ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขุนเขา... สายน้ำ... ความรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 623
      0
      16 ก.ค. 52

                   บทที่ 1

                   แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปนับสิบกล้องสว่างวูบวาบ
    พร้อมๆ กับช่างภาพจากสำนักข่าวหลายคนกรูไปยังประตูหน้าของบอลรูมโรงแรมใหญ่ ก่อนที่แสงไฟจากสปอตไลต์จะฉายสว่างจ้าไปที่สตรีรูปร่างท้วมในชุดราตรีสีเขียวปีกแมลงทับ ท่าทางของนางยังกระฉับกระเฉงแม้วัยจะเลยห้าสิบปีมาพอสมควรแล้วก็ตาม


                  “เชิญทางนี้ค่ะ คุณหญิง”

                  เสียงเชื้อเชิญจากฝ่ายต้อนรับสาวดังขึ้น ทว่ายังไม่ทันที่ ‘คุณหญิงพัชรี’ จะเดินตามไป ไมโครโฟนสารพัดยี่ห้อก็รุมจ่อเข้ามาใกล้ริมฝีปากซึ่งยิ้มแย้มยินดี บ่งบอกถึงความจัดเจนคุ้นเคยในสถานการณ์เช่นนี้ไม่น้อย


                  ชายหนุ่มผู้อยู่ใกล้ที่สุดถามเร็วปรื๋อราวกับเกรงว่าจะถูกผู้อื่นแย่ง

                  “งานการกุศลเพื่อเพื่อนชาวไทยผู้ยากไร้คราวนี้ คุณหญิงตั้งเป้าว่าจะได้รับบริจาคเป็นเงินเท่าไรครับ”


                  คุณหญิงพัชรีเหลือบตามองคนถาม นางจำได้ว่าเขาเป็นนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ใหญ่ จึงยิ้มให้แล้วตอบด้วยประโยคที่เรียบเรียงมาแล้วเป็นอย่างดี

                  “ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะได้เท่าไรหรอกค่ะ แต่ดิฉันหวังว่าพวกเราที่สุขสบายอยู่นี้จะเห็นอกเห็นใจพี่น้องชาวไทยที่ยากไร้ด้อยโอกาสกันให้มากๆ เท่านั้น คนไทยถ้าไม่ช่วยกัน แล้วใครจะมาช่วยเรา จริงไหมคะ”


                  “ถ้าอย่างนั้น ในฐานะที่คุณหญิงเป็นประธาน จะบริจาคเท่าไรครับ”

                  ผู้สื่อข่าวอีกคนหนึ่งถาม ซึ่งนางก็หันมายิ้มให้ดังเดิมก่อนตอบ


                  “ไว้รอฟังบนเวทีจะดีกว่ากระมังคะ รู้ตอนนี้ประเดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น”


                  “แสดงว่าต้องไม่น้อยกว่าคราวที่แล้วใช่ไหมครับ”


                  “ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ” เสียงของคุณหญิงพัชรีสดใส นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ “ดิฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ น้องๆ มาเรียกแล้ว”


                  นักข่าวหลายคนพยายามจะถามต่อ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล จึงหันมากระซิบกระซาบกันเอง ต่างคนต่างคาดเดากันว่าคุณหญิงพัชรีภริยานายคเชนทร์อธิบดีกรมใหญ่กรมหนึ่งผู้เป็นตัวเต็งในตำแหน่งปลัดกระทรวงคนต่อไป จะบริจาคเงินเข้างานการกุศลครั้งนี้เป็นจำนวนเท่าใด


                  “ไม่ต่ำกว่าล้าน”

                  ทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียว เนื่องจากงานคราวที่แล้วนางบริจาคเป็นเงินถึงเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าบาทถ้วน โดยให้เหตุผลกับเงินหนึ่งบาทที่ไม่เติมให้เต็มล้านว่า

                  “จะได้รู้กันไงคะว่าเงินหนึ่งบาทมีค่าเพียงใด บาทเดียวเท่านั้นสามารถเปลี่ยนเลขจากหลักแสนให้เป็นหลักล้านได้”

                  คุณหญิงพัชรีกล่าวพร้อมกับวางเช็คเงินสดให้ช่างภาพทั้งหลายดู ซึ่งแน่นอนว่าวันรุ่งขึ้นภาพนี้จะปรากฏบนหน้าข่าวสังคมของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

                  ดังนั้น การตอบรับคำถามว่าไม่น้อยกว่าคราวที่แล้วใช่ไหม จึงแปลเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเงินบริจาคของคุณหญิงคนดังของสังคมในคราวนี้จะแตะไปที่หลักล้านอย่างแน่นอน

                  หากในความชื่นชมยังมีความหมั่นไส้ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ใน ‘ระดับ’ เดียวกัน


                  ‘โธ่เอ๊ย... ทำเป็นอวดร่ำอวดรวย บริจาคเงินเอาหน้าอย่างนี้ ฉันอยากรู้นักว่าจะได้บุญกันสักเท่าไรกันเชียว’

                  ไม่ใช่ว่าคุณหญิงพัชรีจะไม่รู้ หรือไม่เคยได้ยินประโยคทำนองนี้แว่วเข้าหู เพียงแต่นางไม่ใส่ใจ โดยถือเสียว่าเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดกับนางเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นการคืนกำไรสู่สังคม เพราะเครือข่ายธุรกิจที่คุณหญิงพัชรีครอบครองอยู่ทำกำไรต่อปีเป็นจำนวนเงินไม่น้อย

                  แม้นางจะบริจาคเงินในนามส่วนตัวก็ตามที




                  “สวัสดีค่ะ คุณหญิง ท่านอธิบดีไม่ได้มาด้วยหรือคะ”

                  คุณหญิงพัชรียิ้มและรับไหว้ผู้ที่ปราดเข้ามาทักทายตรงหน้า นางศุภมาสก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ระดับ’ เดียวกัน ด้วยเป็นภริยาของนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดใหญ่ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาสู่นักการเมืองระดับชาติ และทำท่าว่าจะมาแรงเสียด้วย


                  “อู๊ย คุณศุภไม่รู้อะไร” ใครคนหนึ่งตีแขน ‘คุณศุภ’ ดังเผียะ แสดงถึงความสนิทสนม “ท่านอธิบดีไม่ว่าง แล้วความจริงงานนี้ท่านก็ไม่ใช่คนสำคัญที่สุดของคุณหญิงหรอกนะคะ ยังมีคนที่สำคัญกว่านั้นอีก”

                  นางศุภมาสหน้าเหลอหลา แต่แล้วก็ควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ด้วยไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านาง ‘ตกข่าว’ นี้อย่างแรง


                  “แล้วคนสำคัญที่ว่า ยังไม่มาอีกหรือคะ คุณหญิง”

                  คำถามนี้ทำให้คุณหญิงพัชรีเหลียวมองหาไปรอบๆ บริเวณ โดยไม่ต้องลอบชำเลืองสายตาอย่างเกรงจะเสีย ‘กริยา’ อีกต่อไป

                  นางหาคนสำคัญคนนั้นตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้ามาในสถานที่นี้แล้ว



                  “ยังไม่เห็นเลยครับ” เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพัชรีตอบเมื่อผู้เป็นเจ้านายส่งสายตาเชิงสอบถาม “รถน่าจะติดน่ะครับ อีกประเดี๋ยวก็คงจะเดินทางมาถึง”

                  นั่นเป็นความเห็นขณะที่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทว่าเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง นายสมชาติก็มีความเห็นอีกอย่างหนึ่ง

                  “สงสัยหลงทางมาไม่ถูกเสียแล้วกระมัง ออกจากบ้านมาก่อนคุณหญิงตั้งนานนี่ครับ”


                  คุณหญิงพัชรีพยักหน้าช้าๆ หากไม่เห็นด้วยกับเลขานุการ

                  “ฉันว่าเถลไถลเสียมากกว่า คุณสมชาติช่วยโทรตามให้ที”


                  สมชาติไม่รอช้าสนองบัญชาทันที หากสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเมื่อต่อโทรศัพท์แล้วปลายทางไม่มีคนรับ ความยุ่งยากบังเกิดขึ้นแน่ถ้าติดต่อบุคคลสำคัญนี้ไม่ได้ เขาพยายามอีกสองสามครั้งจึงยิ้มออกมา และยิ้มนั้นก็กว้างมากขึ้นหลังจากคุยไปได้เพียงไม่กี่ประโยค

                  “คุณคีรีบอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับ เห็นป้ายโรงแรมอยู่ลิบๆ” คนเป็นเลขานุการพูดพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลาง ไม่ต่างจากคนฟัง


                  “เหลือเวลาอีกสิบห้านาทีจะเปิดงาน” คุณหญิงพัชรีเหลือบตามองนาฬิกาแขวนบนฝาผนังแล้วพูดเบาๆ กับตัวเอง “น่าจะทันนะ”


                  สมชาติเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าด้านในเสื้อสูทตามเดิมพลางคิด แม้ว่าภายในสิบห้านาทีนี้ บุคคลสำคัญที่กล่าวถึงจะไม่ทันมาปรากฏตัว เขาก็มีวิธียืดกำหนดเวลาเปิดงานออกไปได้อยู่ดี จึงไม่น่าเป็นที่หนักใจแต่อย่างใด เรื่องที่ควรจะทำมากกว่าในตอนนี้ก็คือการเข้าห้องน้ำห้องท่าเสียให้เรียบร้อย เพราะเมื่อ ‘คุณคีรี’ มาถึง เขาจะไม่มีเวลาส่วนตัวอีกจนกว่างานจะเลิก

                  การดูแลคนที่ออกงานสังคมเป็นครั้งแรกไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย



                  คุณหญิงพัชรียังคงยิ้มแย้มทักทายใครต่อใครตามปกติ ทว่าในใจนั้นเริ่มร้อนรนขึ้นตามลำดับ ครั้นพอเหลืออีกห้านาที ความอดทนก็สิ้นสุด นางส่งสายตาไปยังสมชาติ ซึ่งฝ่ายนั้นก็รู้ในทันทีว่าจะต้องทำอะไร

                  โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เพียงกดปุ่มต่อสายยังไม่ทันจะพูดอะไรก็เห็นคนเป็นเจ้านายยื่นมือมาตรงหน้า เขาจึงส่งโทรศัพท์ให้โดยไม่รอช้า

                  คุณหญิงพัชรีใจร้อนเกินกว่าจะรอฟังข่าวจากเลขานุการ หากยามพูดโทรศัพท์กับบุคคลสำคัญนางยังต้องปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลชวนฟังเป็นอย่างยิ่ง

                  “ตาดอย ถึงไหนแล้วลูก ใกล้จะเปิดงานแล้วนะ”


                  นอกจากจะเปิดงานการกุศลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว คุณหญิงพัชรียังหมายมั่นปั้นมือหวังจะเปิดตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนซึ่งเพิ่งเรียนจบปริญญาโทมาจากสหรัฐอเมริกาหมาดๆ อีกด้วย การเป็นข่าว ‘คราว’ ในฐานะผู้บริจาคเงินจำนวนมากย่อม ‘ดูดี’ กว่าการเป็นข่าว ‘คาว’ พัวพันกับดารานักแสดงอย่างที่วงการไฮโซนิยมให้บุตรชายบุตรสาว ‘โด่งดัง’ แบบนั้น แม้ว่าวิธีการอย่างหลังจะได้รับความสนใจจากผู้คนมากมายและรวดเร็วกว่าก็ตาม แต่คุณหญิงพัชรีก็ยังให้ความสำคัญกับ ‘ภาพลักษณ์’ เป็นอันดับแรกอยู่ดี

                  ผู้บริหารรุ่นต่อไปของเครือข่ายธุรกิจนางจะต้องไม่มีประวัติด่างพร้อย


                  “ไหนๆ... ถึงทางเข้าโรงแรมแล้วเหรอ ดีลูกแล้วรีบมาที่ห้องจัดงานด่วนเลยนะ... หา... พูดใหม่อีกทีซิลูก” จู่ๆ ผู้ที่รักษาอากัปกริยาของตัวเองมาตลอดก็เกิดอาการ ‘หลุด’ อย่างง่ายๆ นางเผลอตัวเมื่อได้ยินลูกชายพูดกลับมาอย่างถนัดชัดเจน “อะไรนะ ตาดอย เลยไปแล้วเหรอ”




                  “ครับแม่... ผมเลยทางเข้าโรงแรมมาแล้ว”

                  ชายหนุ่มเหลียวหลังมองป้ายชื่อโรงแรมผ่านทางกระจกหน้าต่างรถโดยสารปรับอากาศติดตรามหาวิทยาลัยซึ่งแล่นอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ

                  เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาขับรถเก๋งส่วนตัวออกจากบ้านโดยใครๆ ก็คิดว่าจะไปงานการกุศลเพื่อเพื่อนชาวไทยผู้ยากไร้ซึ่งมารดาของเขาเป็น:-)านอยู่ ทว่าคีรีกลับขับรถตรงไปยังบ้านเพื่อนสมัยเรียนชั้นมัธยมมาด้วยกันเพื่อฝากรถไว้ที่นั่น แล้วพากันนั่งแท็กซี่มามหาวิทยาลัยเพื่อขึ้นรถโดยสารปรับอากาศคันนี้...

                  คันซึ่งมีนักศึกษาหนุ่มสาวนั่งกันอยู่เกือบเต็มรถ


                  “ยังเปลี่ยนใจทันนะ ดอย”

                  เสียงพูดดังขึ้น พร้อมๆ กับมีมือมาแตะไหล่คีรีเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ ก่อนตอบหนักแน่น


                  “เราตัดสินใจแล้ว ไม่เปลี่ยนง่ายๆ หรอก มนตรี”


                  “แม่นายคงผิดหวังน่าดู อยากจะเปิดตัวลูกชายให้ใหญ่โต พ่อตัวดีกลับหนีไปต่างจังหวัดเสียอย่างนั้น”

                  มนตรีพูดพลางส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยเลยกับการกระทำของเพื่อน ถ้าเขาเป็นคีรี ป่านนี้ก็คงยืนยิ้มอยู่หน้ากล้องถ่ายรูปนับสิบกล้องในห้องจัดงานใหญ่โต ไม่ใช่มานั่งแออัดอยู่ในรถประจำทางคับแคบคันนี้แน่ๆ


                  “ไม่ผิดหวังเท่าไหร่หรอก” เสียงของคีรีเบาแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “เพราะที่เรากำลังไปอยู่นี่ จุดประสงค์ก็ไม่แตกต่างจากงานที่จัดเลย”


                  “นายพูดเล่นหรือพูดจริงงะ” มนตรีมองหน้าเพื่อนแล้วหัวเราะ “แกเอางานค่ายอาสาเงินทุนไม่กี่หมื่น ไปเทียบกับงานการกุศลเพื่อเพื่อนชาวไทยผู้ยากไร้ที่มีเงินบริจาคเป็นล้านๆ เนี่ยนะ”


                  “อ้าว... แล้วนายว่ามันแตกต่างกันตรงไหน ทั้งสองงานต่างก็มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือคนไทยที่ด้อยโอกาสด้วยกันทั้งนั้น”


                  “มันไม่เหมือนกันหรอก ดอยเอ๊ย...” มนตรีตบบ่าเพื่อน แล้วหัวเราะเดินสั่นศีรษะไปทางหน้ารถ

                  คีรีมองตามหลังเพื่อนไปก่อนหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง


                  ย้อนหลังไปสองสัปดาห์ที่แล้ว วันแรกๆ ที่คีรีกลับมาถึงประเทศไทย สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดคือการโทรศัพท์หาบรรดาเพื่อนเก่า ไม่ใช่ว่าการไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเวลาแปดปีจะทำให้ขาดการติดต่อกับเพื่อนฝูง หากแต่ว่าการกลับมาหลังจากเรียนจบทำให้มีเวลามากกว่าการกลับมาระหว่างปิดภาคเรียน

                  มนตรีไม่ใช่เพื่อนคนแรกที่คีรีโทรหา แต่เป็นคนที่เขาคุยด้วยนานที่สุด โดยเฉพาะเมื่อทราบว่ามีโครงการจะพาลูกศิษย์มหาวิทยาลัยไปออกค่ายอาสาช่วยเหลือชุมชนที่จังหวัดตาก


                  “ที่อำเภอท่าสองยางนะ ไม่ใช่ใกล้ๆ”

                  คีรีจำได้ว่ามนตรีรีบบอกสถานที่ทันที เหมือนกับกลัวว่าจะไม่รู้ ซึ่งเขาก็ไม่รู้จริงๆนั่นแหละว่าอำเภอที่ว่าอยู่ส่วนใดของจังหวัดตาก

                  “ไปทางอำเภอแม่สอด”

                  อันนี้พอรู้ว่าต้องนั่งรถข้ามภูเขาไปจนถึงชายแดนติดกับประเทศพม่า ทว่า...

                  “เลยจากนั้นขึ้นไปอีก เลียบแม่น้ำเมยไปทางเหนือ ร่วมๆ ร้อยกิโลเมตรได้มั้ง”


                  คีรีพอจะนึกภาพออกว่าไกลเพียงใด แต่นั่นกลับยิ่งทำให้น่าสนใจ เพราะยิ่งไกลยิ่งดี เขาขอตามไปด้วยอย่างไม่ลังเล ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันและเวลาเดินทางตรงกับวันงานการกุศลเพื่อเพื่อนชาวไทยผู้ยากไร้พอดิบพอดี


                  “อะไรวะ กลับมาจากเมืองนอกไม่ทันไร เบื่อบ้านเสียแล้วหรือ”


                  “ไม่ได้เบื่อบ้านหรอก แต่เบื่องานสังคม เราไม่ชอบปั้นหน้าวางมาดเข้าใส่กัน”

                  จึงเป็นสาเหตุให้คีรีมานั่งอยู่ในรถโดยสารปรับอากาศท่ามกลางนักศึกษาหนุ่มสาวลูกศิษย์ของมนตรี เพื่อร่วมกิจกรรมค่ายอาสาเพื่อชุมชนของมหาวิทยาลัย




                  นักศึกษาสาวสองคนช่วยกันหอบหิ้วขวดน้ำขวดเล็กๆ เดินแจกตั้งแต่หัวรถไล่ไปทางท้ายรถ ครั้นพอถึงที่นั่งของคีรี หนึ่งในสองก็ส่งขวดน้ำให้เขาพร้อมกับรอยยิ้ม

                  “น้ำค่ะครู”

                  เมื่อมาในฐานะเพื่อนของอาจารย์ คีรีจึงได้รับการสถาปนาให้เป็น ‘ครู’ ตามไปด้วย ในตอนแรกบรรดาลูกศิษย์ของมนตรีต่างเรียกเขาว่าอาจารย์ หากพอรู้ชื่อเล่นก็พร้อมใจเปลี่ยนเป็นเรียกว่า ‘ครู’ ไปตามๆ กัน


                  “ครูดอย... แหม... เข้ากับบรรยากาศจริงๆ”

                  มนตรีพูดพลางหัวเราะพลางอย่างลืมตัว อันที่จริงเขาอายุมากกว่านักศึกษาหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่กี่ปี เพียงแต่ด้วยฐานะอาจารย์ทำให้ดูแก่เกินวัยไปบ้าง ทว่าคีรีไม่เป็นเช่นนั้น...

                  ด้วยร่างสูง ผิวขาว ตัดผมสั้นจนเกือบเป็นทรงสกินเฮด ทำให้ชายหนุ่มดูกลมกลืนไปกับบรรดานักศึกษาโดยไม่ยาก และที่ทำให้มนตรีเริ่มจะหนักใจก็คือ ลูกศิษย์สาวหลายคนชักจะมีอาการแปลกๆ ที่กล้าหน่อยก็เข้ามาชวนคีรีคุย ส่วนที่ยังเหนียมๆ ก็ส่งสายตาชำเลืองมองมาเป็นระยะๆ

                  พอรถแล่นออกนอกเมือง เสียงคุยที่ดังลั่นหัวรถท้ายรถก็ค่อยๆ เงียบลงเหลือเพียงประปราย คีรีมองออกไปนอกหน้าต่างไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด เขาจึงหลับตา หากพอเริ่มเคลิ้มก็รู้สึกว่ารถหยุดแล่น พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าจอดอยู่จริงๆ พร้อมๆ กับเปิดไฟภายในรถสว่างจ้า และเสียงคุยโขมงก็กลับมาดังขึ้นอีกครา


                  “รถเป็นอะไรเหรอ”

                  คีรีนึกถึงความยุ่งยากหากรถเสีย ทว่ามนตรีกลับหัวเราะ


                  “ไอ้บ้า... นี่มันตีหนึ่ง” ก่อนที่คนถามจะงุนงงไปมากกว่านี้ คนหัวเราะก็เฉลย “นายลองมองออกไปนอกรถสิ”


                  คีรีเพ่งตามองตามที่เพื่อนว่า ร้านค้าซึ่งมีเหล่านักศึกษาลงไปนั่งจับจองโต๊ะจนเกือบเต็ม หลายโต๊ะมีกับข้าววางอยู่หลายจาน

                  พวกเขากำลังจะรับประทานข้าวต้ม !


                  “กินข้าวตอนตีหนึ่งเนี่ยนะ”

                  คีรีถามมนตรีซึ่งกำลังลุกขึ้นเพื่อเดินไปที่ประตูรถ


                  “เออ” ฝ่ายนั้นตอบก่อนก้าวเท้าลงบันได เพียงสักพักก็ถอยหลังชะโงกหน้ามาพูด “เร็วเข้า... ช้าอดนะโว้ย”


                  คนนั่งอยู่กับที่ส่ายหน้า พลางมองไปรอบๆ ทุกคนลงจากรถหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่คนขับ หลายคนตักข้าวเข้าปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่อีกหลายคนยังนั่งรออาหารที่จะมาเสิร์ฟ

                  ตกลงการจอดรถเพื่อรับประทานอาหารตอนเวลาหนึ่งนาฬิกาซึ่งเขาคิดว่าแปลก กลับเป็นเรื่องธรรมดาๆ สำหรับทุกคน ไม่มีใครคิดว่าการถูกปลุกขึ้นมากินในเวลาที่ควรจะนอนหลับอย่างสบายเป็นเรื่องผิดปกติ

                  คีรีคิดแล้วก็หัวเราะออกมา นี่ถ้าเขายังนั่งอยู่บนรถไม่ยอมลงไป คงกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของทุกๆ คนเป็นแน่



                  “ครูขา นั่งโต๊ะนี้สิคะ”

                  นักศึกษาสาวหลายคนเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่งร่วมโต๊ะ แม้บางโต๊ะจะไม่มีที่ว่าง แต่ก็มีคนพร้อมจะลุกสละเก้าอี้ให้


                  “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร”

                  คีรีปฏิเสธไปรอบตัว จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจฝืนรับประทานอาหารตอนดึกดื่นค่อนคืนได้แน่ ทางออกที่นุ่มนวลคือ นั่งโต๊ะเดียวกับมนตรี หรือไม่ก็เลี่ยงไปที่อื่น

                  คีรีเลือกอย่างหลัง เขาเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วเตร่ดูสินค้าประเภทของกินจุกจิกที่วางขายอยู่ในร้าน แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือก่อนกลับขึ้นรถเลย


                  กว่าจะออกเดินทางอีกครั้งก็ใช้เวลาไปร่วมๆ ครึ่งชั่วโมง คราวนี้หลับสนิท มารู้สึกตัวงัวเงียก็ตอนถึงทางแยกก่อนถึงจังหวัดตากเพื่อเลี้ยวซ้ายไปอำเภอแม่สอด แต่เพียงชั่วครู่ก็หลับลึกตามเดิม มาลืมตาอีกครั้ง สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

                  ฟ้าเริ่มสาง ผู้คนก็เริ่มคึกคัก หลังจากรับประทานอาหารเช้า มนตรีก็อนุญาตให้บรรดาลูกศิษย์เดินเล่นยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยขบจากการเดินทางมาตลอดคืนได้ที่ตลาดริมเมย

                  คนที่ตื่นตาตื่นใจมากที่สุดกลับเป็นคีรี


                  ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าตลาด ถัดไปไม่กี่ก้าวนั่นคือแม่น้ำเมยสีน้ำตาลขุ่น และแน่นอน ริมตลิ่งฝั่งโน้นคือแผ่นดินพม่า ซึ่งบัดนี้เชื่อมต่อกับแผ่นดินไทยโดยสะพานคอนกรีตชื่อเป็นมงคลว่า ‘มิตรภาพ’

                  เสียงแตรรถดังขึ้น ทำให้คีรีรู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่กลางถนน จึงก้าวเท้าหลบรถตู้สีขาวติดฟิล์มกรองแสงทึบให้แล่นผ่านไป รถตู้คันนั้นแล่นเลยเขาไปแค่สี่ห้าเมตรก็จอดชิดข้างทาง

                  ชาวต่างประเทศผมสีทองชายหนึ่งหญิงสองก้าวลงมาจากรถ ยืนอยู่สักพักผู้ชายก็เดินไปเคาะกระจกประตูหน้า เพียงชั่วอึดใจประตูบานนั้นก็เปิดออก

                  ร่างเล็กๆ เหมือนกับกระโดดลงมายิ้มให้ผู้เคาะเรียก ผมยาวสีดำขลับถูกเจ้าตัวรวบไปผูกมัดไว้ด้านหลังทำให้ดูไม่ทันว่ายุ่งเหยิงหรือไม่ หากดวงตาบนใบหน้าขาวนั้น แม้คีรีจะยืนอยู่ห่างถึงห้าเมตรก็พอดูออกว่างัวเงียเพิ่งตื่น

                  ทั้งสี่ยืนสนทนากันชั่วครู่ก็พากันเดินเข้าไปในตลาดริมเมย โดยมีหญิงสาวตัวเล็กเดินนำ

                  คีรีมองตามพลางนึกในใจ...

                  โธ่เอ๊ย เป็นมัคคุเทศก์ประสาอะไร ต้องให้ลูกทัวร์ปลุก


                  ชื่อเสียงคนไทย เสียหายยับเยินกันคราวนี้


    -------------
    จบบทที่ 1
    -------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×