ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขุนเขา... สายน้ำ... ความรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 349
      1
      31 ก.ค. 52

                                       บทที่ 3


                   หญิงสาวหันหน้ามาพร้อมกับถอดแว่นกันแดดสีเข้มออกเผยให้เห็นดวงตาสดใส
    เธอเอ่ยทักทายผู้ซึ่งนั่งเบียดกันอยู่ในรถตู้ด้วยประโยคเป็นกันเอง

                   “สวัสดีค่ะ น้องๆ ท่าทางอย่างนี้ มาออกค่ายอาสากันแน่ๆ เลยใช่ไหม”


                   เด็กหนุ่มแต่ละคนแย่งกันตอบ การถูกเรียกว่า ‘น้องๆ’ ไม่ใช่ปัญหา พวกเขาพร้อมที่จะ ‘ข้ามรุ่น’ โดยเฉพาะรุ่นพี่ที่หน้าตาน่ารักอย่างนี้ หากคนที่นั่งหน้าตึงคือคีรี

                   หากสังเกตสักนิดก็คงจะดูออกว่าเขาไม่ได้รุ่นเดียวกับเด็กพวกนี้ แล้วแม่มัคคุเทศก์สาวหน้าอ่อนมาเรียกเหมารวมกันได้อย่างไรว่า ‘น้องๆ’


                   คีรีกระแอมดังราวกับช้างเข้าไปติดอยู่ในคอทั้งโขลง เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดานักศึกษาได้อย่างครื้นเครง ใครคนหนึ่งโพล่งออกมา

                   “นี่ครูดอยครับ แก่กว่าพวกเราตั้งหลายปี”


                   คีรีทำสีหน้าปั้นยาก ไม่รู้ว่าจะขอบคุณเจ้าของคำแนะนำหรือโมโหดี หญิงสาวหันมาทางเขาแล้วละล่ำละลักเอ่ย

                   “อุ๊ย... ขอโทษค่ะ น้ำไม่ทันมอง เห็น... เอ่อ...” เธอเหลือบตามองไปยังทรงผมสกินเฮดของชายหนุ่มก่อนพูดออกมาเบาๆ “น้ำนึกว่ารุ่นพี่ของน้องๆ พวกนี้ คุณ... เอ่อ...”


                   “ผมคีรีครับ หรือจะเรียกว่าดอยก็ได้”


                   “สายธาร... น้ำค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างแนะนำตัวเองบ้าง ทำให้บรรดาเด็กหนุ่มขานรับกันอย่างเซ็งแซ่

                   “พี่น้ำ”


                   คีรีเดาว่าเธอคงจะช่างคุยไม่น้อย เพราะหลังจากแนะนำตัวเองเสร็จ หญิงสาวก็ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้หันมาทางด้านหลังได้โดยสะดวก

                   “สมกับเป็นไกด์นำเที่ยวจริงๆ” คีรีนึก ทว่าเขายังจำภาพที่ลูกทัวร์ไปปลุกเธอเมื่อตอนเช้าที่ตลาดริมเมยได้ติดตา จึงสรุป ‘เสียอย่างเดียว นอนขี้เซาไปหน่อย’


                   “ส่ายหน้าทำไมเหรอคะ”

                   คำถามของสายธารทำเอาคีรีสะดุ้ง


                   “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

                   ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ ก่อนเงียบเสียง ปล่อยให้บรรดาเด็กหนุ่มนักศึกษาคุยกับ ‘พี่น้ำ’ ของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ คีรีจ้องมองใบหน้าอ่อนหวานประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้นอย่างเพลิดเพลิน ริมฝีปากบางช่างเจรจานั้นซักถามไม่หยุด ชั่วเวลาไม่กี่นาที เธอก็ได้ข้อมูลจากฝ่ายเขาไปมากมาย หากยังไม่มีใครรู้เรื่องราวของเธอเลย


                   “แล้วลูกทัวร์ของคุณหายไปไหนหมดล่ะครับ” คีรีอดรนทนไม่ได้จึงถามสิ่งที่อยากรู้ออกมา “อย่าบอกนะว่าทิ้งไว้ที่ตลาดริมเมย”


                   สายธารกระพริบตาถี่ๆ มีสีหน้างุนงง เธออ้าปากจะตอบแต่ยังไม่ทันมีเสียงเล็ดลอดออกมา ก็ถูกเสียงของเด็กนักศึกษาดังชิงตัดหน้า

                   “รถมารับแล้ว”


                   คราวนี้ต่อให้หญิงสาวตอบคีรีก็ไม่มีทางได้ยิน เพราะคนที่อยู่ริมหน้าต่างฝั่งขวาต่างเปิดกระจกโบกไม้โบกมือตะโกนโหวกเหวก พวกที่นั่งอยู่ด้านในก็ส่งเสียงช่วยด้วยเกรงว่าครูใหญ่สุทินกับผู้ใหญ่เม้ยจะไม่เห็นหรือไม่ได้ยินแล้วขับรถเลยไป

                   พอรถทั้งสามคันจอด คนที่กระโดดลงจากรถตู้คนแรกกลับเป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ตอนหน้า เธอยิ้มร่าพนมมือแต้ทำความเคารพเดินเข้าไปหาครูสุทินกับผู้ใหญ่เม้ยที่เปิดประตูลงมายืนอยู่ข้างรถ


                   “สวัสดีค่ะครู สวัสดีค่ะผู้ใหญ่”

                   เสียงสดใสและสรรพนามที่ใช้ บ่งบอกให้คีรีรู้ว่าเธอรู้จักครูสุทินกับผู้ใหญ่เม้ยเป็นอย่างดี

                   ท่าทางจะไม่ใช่มัคคุเทศก์ธรรมดาๆ เสียแล้ว

                   ชายหนุ่มเดินไปทันได้ยินครูสุทินทักทายกลับพอดี


                   “อ้าว... หนูน้ำนั่นเอง นึกว่าใครที่ไหนเสียอีก”

                   เป็นอีกหนึ่งประโยคที่ทำให้คีรีเชื่อว่า สิ่งที่เขาเข้าใจนั้น ถูกต้อง


                   “ไม่รู้ว่าจะมา... นี่รู้จักกันแล้วรึ”

                   ผู้ใหญ่เม้ยพูดบ้าง พลางถามเมื่อเห็นคีรีก้าวมายืนข้างหญิงสาว


                   “รู้จักกันแล้วค่ะ... ครูดอย” สายธารตอบเสียงร่าเริงเช่นเคย “พาน้องๆ นักศึกษามาออกค่ายอาสา”


                   คีรีตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่ได้ ‘พา’ มา แต่ขอ ‘อาศัย’ มาต่างหาก ทว่าถ้าจะปฏิเสธคำกล่าวนั้นในตอนนี้ก็ดูจะใช่เรื่อง จึงปล่อยเลยตามเลย เพราะถึงอย่างไรก็คงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว

                   เขารู้ตัวว่าคิดผิดมหันต์ในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา


                   สายธารส่งสัญญาณมือให้บรรดานักศึกษาที่กำลังเดินมาทางนี้ กลับไปทางเดิม ก่อนหันมาพูดกับครูสุทินและผู้ใหญ่เม้ย

                   “ให้น้องๆ ไปรถน้ำก็ได้ค่ะ เบียดกันนิดหน่อย เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”


                   ครูสุทินมองหน้าผู้ใหญ่เม้ยเป็นเชิงขอความเห็น แล้วหันกลับมาพยักหน้า

                   “ก็ตามใจ แต่ถ้าแน่นมาก แบ่งมาทางนี้บ้างก็ได้นะ”


                   หญิงสาวยิ้มรับคำ หมุนตัวเดินกลับไปที่รถตู้

                   คนที่ ‘แบ่งมาทางนี้’ มีคนเดียว นั่นคือ คีรี




                   ชายหนุ่มนั่งเงียบอยู่ในรถกระบะของครูสุทิน ทั้งๆ ที่ใจนึกอยากจะถามเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่มากับรถตู้ เขาก้มตัวลงมองกระจกส่องหลังด้านข้าง ดูรถที่แล่นตามมาข้างหลังเกือบตลอดเวลา แล้วจู่ๆ ครูสุทินก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                   “หนูน้ำเธอน่ารัก...”


                   “ครับ”

                   หากเสียงของคีรีเป็นการถามมากกว่าการตอบรับ


                   “คนที่หมู่บ้านรักเธอกันทั้งนั้น” ครูสุทินขยายความขึ้นมาอีกนิด “นี่ถ้ารู้ว่าเธอมาคงจะดีใจกันแย่”


                   ตกลงดีใจหรือแย่กันแน่ คีรีคิดในใจ หากยังคงถามต่อ

                   “เธอไม่ใช่คนที่นี่หรือครับ”


                   “ไม่ใช่หรอก เธอมาทำงานอยู่แถวนี้เท่านั้น”


                   คีรีนึกดีใจกับประเทศไทยนักหนา ขนาดเมืองชายแดนอย่างแม่สอดที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรก็ยังอุตส่าห์มีฝรั่งมาท่องเที่ยวให้มัคคุเทศก์ชาวไทยมีงานทำเป็นประจำ


                   “เมื่อก่อนเธอไม่ได้ใช้รถใหม่อย่างนี้หรอก” ครูสุทินเหลือบตามองกระจกส่องหลังแล้วพูดต่อ “ใช้รถตู้เก่าๆ พอๆ กับกระบะคันนี้ได้มั้ง”

                   คนเล่าหยุดเพื่อหัวเราะ เมื่อรำลึกถึงความหลัง ส่วนคนฟังยังไม่รู้ว่าครูสุทินเล่าเรื่องนี้ทำไม แต่แล้วก็ถึงบางอ้อ

                   “เกือบปีได้แล้วที่ผมกับผู้ใหญ่ไปเจอรถของเธอเสียอยู่ข้างทางแถวๆ แม่ระมาด ช่วยกันแก้ช่วยกันซ่อมอย่างไรก็สตาร์ตไม่ติด สุดท้ายก็เลยต้องลากรถไปที่อู่ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็กลายเป็นแขกประจำของหมู่บ้านเรา


                   “อ๋อ... บุญคุณต้องทดแทน”


                   “คงทำนองนั้นกระมังครับ” ครูสุทินพยักหน้าหงึกหงัก “ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายโชคดี เป็นเธอที่มาเจอเรา หรือเป็นฝ่ายเราที่ไปเจอเธอ”

                   พูดจบครูสุทินก็หัวเราะอีกครั้ง ในขณะที่คีรีได้แต่ครุ่นคิด ก็คงจะโชคดีทั้งสองฝ่าย แล้วก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ...

                   แล้วตัวเขาเองล่ะ... โชคดีหรือโชคร้าย



                   คีรีแทบไม่เชื่อสายตาว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านี้เรียกว่าโรงเรียน สภาพอาคารไม้ชั้นเดียวหลังเล็กเก่าซอมซ่อยังพอจะเชื่อได้ แต่เมื่อมองไปถึงห้องเรียนที่มีเพียงสามห้องนั้นก็สุดจะรับไหว

                   โรงเรียนนี้มีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งถึงประถมศึกษาปีที่หก นั่นหมายถึงห้องเรียนไม่พอ นักเรียนบางส่วนต้องออกมาเรียนกลางแจ้งโดยอาศัยร่มไม้ต่างห้องเรียน


                   “ถ้าฝนตกก็ต้องเข้าไปรวมกันอยู่ในอาคารนั้นแหละครับ ห้องเดียวสองชั้นเรียน ครูต้องสอนเสียงเบาๆ หน่อย ไม่งั้นตีกัน เด็กฟังไม่รู้เรื่อง”

                   คีรีนึกไม่ออกเลยว่าสภาพที่ครูสุทินกล่าวมานั้น จะเรียนจะสอนกันไปได้อย่างไร


                   “แล้วทำไมไม่สร้างเพิ่มล่ะครับ”

                   เขาถาม และก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้พูดปนมากับคำตอบ


                   “เรามีงบประมาณแค่สร้างอาคารชั่วคราวเท่านั้นครับ เอ่อ... อย่าเรียกอาคารเลย เรียกเพิงจะดีกว่า พอมันโดนพายุฝนเข้าก็พังหมด ปีนี้พายุแรงเสียด้วย ยังไม่ทันหมดฝนเลย มันหอบเอาไปหมดแล้ว”


                   คีรีมองตามสายตาของครูสุทินไปยังลานว่างเปล่าซึ่งมีร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างอยู่ เขาเปลี่ยนสายตามาที่ทุกคน และสุดท้ายที่มนตรี ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเหล่านักศึกษาอาสาสมัครพัฒนาชุมชน

                   มนตรีเบ้ปากก่อนตอบ

                   “เพราะอย่างนี้ไง เราถึงเลือกมาที่นี่”


                   คีรีพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขามองไปไกลจนสุดสายตา ที่แห่งนี้อยู่บนภูเขาสูง ท่ามกลางทิวเขาสลับซับซ้อนนั้น ยังมีสายน้ำแม่เมยไหลซอกซอนลัดเลาะอยู่เบื้องล่าง นับว่าเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม แต่ไม่มีอะไรที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ การพัฒนากับธรรมชาติที่สวยงามนั้นสวนทางกันเสมอ สุดแท้แต่มนุษย์จะพอใจตรงจุดใดเท่านั้นเอง



                   สิ่งที่คณะผู้อาสาพัฒนาชุมชนต้องการทำประการแรกก็คือการมายืนเรียงแถวหน้ากระดานเพื่อให้ชาวบ้าน ‘เลือก’ ผู้ที่จะไปพักอาศัยกับพวกเขาครอบครัวละสองคน โดยคีรีและมนตรีไม่ได้เข้าร่วมด้วยเพราะถูกครูสุทิน ‘จอง’ ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว การคัดเลือกใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น ต่างคนก็ต่างหอบหิ้วสัมภาระส่วนตัวไปยังบ้านของผู้ที่เลือกตน

                   ถึงแม้ว่าครูสุทินจะเป็นข้าราชการ แต่บ้านของเขาก็ไม่ต่างไปจากบ้านของชาวบ้านคนอื่นๆ เลย บ้านไม้หลังเล็กยกพื้น มีใต้ถุนเตี้ยพอให้นั่งเล่นได้บ้าง ชั้นบนมีเพียงห้องเดียว หากยังกั้นแบ่งเป็นส่วนที่นอนเล็กๆ อยู่ด้านใน จะมีแตกต่างจากบ้านของคนอื่นก็ตรงที่บ้านหลังนี้มีอาณาเขตกว้างขวางเพราะอยู่ในบริเวณโรงเรียน


                   “คับแคบหน่อยนะครับ บ้านนอกก็อย่างนี้”

                   ครูสุทินกล่าวกับคีรีและมนตรี ขณะที่สองหนุ่มยืนถือกระเป๋าสัมภาระเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้อง


                   “ไม่แคบหรอกครับถ้าอยู่คนเดียว” มนตรีตอบพร้อมวางกระเป๋าไว้ข้างฝา แล้วพยักเพยิดชวนเพื่อนให้ทำตาม “ดีเสียอีกครับ ไม่ต้องปัดกวาดเช็ดถูมากให้เหนื่อยแรง”


                   “จริงของคุณ” ครูสุทินหัวเราะชอบใจ “เมื่อก่อนที่นี่มีบ้านพักครูหลังใหญ่โต ผมเห็นแล้วยังนึกไม่ออกว่าจะทำความสะอาดอย่างไรไหว”


                   “แล้วทำไหวไหมครับ” ประโยคนี้คีรีเป็นคนถาม


                   “ไม่รู้สิครับ” ครูสุทินตอบก่อนหัวเราะอีกครั้ง “ตอนผมย้ายมามันก็เหลือแต่เสาตั้งโด่เด่พอให้รู้ว่าเคยใหญ่โตขนาดไหนเท่านั้นเอง ก็เลยร่วมมือกับชาวบ้านช่วยกันปลูกใหม่อย่างที่เห็นอยู่นี่แหละครับ”


                   คีรีกวาดตามองไปรอบๆ นึกเปรียบเทียบ บ้านนี้ทั้งหลังยังเล็กกว่าห้องน้ำในห้องนอนของเขาเลยด้วยซ้ำ ไม้กระดานผุๆ ที่ยืนเหยียบอยู่นี้ก็ไม่รู้จะหักทะลุลงไปเมื่อใด


                   “เอ้า... รับไปซะ” เสียงของมนตรีดังขึ้น เมื่อคีรีหันไปหาก็เห็นวัตถุสิ่งหนึ่งลอยเข้ามา เขารับเอาไว้ก็พบว่ามันเป็นมุ้งตาละเอียดใหม่เอี่ยมยังบรรจุอยู่ในถุงพลาสติก


                   “ของเราเหรอ”


                   “เออ...” มนตรีตอบ “เราซื้อให้ ประเดี๋ยวแม่นายจะมาต่อว่าโทษฐานที่พาลูกชายสุดที่รักของท่านมาตากยุงจนตัวลายพร้อย”


                   คีรีฉีกถุงพลาสติกออกพลางคิด การออกค่ายอาสาลำบากกว่าที่คาด ทว่าหากความลำบากนี้นำมาซึ่งความสุขใจ เขาก็ยินดีกระทำโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด



                   พอกลุ่มผู้อาสามารวมตัวกันอีกครั้งที่หน้าอาคารของโรงเรียน คีรีก็พบว่ารถตู้ไม่ได้จอดอยู่ตรงนั้นแล้ว ชายหนุ่มพยายามมองหาว่าไปจอดอยู่ที่ใด แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ จะสอบถามใครก็คงยากที่จะได้คำตอบ จึงนิ่งเสียแล้วฟังการประชุมและแจกแจงงาน

                   แน่นอนว่าความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ในภารกิจแรกคือการสร้างอาคารเรียนชั่วคราวที่มั่นคงแข็งแรงด้วยงบประมาณเท่าที่คณะอาสามีอยู่ ซึ่งจะเป็นค่าวัสดุก่อสร้างทั้งสิ้น ส่วนเครื่องมือจะหยิบยืมเอาจากชาวบ้าน

                   แบบแปลนถูกเขียนขึ้นมาอย่างง่ายๆ ตามความต้องการของครูใหญ่สุทินและครูประจำโรงเรียนอีกสองสามคน โดยมีนักศึกษาคอยออกความเห็นเป็นบางส่วน เสาหกต้นกับหลังคามุงกระเบื้องไร้ผนังเป็นแบบที่ลงตัวที่สุด

                   ทุกคนล้วนมีส่วนร่วม แต่ละคนได้รับงานให้รับผิดชอบ บ่งบอกถึงความคุ้นเคยในการทำงานเป็นหมู่คณะได้เป็นอย่างดี จนผู้ใหญ่เม้ยถึงกับเอ่ยปากชม และรับปากพร้อมกับตัวแทนของชาวบ้านว่าจะช่วยลงมือลงแรงด้วย

                   มนตรีเฝ้ามองดูลูกศิษย์ของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ เขาพยายามออกความเห็นอย่างน้อยที่สุด จะมีบ้างก็เฉพาะตอนมีคนถามเท่านั้น ไม่ต่างไปจากคีรี ผิดแต่ว่ารายนั้นมีคนมาถามความเห็นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะนักศึกษาสาวๆ ซึ่งคีรีก็เออออไปตามเรื่องตามราว

                   ไม่มีใครรู้เลยว่าสมาธิของเขาไม่ได้อยู่กับงานนี้



                   คืนนี้ทุกคนต่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากการเดินทางไกลเกินกว่าจะมารวมกลุ่มพูดคุยกัน ต่างคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อนตามที่อยู่ของแต่ละคน มนตรีก็เช่นกัน เขาสาละวนอยู่กับการกางมุ้งตั้งแต่หัวค่ำโดยมีคีรีนั่งมองอย่างประหลาดใจแกมทึ่ง

                   “นายกางมุ้งเป็นด้วยหรือ แต่ก่อนทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลยนี่นา”

                   ‘แต่ก่อน’ ของคีรีต้องย้อนไปถึงตอนเรียนมัธยมปลายโน่น


                   มนตรีไม่ตอบคำถาม หากกล่าว

                   “นายก็ต้องหัดให้เป็นด้วยเหมือนกัน รีบกางมุ้งซะ ประเดี๋ยวยุงก็หามหรอก อย่ามัวแต่พูดมาก”


                   อันที่จริงคีรีก็อยากจะกางมุ้งพร้อมๆ กับเพื่อน แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จึงนั่งดูมนตรีเป็นตัวอย่างเสียก่อน

                   คนกางมุ้งไม่เป็นดูไปดูมาเห็นคนกางมุ้งเป็นทำได้โดยง่ายก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่พอเริ่มลงมือเองก็รู้ว่าคิดผิด ลำพังแค่หาหูมุ้งให้ครบทั้งสี่มุมก็เกือบท้อ ครูสุทินเห็นเข้าก็จะช่วยเหลือ ทว่าถูกมนตรีห้ามเอาไว้

                   “ปล่อยให้เขาทำเองเถิดครับครูใหญ่ ต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ควรจะทำเองได้”

                   เจ้าของบ้านจึงได้แต่ยืนมองเอาใจช่วย


                   ในที่สุดคีรีก็ทำสำเร็จจนได้ เขายืนเหงื่อซึมดูผลงานของตนเองอย่างพออกพอใจ แม้มุ้งจะไม่ค่อยเป็นรูปทรงที่ถูกต้องเท่าไรนักก็ตาม และผลแห่งความสำเร็จนี้ทำให้คีรีต้องไปอาบน้ำอีกหนึ่งรอบ

                   พออาบน้ำเสร็จกลับมาคีรีก็พบว่ามนตรีนอนหลับไปแล้ว เขายังไม่ง่วงจึงออกมาเดินเล่นนอกบ้านเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย

                   อากาศบนภูเขาสูงยิ่งดึกยิ่งหนาว แม้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูฝน เวลานี้ในเมืองกรุงยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ แต่ที่นี่กลับมืดมิด มีเพียงแสงดาวที่ส่องแสงริบหรี่ประดับอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น

                   คีรีเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณที่จะสร้างอาคารเรียนชั่วคราว เขาหมุนตัวกวาดตามองไปรอบๆ แล้ววาดมโนภาพถึงเหตุการณ์ข้างหน้าเมื่ออาคารหลังนี้สร้างเสร็จ เด็กๆ คงจะดีใจที่ไม่ต้องตากแดดตากลมเรียนหรือแออัดยัดเยียดอีกต่อไป

                   ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง เด็กๆ ควรจะได้อาคารเรียนที่ดีกว่าในแบบแปลนก่อสร้างที่มีเพียงเสาหกต้นกับหลังคามุงกระเบื้องซึ่งไร้ผนัง



                   คีรีตื่นแต่เช้าตรู่อย่างสดชื่นท่ามกลางความแปลกใจของตนเองที่มักจะนอนไม่ค่อยจะหลับในยามแปลกที่ แต่เมื่อคืนเขากลับนอนหลับตั้งแต่หัวถึงหมอนรวดเดียวจนกระทั่งเช้า

                   เสียงไก่ขันประชันกันเป็นทอดๆ ดังแว่วมาทำให้คนตื่นเช้าหัวเราะ ถึงอย่างไรเขาก็ตื่นทีหลังไก่อยู่ดี

                   นอกจากตื่นทีหลังไก่แล้ว ยังตื่นทีหลังเจ้าของบ้านอีกด้วย


                   “ตื่นเช้าเหมือนกันนี่คุณ ไปวิ่งออกกำลังกายกันไหมครับ”

                   ครูสุทินในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเอ่ยปากชวน คีรีคิดดูแล้วหากเขาตอบรับก็จะทำให้ครูสุทินเสียเวลารอ จึงปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล

                   “ขอเป็นวันหลังดีกว่าครับ วันนี้ผมขอเดินออกกำลังกายเท่านั้นพอ”

                   ครูสุทินยิ้มให้ แล้วยืดเส้นยืดสายก่อนวิ่งเหยาะออกไป


                   คีรีสูดอากาศเข้าปอดอย่างสดชื่น เขาเดินไปตามทางเดินเล็กๆ สวนกับชาวบ้านที่แบกถือเครื่องมือทำมาหากินออกไปทำไร่เป็นระยะๆ ทุกคนต่างแย้มยิ้มให้เปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี ทำให้เขายิ้มตอบจนค้างอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แต่แล้วยิ้มนั้นก็สลายกลายเป็นคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อมองเห็นจักรยานคันหนึ่งแล่นตรงเข้ามาหา

                   พอเห็นว่าใครเป็นผู้ขับขี่รอยยิ้มก็กลับมาบนใบหน้าเหมือนเดิม และคราวนี้คีรียิ้มกว้างกว่าเก่ามากมาย

                   ผู้ขับขี่จักรยานคือมัคคุเทศก์สาวคนนั้นนั่นเอง



    -------------
    จบบทที่ 3
    -------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×