีกครั้ง ยังไม่ทันไร รถของผู้ใหญ่เม้ยก็ตามมา

                  ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างรถของครูสุทินหรือไม่ หากพอผู้นั่งอยู่ท้ายรถกระบะของผู้ใหญ่เม้ยเห็นเพื่อนๆ ลงมายืนอยู่บนถนนก็กระโดดลงตาม


                  ‘ไหนว่าสบายๆ ไงครับ’

                  ประโยคนี้คีรีได้แต่พูดในใจ เพราะเมื่อครูสุทินรู้ตัวว่าคาดคะเนพลาดก็ยอมรับผิดแต่โดยดี


                  “คงต้องแบ่งเป็นสองเที่ยวแล้วหละครับ เราจะเจอทางขึ้นแบบนี้อีกสองสามแห่ง”


                  มนตรีเห็นด้วยทันที ถึงที่หมายช้าไปบ้างไม่เป็นไร แต่ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ความเป็นผู้ควบคุมและรับผิดชอบจึงออกคำสั่งแก่ลูกศิษย์

                  “ผู้หญิงขึ้นรถไปก่อน ผู้ชายรอเที่ยวหลัง”


                  ท่ามกลางเสียงกระเซ้าเย้าแหย่กันเองของบรรดานักศึกษา มนตรีหันมาทางคีรี

                  “ส่วนนายไปพร้อมกับสาวๆ เราจะรอไปพร้อมกับเจ้าทโมนพวกนี้”


                  คีรีไม่ตกลง เหตุผลที่เขาควรไปก่อน พอรับฟังได้ แต่เขามีเหตุผลที่ดีกว่านี้

                  “นายนั่นแหละไป แล้วก็ติดต่อธุระทางโน้นให้เรียบร้อยด้วย เราจะอยู่ทางนี้เอง ไม่ต้องห่วง”


                  มนตรียืนลังเลอยู่สักพักก็พยักหน้าตอบตกลง การติดต่อเรื่องต่างๆ ทั้งที่อยู่ที่กินของลูกศิษย์ควรเป็นหน้าที่ของเขามากกว่าให้คนอื่นจัดการ หรือรอจนรถเที่ยวที่สองไปถึง

                  คีรีโบกไม้โบกมือให้ครูสุทินกับผู้ใหญ่เม้ยที่ขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ เขารอจนรถกระบะทั้งสองคันแล่นลับโค้งข้างหน้าไปแล้วจึงหันมาทางนักศึกษาที่เหลือสิบคน

                  “จะเดินไปเรื่อยๆ หรือจะรออยู่ตรงนี้”


                  ความเงียบบังเกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนใครคนหนึ่งโพล่งออกมาด้วยความคะนอง

                  “ผมว่าพวกเราวิ่งกันไปดีไหมครับ ดีไม่ดีถึงก่อนพวกผู้หญิงอีก”


                  หลายคนค้านด้วยเหตุผล

                  “เอ็งรู้เหรอว่าอีกไกลหรือใกล้ กว่าจะถึง”


                  “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว” คนออกความเห็นตอบพร้อมอ้างถึงแหล่งที่มา “ผู้ใหญ่เม้ยบอกข้าเมื่อกี้นี้เอง”


                  “นิดเดียวของต่างจังหวัด กับนิดเดียวของกรุงเทพ มันไม่เท่ากันนะโว้ย เผลอๆ อาจเป็นสิบกิโล”


                  “เฮ่ย... ข้าก็คนต่างจังหวัด”


                  เจ้าของความเห็นยังเถียง เพื่อนๆ จึงพยักหน้าแล้วสรุป

                  “เอ็งวิ่งไปคนเดียว พวกข้าจะเอาใจช่วยให้เอ็งไปถึงก่อนพวกผู้หญิงก็แล้วกัน”


                  คีรีอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นคนดื้อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันค้อนคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วทำท่าจะออกวิ่งจริงๆ จนเขาต้องห้าม

                  “เดี๋ยวเราเดินไปพร้อมๆ กันนี่แหละ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารออยู่ตรงนี้ รถกลับมารับตรงไหนก็ขึ้นตรงนั้น ดีไหม”


                  “ดีครับ ครูดอย”


                  ทุกคนรับคำ แล้วก็ออกเดินไปเรื่อยๆ ฆ่าเวลารอครูใหญ่สุทินกับผู้ใหญ่เม้ยกลับมารับอีกเที่ยว ทว่ารถที่มารับพวกเขาไปยังจุดหมายปลายทางกลับไม่ใช่รถกระบะเก่าๆ สองคันเดิม หากเป็นรถตู้คันใหม่เอี่ยม และไม่ได้แล่นลงมา แต่กำลังแล่นขึ้นไป


                  “จะไปที่หมู่บ้านกันหรือเปล่าครับ”

                  คนขับรถหนุ่มใหญ่เปิดกระจกรถส่งเสียงถาม พอคีรีตอบรับ เขาก็ยิ้มให้แล้วส่งเสียงอีกครั้ง

                  “งั้นขึ้นรถมาเลย ผมก็กำลังจะไปที่หมู่บ้านเหมือนกัน”


                  ไม่ต้องมีคำชวนซ้ำสอง เด็กหนุ่มนักศึกษาต่างพากันเฮโลเปิดประตูขึ้นรถตู้ด้วยหวังว่าจะเย้ยเพื่อนผู้หญิงที่พวกตนเองไปถึงที่หมายโดยรถตู้ทันสมัยและใหม่กว่ารถกระบะมากมาย


                  คีรีก้าวขึ้นเป็นคนสุดท้ายหลังจากที่เด็กๆ อัดแน่นกันอยู่บนรถ เขาเอ่ยคำขอบคุณหนุ่มใหญ่ผู้มากไมตรีก่อนเหลือบสายตามาที่คนนั่งตอนหน้าด้านข้างคนขับ

                  คิ้วของชายหนุ่มพลันขมวดเข้าหากัน เขาจำเธอได้ดี

                  มัคคุเทศก์สาวคนนี้ จะไปทำไมที่หมู่บ้านนั้น



    -------------
    จบบทที่ 2
    -------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×